Skip to content

TEL : 081-841-5075, 02-258-4050

Facebook Instagram YouTube
Privato Clinic – Innovation Of Beauty  |  Bangkok
  • หน้าหลัก
  • เกี่ยวกับพรีวาโต
  • บริการทั้งหมดExpand
    • ชะลอวัย
    • ยกกระชับผิวExpand
      • XERF
      • Potenza
      • Sofwave
      • Ulthera
      • Thermage-FLX
    • รักษาสิว
    • เลเซอร์
    • โปรแกรมฉีด
    • บำรุงผิว
  • บทความExpand
    • สิว
    • ยกกระชับ
    • ดูแลผิว
    • ทำเลเซอร์
  • ผลิตภัณฑ์ดูแลผิว
  • โปรโมชั่น
  • ผลลัพธ์การรักษา
  • วิดีโอรีวิวจากเคสจริง
  • สาขาของเรา
  • ไทยExpand
    • ไทย
    • English
    • 中文 (中国)
  • ปรึกษาแพทย์
Privato Clinic – Innovation Of Beauty  |  Bangkok
Consult a Doctor
Acne

สิวที่หลัง: สาเหตุ การรักษา และการป้องกัน

Byadmin สิงหาคม 1, 2025กันยายน 7, 2025
By นายแพทย์เลอพงษ์ กรุดเงิน Updated on กันยายน 7, 2025
✦ Medically reviewed by  แพทย์หญิงนัชชนก หุ่นวิจิตร

Table of Contents

Toggle
  • สิวที่หลังเกิดจากอะไร? 5 สาเหตุหลักที่พบบ่อย
    • 1. การอุดตันของรูขุมขนจากเซลล์ผิวและไขมัน
    • 2. ฮอร์โมนที่เปลี่ยนแปลงในร่างกาย
    • 3. การเสียดสีจากเสื้อผ้าและเหงื่อ
    • 4. ผลิตภัณฑ์ดูแลผิวที่ก่อให้เกิดการระคายเคือง
    • 5. ปัจจัยทางพันธุกรรมและพฤติกรรมการใช้ชีวิต
  • 7 วิธีรักษาสิวที่หลังด้วยตัวเองให้ได้ผลจริง
    • ขั้นตอนที่ 1: ทำความสะอาดแผ่นหลังอย่างถูกวิธี
    • ขั้นตอนที่ 2: เลือกใช้ผลิตภัณฑ์สำหรับรักษาสิวที่หลังโดยเฉพาะ
    • ขั้นตอนที่ 3: สวมใส่เสื้อผ้าที่ระบายอากาศได้ดี
    • ขั้นตอนที่ 4: หลีกเลี่ยงการบีบหรือแกะสิว
    • ขั้นตอนที่ 5: ซักทำความสะอาดผ้าปูที่นอนเป็นประจำ
    • ขั้นตอนที่ 6: ปรับพฤติกรรมการกินเพื่อลดการอักเสบ
    • ขั้นตอนที่ 7: จัดการความเครียดและการพักผ่อนให้เพียงพอ
  • สิวที่หลังมีกี่ประเภท และแต่ละแบบรักษายังไง?
    • สิวอุดตัน (Comedones)
    • สิวอักเสบ (Inflammatory Acne)
    • สิวจากเชื้อรา (Fungal Acne)
  • แนะนำ 5 ผลิตภัณฑ์สำหรับรักษาสิวที่หลัง (สบู่ ครีม สเปรย์)
    • สบู่รักษาสิวที่หลัง
    • ครีมและยาทาเพื่อรักษาสิวที่หลัง
    • สเปรย์ฉีดสิวที่หลัง
  • จะรักษารอยสิวที่หลังได้อย่างไร?
    • การใช้ผลิตภัณฑ์ลดรอยดำและรอยแดง
    • การทำเลเซอร์เพื่อรักษารอยสิวที่หลัง
    • วิธีรักษารอยสิวที่หลังด้วยวิธีธรรมชาติ
  • การรักษาสิวที่หลังโดยแพทย์ผิวหนังมีวิธีใดบ้าง?
    • การใช้ยารับประทานและยาทา
    • การกดสิวอุดตันโดยผู้เชี่ยวชาญ
    • การฉีดสิวอักเสบให้ยุบ
  • เคล็ดลับป้องกันไม่ให้สิวที่หลังกลับมาเป็นซ้ำ
  • References
  • Author

สิวที่หลังเกิดจากอะไร? 5 สาเหตุหลักที่พบบ่อย

สิวที่หลัง สาเหตุ การป้องกันที่ถูกวิธี

1. การอุดตันของรูขุมขนจากเซลล์ผิวและไขมัน

สิวอุดตัน (Comedonal acne) คือสิวที่เกิดจากการอุดตันของรูขุมขนที่ไม่เกิดการอักเสบ ซึ่งปรากฏในรูปแบบของสิวหัวขาว (comedones แบบปิด) หรือสิวหัวดำ (comedones แบบเปิด) สิวหัวขาวคือตุ่มเล็กๆ ที่มีเคราตินและไขมันอุดตันอยู่ภายใน ในขณะที่สิวหัวดำจะมีช่องเปิดของรูขุมขนที่กว้างขึ้นและมีเศษซากที่ทำปฏิกิริยากับออกซิเจนจนกลายเป็นสีเข้ม

2. ฮอร์โมนที่เปลี่ยนแปลงในร่างกาย

การเปลี่ยนแปลงของฮอร์โมน โดยเฉพาะการเพิ่มขึ้นของฮอร์โมนแอนโดรเจน เป็นปัจจัยสำคัญที่ทำให้เกิดสิวที่หลัง

ฮอร์โมนแอนโดรเจนที่เพิ่มขึ้น (โดยเฉพาะช่วงวัยรุ่น) จะไปกระตุ้นให้ผนังรูขุมขนหนาขึ้นและเพิ่มการผลิตน้ำมัน ซึ่งเป็นสาเหตุของการเกิดสิว นอกจากนี้ ความเครียดเรื้อรังยังสามารถทำให้สิวแย่ลงได้ เนื่องจากร่างกายจะหลั่งฮอร์โมนคอร์ติซอลและแอนโดรเจนเพิ่มขึ้น ซึ่งส่งผลให้ผลิตน้ำมันมากขึ้นเช่นกัน

