Skip to content

TEL : 081-841-5075, 02-258-4050

Facebook Instagram YouTube
Privato Clinic – Innovation Of Beauty  |  Bangkok
  • หน้าหลัก
  • เกี่ยวกับพรีวาโต
  • บริการทั้งหมดExpand
    • ชะลอวัย
    • ยกกระชับผิวExpand
      • XERF
      • Potenza
      • Sofwave
      • Ulthera
      • Thermage-FLX
    • รักษาสิว
    • เลเซอร์
    • โปรแกรมฉีด
    • บำรุงผิว
  • บทความExpand
    • สิว
    • ยกกระชับ
    • ดูแลผิว
    • ทำเลเซอร์
  • ผลิตภัณฑ์ดูแลผิว
  • โปรโมชั่น
  • ผลลัพธ์การรักษา
  • วิดีโอรีวิวจากเคสจริง
  • สาขาของเรา
  • ไทยExpand
    • ไทย
    • English
    • 中文 (中国)
  • ปรึกษาแพทย์
Privato Clinic – Innovation Of Beauty  |  Bangkok
Consult a Doctor
Acne

รอยดำจากสิว: สาเหตุ วิธีดูแล และการรักษาที่ได้ผล

Byadmin มิถุนายน 19, 2025สิงหาคม 2, 2025
By นายแพทย์เลอพงษ์ กรุดเงิน Updated on สิงหาคม 2, 2025
✦ Medically reviewed by  แพทย์หญิงนัชชนก หุ่นวิจิตร

Table of Contents

Toggle
  • รอยดำจากสิวคืออะไร และเกิดขึ้นจากสาเหตุใด?
    • กลไกอะไรที่ทำให้เกิดรอยดำหลังการอักเสบ?
    • พฤติกรรมอะไรที่กระตุ้นให้เกิดรอยดำจากสิวรุนแรงขึ้น?
  • 5 วิธีลดรอยดำจากสิวที่เห็นผลเร็วที่สุด
    • วิธีที่ 1: การใช้สกินแคร์และยาทาเฉพาะที่
    • วิธีที่ 2: การทำเลเซอร์และหัตถการในคลินิก
    • วิธีที่ 3: การใช้สารผลัดเซลล์ผิว (Chemical Peels)
    • วิธีที่ 4: การรับประทานอาหารเสริมและวิตามิน
    • วิธีที่ 5: การป้องกันด้วยครีมกันแดด
  • รอยดำจากสิวแตกต่างจากรอยแดงและหลุมสิวอย่างไร?
    • การแยกลักษณะรอยดำ (PIH) และรอยแดง (PIE)
    • รอยดำจากสิวสามารถพัฒนาไปเป็นหลุมสิวได้หรือไม่?
  • ส่วนผสมอะไรบ้างในสกินแคร์ที่ช่วยรักษารอยดำจากสิว?
    • กลุ่มส่วนผสมที่ช่วยยับยั้งเม็ดสี
    • กลุ่มส่วนผสมที่ช่วยผลัดเซลล์ผิว
  • การรักษาด้วยเลเซอร์เพื่อลดรอยดำจากสิวมีกี่ประเภท?
    • เลเซอร์กลุ่ม Picosecond (Pico Laser)
    • เลเซอร์กลุ่ม Q-Switched Nd:YAG
    • Intense Pulsed Light (IPL)
  • รอยดำจากสิวใช้เวลารักษานานแค่ไหนกว่าจะหาย?
    • ปัจจัยที่ส่งผลต่อระยะเวลาในการฟื้นฟูผิว
    • ระยะเวลาโดยประมาณสำหรับรอยดำจากสิวแต่ละระดับ
  • คำถามที่พบบ่อยเกี่ยวกับการจัดการรอยดำจากสิว
    • การบีบสิวทำให้เกิดรอยดำจริงหรือไม่?
    • วิธีลดรอยดำจากสิวแบบธรรมชาติได้ผลจริงหรือ?
    • รอยดำจากสิวที่หลังรักษาเหมือนกับที่ใบหน้าได้ไหม?
  • Author

รอยดำจากสิวคืออะไร และเกิดขึ้นจากสาเหตุใด?

รอยดำจากสิว

รอยดำจากสิวคือรอยสีน้ำตาลถึงสีดำที่ปรากฏขึ้นบนผิวหนังหลังจากที่สิวอักเสบได้หายไปแล้ว รอยดำนี้เกิดจากการที่ผิวหนังผลิตเม็ดสีเมลานิน (melanin) ออกมามากเกินไปเพื่อตอบสนองต่อการอักเสบหรือการบาดเจ็บจากสิว ซึ่งเป็นกระบวนการป้องกันตัวเองของผิวหนัง

สาเหตุหลักที่ทำให้รอยดำแย่ลงคือการบีบหรือแกะสิว ซึ่งจะสร้างการบาดเจ็บและการอักเสบเพิ่มเติม ทำให้ผิวหนังตอบสนองด้วยการสร้างเม็ดสีที่เข้มและเป็นวงกว้างขึ้น นอกจากนี้ การสัมผัสแสงแดดโดยไม่ป้องกันยังเป็นปัจจัยสำคัญที่กระตุ้นให้รอยดำที่มีอยู่เข้มขึ้นและหายช้าลง

กลไกอะไรที่ทำให้เกิดรอยดำหลังการอักเสบ?

