Skip to content

TEL : 081-841-5075, 02-258-4050

Facebook Instagram YouTube
Privato Clinic – Innovation Of Beauty  |  Bangkok
  • หน้าหลัก
  • เกี่ยวกับพรีวาโต
  • บริการทั้งหมดExpand
    • ชะลอวัย
    • ยกกระชับผิวExpand
      • XERF
      • Potenza
      • Sofwave
      • Ulthera
      • Thermage-FLX
    • รักษาสิว
    • เลเซอร์
    • โปรแกรมฉีด
    • บำรุงผิว
  • บทความExpand
    • สิว
    • ยกกระชับ
    • ดูแลผิว
    • ทำเลเซอร์
  • ผลิตภัณฑ์ดูแลผิว
  • โปรโมชั่น
  • ผลลัพธ์การรักษา
  • วิดีโอรีวิวจากเคสจริง
  • สาขาของเรา
  • ไทยExpand
    • ไทย
    • English
    • 中文 (中国)
  • ปรึกษาแพทย์
Privato Clinic – Innovation Of Beauty  |  Bangkok
Consult a Doctor
Acne

สิวจากไรฝุ่น: สาเหตุ การรักษา และการป้องกัน

Byadmin สิงหาคม 2, 2025
By นายแพทย์เลอพงษ์ กรุดเงิน Updated on สิงหาคม 2, 2025
✦ Medically reviewed by  แพทย์หญิงนัชชนก หุ่นวิจิตร

Table of Contents

Toggle
  • สิวจากไรฝุ่นคืออะไร: เข้าใจลักษณะและอาการ
    • ลักษณะเฉพาะของตุ่มสิวจากไรฝุ่นเป็นอย่างไร?
    • ตำแหน่งใดบนร่างกายที่มักเกิดสิวจากไรฝุ่น?
  • จะวินิจฉัยสิวจากไรฝุ่นแยกจากสิวประเภทอื่นได้อย่างไร?
    • เปรียบเทียบอาการ: สิวจากไรฝุ่น vs สิวฮอร์โมน
    • เปรียบเทียบอาการ: สิวจากไรฝุ่น vs สิวเชื้อรา
  • ไรฝุ่นกระตุ้นให้เกิดสิวจากไรฝุ่นได้อย่างไร?
    • สารก่อภูมิแพ้ในตัวไรฝุ่นส่งผลต่อผิวหนังอย่างไร?
  • วิธีการรักษาสิวจากไรฝุ่นที่ได้ผลจริง
    • การใช้ยาทาเฉพาะที่เพื่อรักษาสิวจากไรฝุ่น
    • การเลือกใช้ผลิตภัณฑ์ดูแลผิวสำหรับผิวแพ้ง่าย
    • การรักษาโดยแพทย์ผิวหนัง: เลเซอร์และหัตถการอื่นๆ
  • จะป้องกันการเกิดสิวจากไรฝุ่นในระยะยาวได้อย่างไร?
    • เทคนิคการทำความสะอาดเพื่อกำจัดไรฝุ่นในที่นอน
    • การเลือกใช้เครื่องนอนและผ้าป้องกันไรฝุ่น
  • อาหารเสริมช่วยลดการอักเสบจากสิวไรฝุ่นได้หรือไม่?
  • เมื่อไหร่ที่ควรไปพบแพทย์เพื่อรักษาสิวจากไรฝุ่น?
  • References
  • Author

สิวจากไรฝุ่นคืออะไร: เข้าใจลักษณะและอาการ

ใบหน้าที่เป็นสิวและรอยแดงจากไรฝุ่น

สิวจากไรฝุ่นคือปฏิกิริยาการอักเสบของผิวหนังที่เกิดจากการแพ้สารก่อภูมิแพ้ในตัวไรฝุ่น ซึ่งมักปรากฏเป็นผื่นแดงคล้ายผื่นแพ้ผิวหนัง (eczema) มากกว่าสิวอุดตันทั่วไป

ลักษณะและอาการที่สำคัญของสิวจากไรฝุ่น ได้แก่:

  • ลักษณะผื่น: เป็นตุ่มแดงเล็กๆ ขนาดสม่ำเสมอกัน อาจมีอาการแห้งหรือเป็นขุย ไม่ใช่สิวอุดตันหัวดำหรือสิวอักเสบที่เป็นหนองลึก
  • ตำแหน่ง: มักเกิดขึ้นบริเวณผิวหนังที่สัมผัสกับไรฝุ่นโดยตรง เช่น ใบหน้า ลำคอ และแขน ซึ่งต่างจากสิวฮอร์โมนที่มักขึ้นบริเวณแนวกราม
  • อาการ: อาจมีอาการคัน และมักจะรู้สึกแย่ที่สุดในตอนเช้าหลังจากนอนหลับบนเครื่องนอนที่มีไรฝุ่น
  • อาการร่วม: มักเกิดร่วมกับอาการภูมิแพ้อื่นๆ เช่น คัดจมูก หรือมีประวัติเป็นโรคผื่นภูมิแพ้ผิวหนัง

ลักษณะเฉพาะของตุ่มสิวจากไรฝุ่นเป็นอย่างไร?