3. การเสียดสีจากเสื้อผ้าและเหงื่อ

การเสียดสีและเหงื่อเป็นสาเหตุสำคัญของการเกิดสิวที่หลัง ซึ่งเรียกว่า “acne mechanica” (สิวจากแรงกล) โดยแรงกดและการเสียดสีจากสายกระเป๋าเป้ อุปกรณ์กีฬา หรือเสื้อผ้าที่รัดแน่น ร่วมกับเหงื่อที่สะสม จะทำให้รูขุมขนระคายเคืองและเกิดเป็นสิวขึ้น

นอกจากนี้ สภาพอากาศที่ร้อนชื้นและการสวมใส่เสื้อผ้าที่อับเหงื่อยังเอื้อต่อการเจริญเติบโตของเชื้อยีสต์ ซึ่งเป็นสาเหตุของสิวผด (Malassezia folliculitis) ได้อีกด้วย การอาบน้ำทันทีหลังมีเหงื่อออกจึงเป็นหนึ่งในวิธีป้องกันสิวที่หลังที่มีประสิทธิภาพ

4. ผลิตภัณฑ์ดูแลผิวที่ก่อให้เกิดการระคายเคือง

ผลิตภัณฑ์ดูแลผิวที่อาจทำให้สิวที่หลังแย่ลงได้คือ โลชั่นที่มีส่วนผสมของน้ำมัน ครีมกันแดดที่อุดตันรูขุมขน หรือครีมนวดผมที่ตกค้างอยู่บนหลัง

ผลิตภัณฑ์เหล่านี้สามารถเข้าไปอุดตันรูขุมขนและกระตุ้นให้เกิดสิวได้ ดังนั้นจึงควรเลือกใช้ผลิตภัณฑ์สำหรับผิวกายและครีมกันแดดที่เป็นสูตร “non-comedogenic” (ไม่อุดตันรูขุมขน) และปราศจากน้ำมัน นอกจากนี้ น้ำยาปรับผ้านุ่มที่มีส่วนผสมเข้มข้นก็อาจเป็นอีกสาเหตุหนึ่งที่ทำให้สิวที่หลังกำเริบได้เช่นกัน

5. ปัจจัยทางพันธุกรรมและพฤติกรรมการใช้ชีวิต

ปัจจัยทางพันธุกรรมและพฤติกรรมการใช้ชีวิตมีส่วนทำให้เกิดสิวที่หลังได้ โดยหากมีประวัติคนในครอบครัวเป็นสิว ก็มีแนวโน้มที่จะเป็นสิวได้ง่ายขึ้น นอกจากนี้ พฤติกรรมการใช้ชีวิตบางอย่างยังสามารถกระตุ้นให้สิวรุนแรงขึ้นได้อีกด้วย

  • อาหาร: การรับประทานอาหารที่มีค่าดัชนีน้ำตาลสูง (เช่น ของหวานและคาร์โบไฮเดรตขาว) อาจทำให้น้ำมันบนผิวเพิ่มขึ้นและการอักเสบรุนแรงขึ้น
  • ความเครียด: ความเครียดที่รุนแรงจะเพิ่มระดับฮอร์โมนคอร์ติซอล ซึ่งกระตุ้นการผลิตน้ำมันและการอักเสบ

7 วิธีรักษาสิวที่หลังด้วยตัวเองให้ได้ผลจริง

ขั้นตอนที่ 1: ทำความสะอาดแผ่นหลังอย่างถูกวิธี

ขั้นตอนแรกคือการทำความสะอาดแผ่นหลังอย่างอ่อนโยน โดยหลีกเลี่ยงการใช้ใยบวบ แปรงขัดผิว หรือสครับที่รุนแรงซึ่งอาจทำให้สิวแย่ลง

  • ใช้มือหรือผ้านุ่มๆ: ในการทำความสะอาดแผ่นหลัง
  • อาบน้ำทันที: หลังออกกำลังกายหรือมีเหงื่อออกมาก เพื่อชำระล้างเหงื่อและแบคทีเรีย
  • ซับผิวให้แห้ง: ใช้ผ้าขนหนูสะอาดซับเบาๆ แทนการถูแรงๆ
  • ใช้ผลิตภัณฑ์ที่เหมาะสม: หากใช้สบู่หรือโฟมล้างหน้าที่มีส่วนผสมของยา เช่น เบนโซอิลเพอร์ออกไซด์ (Benzoyl Peroxide) ควรทิ้งไว้บนผิว 2-5 นาทีก่อนล้างออกเพื่อให้ยาทำงานได้ดีขึ้น

ขั้นตอนที่ 2: เลือกใช้ผลิตภัณฑ์สำหรับรักษาสิวที่หลังโดยเฉพาะ

ขั้นตอนที่ 2 ในการรักษาสิวที่หลังคือ การใช้ผลิตภัณฑ์ที่หาซื้อได้เองซึ่งมีส่วนผสมสำคัญ เช่น เบนโซอิลเพอร์ออกไซด์ (BPO), กรดซาลิไซลิก, อะแดพาลีน และซัลเฟอร์ (กำมะถัน) ผลิตภัณฑ์เหล่านี้ช่วยจัดการกับสิวที่ไม่รุนแรงได้

ผลิตภัณฑ์ที่แนะนำสำหรับใช้รักษาสิวที่หลังด้วยตนเอง ได้แก่:

  • เบนโซอิลเพอร์ออกไซด์ (Benzoyl Peroxide – BPO): ใช้ผลิตภัณฑ์ล้างหน้าหรือครีมอาบน้ำที่มี BPO ความเข้มข้นประมาณ 5% ทิ้งไว้บนผิว 2-5 นาทีก่อนล้างออกเพื่อฆ่าเชื้อแบคทีเรีย
  • กรดซาลิไซลิก (Salicylic Acid): มีในรูปแบบสเปรย์โทนเนอร์หรือแผ่นเช็ดทำความสะอาด ซึ่งช่วยให้ทาบริเวณที่เข้าถึงยากได้ง่ายขึ้น และช่วยสลายสิ่งอุดตันในรูขุมขน
  • อะแดพาลีน (Adapalene): เป็นเรตินอยด์ชนิดทาที่ช่วยป้องกันการอุดตันของรูขุมขน สามารถใช้สลับกับ BPO ได้ เช่น ใช้ BPO ในตอนเช้าและอะแดพาลีนในตอนกลางคืน
  • ซัลเฟอร์ (Sulfur): สบู่ก้อนหรือขี้ผึ้งที่มีส่วนผสมของซัลเฟอร์เป็นอีกทางเลือกสำหรับผู้ที่มีผิวแพ้ง่ายและไม่สามารถทนต่อ BPO ได้ โดยจะช่วยให้สิวแห้งและลดรอยแดง