รอยดำหลังการอักเสบ (Post-Inflammatory Hyperpigmentation หรือ PIH) เกิดจากการที่ผิวหนังผลิตเม็ดสีเมลานิน (melanin) มากเกินไป เพื่อตอบสนองต่อการอักเสบหรือการบาดเจ็บ

กลไกการเกิดรอยดำมี 2 ลักษณะ ขึ้นอยู่กับความลึกของการอักเสบ ดังนี้

  • การอักเสบในชั้นหนังกำพร้า (Epidermis): ทำให้มีการส่งต่อเม็ดสีเมลานินไปยังเซลล์ผิวหนังโดยรอบมากผิดปกติ
  • การอักเสบที่ลึกถึงชั้นฐานของหนังกำพร้า (Basal Layer): ทำให้เม็ดสีรั่วไหลลงไปสะสมอยู่ในชั้นหนังแท้ (Dermis)

ผลลัพธ์ที่เกิดขึ้นคือรอยปื้นเรียบสีน้ำตาลอ่อนไปจนถึงสีดำในบริเวณที่เคยมีการอักเสบ ซึ่งเป็นกระบวนการที่ผิวหนังพยายามจะปกป้องตัวเองแต่ได้ทิ้งร่องรอยดำไว้

พฤติกรรมอะไรที่กระตุ้นให้เกิดรอยดำจากสิวรุนแรงขึ้น?

พฤติกรรมหลักที่กระตุ้นให้รอยดำจากสิวรุนแรงขึ้นคือ การบีบหรือแกะสิว และการเผชิญแสงแดดโดยไม่ป้องกัน

พฤติกรรมเหล่านี้ส่งผลเสียต่อรอยดำดังนี้:

  • การบีบหรือแกะสิว ทำให้ผิวหนังบาดเจ็บและอักเสบมากขึ้น ส่งผลให้ร่างกายผลิตเม็ดสีเมลานินออกมาในปริมาณที่สูงกว่าเดิมเพื่อตอบสนองต่อการบาดเจ็บนั้น ทำให้เกิดเป็นรอยดำที่เข้มและใหญ่ขึ้น
  • การเผชิญแสงแดด รังสียูวี (UV) และแสงสีฟ้าจะกระตุ้นเซลล์สร้างเม็ดสีโดยตรง ทำให้รอยดำที่มีอยู่แล้วมีสีเข้มขึ้นและหายช้าลงอย่างมาก
  • การระคายเคืองผิว การใช้ผลิตภัณฑ์ที่รุนแรงหรือการขัดถูผิวบ่อยเกินไป สามารถทำให้ผิวระคายเคืองและกระตุ้นให้เกิดรอยดำใหม่ได้เช่นกัน

5 วิธีลดรอยดำจากสิวที่เห็นผลเร็วที่สุด

วิธีที่ 1: การใช้สกินแคร์และยาทาเฉพาะที่

การใช้สกินแคร์และยาทาเฉพาะที่เป็นวิธีหลักในการรักษารอยดำ (PIH) โดยมีส่วนผสมออกฤทธิ์หลายชนิดที่ช่วยยับยั้งการสร้างเม็ดสี ผลัดเซลล์ผิว และป้องกันไม่ให้รอยคล้ำขึ้น

ส่วนผสมสำคัญที่ใช้ในการรักษา ได้แก่:

  • วิตามินซี (Vitamin C): ช่วยยับยั้งการสร้างเม็ดสีและเป็นสารต้านอนุมูลอิสระ ทำให้รอยดำจางลงและผิวกระจ่างใสขึ้น ควรใช้ในตอนเช้าคู่กับครีมกันแดด
  • ไนอะซินาไมด์ (Niacinamide): ช่วยลดเลือนรอยดำและปรับสีผิวให้สม่ำเสมอในความเข้มข้น 4-5% นอกจากนี้ยังมีคุณสมบัติต้านการอักเสบ ช่วยป้องกันการเกิดรอยใหม่
  • กรดทรานเอกซามิก (Tranexamic Acid): ช่วยยับยั้งการทำงานของเอนไซม์ที่กระตุ้นการสร้างเม็ดสี มีทั้งในรูปแบบทา (ความเข้มข้น 2-5%) และแบบรับประทานสำหรับกรณีรอยดำที่รักษายาก
  • เรตินอยด์ (Retinoids): ช่วยเร่งการผลัดเซลล์ผิว กระจายเม็ดสีที่เกาะกลุ่มกัน และยังช่วยรักษาสิวซึ่งเป็นต้นเหตุของรอยดำ ควรเริ่มใช้ในปริมาณน้อยและไม่บ่อยเพื่อลดการระคายเคือง
  • กรดอัลฟาไฮดรอกซี (AHAs): เช่น กรดไกลโคลิก (Glycolic Acid) และกรดแลคติก (Lactic Acid) ช่วยผลัดเซลล์ผิวชั้นนอกอย่างอ่อนโยน ทำให้รอยดำค่อยๆ จางลง ควรใช้ในเวลากลางคืนและทาครีมกันแดดในตอนกลางวัน
  • ครีมกันแดด (Sunscreen): เป็นขั้นตอนที่สำคัญที่สุดในการป้องกันไม่ให้รอยดำเข้มขึ้นและเกิดรอยใหม่ ควรใช้ครีมกันแดดที่มีค่า SPF 30 ขึ้นไปทุกวัน และทาซ้ำเมื่ออยู่กลางแจ้ง