ตุ่มสิวจากไรฝุ่นมักมีลักษณะคล้ายผื่นผิวหนังอักเสบ (Eczema-like rash) คือเป็นตุ่มแดง แห้ง หรือเป็นสะเก็ด และไม่ใช่สิวอุดตันหัวหนองลึกเหมือนสิวทั่วไป

ลักษณะเฉพาะอื่นๆ ของตุ่มสิวจากไรฝุ่น ได้แก่:

  • ตำแหน่ง: มักเกิดขึ้นในบริเวณที่สัมผัสกับไรฝุ่นโดยตรง เช่น ใบหน้า คอ แขน หรือแก้มด้านนอก ซึ่งต่างจากสิวฮอร์โมนที่มักขึ้นบริเวณแนวกราม
  • อาการ: ตุ่มอาจมีอาการคันร่วมกับผิวแห้งหรือลอกเป็นขุย
  • ช่วงเวลา: อาการอาจกำเริบขึ้นข้ามคืนและรู้สึกแย่ที่สุดในตอนเช้าหลังจากสัมผัสกับเครื่องนอนที่มีไรฝุ่น

ตำแหน่งใดบนร่างกายที่มักเกิดสิวจากไรฝุ่น?

สิวจากไรฝุ่นมักเกิดขึ้นใน บริเวณที่ผิวหนังสัมผัสกับไรฝุ่นโดยตรง เช่น ใบหน้า ลำคอ และแขน

ผื่นจากไรฝุ่นมักปรากฏในตำแหน่งที่ผิวหนังสัมผัสกับเครื่องนอนหรือบริเวณที่มีฝุ่นสะสม ซึ่งแตกต่างจากสิวฮอร์โมนที่มักขึ้นบริเวณแนวกราม หรือสิวเชื้อราที่มักพบในบริเวณที่ผิวมันและมีเหงื่อออกมาก เช่น หน้าผาก หน้าอก และหลัง

จะวินิจฉัยสิวจากไรฝุ่นแยกจากสิวประเภทอื่นได้อย่างไร?

การวินิจฉัยสิวจากไรฝุ่นสามารถทำได้โดยสังเกตจากลักษณะและตำแหน่งของผื่นที่ไม่เหมือนสิวทั่วไป โดยมักมีลักษณะเป็นผื่นแดงคล้ายผื่นแพ้ (Eczema) และเกิดขึ้นในบริเวณที่สัมผัสกับฝุ่นโดยตรง เช่น แก้มด้านนอกหรือแขน ซึ่งต่างจากสิวฮอร์โมนหรือสิวเชื้อรา

ความแตกต่างที่สำคัญมีดังนี้:

  • เทียบกับสิวฮอร์โมน (Hormonal Acne): สิวจากไรฝุ่นไม่ขึ้นตามรอบเดือนและมักเป็นผื่นตื้นๆ ในขณะที่สิวฮอร์โมนมักเป็นสิวอักเสบเม็ดใหญ่ เจ็บ และขึ้นตามแนวขากรรไกรในช่วงที่มีรอบเดือน
  • เทียบกับสิวเชื้อรา (Fungal Acne): สิวจากไรฝุ่นอาจมีอาการคันร่วมกับผิวแห้งหรือเป็นขุย ในขณะที่สิวเชื้อรามักมีอาการคันมาก เป็นตุ่มแดงขนาดเท่าๆ กัน และมักขึ้นบริเวณที่มันและมีเหงื่อออกง่าย เช่น หน้าอก หลัง และหน้าผาก
  • อาการร่วม: สิวจากไรฝุ่นมักเกิดร่วมกับอาการภูมิแพ้อื่นๆ เช่น คัดจมูก หรือมีประวัติเป็นโรคผื่นภูมิแพ้ผิวหนัง และอาการอาจแย่ลงในตอนเช้าหลังตื่นนอน

เปรียบเทียบอาการ: สิวจากไรฝุ่น vs สิวฮอร์โมน

สิวจากไรฝุ่นเกิดจากปฏิกิริยาภูมิแพ้ ในขณะที่สิวฮอร์โมนเกิดจากความผันผวนของฮอร์โมน ซึ่งทำให้มีลักษณะ ตำแหน่ง และช่วงเวลาที่เกิดแตกต่างกัน