ขั้นตอนที่ 3: สวมใส่เสื้อผ้าที่ระบายอากาศได้ดี

คุณสามารถจัดการและป้องกันสิวที่หลังได้โดยปฏิบัติตามขั้นตอนด้านสุขอนามัย การดูแลผิว และการใช้ชีวิตประจำวันอย่างสม่ำเสมอ ซึ่งมีขั้นตอนดังนี้

  1. รักษาความสะอาดอย่างถูกวิธี อาบน้ำทันทีหลังออกกำลังกายหรือเมื่อมีเหงื่อออกมากเพื่อชำระล้างเหงื่อและแบคทีเรีย ควรทำความสะอาดอย่างอ่อนโยนด้วยมือหรือผ้านุ่มๆ และหลีกเลี่ยงการขัดถูผิวแรงๆ
  2. เลือกใช้ผลิตภัณฑ์ที่ไม่ก่อให้เกิดการอุดตัน ใช้ผลิตภัณฑ์บำรุงผิวและครีมกันแดดที่ระบุว่า “non-comedogenic” เพื่อหลีกเลี่ยงการอุดตันของรูขุมขน รวมถึงพิจารณาใช้ผงซักฟอกที่อ่อนโยนและปราศจากน้ำหอม
  3. สวมใส่เสื้อผ้าที่เหมาะสมและลดการเสียดสี เลือกเสื้อผ้าที่ระบายอากาศได้ดี ซักชุดออกกำลังกายทุกครั้งหลังใช้ และหลีกเลี่ยงแรงกดทับหรือการเสียดสีจากสายกระเป๋าเป้ซึ่งอาจกระตุ้นให้เกิดสิวได้
  4. หลีกเลี่ยงการแกะหรือบีบสิว การกระทำดังกล่าวอาจทำให้อาการอักเสบแย่ลงและเสี่ยงต่อการเกิดรอยแผลเป็น ควรใช้ยาทาเฉพาะจุด เช่น เบนโซอิลเพอร์ออกไซด์ (benzoyl peroxide) เพื่อช่วยให้สิวยุบลง
  5. ปรับเปลี่ยนพฤติกรรมการใช้ชีวิต จัดการความเครียด พักผ่อนให้เพียงพอ และพิจารณาลดอาหารที่มีน้ำตาลสูง เนื่องจากปัจจัยเหล่านี้สามารถกระตุ้นการผลิตน้ำมันและการอักเสบของผิวได้

ขั้นตอนที่ 4: หลีกเลี่ยงการบีบหรือแกะสิว

การบีบหรือแกะสิวที่หลังอาจทำให้อาการอักเสบรุนแรงขึ้น และเสี่ยงต่อการติดเชื้อหรือเกิดแผลเป็น

การกระทำดังกล่าวอาจดันแบคทีเรียและสิ่งสกปรกลงไปในผิวหนังลึกกว่าเดิม แทนที่จะบีบสิว แนะนำให้ใช้ยาทาเฉพาะจุด เช่น เจลเบนโซอิลเพอร์ออกไซด์ และปล่อยให้สิวหายเองตามธรรมชาติ เนื่องจากการรักษาสิวที่หลังด้วยตนเองเป็นเรื่องยาก การพยายามกดสิวจึงอาจก่อให้เกิดผลเสียมากกว่าผลดี

ขั้นตอนที่ 5: ซักทำความสะอาดผ้าปูที่นอนเป็นประจำ

ควรเปลี่ยนผ้าปูที่นอนเป็นประจำอย่างน้อยสัปดาห์ละครั้ง เพื่อหลีกเลี่ยงการสะสมของเหงื่อและแบคทีเรียในบริเวณที่หลังของคุณสัมผัส นอกจากนี้ ควรพิจารณาใช้ผลิตภัณฑ์ซักผ้าที่อ่อนโยนและปราศจากน้ำหอม และอาจข้ามการใช้น้ำยาปรับผ้านุ่มไปก่อน เนื่องจากสารตกค้างอาจกระตุ้นให้เกิดสิวที่ลำตัวได้

ขั้นตอนที่ 6: ปรับพฤติกรรมการกินเพื่อลดการอักเสบ

การปรับเปลี่ยนพฤติกรรมการกินสามารถช่วยลดสิวที่หลังได้ โดยเน้นการลดอาหารที่กระตุ้นการอักเสบและเพิ่มสารอาหารที่ช่วยฟื้นฟูผิว

การปรับเปลี่ยนที่แนะนำมีดังนี้:

  • ลด: ของว่างที่มีน้ำตาลสูง, คาร์โบไฮเดรตขัดขาว, นมพร่องมันเนย และผลิตภัณฑ์เวย์โปรตีน
  • เพิ่ม: อาหารที่มีโอเมก้า 3, สารต้านอนุมูลอิสระ (จากผักและผลไม้) และโปรตีนเพื่อช่วยในการซ่อมแซมผิว
  • ดื่มน้ำ: การดื่มน้ำให้เพียงพอเป็นสิ่งสำคัญเพื่อช่วยให้ผิวมีความสมดุล

ขั้นตอนที่ 7: จัดการความเครียดและการพักผ่อนให้เพียงพอ

การจัดการความเครียดและการพักผ่อนให้เพียงพอเป็นสิ่งสำคัญ เนื่องจากความเครียดเรื้อรังสามารถทำให้สิวที่หลังแย่ลงได้โดยการเพิ่มระดับฮอร์โมนคอร์ติซอลและแอนโดรเจน ซึ่งจะไปกระตุ้นการผลิตน้ำมันบนผิวหนัง

เทคนิคต่างๆ เช่น การนอนหลับให้เพียงพอ การออกกำลังกาย การทำสมาธิ หรือโยคะ สามารถช่วยควบคุมความเครียดได้ ผู้ป่วยจำนวนมากสังเกตเห็นว่าสิวลดลงเมื่อให้ความสำคัญกับการคลายความเครียดและตารางการนอนที่สม่ำเสมอ

สิวที่หลังมีกี่ประเภท และแต่ละแบบรักษายังไง?