วิธีที่ 2: การทำเลเซอร์และหัตถการในคลินิก

วิธีการรักษาฝ้าและรอยดำในคลินิกโดยผู้เชี่ยวชาญ ได้แก่ การทำเลเซอร์, การใช้แสง IPL และการผลัดเซลล์ผิวด้วยสารเคมี ซึ่งแต่ละวิธีมีกลไกการทำงานและข้อควรระวังที่แตกต่างกัน

  1. เลเซอร์ (Laser Therapy) เลเซอร์ เช่น Q-switched และ Picosecond ทำงานโดยการส่งพลังงานแสงไปทำลายเม็ดสีเมลานินที่ผิดปกติให้แตกตัวเป็นอนุภาคเล็กๆ ทำให้รอยดำจางลงอย่างมีนัยสำคัญ วิธีนี้เหมาะสำหรับรอยดำที่ฝังลึกและสามารถใช้ได้กับผู้ที่มีผิวสีเข้มอย่างปลอดภัยหากทำโดยผู้เชี่ยวชาญ แต่ต้องทำหลายครั้งและทาครีมกันแดดอย่างเคร่งครัดหลังทำ
  2. IPL (Intense Pulsed Light) เป็นการใช้ลำแสงกว้างเพื่อค่อยๆ ทำให้เม็ดสีจางลง เหมาะสำหรับรอยดำชั้นตื้นในผู้ที่มีผิวขาว และสามารถลดรอยแดงได้ด้วย อย่างไรก็ตาม IPL ไม่เหมาะกับผู้ที่มีผิวสีเข้มเนื่องจากมีความเสี่ยงที่จะเกิดการไหม้หรือทำให้รอยดำเข้มขึ้นได้
  3. การผลัดเซลล์ผิวด้วยสารเคมี (Chemical Peels) เป็นการใช้กรด เช่น กรดไกลโคลิก (Glycolic Acid) หรือกรดซาลิไซลิก (Salicylic Acid) เพื่อเร่งการผลัดเซลล์ผิวชั้นนอกที่มีเม็ดสีส่วนเกินออกไป สำหรับรอยดำที่ลึกอาจใช้การลอกผิวที่ลึกขึ้น เช่น TCA ซึ่งให้ผลลัพธ์ที่ดีกว่าแต่ก็มีความเสี่ยงและต้องมีระยะเวลาพักฟื้น การทำหัตถการนี้จำเป็นต้องอยู่ภายใต้การดูแลของผู้เชี่ยวชาญเพื่อป้องกันผลข้างเคียง

วิธีที่ 3: การใช้สารผลัดเซลล์ผิว (Chemical Peels)

การใช้สารผลัดเซลล์ผิวเป็น วิธีการรักษาโดยผู้เชี่ยวชาญที่ช่วยเร่งการผลัดผิวชั้นนอกเพื่อให้รอยดำจางลง โดยการลอกผิวชั้นที่มีเม็ดสีส่วนเกินออกไปเพื่อให้ผิวใหม่ที่สม่ำเสมอขึ้นมาแทนที่

การรักษานี้แบ่งได้หลายระดับความลึก และต้องทำโดยผู้เชี่ยวชาญเท่านั้นเพื่อความปลอดภัย

  • การผลัดผิวแบบตื้น (Superficial Peels): มักใช้กรดไกลโคลิก (Glycolic Acid) หรือกรดซาลิไซลิก (Salicylic Acid) เพื่อค่อยๆ ผลัดผิวชั้นบนสุด เหมาะสำหรับการรักษารอยดำทั่วไป โดยต้องทำเป็นชุดต่อเนื่องทุกๆ 2-4 สัปดาห์
  • การผลัดผิวแบบลึกปานกลาง (Medium-depth Peels): ใช้สารที่มีความเข้มข้นสูงขึ้น เช่น กรดไตรคลอโรอะซิติก (TCA) สำหรับรอยดำที่ฝังลึกและดื้อยา วิธีนี้ให้ผลลัพธ์ที่ชัดเจนกว่าแต่ก็มีระยะเวลาพักฟื้นนานขึ้น (ประมาณ 1 สัปดาห์) และมีความเสี่ยงสูงกว่าในผู้ที่มีผิวคล้ำ

สิ่งสำคัญที่สุดคือการทาครีมกันแดดอย่างเคร่งครัดหลังการรักษา เนื่องจากผิวที่เพิ่งผลัดใหม่จะไวต่อแสงแดดมากและอาจกลับมาคล้ำได้ง่ายหากไม่ได้รับการป้องกันที่เพียงพอ

วิธีที่ 4: การรับประทานอาหารเสริมและวิตามิน

การรับประทานอาหารเสริมและวิตามินอาจให้ประโยชน์เพิ่มเติมในการรักษารอยดำ แต่ไม่ถือเป็นวิธีรักษาหลัก โดยหลักฐานทางวิทยาศาสตร์เกี่ยวกับประสิทธิภาพยังมีจำกัดและไม่ชัดเจนเท่าที่ควร

อาหารเสริมที่มักถูกกล่าวถึงมีดังนี้:

  • กลูตาไธโอน (Glutathione): งานวิจัยสรุปว่าประสิทธิภาพในการทำให้ผิวสว่างขึ้นยังอยู่ในระดับต่ำถึงปานกลาง และยังขาดการทดลองทางคลินิกที่น่าเชื่อถือเพื่อยืนยันผล
  • สารสกัดจากเฟิร์น (Polypodium leucotomos): มีคุณสมบัติช่วยป้องกันผิวจากแสงแดดและเป็นสารต้านอนุมูลอิสระ จึงถูกมองว่าเป็นตัวช่วยเสริมที่มีประโยชน์เมื่อใช้ร่วมกับครีมกันแดด แต่ไม่ใช่การรักษาหลักโดยตรง
  • วิตามินซี (Vitamin C): ทำหน้าที่เป็นสารต้านอนุมูลอิสระที่อาจช่วยเสริมการรักษาได้

โดยสรุป การรับประทานอาหารเสริมเหล่านี้เป็นเพียงแนวทางเสริม และไม่สามารถทดแทนการรักษาหลัก เช่น การใช้ยาทาเฉพาะที่ การทำหัตถการ และที่สำคัญที่สุดคือการทาครีมกันแดดอย่างสม่ำเสมอ

วิธีที่ 5: การป้องกันด้วยครีมกันแดด

การป้องกันด้วยครีมกันแดดเป็นขั้นตอนที่สำคัญและจำเป็นอย่างยิ่งในการป้องกันและรักษารอยดำหลังการอักเสบ (PIH) เนื่องจากการสัมผัสรังสียูวีเป็นปัจจัยหลักที่กระตุ้นให้รอยดำมีสีเข้มขึ้นและจางลงช้า

ผู้เชี่ยวชาญแนะนำให้ปฏิบัติดังนี้เพื่อการป้องกันที่มีประสิทธิภาพ:

  • เลือกครีมกันแดด: ใช้ครีมกันแดดชนิด Broad-spectrum ที่มีค่า SPF 30 ขึ้นไป (หรือ SPF 50+ หากต้องอยู่กลางแจ้งนาน) ซึ่งสามารถป้องกันได้ทั้งรังสี UVA, UVB และควรมีคุณสมบัติป้องกันแสงที่มองเห็นได้ (Visible Light) ด้วย
  • คำแนะนำพิเศษ: สำหรับผู้ที่มีแนวโน้มเป็นรอยดำง่าย แนะนำให้ใช้ครีมกันแดดชนิดมีสี (Tinted sunscreen) ที่มีส่วนผสมของ Iron Oxide เพื่อช่วยป้องกันแสงที่มองเห็นได้ ซึ่งเป็นอีกสาเหตุหนึ่งที่ทำให้รอยดำเข้มขึ้น
  • วิธีการใช้: ทาครีมกันแดดทุกเช้าในบริเวณผิวที่ต้องสัมผัสแสงแดด และทาซ้ำทุกๆ 2 ชั่วโมงเมื่ออยู่กลางแจ้ง

การป้องกันแสงแดดอย่างสม่ำเสมอไม่เพียงแต่จะช่วยให้รอยดำจางลงเร็วขึ้น แต่ยังช่วยให้การรักษาด้วยวิธีอื่นๆ มีประสิทธิภาพสูงสุดและป้องกันไม่ให้รอยดำกลับมาเข้มขึ้นอีก

รอยดำจากสิวแตกต่างจากรอยแดงและหลุมสิวอย่างไร?

รอยดำ รอยแดง และหลุมสิวเกิดจากสาเหตุและมีลักษณะที่แตกต่างกันอย่างสิ้นเชิง โดยรอยดำเกิดจากเม็ดสี ส่วนรอยแดงเกิดจากเส้นเลือด และหลุมสิวคือการเปลี่ยนแปลงของเนื้อผิว

ความแตกต่างของรอยแต่ละชนิดมีดังนี้:

  • รอยดำ (Post-Inflammatory Hyperpigmentation – PIH): เกิดจากการที่ผิวผลิตเม็ดสีเมลานินมากเกินไปหลังการอักเสบ ทำให้เกิดเป็นรอยราบสีน้ำตาลไปจนถึงสีดำ มักพบได้บ่อยในผู้ที่มีสีผิวปานกลางถึงเข้ม
  • รอยแดง (Post-Inflammatory Erythema – PIE): เกิดจากเส้นเลือดฝอยใต้ผิวหนังขยายตัวหรือได้รับความเสียหาย ทำให้เห็นเป็นรอยสีชมพูหรือแดง มักพบได้ชัดเจนในผู้ที่มีสีผิวขาว
  • หลุมสิว (Atrophic Scars): เกิดจากการสูญเสียคอลลาเจนในชั้นผิวหนังแท้ ทำให้ผิวบริเวณนั้นยุบตัวลงเป็นหลุมหรือรอยบุ๋ม ซึ่งเป็นการเปลี่ยนแปลงของ “เนื้อผิว” ไม่ใช่แค่ “สีผิว”

การแยกลักษณะรอยดำ (PIH) และรอยแดง (PIE)

รอยดำ (PIH) เกิดจากการผลิตเม็ดสีเมลานินที่มากเกินไป ทำให้เกิดเป็นจุดสีน้ำตาลถึงดำ ในขณะที่รอยแดง (PIE) เกิดจากความเสียหายของเส้นเลือดฝอย ทำให้เกิดเป็นรอยสีแดงหรือชมพู การแยกลักษณะรอยทั้งสองประเภทนี้มีความสำคัญเนื่องจากมีสาเหตุและวิธีการรักษาที่แตกต่างกัน