ลักษณะเปรียบเทียบ สิวจากไรฝุ่น (Dust Mite Acne) สิวฮอร์โมน (Hormonal Acne)
สาเหตุ ปฏิกิริยาต่อสารก่อภูมิแพ้จากไรฝุ่น ความเปลี่ยนแปลงของระดับฮอร์โมน
ตำแหน่งที่พบบ่อย บริเวณที่สัมผัสฝุ่น เช่น แก้มด้านนอก แขน กรอบหน้าส่วนล่าง แนวกราม
ลักษณะสิว ผื่นแดงคล้ายผื่นแพ้ อาจแห้งหรือเป็นขุย ไม่มีหัว สิวอักเสบเม็ดใหญ่เป็นก้อนลึก (Cysts/Nodules) มักมีสิวอุดตันร่วมด้วย
ช่วงเวลาที่เกิด ไม่เป็นไปตามรอบเดือน อาจกำเริบข้ามคืน มักกำเริบเป็นรอบๆ สัมพันธ์กับรอบเดือน
การตอบสนองต่อยา ตอบสนองต่อยาแก้แพ้หรือยาต้านการอักเสบ ตอบสนองต่อยาที่ปรับฮอร์โมน เช่น ยาคุมกำเนิด

เปรียบเทียบอาการ: สิวจากไรฝุ่น vs สิวเชื้อรา

สิวจากไรฝุ่นมักเกิดร่วมกับผิวแห้งหรือมีลักษณะคล้ายผื่นแพ้ ในขณะที่สิวเชื้อรามักมีอาการคันมากและมีตุ่มหนองเล็กๆ แม้ว่าทั้งสองชนิดจะปรากฏเป็นตุ่มแดงเล็กๆ ขนาดสม่ำเสมอเหมือนกัน แต่มีความแตกต่างที่สำคัญดังนี้

  • ลักษณะ: สิวจากไรฝุ่นมักมีผิวแห้ง เป็นขุย หรือเป็นผื่นแดงคล้ายผื่นแพ้ (Eczema) ในขณะที่สิวเชื้อรามักมีตุ่มหนองขนาดเล็กอยู่ด้านบนและไม่ค่อยมีลักษณะแห้งหรือเป็นขุย
  • บริเวณที่เกิด: สิวจากไรฝุ่นมักขึ้นในบริเวณที่สัมผัสกับไรฝุ่น เช่น ใบหน้า ลำคอ และแขน ส่วนสิวเชื้อราจะขึ้นในบริเวณที่ผิวมันและมีเหงื่อออกง่าย เช่น หน้าผาก หน้าอก และหลัง
  • อาการคัน: สิวเชื้อรามักมีอาการคันรุนแรงกว่าสิวจากไรฝุ่น
  • อาการร่วม: ผู้ที่เป็นสิวจากไรฝุ่นมักมีอาการภูมิแพ้อื่นๆ ร่วมด้วย เช่น คัดจมูก หรือมีประวัติเป็นโรคผิวหนังอักเสบภูมิแพ้ (Atopic Dermatitis)

ไรฝุ่นกระตุ้นให้เกิดสิวจากไรฝุ่นได้อย่างไร?

ไรฝุ่นกระตุ้นให้เกิดสิวจากไรฝุ่นผ่าน ปฏิกิริยาการแพ้และการอักเสบต่อโปรตีนในมูลและซากของไรฝุ่น ซึ่งทำลายเกราะป้องกันผิวและกระตุ้นระบบภูมิคุ้มกัน

กลไกการเกิดสิวจากไรฝุ่นมีขั้นตอนดังนี้:

  1. การทำลายเกราะป้องกันผิว: โปรตีนก่อภูมิแพ้ของไรฝุ่น (เช่น Der p1 และ Der f1) ซึ่งเป็นเอนไซม์ สามารถย่อยสลายโปรตีนที่เชื่อมเซลล์ผิวหนังเข้าด้วยกัน ทำให้เกราะป้องกันผิวอ่อนแอลงและสารก่อภูมิแพ้แทรกซึมเข้าสู่ผิวได้ง่ายขึ้น
  2. การกระตุ้นระบบภูมิคุ้มกัน: เมื่อสารก่อภูมิแพ้เข้าสู่ผิวหนังในผู้ที่แพ้ ร่างกายจะตอบสนองโดย:
    • ปฏิกิริยาภูมิแพ้แบบเฉียบพลัน (Type I): กระตุ้นเซลล์แมสต์ (Mast cells) ให้หลั่งฮีสตามีนและสารอักเสบอื่นๆ ทำให้เกิดอาการบวม แดง และคันอย่างรวดเร็ว
    • ปฏิกิริยาภูมิแพ้แบบช้า (Type IV): เกี่ยวข้องกับเซลล์ T และไซโตไคน์ (cytokines) ที่ทำให้การอักเสบคงอยู่เป็นเวลาหลายชั่วโมงถึงหลายวัน ส่งผลให้เกิดตุ่มแดงคล้ายสิวหรือผื่นผิวหนังอักเสบ (eczema) ในที่สุด

สารก่อภูมิแพ้ในตัวไรฝุ่นส่งผลต่อผิวหนังอย่างไร?