สิวที่หลังมี 3 ประเภทหลัก ได้แก่ สิวอุดตัน สิวอักเสบ และสิวจากเชื้อรา ซึ่งแต่ละประเภทมีลักษณะและการรักษาที่แตกต่างกัน

  • สิวอุดตัน (Comedonal Acne): เป็นสิวที่ไม่อักเสบ มีลักษณะเป็นสิวหัวขาวและสิวหัวดำ ทำให้ผิวรู้สึกขรุขระแต่ไม่เจ็บ
  • การรักษา: ใช้ผลิตภัณฑ์ที่ช่วยผลัดเซลล์ผิว เช่น ยาทากลุ่มเรตินอยด์ (Retinoids) หรือผลิตภัณฑ์ล้างหน้าที่มีกรดซาลิไซลิก (Salicylic Acid) เพื่อช่วยสลายสิ่งอุดตัน
  • สิวอักเสบ (Inflammatory Acne): เกิดจากการติดเชื้อแบคทีเรียในรูขุมขน ทำให้เกิดตุ่มแดงเจ็บ (Papules) และตุ่มหนอง (Pustules)
  • การรักษา: เน้นการลดเชื้อแบคทีเรียและการอักเสบ โดยใช้เบนโซอิลเพอร์ออกไซด์ (Benzoyl Peroxide) หรือยาปฏิชีวนะชนิดทา ในกรณีที่รุนแรงอาจต้องใช้ยาปฏิชีวนะชนิดรับประทานหรือไอโซเตรติโนอิน (Isotretinoin)
  • สิวจากเชื้อรา (Fungal Acne): เกิดจากเชื้อยีสต์เจริญเติบโตมากผิดปกติในรูขุมขน มีลักษณะเป็นตุ่มเล็กๆ ขนาดเท่าๆ กันจำนวนมาก และมักมีอาการคัน
  • การรักษา: ใช้ยาต้านเชื้อรา เช่น แชมพูหรือสบู่ยาที่มีส่วนผสมของคีโตโคนาโซล (Ketoconazole) หรือซิงค์ ไพริไธโอน (Zinc Pyrithione) หากเป็นมากอาจต้องใช้ยาต้านเชื้อราชนิดรับประทาน

สิวอุดตัน (Comedones)

สิวอุดตัน (Comedonal acne) คือสิวที่เกิดจากการอุดตันในรูขุมขนและไม่มีการอักเสบ โดยมีลักษณะเป็นสิวหัวขาว (สิวอุดตันหัวปิด) หรือสิวหัวดำ (สิวอุดตันหัวเปิด)

สิวหัวขาวเกิดจากเคราตินและไขมันที่อุดตันอยู่ภายในรูขุมขนที่ปิดสนิท ส่วนสิวหัวดำเกิดจากรูขุมขนที่เปิดออก ทำให้สิ่งที่อุดตันอยู่ภายในสัมผัสกับอากาศและเกิดปฏิกิริยาออกซิเดชันจนกลายเป็นสีดำ สิวประเภทนี้มักทำให้ผิวรู้สึกขรุขระแต่ไม่มีอาการเจ็บ

สิวหัวดำ (Blackheads) คืออะไร?

สิวหัวดำคือสิวอุดตันชนิดหนึ่งที่ไม่เกิดการอักเสบ หรือที่เรียกว่าสิวหัวเปิด (open comedones) ซึ่งมีลักษณะเป็นรูขุมขนที่ขยายกว้างออก โดยมีเศษซากเคราตินและน้ำมันที่ทำปฏิกิริยากับออกซิเจนจนกลายเป็นสีดำที่ปลาย

สิวหัวขาว (Whiteheads) แตกต่างกันอย่างไร?

สิวหัวขาวคือสิวอุดตันหัวปิด (closed comedones) ในขณะที่สิวหัวดำคือสิวอุดตันหัวเปิด (open comedones) สิวหัวขาวเป็นตุ่มเล็กๆ ที่มีเคราตินและน้ำมันอุดตันอยู่ภายใน ส่วนสิวหัวดำจะมีรูขุมขนที่เปิดกว้าง ทำให้สิ่งอุดตันทำปฏิกิริยากับออกซิเจนและกลายเป็นสีดำ

สิวอักเสบ (Inflammatory Acne)

สิวอักเสบคือตุ่มและสิวที่แดงและเจ็บปวดซึ่งเกิดจากแบคทีเรียและปฏิกิริยาของภูมิคุ้มกันในรูขุมขนที่อุดตัน สิวประเภทนี้รวมถึงตุ่มแดง (papules) และตุ่มหนอง (pustules) ไปจนถึงก้อนนูนและซีสต์ในกรณีที่รุนแรง การรักษามุ่งเน้นไปที่การลดแบคทีเรียและการอักเสบ โดยใช้ส่วนผสมที่หาซื้อได้เองอย่างเบนโซอิลเพอร์ออกไซด์ (BPO) หรือยาที่แพทย์สั่ง เช่น ยาปฏิชีวนะชนิดทาหรือเรตินอยด์สำหรับกรณีปานกลาง และยาปฏิชีวนะชนิดรับประทานหรือไอโซเตรติโนอินสำหรับกรณีที่รุนแรงมาก

สิวตุ่มแดง (Papules) และสิวหัวหนอง (Pustules)

สิวตุ่มแดง (Papules) และสิวหัวหนอง (Pustules) เป็นสิวอักเสบที่เกิดจากแบคทีเรียและปฏิกิริยาของภูมิคุ้มกันในรูขุมขนที่อุดตัน

สิวตุ่มแดงคือตุ่มแดงที่เมื่อสัมผัสจะรู้สึกเจ็บ ในขณะที่สิวหัวหนองคือตุ่มที่มีหนองอยู่ข้างใน การรักษาสิวประเภทนี้มุ่งเน้นไปที่การลดแบคทีเรียและการอักเสบ โดยมักใช้ส่วนผสมอย่างเบนโซอิลเปอร์ออกไซด์ (Benzoyl Peroxide)

สิวหัวช้าง หรือ สิวซีสต์ (Nodules/Cysts)