  • ลักษณะและสี:
  • PIH: เป็นรอยราบสีน้ำตาลอ่อนไปจนถึงสีดำ เกิดจากเม็ดสีเมลานิน
  • PIE: เป็นรอยสีแดงหรือชมพู เกิดจากเส้นเลือดฝอยที่เสียหายหรือขยายตัว
  • กลุ่มสีผิวที่พบบ่อย:
  • PIH: พบได้บ่อยในผู้ที่มีผิวปานกลางถึงผิวเข้ม
  • PIE: พบได้บ่อยและเห็นได้ชัดในผู้ที่มีผิวขาว
  • การรักษา:
  • PIH: ต้องใช้การรักษาที่มุ่งเป้าไปที่การลดเม็ดสี เช่น การใช้ผลิตภัณฑ์ไวท์เทนนิ่ง
  • PIE: ตอบสนองต่อการรักษาที่เกี่ยวกับหลอดเลือด หรือสามารถจางลงได้เองเมื่อเวลาผ่านไป

รอยดำจากสิวสามารถพัฒนาไปเป็นหลุมสิวได้หรือไม่?

รอยดำจากสิวไม่ได้พัฒนาไปเป็นหลุมสิวโดยตรง

รอยดำ (Post-Inflammatory Hyperpigmentation หรือ PIH) และหลุมสิว (Atrophic Scars) เป็นภาวะที่แตกต่างกัน แต่ทั้งสองอย่างเกิดจากสาเหตุเดียวกันคือการอักเสบของสิว

  • รอยดำ เกิดจากการที่ผิวหนังผลิตเม็ดสีเมลานินออกมามากเกินไปเพื่อตอบสนองต่อการอักเสบ
  • หลุมสิว เกิดจากการสูญเสียคอลลาเจนในชั้นผิวหนังจากการอักเสบที่รุนแรง

แม้ว่าทั้งสองอย่างนี้มักเกิดขึ้นพร้อมกันในบริเวณที่เคยเป็นสิวอักเสบ แต่รอยดำไม่ได้กลายเป็นหลุมสิวในภายหลัง

ส่วนผสมอะไรบ้างในสกินแคร์ที่ช่วยรักษารอยดำจากสิว?

กลุ่มส่วนผสมที่ช่วยยับยั้งเม็ดสี

กลุ่มส่วนผสมที่ช่วยลดเลือนรอยดำและยับยั้งการสร้างเม็ดสี ได้แก่ วิตามินซี, ไนอะซินาไมด์, กรดทรานเอกซามิก, เรตินอยด์ และกรดอัลฟาไฮดรอกซี (AHA)

ส่วนผสมเหล่านี้ทำงานผ่านกลไกที่แตกต่างกันเพื่อจัดการกับรอยดำ:

  • วิตามินซี (Vitamin C): ยับยั้งการสร้างเม็ดสีเมลานินและทำหน้าที่เป็นสารต้านอนุมูลอิสระ ช่วยให้รอยดำจางลงและปรับสีผิวให้สว่างขึ้น
  • ไนอะซินาไมด์ (Niacinamide): ช่วยลดเลือนรอยดำและปรับสีผิวให้สม่ำเสมอ นอกจากนี้ยังมีคุณสมบัติต้านการอักเสบซึ่งช่วยป้องกันการเกิดรอยดำใหม่
  • กรดทรานเอกซามิก (Tranexamic Acid): อาจช่วยยับยั้งการทำงานของเอนไซม์ไทโรซิเนส (tyrosinase) ซึ่งเป็นเอนไซม์สำคัญในการผลิตเม็ดสี
  • เรตินอยด์ (Retinoids): ช่วยเร่งการผลัดเซลล์ผิวและช่วยกระจายเม็ดสีเมลานินที่สะสมอยู่ ทำให้รอยดำค่อยๆ จางลง
  • กรดอัลฟาไฮดรอกซี (AHAs): เช่น กรดไกลโคลิก (Glycolic Acid) ช่วยผลัดเซลล์ผิวชั้นนอกที่หมองคล้ำออกไป ทำให้รอยดำจางลงอย่างค่อยเป็นค่อยไป

วิตามินซี (Vitamin C)

วิตามินซีช่วยยับยั้งการสร้างเม็ดสีเมลานิน ทำให้รอยดำที่มีอยู่จางลงและปรับสีผิวโดยรวมให้สว่างขึ้น นอกจากนี้ยังทำหน้าที่เป็นสารต้านอนุมูลอิสระเพื่อต่อต้านภาวะเครียดที่เกิดจากออกซิเดชันซึ่งเป็นตัวกระตุ้นให้เกิดรอยดำได้

แพทย์ผิวหนังมักแนะนำให้ใช้วิตามินซีในตอนเช้าก่อนทาครีมกันแดด เพื่อช่วยลดเลือนรอยดำและเสริมการป้องกันแสงแดดไปพร้อมกัน โดยสูตรที่มีประสิทธิภาพมักใช้กรดแอล-แอสคอร์บิก (L-ascorbic acid) ที่ความเข้มข้น 10–20% และมีค่า pH ต่ำ (≤3.5) เพื่อความเสถียรและการดูดซึมที่ดีที่สุด โดยทั่วไปจะเห็นผลการเปลี่ยนแปลงที่ดีขึ้นอย่างมีนัยสำคัญหลังใช้เป็นเวลาอย่างน้อย 3 เดือน