สารก่อภูมิแพ้ในตัวไรฝุ่น ทำลายเกราะป้องกันผิวและกระตุ้นระบบภูมิคุ้มกันให้เกิดการอักเสบ โดยเอนไซม์ที่ไรฝุ่นผลิตขึ้น (เช่น Der p1) จะเข้าไปทำลายโปรตีนที่ทำหน้าที่เป็นเกราะป้องกันผิว ทำให้สารก่อภูมิแพ้แทรกซึมเข้าไปได้ง่ายขึ้น

เมื่อสารก่อภูมิแพ้เข้าสู่ผิวหนัง จะกระตุ้นให้เซลล์ในระบบภูมิคุ้มกันหลั่งสารฮีสตามีนและสารเคมีอื่นๆ ที่ก่อให้เกิดการอักเสบ ซึ่งนำไปสู่ปฏิกิริยาสองรูปแบบคือ

  • ปฏิกิริยาแบบเฉียบพลัน (Type I): เกิดอาการคัน บวม แดง หรือเป็นตุ่มคล้ายลมพิษภายในไม่กี่นาที
  • ปฏิกิริยาแบบล่าช้า (Type IV): ทำให้เกิดการอักเสบต่อเนื่องนานหลายชั่วโมงหรือหลายวัน กลายเป็นผื่นแดงคล้ายสิวหรือผื่นผิวหนังอักเสบ (Eczema)

วิธีการรักษาสิวจากไรฝุ่นที่ได้ผลจริง

การรักษาสิวจากไรฝุ่นที่ได้ผลจริงคือการผสมผสานระหว่างการลดการสัมผัสสารก่อภูมิแพ้ร่วมกับการใช้ยาเฉพาะที่เพื่อบรรเทาการอักเสบของผิวหนัง แนวทางการรักษาที่สำคัญประกอบด้วย:

  • การควบคุมสภาพแวดล้อม: เป็นหัวใจสำคัญของการรักษาเพื่อลดตัวกระตุ้น โดยเน้นการซักเครื่องนอนด้วยน้ำร้อน (54–60 °C) ทุกสัปดาห์, ใช้เครื่องดูดฝุ่นที่มีแผ่นกรอง HEPA, และควบคุมความชื้นในบ้านให้อยู่ในระดับต่ำกว่า 50%
  • การใช้ยาเฉพาะที่:
    • ยาสเตียรอยด์ชนิดทา: ช่วยลดการอักเสบและผื่นแดงได้อย่างรวดเร็วในระยะสั้น
    • ยากลุ่มแคลซินูริน อินฮิบิเตอร์ (Topical Calcineurin Inhibitors): เช่น Tacrolimus เหมาะสำหรับการควบคุมอาการในระยะยาวโดยไม่มีผลข้างเคียงเหมือนสเตียรอยด์
    • มอยส์เจอไรเซอร์: ช่วยเสริมสร้างเกราะป้องกันผิวให้แข็งแรงและลดการระคายเคือง โดยเลือกสูตรที่ปราศจากน้ำหอมและสารก่อภูมิแพ้
  • การรักษาเสริม:
    • ยาทากลุ่มเรตินอยด์: ช่วยผลัดเซลล์ผิวและลดการอุดตันเมื่อการอักเสบเฉียบพลันลดลงแล้ว
    • อาหารเสริม: เช่น โอเมก้า 3 และซิงค์ (Zinc) อาจช่วยลดการอักเสบจากภายใน
    • เลเซอร์และแสงบำบัด: สามารถใช้เพื่อลดรอยแดงและการอักเสบในกรณีที่ไม่ตอบสนองต่อการรักษาอื่น

ในกรณีที่มีอาการรุนแรง, เรื้อรัง หรือไม่ดีขึ้น ควรปรึกษาแพทย์ผิวหนังเพื่อรับการวินิจฉัยและการรักษาที่เหมาะสมต่อไป

การใช้ยาทาเฉพาะที่เพื่อรักษาสิวจากไรฝุ่น

การรักษาสิวจากไรฝุ่นด้วยยาทาเฉพาะที่ มีหลายทางเลือก ได้แก่ ยาสเตียรอยด์ ยาในกลุ่มแคลซินูรินอินฮิบิเตอร์ ยาปฏิชีวนะ และยาในกลุ่มเรตินอยด์ ซึ่งแต่ละชนิดมีกลไกการออกฤทธิ์และข้อควรระวังที่แตกต่างกัน