สิวหัวช้างหรือสิวซีสต์ (Nodules/Cysts) คือสิวอักเสบชนิดรุนแรงที่มีลักษณะเป็นตุ่มแดงขนาดใหญ่และเจ็บปวด ซึ่งเกิดจากแบคทีเรียและปฏิกิริยาของภูมิคุ้มกันในรูขุมขนที่อุดตันอยู่ลึกใต้ผิวหนัง

เนื่องจากเป็นสิวที่มีความรุนแรงและอยู่ลึก การรักษาจึงมักต้องใช้ยารับประทาน เช่น ยาปฏิชีวนะหรือไอโซเตรติโนอิน (isotretinoin) ในบางกรณีแพทย์อาจพิจารณาการรักษาเฉพาะที่ เช่น การฉีดสเตียรอยด์เข้าไปในตุ่มสิวโดยตรงเพื่อลดการอักเสบอย่างรวดเร็ว หรือการกรีดและระบายหนองออกเพื่อช่วยให้สิวยุบเร็วขึ้นและป้องกันการเกิดแผลเป็น

สิวจากเชื้อรา (Fungal Acne)

สิวจากเชื้อรา หรือทางการแพทย์เรียกว่า Malassezia folliculitis คือ ผื่นตุ่มเล็กๆ ที่มีลักษณะคล้ายกันและมีอาการคัน ซึ่งเกิดจากการเจริญเติบโตของเชื้อรายีสต์ที่มากเกินไปในรูขุมขน และไม่ใช่สิวอักเสบที่เกิดจากแบคทีเรีย

สิวจากเชื้อรามักพบบริเวณหลังส่วนบน หน้าอก หรือหัวไหล่ โดยมีปัจจัยกระตุ้นจากความร้อน ความชื้น และเหงื่อ อาการคันคือลักษณะเด่นที่ช่วยแยกสิวชนิดนี้ออกจากสิวทั่วไปซึ่งมักไม่มีอาการคัน การรักษาจะใช้ยาต้านเชื้อรา เช่น แชมพูหรือสบู่ที่มีส่วนผสมของคีโตโคนาโซล (ketoconazole) เนื่องจากยารักษาสิวทั่วไปมักไม่ได้ผล

แนะนำ 5 ผลิตภัณฑ์สำหรับรักษาสิวที่หลัง (สบู่ ครีม สเปรย์)

สบู่รักษาสิวที่หลัง

สบู่ที่ช่วยรักษาสิวที่หลังได้มักมีส่วนผสมของ เบนโซอิลเพอร์ออกไซด์ (Benzoyl Peroxide), กรดซาลิไซลิก (Salicylic Acid) หรือซัลเฟอร์ (Sulfur)

ผลิตภัณฑ์เหล่านี้มีคุณสมบัติแตกต่างกันไป ดังนี้

  • เบนโซอิลเพอร์ออกไซด์ (BPO): เป็นส่วนผสมสำคัญที่หาซื้อได้เอง มีคุณสมบัติฆ่าเชื้อแบคทีเรียที่ก่อให้เกิดสิวและลดการอักเสบ ควรเริ่มใช้ที่ความเข้มข้นประมาณ 5% และทิ้งไว้บนผิว 2-5 นาทีก่อนล้างออก
  • กรดซาลิไซลิก (Salicylic Acid): ช่วยละลายสิ่งที่อุดตันในรูขุมขนและป้องกันการเกิดสิวอุดตันใหม่
  • ซัลเฟอร์ (Sulfur): สบู่ก้อนหรือขี้ผึ้งที่มีส่วนผสมของซัลเฟอร์ 5-10% ช่วยทำให้สิวแห้งและลดรอยแดง มักแนะนำสำหรับผู้ที่มีผิวแพ้ง่ายและไม่สามารถทนต่อ BPO ได้

นอกจากนี้ หากสิวที่หลังเป็นสิวผดจากเชื้อรา (Fungal Acne) ซึ่งมักมีอาการคันร่วมด้วย ควรใช้แชมพูหรือสบู่ต้านเชื้อราที่มีส่วนผสมของคีโตโคนาโซล (ketoconazole) หรือซิงค์ ไพริไธโอน (zinc pyrithione) แทน

ครีมและยาทาเพื่อรักษาสิวที่หลัง

ครีมและยาทาสำหรับรักษาสิวที่หลังมีหลายชนิด ได้แก่ เบนโซอิลเพอร์ออกไซด์ (BPO) กรดซาลิไซลิก เรตินอยด์ ยาปฏิชีวนะเฉพาะที่ กรดอะซีลาอิก และซัลเฟอร์

ผลิตภัณฑ์เหล่านี้มีคุณสมบัติแตกต่างกันไป ดังนี้

  • เบนโซอิลเพอร์ออกไซด์ (Benzoyl Peroxide – BPO): เป็นส่วนผสมสำคัญที่หาซื้อได้เอง ช่วยฆ่าเชื้อแบคทีเรียและลดการอักเสบ มักใช้ในรูปแบบผลิตภัณฑ์ล้างหน้าหรือเจลแต้มสิว
  • กรดซาลิไซลิก (Salicylic Acid): ช่วยผลัดเซลล์ผิวและสลายสิ่งอุดตันในรูขุมขน มีในรูปแบบผลิตภัณฑ์ล้างหน้า โทนเนอร์ หรือแผ่นเช็ดทำความสะอาด
  • เรตินอยด์ (Retinoids): เช่น อะแดพาลีน (adapalene) หรือ ไตรฟาโรทีน (trifarotene) มีประสิทธิภาพสูงในการรักษาสิวอุดตันโดยช่วยให้การผลัดเซลล์ผิวเป็นปกติ
  • ยาปฏิชีวนะชนิดทา (Topical Antibiotics): แพทย์ผิวหนังมักสั่งใช้ร่วมกับ BPO เพื่อรักษาสิวอักเสบระดับปานกลาง
  • กรดอะซีลาอิก (Azelaic Acid): ช่วยลดการอักเสบและแบคทีเรีย ทั้งยังช่วยลดรอยดำหลังสิวหายได้อีกด้วย
  • ซัลเฟอร์ (Sulfur) หรือกำมะถัน: มีคุณสมบัติช่วยให้สิวแห้งและลดรอยแดง มักเป็นทางเลือกสำหรับผู้ที่มีผิวแพ้ง่าย
  • ผลิตภัณฑ์ต้านเชื้อรา (Antifungals): สำหรับสิวที่เกิดจากเชื้อรา (Malassezia folliculitis) จะใช้แชมพูหรือผลิตภัณฑ์ล้างตัวที่มีส่วนผสมของคีโตโคนาโซล (ketoconazole)