ไนอะซินาไมด์ (Niacinamide)

ไนอะซินาไมด์ (Niacinamide) เป็นส่วนผสมในผลิตภัณฑ์บำรุงผิวที่ช่วยลดเลือนจุดด่างดำและปรับสีผิวให้สม่ำเสมอ โดยมีคุณสมบัติต้านการอักเสบซึ่งช่วยลดรอยแดงและสิว จึงสามารถป้องกันการเกิดรอยดำใหม่ได้ด้วย

จากการศึกษาพบว่าการใช้ไนอะซินาไมด์ในความเข้มข้น 4-5% เป็นเวลาประมาณ 8-12 สัปดาห์ สามารถทำให้จุดด่างดำจางลงได้อย่างมีนัยสำคัญ และถือเป็นทางเลือกที่อ่อนโยนกว่าแต่ให้ผลลัพธ์ใกล้เคียงกับไฮโดรควิโนน (hydroquinone) โดยทั่วไปสามารถใช้ได้วันละสองครั้งและเข้ากันได้ดีกับส่วนผสมอื่นๆ

กรดทรานเอกซามิก (Tranexamic Acid)

กรดทรานเอกซามิก (Tranexamic Acid) คือ ส่วนผสมที่ใช้ในการรักษาฝ้า กระ และจุดด่างดำ โดยออกฤทธิ์ยับยั้งการสร้างเม็ดสีเมลานิน

กรดทรานเอกซามิกสามารถใช้ได้ทั้งในรูปแบบทา (ความเข้มข้น 2-5% ในเซรั่มหรือครีม) และรูปแบบรับประทานในปริมาณต่ำ (250 มก. วันละ 2 ครั้ง) สำหรับกรณีที่เป็นรอยดื้อยา เช่น ฝ้า จากการศึกษาพบว่ากรดทรานเอกซามิกช่วยลดเลือนรอยดำและปรับสีผิวให้สม่ำเสมอขึ้นได้อย่างมีนัยสำคัญ โดยเฉพาะรอยดำที่เกิดจากรังสียูวี และมักใช้ร่วมกับส่วนผสมอื่น ๆ เช่น ไนอะซินาไมด์ (Niacinamide) หรือวิตามินซี เพื่อเสริมประสิทธิภาพในการรักษา

กลุ่มส่วนผสมที่ช่วยผลัดเซลล์ผิว

กลุ่มส่วนผสมที่ช่วยผลัดเซลล์ผิวตามที่ระบุในข้อมูล ได้แก่ เรตินอยด์ (Retinoids), กรดอัลฟาไฮดรอกซี (AHAs) และกรดซาลิไซลิก (Salicylic acid)

ส่วนผสมเหล่านี้ช่วยเร่งการผลัดเซลล์ผิวเพื่อลดเลือนรอยดำ โดยมีรายละเอียดดังนี้

  • เรตินอยด์ (Retinoids): ช่วยเร่งการผลัดเซลล์ผิวและปรับโครงสร้างผิวชั้นหนังแท้
  • กรดอัลฟาไฮดรอกซี (Alpha Hydroxy Acids – AHAs): ใช้เพื่อผลัดเซลล์ผิวอย่างอ่อนโยน ซึ่งประกอบด้วย
  • กรดไกลโคลิก (Glycolic acid)
  • กรดแลคติก (Lactic acid)
  • กรดแมนเดลิก (Mandelic acid)
  • กรดซาลิไซลิก (Salicylic acid): ถูกกล่าวถึงในบริบทของการทำเคมิคอลพีล (Chemical Peels) เพื่อช่วยผลัดผิวชั้นนอก

เรตินอยด์ (Retinoids)

เรตินอยด์ช่วยลดเลือนรอยดำหลังการอักเสบ (PIH) โดยการเร่งการผลัดเซลล์ผิว ซึ่งกระบวนการนี้จะช่วยให้รอยดำค่อยๆ จางลงภายในระยะเวลาหลายเดือน นอกจากนี้ เรตินอยด์ยังมีประโยชน์อื่นๆ อีก ได้แก่

  • ช่วยกระจายเม็ดสี: เรตินอยด์ช่วยกระจายเม็ดสีเมลานินที่เกาะกลุ่มกันอยู่และกระตุ้นการสร้างคอลลาเจน ทำให้ผิวโดยรวมดีขึ้น
  • ป้องกันรอยใหม่: สำหรับผู้ที่เป็นสิว เรตินอยด์จะช่วยรักษาสิวไปพร้อมกัน จึงเป็นการป้องกันการเกิดรอยดำใหม่ๆ
  • วิธีใช้: ควรเริ่มใช้ในปริมาณเท่าเม็ดถั่วในตอนกลางคืน 2-3 ครั้งต่อสัปดาห์ แล้วค่อยๆ เพิ่มความถี่เมื่อผิวทนได้ เพราะอาจทำให้ผิวแห้งหรือระคายเคืองได้ในช่วงแรก
  • ระยะเวลาเห็นผล: โดยทั่วไปจะสังเกตเห็นว่ารอยดำจางลงอย่างมีนัยสำคัญในเวลาประมาณ 12 สัปดาห์

กรดอัลฟ่าไฮดรอกซี (AHA)

กรดอัลฟ่าไฮดรอกซี (AHA) เป็นกลุ่มของกรดที่ช่วยผลัดเซลล์ผิวเพื่อลดเลือนรอยดำ โดยการเร่งการผลัดเซลล์ผิวและปรับโครงสร้างผิวชั้นหนังแท้ ทำให้รอยดำ (PIH) จางลงอย่างค่อยเป็นค่อยไป