  • ยาทาสเตียรอยด์ (Topical Steroids): ช่วยลดการอักเสบคล้ายผื่นแพ้และทำให้ตุ่มยุบลงอย่างรวดเร็ว ควรใช้ชนิดที่มีความแรงต่ำสุดโดยเฉพาะบนใบหน้า และใช้ในระยะเวลาสั้นๆ เพื่อหลีกเลี่ยงผลข้างเคียง เช่น ผิวบาง
  • ยาในกลุ่มแคลซินูรินอินฮิบิเตอร์ (Calcineurin Inhibitors): เช่น Tacrolimus และ Pimecrolimus ช่วยลดรอยแดงและอาการคันเรื้อรังได้อย่างมีประสิทธิภาพโดยไม่มีผลข้างเคียงเหมือนสเตียรอยด์ จึงปลอดภัยสำหรับการใช้ในระยะยาว โดยเฉพาะบริเวณผิวบอบบางอย่างใบหน้าและลำคอ
  • ยาปฏิชีวนะชนิดทา (Topical Antibiotics): เช่น Clindamycin ช่วยยับยั้งการเจริญเติบโตของแบคทีเรียและมีฤทธิ์ต้านการอักเสบเล็กน้อย เหมาะสำหรับใช้ในระยะเวลาจำกัด (8–12 สัปดาห์) เพื่อลดความเสี่ยงการดื้อยา
  • ยาในกลุ่มเรตินอยด์ (Topical Retinoids): เช่น Adapalene เป็นยาเสริมที่ช่วยผลัดเซลล์ผิว ทำให้รูขุมขนไม่อุดตัน และปรับสภาพผิวให้เรียบเนียนขึ้นหลังจากการอักเสบเฉียบพลันลดลงแล้ว ผู้ใช้ควรทาครีมกันแดดเป็นประจำเนื่องจากผิวจะไวต่อแสงมากขึ้น

กลุ่มยาที่แนะนำสำหรับรักษาสิวจากไรฝุ่น

กลุ่มยาที่แนะนำสำหรับรักษาสิวจากไรฝุ่น ได้แก่ ยาสเตียรอยด์ชนิดทา, ยาทากลุ่มแคลซินูริน อินฮิบิเตอร์, ยาปฏิชีวนะชนิดทา และยาทากลุ่มเรตินอยด์ ซึ่งแต่ละกลุ่มมีวัตถุประสงค์การใช้ที่แตกต่างกัน

ยาเหล่านี้มักใช้เพื่อจัดการกับอาการอักเสบและการติดเชื้อที่อาจเกิดขึ้นร่วมด้วย ดังนี้

  • ยาสเตียรอยด์ชนิดทา: ช่วยลดการอักเสบคล้ายผื่นแพ้ ทำให้ตุ่มยุบลงอย่างรวดเร็ว เหมาะสำหรับการใช้ในระยะสั้นๆ
  • ยาทากลุ่มแคลซินูริน อินฮิบิเตอร์ (Topical Calcineurin Inhibitors): เช่น ทาโครลิมัส (Tacrolimus) ช่วยลดรอยแดงและอาการคันเรื้อรังได้อย่างมีประสิทธิภาพ และปลอดภัยสำหรับการใช้ในระยะยาวโดยเฉพาะบริเวณผิวบอบบาง
  • ยาปฏิชีวนะชนิดทา (Topical Antibiotics): เช่น คลินดามัยซิน (Clindamycin) ช่วยควบคุมเชื้อแบคทีเรียที่อาจทำให้เกิดการอักเสบซ้ำซ้อน แต่ควรใช้ในระยะเวลาจำกัดเพื่อป้องกันการดื้อยา
  • ยาทากลุ่มเรตินอยด์ (Topical Retinoids): เช่น อะแดพาลีน (Adapalene) ช่วยเร่งการผลัดเซลล์ผิว ลดการอุดตัน และปรับสภาพผิวให้เรียบเนียนขึ้นหลังจากอาการอักเสบทุเลาลงแล้ว

ข้อควรระวังในการใช้ยารักษาสิวจากไรฝุ่น

ข้อควรระวังในการใช้ยารักษาสิวจากไรฝุ่นจะแตกต่างกันไปตามชนิดของยาที่ใช้ ซึ่งแต่ละกลุ่มมีข้อควรปฏิบัติและผลข้างเคียงที่ต้องพิจารณาดังนี้

  • ยาสเตียรอยด์ชนิดทา: ควรใช้ความแรงต่ำสุดที่ได้ผล โดยเฉพาะบนใบหน้า และจำกัดการใช้ในระยะยาวเพื่อหลีกเลี่ยงผลข้างเคียง เช่น ผิวบาง เส้นเลือดฝอยขยาย หรือเกิดสิวจากสเตียรอยด์
  • ยากลุ่ม Calcineurin Inhibitors: อาจทำให้รู้สึกแสบร้อนบนผิวหนังในช่วงแรกที่ใช้ และควรหลีกเลี่ยงการทาบริเวณผิวหนังที่มีการติดเชื้อ
  • ยาปฏิชีวนะชนิดทา: ควรใช้ในระยะเวลาจำกัด (ประมาณ 8–12 สัปดาห์) เพื่อลดความเสี่ยงในการเกิดเชื้อแบคทีเรียดื้อยา
  • ยากลุ่มเรตินอยด์: มักทำให้ผิวแห้ง ลอก แดง และไวต่อแสงในช่วงแรก จึงควรเริ่มใช้ในปริมาณน้อย ทาเฉพาะตอนกลางคืน ควบคู่กับการใช้มอยส์เจอไรเซอร์และครีมกันแดดเสมอ และเป็นยาที่ห้ามใช้ในหญิงตั้งครรภ์