สเปรย์ฉีดสิวที่หลัง

สเปรย์โทนเนอร์ที่มีส่วนผสมของกรดซาลิไซลิกสามารถใช้ฉีดบริเวณที่เป็นสิวที่หลังได้โดยตรง

นอกจากนี้ สเปรย์กันแดดก็มีความสะดวกในการใช้กับบริเวณที่เข้าถึงยากเช่นกัน ซึ่งจำเป็นอย่างยิ่งในการป้องกันไม่ให้รอยสิวคล้ำขึ้น โดยเฉพาะเมื่อใช้ยารักษาสิวกลุ่มอื่นร่วมด้วย

จะรักษารอยสิวที่หลังได้อย่างไร?

การรักษารอยสิวที่หลังสามารถทำได้โดยใช้ยาทาเฉพาะที่ การป้องกันแสงแดด และการทำหัตถการโดยผู้เชี่ยวชาญ เนื่องจากผิวหนังบริเวณหลังมีความหนาและผลัดเซลล์ผิวได้ช้ากว่าส่วนอื่น รอยสิวจึงอาจใช้เวลา 6-12 เดือนหรือนานกว่านั้นในการจางลง

กลยุทธ์ในการรักษารอยสิวที่หลังมีดังนี้:

  • การใช้ยาทาเฉพาะที่: ผลิตภัณฑ์ที่มีส่วนผสมซึ่งได้รับการพิสูจน์แล้วว่าช่วยลดรอยสิวได้ ได้แก่
  • เรตินอยด์ (Retinoids): เช่น Adapalene หรือ Tretinoin ช่วยเร่งการผลัดเซลล์ผิว
  • กรดอะซีลาอิก (Azelaic acid): ช่วยลดการอักเสบและรอยดำ
  • ไนอะซินาไมด์ (Niacinamide): ช่วยให้ผิวกระจ่างใสและลดเลือนจุดด่างดำ
  • วิตามินซี (Vitamin C): ช่วยลดการอักเสบและทำให้รอยดำจางลง
  • การป้องกันแสงแดด: การใช้ครีมกันแดดที่มีค่า SPF 30+ ขึ้นไปเป็นประจำ จะช่วยป้องกันไม่ให้รอยสิวมีสีเข้มขึ้นและช่วยให้รอยจางลงได้เร็วขึ้น ครีมกันแดดแบบสเปรย์จะช่วยให้ทาบริเวณหลังได้สะดวก
  • การทำหัตถการโดยผู้เชี่ยวชาญ: หากการรักษาด้วยยาทาไม่ได้ผลดีเท่าที่ควร อาจพิจารณาการลอกผิวด้วยสารเคมี (Chemical peels) โดยแพทย์ผิวหนังเพื่อช่วยเร่งการผลัดเซลล์ผิว

การใช้ผลิตภัณฑ์ลดรอยดำและรอยแดง

ผลิตภัณฑ์ที่ช่วยลดรอยดำและรอยแดงจากสิวที่หลังได้แก่ เรตินอยด์ชนิดทา, กรดอะซีลาอิก, ไนอะซินาไมด์ และวิตามินซี ซึ่งสามารถใช้ทาบริเวณที่เป็นรอยได้วันละ 1-2 ครั้ง

ผลิตภัณฑ์เหล่านี้มีคุณสมบัติดังนี้:

  • เรตินอยด์ชนิดทา (Topical Retinoids): เช่น อะแดพาลีน (Adapalene) หรือเตรติโนอิน (Tretinoin) เป็นหัวใจสำคัญในการรักษาสิวและช่วยลดเลือนรอยสิวโดยการเร่งการผลัดเซลล์ผิว
  • กรดอะซีลาอิก (Azelaic Acid): มีประสิทธิภาพในการลดรอยดำที่เกิดหลังการอักเสบ (Post-Inflammatory Hyperpigmentation)
  • ไนอะซินาไมด์ (Niacinamide): หรือวิตามินบี 3 ที่ความเข้มข้น 4-5% ช่วยให้ผิวกระจ่างใสและลดเลือนรอยดำ
  • วิตามินซี (Vitamin C): ช่วยลดการอักเสบและทำให้รอยดำจางลง

นอกจากนี้ การใช้ครีมกันแดดที่มีค่า SPF 30 ขึ้นไปเป็นประจำจะช่วยป้องกันไม่ให้รอยดำเข้มขึ้นและช่วยให้รอยจางลงได้เร็วขึ้น

การทำเลเซอร์เพื่อรักษารอยสิวที่หลัง

การทำเลเซอร์เป็นหนึ่งในวิธีการรักษารอยแผลเป็นจากสิวที่หลัง และมักใช้ร่วมกับการรักษาอื่นๆ เพื่อให้ได้ผลลัพธ์ที่ดีที่สุด

โดยทั่วไปแล้ว แพทย์ผิวหนังที่เชี่ยวชาญด้านการรักษาแผลเป็นมักจะแนะนำการรักษาแบบผสมผสาน เช่น การทำเลเซอร์ร่วมกับการทำไมโครนีดลิง (microneedling) แม้ว่ารอยแผลเป็นที่หลังจะรักษายากและอาจไม่หายสนิท แต่การรักษาด้วยวิธีที่ทันสมัยสามารถช่วยให้ลักษณะและผิวสัมผัสของรอยแผลเป็นดีขึ้นได้อย่างมาก

วิธีรักษารอยสิวที่หลังด้วยวิธีธรรมชาติ

จากข้อมูลที่ให้มา การใช้ผลิตภัณฑ์ที่มีส่วนผสมของวิตามินซีและไนอะซินาไมด์ (วิตามินบี 3) เป็นวิธีที่ช่วยลดเลือนรอยสิวที่หลังได้ ส่วนผสมเหล่านี้มีหลักฐานทางวิทยาศาสตร์รองรับว่าช่วยให้รอยสิวจางลงได้

  • ไนอะซินาไมด์ (Niacinamide): ความเข้มข้น 4-5% สามารถช่วยปรับสีผิวให้สว่างขึ้นและลดเลือนจุดด่างดำ
  • วิตามินซี (Vitamin C): ช่วยลดการอักเสบและทำให้เม็ดสีจางลง ซึ่งมีประสิทธิภาพในการจัดการกับรอยแดงและรอยดำจากสิว

นอกจากนี้ การป้องกันแสงแดดด้วยการทาครีมกันแดด SPF 30+ เป็นประจำ จะช่วยป้องกันไม่ให้รอยสิวเข้มขึ้นและช่วยให้รอยจางลงได้เร็วขึ้น

การรักษาสิวที่หลังโดยแพทย์ผิวหนังมีวิธีใดบ้าง?