ผลิตภัณฑ์สำหรับใช้ที่บ้านมักมีกรด AHA ความเข้มข้นต่ำ (5-10%) เพื่อการผลัดเซลล์ผิวอย่างอ่อนโยน ตัวอย่างของกรด AHA ที่นิยมใช้ ได้แก่

  • กรดไกลโคลิก (Glycolic acid): มีโมเลกุลขนาดเล็ก ซึมผ่านผิวได้ดีและมีประสิทธิภาพในการลดรอยดำ
  • กรดแลคติก (Lactic acid) และกรดแมนเดลิก (Mandelic acid): เป็นทางเลือกที่อ่อนโยนกว่า เหมาะสำหรับผิวแพ้ง่ายหรือผิวคล้ำ

เนื่องจากกรด AHA ทำให้ผิวไวต่อแสงแดดมากขึ้น จึงจำเป็นต้องใช้ครีมกันแดดในตอนกลางวัน และควรหลีกเลี่ยงการผลัดเซลล์ผิวบ่อยเกินไป เพราะอาจทำให้เกิดการระคายเคืองและทำให้รอยดำแย่ลงได้

การรักษาด้วยเลเซอร์เพื่อลดรอยดำจากสิวมีกี่ประเภท?

จากข้อมูลที่ให้มา การรักษาด้วยเลเซอร์เพื่อลดรอยดำมี 2 ประเภทหลัก ได้แก่ เลเซอร์คิวสวิตช์ (Q-switched) และเลเซอร์พิโครวินาที (Picosecond)

  • เลเซอร์คิวสวิตช์ (Q-switched Lasers): เช่น เลเซอร์ Nd:YAG 1064 นาโนเมตร ซึ่งมักใช้ในรูปแบบ “laser toning” โดยจะส่งพลังงานลงไปทำลายเม็ดสีส่วนเกิน และมีความปลอดภัยสูงสำหรับผู้ที่มีสีผิวปานกลางถึงเข้ม
  • เลเซอร์พิโครวินาที (Picosecond Lasers): เป็นเทคโนโลยีที่ใหม่กว่า โดยจะปล่อยพลังงานในช่วงเวลาที่สั้นมากเพื่อทำให้เม็ดสีแตกตัวเป็นอนุภาคเล็กๆ โดยใช้ความร้อนน้อยที่สุด ทำให้มีประสิทธิภาพสูงและใช้เวลาพักฟื้นน้อยลง

เลเซอร์กลุ่ม Picosecond (Pico Laser)

เลเซอร์กลุ่ม Picosecond คือ เทคโนโลยีเลเซอร์ที่ปล่อยพลังงานในช่วงเวลาที่สั้นมากระดับหนึ่งในล้านล้านวินาที ทำให้เกิดแรงกระแทกเชิงแสง (photoacoustic effect) ที่สามารถแตกเม็ดสีเมลานินให้เป็นอนุภาคเล็กๆ ได้อย่างมีประสิทธิภาพโดยใช้ความร้อนน้อยที่สุด

เทคโนโลยีนี้ช่วยให้การกำจัดเม็ดสีมีประสิทธิภาพมากขึ้น ลดระยะเวลาพักฟื้น และมีความปลอดภัยสูงสำหรับผู้ที่มีสีผิวเข้ม เนื่องจากสร้างความร้อนน้อยจึงลดความเสี่ยงในการเกิดรอยดำหลังทำเลเซอร์

เลเซอร์กลุ่ม Q-Switched Nd:YAG

เลเซอร์ Q-Switched Nd:YAG คือเลเซอร์ที่มักใช้รักษารอยดำหลังการอักเสบ (PIH) โดยเฉพาะในผู้ที่มีสีผิวปานกลางถึงเข้ม เนื่องจากมีความยาวคลื่น 1064 นาโนเมตร ซึ่งสามารถทะลุผ่านผิวหนังชั้นนอกลงไปได้ลึก จึงมีความปลอดภัยและลดความเสี่ยงในการเกิดรอยดำใหม่

เลเซอร์ชนิดนี้มีประสิทธิภาพในการทำให้รอยดำจางลงอย่างเห็นได้ชัด โดยทั่วไปต้องทำเป็นชุดการรักษาประมาณ 3–6 ครั้ง ห่างกัน 2–4 สัปดาห์ เพื่อให้รอยดำค่อยๆ จางลง นอกจากนี้ยังมีเทคโนโลยีที่ใหม่กว่าคือเลเซอร์พิโครวินาที (Picosecond laser) ซึ่งเป็นเลเซอร์ Nd:YAG ในโหมดพิโครวินาที ที่สามารถแตกเม็ดสีให้เป็นอนุภาคเล็กๆ โดยใช้ความร้อนน้อยที่สุด

Intense Pulsed Light (IPL)

Intense Pulsed Light (IPL) คือการรักษาโดยใช้แสงที่มีช่วงคลื่นกว้างเพื่อจัดการกับปัญหาเม็ดสีและความแดงบนผิวหนัง การรักษานี้ทำงานโดยการให้ความร้อนแก่เม็ดสีอย่างอ่อนโยน ทำให้เม็ดสีจับตัวกันและค่อยๆ จางลง

IPL มีประสิทธิภาพในการลดรอยดำชั้นหนังกำพร้าในผู้ที่มีสีผิวขาวถึงปานกลาง (Lighter skin types) และมักใช้ในการรักษารอยดำหลังการอักเสบ (PIH) และรอยแดง โดยทั่วไปต้องทำ 3-5 ครั้งจึงจะเห็นผลชัดเจน อย่างไรก็ตาม การรักษานี้ไม่เหมาะกับผู้ที่มีสีผิวเข้ม เนื่องจากแสงอาจถูกดูดซับโดยเม็ดสีในผิวปกติ ทำให้เสี่ยงต่อการไหม้หรือเกิดรอยดำที่แย่ลงได้

รอยดำจากสิวใช้เวลารักษานานแค่ไหนกว่าจะหาย?