การเลือกใช้ผลิตภัณฑ์ดูแลผิวสำหรับผิวแพ้ง่าย

ควรเลือกใช้ผลิตภัณฑ์ที่อ่อนโยน ช่วยเสริมสร้างเกราะป้องกันผิว และปราศจากสารก่อการระคายเคือง โดยเน้นผลิตภัณฑ์ที่ให้ความชุ่มชื้นและมีส่วนผสมที่ช่วยลดการอักเสบ

หลักการเลือกผลิตภัณฑ์มีดังนี้:

  • มอยส์เจอไรเซอร์: เลือกใช้มอยส์เจอไรเซอร์ที่เน้นให้ความชุ่มชื้นและซ่อมแซมผิว ซึ่งมีส่วนผสม เช่น เซราไมด์ (ceramides), กลีเซอรีน (glycerin), หรือกรดไฮยาลูโรนิก (hyaluronic acid) และควรมีป้ายระบุว่า “hypoallergenic” (สำหรับผิวแพ้ง่าย) และปราศจากน้ำหอมและสี
  • ส่วนผสมที่เป็นประโยชน์: มองหาส่วนผสม เช่น ไนอะซินาไมด์ (niacinamide) หรือวิตามินบี 3 ซึ่งมีคุณสมบัติต้านการอักเสบและช่วยเสริมสร้างเกราะป้องกันไขมันของผิว
  • ส่วนผสมที่ควรหลีกเลี่ยง: ควรหลีกเลี่ยงผลิตภัณฑ์ที่มีส่วนผสมที่อาจก่อให้เกิดการระคายเคืองได้ง่าย เช่น ลาโนลิน (lanolin), สารกันบูดที่ปล่อยฟอร์มาลดีไฮด์, น้ำมันหอมระเหย และแอลกอฮอล์ความเข้มข้นสูง
  • ครีมกันแดด: ควรใช้ครีมกันแดดสำหรับผิวแพ้ง่ายทุกวัน โดยเฉพาะชนิดมิเนอรัล (mineral sunscreen) ที่มีส่วนผสมของซิงค์ออกไซด์ (zinc oxide) เนื่องจากเกราะป้องกันผิวที่อ่อนแอจะไวต่อความเสียหายจากรังสียูวีมากขึ้น

การรักษาโดยแพทย์ผิวหนัง: เลเซอร์และหัตถการอื่นๆ

เลเซอร์และการบำบัดด้วยแสงเป็นวิธีการรักษาเสริมที่มีประสิทธิภาพในการลดการอักเสบ รอยแดง และรอยแผลเป็นที่เกิดจากสิวไรฝุ่น แต่ไม่ได้ใช้ทดแทนการรักษาหลัก เช่น การใช้ยาและการควบคุมสิ่งแวดล้อม

แพทย์ผิวหนังอาจพิจารณาใช้หัตถการต่างๆ เพื่อช่วยเสริมการรักษา ดังนี้:

  • การบำบัดด้วยแสง (Phototherapy):
    • แสง LED (สีฟ้าและสีแดง): แสงสีฟ้าช่วยกำจัดแบคทีเรีย ในขณะที่แสงสีแดงช่วยลดการอักเสบ
    • NB-UVB: เป็นการฉายแสงอัลตราไวโอเลตเพื่อลดอาการคันและรอยแดงในกรณีที่เป็นปานกลางถึงรุนแรง
  • การรักษาด้วยเลเซอร์ (Laser Treatments):
    • Pulsed-Dye Laser (PDL): ช่วยลดรอยแดงที่เกิดจากเส้นเลือดฝอย
    • Fractional หรือ Erbium Laser: ใช้เพื่อปรับสภาพผิวและรักษารอยแผลเป็นหลังจากที่การอักเสบหายดีแล้ว
    • Excimer Laser: ใช้แสงยูวีพลังงานสูงรักษาผื่นผิวหนังอักเสบเฉพาะจุด

โดยทั่วไปแล้ว การรักษาเหล่านี้จะถูกพิจารณาเมื่อการรักษาด้วยวิธีมาตรฐานยังไม่ได้ผลดีเท่าที่ควร และต้องทำโดยแพทย์ผู้เชี่ยวชาญ

จะป้องกันการเกิดสิวจากไรฝุ่นในระยะยาวได้อย่างไร?