การรักษาสิวที่หลังโดยแพทย์ผิวหนังมีทั้งการใช้ยาทาเฉพาะที่ ยารับประทาน และการทำหัตถการในคลินิก ซึ่งมักจะใช้หลายวิธีร่วมกันเพื่อผลลัพธ์ที่ดีที่สุด

การรักษาโดยแพทย์ผิวหนังแบ่งออกเป็นประเภทต่างๆ ดังนี้

  • ยาทาเฉพาะที่ตามใบสั่งแพทย์:
  • ยาทากลุ่มเรตินอยด์ (Prescription Retinoids): เช่น Trifarotene ซึ่งได้รับการอนุมัติสำหรับรักษาสิวบริเวณลำตัวโดยเฉพาะ
  • ยาปฏิชีวนะชนิดทาและยาอื่นๆ: เช่น ยาแดพโซน (Dapsone) และกรดอะซีลาอิก (Azelaic acid) เพื่อลดการอักเสบและรอยสิว
  • ยารับประทาน:
  • ยาปฏิชีวนะ (Oral Antibiotics): เช่น Doxycycline หรือ Minocycline สำหรับสิวอักเสบระดับปานกลางถึงรุนแรง
  • ยาไอโซเตรติโนอิน (Isotretinoin): เป็นยาที่มีประสิทธิภาพสูงสำหรับสิวที่เป็นก้อนลึก รุนแรง หรือดื้อต่อการรักษาอื่นๆ
  • การรักษาด้วยฮอร์โมน (Hormonal Therapies): เช่น ยาสไปโรโนแลคโตน (Spironolactone) มักใช้ในผู้หญิงที่เป็นสิวจากฮอร์โมน
  • ยาต้านเชื้อรา (Oral Antifungals): ใช้ในกรณีที่สิวเกิดจากเชื้อรา (Fungal acne)
  • หัตถการในคลินิก:
  • การฉีดสเตียรอยด์ (Corticosteroid Injections): เพื่อลดการอักเสบของสิวหัวช้างหรือสิวซีสต์อย่างรวดเร็ว
  • การกดสิวโดยผู้เชี่ยวชาญ (Professional Extractions): เพื่อกำจัดสิวอุดตันอย่างถูกวิธี
  • การกรีดและระบายหนอง (Incision and Drainage): สำหรับฝีสิวขนาดใหญ่ที่ไม่ตอบสนองต่อการรักษาอื่น
  • การบำบัดด้วยแสงและเลเซอร์ (Light and Laser Therapies): อาจใช้เป็นทางเลือกเสริมสำหรับผู้ป่วยบางราย

การใช้ยารับประทานและยาทา

การรักษาสิวที่หลังมีทั้งยาทาและยารับประทาน ซึ่งแพทย์จะเลือกใช้ตามประเภทและความรุนแรงของสิว

ยาทาและยารับประทานที่ใช้รักษาสิวที่หลังโดยทั่วไป ได้แก่

ยาทา (Topical Medications)

  • เบนโซอิลเพอร์ออกไซด์ (Benzoyl Peroxide – BPO): ฆ่าเชื้อแบคทีเรีย C. acnes และลดการอักเสบ
  • กรดซาลิไซลิก (Salicylic Acid): ช่วยละลายสิ่งที่อุดตันในรูขุมขนและป้องกันการเกิดสิวอุดตันใหม่
  • เรตินอยด์ (Retinoids): เช่น Adapalene, Tretinoin และ Trifarotene ช่วยปรับการผลัดเซลล์ผิวให้เป็นปกติและลดการอุดตัน
  • ยาปฏิชีวนะชนิดทา (Topical Antibiotics): มักใช้ร่วมกับ BPO เพื่อจัดการกับเชื้อแบคทีเรีย
  • กรดอะซีลาอิก (Azelaic Acid): ช่วยลดการอักเสบและรอยดำหลังสิวหาย

ยารับประทาน (Oral Medications)

  • ยาปฏิชีวนะ (Antibiotics): เช่น Doxycycline และ Minocycline ใช้สำหรับสิวอักเสบระดับปานกลางถึงรุนแรง โดยจะช่วยยับยั้งการเจริญเติบโตของแบคทีเรียและลดการอักเสบ
  • ไอโสเตรติโนอิน (Isotretinoin): เป็นยารับประทานกลุ่มเรตินอยด์ที่มีประสิทธิภาพสูงสำหรับสิวชนิดรุนแรงหรือสิวซีสต์ แต่ต้องอยู่ภายใต้การดูแลของแพทย์อย่างใกล้ชิด
  • ยาฮอร์โมน (Hormonal Therapies): เช่น Spironolactone ใช้สำหรับสิวในผู้หญิงที่เป็นผู้ใหญ่ โดยออกฤทธิ์ต้านฮอร์โมนแอนโดรเจนซึ่งเป็นสาเหตุหนึ่งของการเกิดสิว
  • ยาต้านเชื้อรา (Oral Antifungals): ใช้ในกรณีที่สิวเกิดจากการติดเชื้อรา (Malassezia folliculitis) ซึ่งยาปฏิชีวนะไม่สามารถรักษาได้

การกดสิวอุดตันโดยผู้เชี่ยวชาญ

การกดสิวอุดตันโดยผู้เชี่ยวชาญสามารถช่วยกำจัดสิวที่อุดตันในรูขุมขนได้ แต่ไม่ได้ป้องกันการเกิดสิวใหม่ การรักษานี้ต้องทำภายใต้สภาวะปลอดเชื้อและด้วยเทคนิคที่เหมาะสมเพื่อหลีกเลี่ยงความเสียหายที่อาจเกิดจากการบีบสิวด้วยตนเอง โดยทั่วไปมักใช้กับสิวที่มีสิวอุดตันเป็นส่วนใหญ่ หรือเมื่อต้องการผลลัพธ์ด้านความงามที่รวดเร็ว และจำเป็นต้องทำควบคู่ไปกับการรักษาทางการแพทย์และการดูแลผิวที่เหมาะสม