การป้องกันสิวจากไรฝุ่นในระยะยาวทำได้โดยการลดการสัมผัสสารก่อภูมิแพ้ในสภาพแวดล้อมและเสริมสร้างเกราะป้องกันผิวให้แข็งแรง ซึ่งสามารถทำได้ผ่านการควบคุมสภาพแวดล้อมในที่อยู่อาศัยและการดูแลผิวอย่างสม่ำเสมอ

วิธีการหลักๆ ในการป้องกันระยะยาว ได้แก่:

  • ควบคุมสภาพแวดล้อม:
    • ซักเครื่องนอนในน้ำร้อน: ซักผ้าปูที่นอน ปลอกหมอน และผ้าห่มทุกสัปดาห์ในน้ำร้อน (อุณหภูมิ 54–60 °C) เพื่อฆ่าไรฝุ่น
    • ใช้ผ้าคลุมกันไรฝุ่น: คลุมหมอนและที่นอนด้วยผ้าคลุมกันไรฝุ่นโดยเฉพาะ
    • ควบคุมความชื้น: ใช้เครื่องลดความชื้นหรือเครื่องปรับอากาศเพื่อรักษาความชื้นสัมพัทธ์ในห้องให้ต่ำกว่า 50%
    • ทำความสะอาดเป็นประจำ: ดูดฝุ่นด้วยเครื่องดูดฝุ่นที่มีแผ่นกรอง HEPA และเช็ดฝุ่นด้วยผ้าชุบน้ำหมาดๆ เพื่อป้องกันการฟุ้งกระจาย
  • ดูแลผิวหนัง:
    • เสริมสร้างเกราะป้องกันผิว: ใช้มอยส์เจอไรเซอร์ที่อ่อนโยนและปราศจากน้ำหอมเป็นประจำเพื่อช่วยให้ผิวแข็งแรงและลดการระคายเคือง
  • ปรึกษาแพทย์:
    • พิจารณาการรักษาเพิ่มเติม: สำหรับผู้ที่มีอาการรุนแรงหรือเรื้อรัง แพทย์อาจแนะนำการรักษาเพื่อควบคุมอาการในระยะยาว เช่น การใช้ยาเฉพาะที่กลุ่มที่ไม่ใช่สเตียรอยด์ หรือการทำภูมิคุ้มกันบำบัด (allergy shots)

เทคนิคการทำความสะอาดเพื่อกำจัดไรฝุ่นในที่นอน

เทคนิคหลักในการกำจัดไรฝุ่นในที่นอนคือการซักเครื่องนอนด้วยน้ำร้อนเป็นประจำทุกสัปดาห์ โดยควรใช้น้ำร้อนอุณหภูมิอย่างน้อย 54–60 °C (130–140 °F) เพื่อฆ่าไรฝุ่นและกำจัดสารก่อภูมิแพ้ หลังจากซักแล้ว ควรนำไปอบด้วยความร้อนสูงหรือตากแดดเพื่อช่วยกำจัดไรฝุ่นที่อาจหลงเหลืออยู่

การเลือกใช้เครื่องนอนและผ้าป้องกันไรฝุ่น

ควรซักเครื่องนอนทั้งหมดทุกสัปดาห์ในน้ำร้อนและใช้ผ้าคลุมกันไรฝุ่นสำหรับที่นอนและหมอน การซักผ้าปูที่นอน ปลอกหมอน และผ้าห่มในน้ำร้อน (อย่างน้อย 54–60 °C หรือ 130–140 °F) จะช่วยฆ่าไรฝุ่นและกำจัดสารก่อภูมิแพ้ได้ หลังจากซักแล้ว การอบด้วยความร้อนสูงหรือนำไปตากแดดจะช่วยกำจัดไรฝุ่นที่อาจหลงเหลืออยู่ได้ดียิ่งขึ้น

อาหารเสริมช่วยลดการอักเสบจากสิวไรฝุ่นได้หรือไม่?

ใช่ อาหารเสริมบางชนิดสามารถช่วยลดการอักเสบของผิวหนังจากภายในได้ โดยงานวิจัยชี้ว่าอาหารเสริมต่อไปนี้อาจมีประโยชน์

  • โอเมก้า 3 (Omega-3): มีคุณสมบัติต้านการอักเสบที่โดดเด่น โดยช่วยปรับการสร้างสารที่ก่อให้เกิดการอักเสบในร่างกายให้น้อยลง
  • ซิงค์ (Zinc): มีฤทธิ์ต้านเชื้อแบคทีเรียและต้านการอักเสบ และอาจช่วยลดการหลั่งไขมันบนผิวหนังได้
  • โพรไบโอติกส์ (Probiotics): อาจช่วยปรับสมดุลของระบบภูมิคุ้มกันโดยการเพิ่มสัญญาณต้านการอักเสบ ซึ่งอาจช่วยลดความรุนแรงของปฏิกิริยาทางผิวหนังได้

เมื่อไหร่ที่ควรไปพบแพทย์เพื่อรักษาสิวจากไรฝุ่น?

ควรไปพบแพทย์เมื่อผื่นสิวจากไรฝุ่นมีอาการรุนแรง เป็นวงกว้าง ไม่ดีขึ้นหลังการดูแลเบื้องต้น หรือมีอาการต่อเนื่องนานกว่า 10-14 วัน นอกจากนี้ ควรปรึกษาแพทย์หากมีอาการดังต่อไปนี้

  • มีสัญญาณของการติดเชื้อ: เช่น ผื่นแดงขึ้น ร้อน มีหนองไหล หรือมีไข้
  • มีอาการภูมิแพ้อื่นๆ ร่วมด้วย: เช่น อาการของโรคจมูกอักเสบจากภูมิแพ้ หรือโรคหอบหืด (แน่นหน้าอก หายใจมีเสียงหวีด)
  • ผื่นส่งผลกระทบต่อคุณภาพชีวิต: เช่น ทำให้เกิดความเจ็บปวดอย่างมาก เสี่ยงต่อการเกิดแผลเป็น หรือส่งผลกระทบทางด้านจิตใจ
  • ต้องการการวินิจฉัยที่ถูกต้อง: เพื่อแยกโรคออกจากภาวะอื่น เช่น สิวจากเชื้อรา และรับการรักษาที่เหมาะสม

References

  • Healthline – healthline.com

  • Mayo Clinic – mayoclinic.org

  • MDPI (Multidisciplinary Digital Publishing Institute) – mdpi.com

  • Medical News Today – medicalnewstoday.com

  • National Eczema Association – nationaleczema.org

  • UK National Health Service – nhs.uk

  • National Institutes of Health – nih.gov

  • The Pharmaceutical Journal – pharmaceutical-journal.com

Author

  • นายแพทย์พนิต อุนรัตน์
    นายแพทย์พนิต อุนรัตน์

    View all posts

แนะแนวเรื่อง

Previous Previous
สิวจากความเครียด: สาเหตุ กลไก และวิธีจัดการ
NextContinue
สิวจากเครื่องสำอาง: สาเหตุ การรักษา และการป้องกัน

Product Type

  • Acne Care - รักษาสิว22 สินค้า
  • Brightening - ผิวกระจ่างใส22 สินค้า
  • Dark Spot Reduction - ลดจุดด่างดำ22 สินค้า
  • Red or Dark Spots - รอยสิว11 สินค้า
  • Skin Cleansing - ทำความสะอาดผิว33 สินค้า
  • Skin Hydration - ความชุ่มชื่นผิว22 สินค้า
  • Skin Mask - มาร์สผิว22 สินค้า
  • Sun Protection - กันแดด22 สินค้า
  • Travel Size - ขนาดพกพา66 สินค้า

สาขาพรีวาโต คลินิก

    สาขาอโศก ตั้งอยู่ที่ ชั้น 2 อาคารมิดทาวน์
    Phone: 02-258-4050 , 081-841-5075
    สาขาสีลม ตั้งอยู่ที่ ชั้น 1 อาคารซี.พี.ทาวเวอร์
    Phone: 02-780-2011 , 098-272-5244
    สาขาราชพฤกษ์ ตั้งอยู่ที่ ชั้น 2 ศูนย์การค้า เดอะคริสตัล เอสบี (ด้านบนร้านสตาร์บัคส์)
    Phone: 02-102-2778 , 098-272-5244

ติดต่อเรา

    Facebook: Privato Clinic
    Messenger: Privato Clinic
    Instagram: privatoclinic
    Email: privatoclinic@gmail.com
    Line: @privatoclinic

Copyright© 2022-2024. All Rights Reserved

Scroll to top
  • หน้าหลัก
  • เกี่ยวกับพรีวาโต
  • บริการทั้งหมด
    • ชะลอวัย
    • ยกกระชับผิว
      • XERF
      • Potenza
      • Sofwave
      • Ulthera
      • Thermage-FLX
    • รักษาสิว
    • เลเซอร์
    • โปรแกรมฉีด
    • บำรุงผิว
  • บทความ
    • สิว
    • ยกกระชับ
    • ดูแลผิว
    • ทำเลเซอร์
  • ผลิตภัณฑ์ดูแลผิว
  • โปรโมชั่น
  • ผลลัพธ์การรักษา
  • วิดีโอรีวิวจากเคสจริง
  • สาขาของเรา
  • ไทย
    • ไทย
    • English
    • 中文 (中国)
  • ปรึกษาแพทย์
Facebook Instagram YouTube