การฉีดสิวอักเสบให้ยุบ

การฉีดสเตียรอยด์เข้าที่สิวโดยตรงเป็นการรักษาฉุกเฉินสำหรับสิวอักเสบขนาดใหญ่ เช่น สิวหัวช้าง (nodules) หรือสิวซีสต์ (cysts) ที่ต้องการให้ยุบอย่างรวดเร็ว

การรักษานี้มีประสิทธิภาพสูงในการป้องกันการเกิดแผลเป็นโดยการหยุดการอักเสบตั้งแต่เนิ่นๆ และมักใช้ในกรณีเร่งด่วน เช่น ก่อนไปงานสำคัญ อย่างไรก็ตาม การฉีดสิวควรทำโดยผู้เชี่ยวชาญเท่านั้น เพราะหากใช้มากเกินไปอาจทำให้ผิวหนังบางลงหรือเกิดรอยบุ๋มได้

เคล็ดลับป้องกันไม่ให้สิวที่หลังกลับมาเป็นซ้ำ

เพื่อป้องกันไม่ให้สิวที่หลังกลับมาเป็นซ้ำ ควรดูแลสุขอนามัยอย่างสม่ำเสมอ ใช้ผลิตภัณฑ์ที่เหมาะสม และใช้ยาทาเพื่อควบคุมอาการอย่างต่อเนื่อง แม้ว่าสิวจะดีขึ้นแล้วก็ตาม

เคล็ดลับเพิ่มเติมในการป้องกันสิวที่หลัง ได้แก่:

  • สุขอนามัย: อาบน้ำทันทีหลังเหงื่อออก ซักเสื้อผ้าที่ใช้ในการออกกำลังกายทุกครั้ง และเปลี่ยนผ้าปูที่นอนอย่างน้อยสัปดาห์ละครั้ง
  • หลีกเลี่ยงการระคายเคือง: ลดการเสียดสีจากสายกระเป๋าเป้ ไม่แกะหรือบีบสิว และมัดผมเพื่อไม่ให้เส้นผมและผลิตภัณฑ์บนผมสัมผัสกับแผ่นหลัง
  • ผลิตภัณฑ์ดูแลผิว: ใช้ผลิตภัณฑ์สำหรับผิวกายและครีมกันแดดที่ระบุว่า “non-comedogenic” (ไม่ก่อให้เกิดการอุดตัน) และทาครีมกันแดดเป็นประจำเพื่อป้องกันรอยดำ
  • การรักษาต่อเนื่อง: หากเคยใช้ยารักษาสิว ควรใช้ยาทาเฉพาะที่กลุ่มเรตินอยด์ (เช่น Adapalene) ต่อไปเพื่อป้องกันการอุดตันของรูขุมขน
  • ไลฟ์สไตล์: จัดการความเครียด พิจารณาลดอาหารที่มีน้ำตาลสูง และหลีกเลี่ยงการสูบบุหรี่

References

  • American Academy of Dermatology – aad.org

  • American Academy of Family Physicians – aafp.org

  • American Skin Association – americanskin.org

  • Cleveland Clinic – clevelandclinic.org

  • Curology – curology.com

  • Dermatology Times – dermatologytimes.com

  • DermNet New Zealand – dermnetnz.org

  • Verywell Health – verywellhealth.com

Author

  • นายแพทย์พนิต อุนรัตน์
    นายแพทย์พนิต อุนรัตน์

    View all posts

แนะแนวเรื่อง

Previous Previous
รอยดำจากสิว: สาเหตุ วิธีดูแล และการรักษาที่ได้ผล
NextContinue
สิวที่กราม: สาเหตุ วิธีรักษา และการป้องกัน

Product Type

  • Acne Care - รักษาสิว22 สินค้า
  • Brightening - ผิวกระจ่างใส22 สินค้า
  • Dark Spot Reduction - ลดจุดด่างดำ22 สินค้า
  • Red or Dark Spots - รอยสิว11 สินค้า
  • Skin Cleansing - ทำความสะอาดผิว33 สินค้า
  • Skin Hydration - ความชุ่มชื่นผิว22 สินค้า
  • Skin Mask - มาร์สผิว22 สินค้า
  • Sun Protection - กันแดด22 สินค้า
  • Travel Size - ขนาดพกพา66 สินค้า

สาขาพรีวาโต คลินิก

    สาขาอโศก ตั้งอยู่ที่ ชั้น 2 อาคารมิดทาวน์
    Phone: 02-258-4050 , 081-841-5075
    สาขาสีลม ตั้งอยู่ที่ ชั้น 1 อาคารซี.พี.ทาวเวอร์
    Phone: 02-780-2011 , 098-272-5244
    สาขาราชพฤกษ์ ตั้งอยู่ที่ ชั้น 2 ศูนย์การค้า เดอะคริสตัล เอสบี (ด้านบนร้านสตาร์บัคส์)
    Phone: 02-102-2778 , 098-272-5244

ติดต่อเรา

    Facebook: Privato Clinic
    Messenger: Privato Clinic
    Instagram: privatoclinic
    Email: privatoclinic@gmail.com
    Line: @privatoclinic

Copyright© 2022-2024. All Rights Reserved

Scroll to top
  • หน้าหลัก
  • เกี่ยวกับพรีวาโต
  • บริการทั้งหมด
    • ชะลอวัย
    • ยกกระชับผิว
      • XERF
      • Potenza
      • Sofwave
      • Ulthera
      • Thermage-FLX
    • รักษาสิว
    • เลเซอร์
    • โปรแกรมฉีด
    • บำรุงผิว
  • บทความ
    • สิว
    • ยกกระชับ
    • ดูแลผิว
    • ทำเลเซอร์
  • ผลิตภัณฑ์ดูแลผิว
  • โปรโมชั่น
  • ผลลัพธ์การรักษา
  • วิดีโอรีวิวจากเคสจริง
  • สาขาของเรา
  • ไทย
    • ไทย
    • English
    • 中文 (中国)
  • ปรึกษาแพทย์
Facebook Instagram YouTube