โดยทั่วไปแล้ว รอยดำจะเริ่มจางลงอย่างเห็นได้ชัดในเวลาประมาณ 2-3 เดือน หากได้รับการดูแลรักษาอย่างสม่ำเสมอด้วยผลิตภัณฑ์ที่เหมาะสม

อย่างไรก็ตาม ระยะเวลาทั้งหมดอาจแตกต่างกันไปตั้งแต่ไม่กี่เดือนไปจนถึงมากกว่าหนึ่งปี ขึ้นอยู่กับปัจจัยหลายอย่าง ได้แก่:

  • ความรุนแรงของการอักเสบ: สิวอักเสบที่รุนแรงจะทิ้งรอยดำที่ลึกและหายช้ากว่า
  • ความลึกของเม็ดสี: รอยดำที่อยู่ลึกในชั้นหนังแท้จะใช้เวลารักษานานกว่ารอยดำในชั้นหนังกำพร้า
  • สีผิว: ผู้ที่มีผิวสีเข้มมักจะมีรอยดำที่เข้มและอยู่นานกว่า
  • การป้องกันแสงแดด: การไม่ทาครีมกันแดดจะทำให้รอยดำเข้มขึ้นและหายช้าลงอย่างมาก

ปัจจัยที่ส่งผลต่อระยะเวลาในการฟื้นฟูผิว

ปัจจัยหลักที่ส่งผลต่อระยะเวลาในการฟื้นฟูรอยดำคือ ความลึกของเม็ดสี ระดับความรุนแรงของการอักเสบ สีผิว และการดูแลผิวอย่างสม่ำเสมอ

ปัจจัยเหล่านี้ส่งผลต่อระยะเวลาที่รอยดำจะจางลง ดังนี้

  • ความรุนแรงของการอักเสบและสีผิว: รอยดำที่เกิดจากการอักเสบรุนแรง (เช่น สิวอักเสบ) และในผู้ที่มีสีผิวเข้มมักจะเข้มกว่าและใช้เวลานานกว่าในการจางลง
  • ความลึกของรอย: รอยดำในชั้นหนังกำพร้า (ผิวชั้นนอก) จะจางเร็วกว่ารอยดำที่อยู่ในชั้นหนังแท้ (ผิวชั้นลึก) ซึ่งอาจใช้เวลานานเป็นปีหรืออาจถาวรได้
  • การดูแลและป้องกัน: การรักษาอย่างสม่ำเสมอด้วยผลิตภัณฑ์ที่เหมาะสมจะช่วยให้รอยจางลงอย่างเห็นได้ชัดในเวลาประมาณ 2-3 เดือน ในทางกลับกัน การสัมผัสแสงแดดโดยไม่ป้องกันหรือการแกะเกาผิวจะกระตุ้นให้ผลิตเม็ดสีเพิ่มขึ้นและทำให้รอยดำหายช้าลง

ระยะเวลาโดยประมาณสำหรับรอยดำจากสิวแต่ละระดับ

ระยะเวลาที่รอยดำจะจางลงนั้น ขึ้นอยู่กับความรุนแรงของรอย โดยอาจใช้เวลาตั้งแต่ 2-3 เดือนไปจนถึงมากกว่าหนึ่งปี

โดยทั่วไปแล้ว ระยะเวลาในการรักษาจะแตกต่างกันไปตามระดับความรุนแรงของรอยดำ ดังนี้

  • การรักษาทั่วไป: จะเริ่มเห็นผลดีขึ้นอย่างชัดเจนหลังจากใช้ยาทาอย่างสม่ำเสมอประมาณ 2-3 เดือน (8-12 สัปดาห์)
  • รอยดำที่ไม่รุนแรง: อาจจางลงได้ภายในเวลาไม่กี่เดือนหากดูแลอย่างสม่ำเสมอ
  • รอยดำที่รุนแรง: โดยเฉพาะในผู้ที่มีผิวคล้ำ อาจใช้เวลานานถึง 6-12 เดือนหรือมากกว่านั้นจึงจะดีขึ้นอย่างมีนัยสำคัญ
  • รอยดำในชั้นหนังแท้: รอยที่อยู่ลึกหรือมีสีเข้มมากอาจคงอยู่นานหลายปีหรืออาจถาวรได้

คำถามที่พบบ่อยเกี่ยวกับการจัดการรอยดำจากสิว

การบีบสิวทำให้เกิดรอยดำจริงหรือไม่?

ใช่ การบีบสิวเป็นหนึ่งในสาเหตุหลักที่ทำให้เกิดรอยดำหลังการอักเสบ (PIH)

การบีบหรือแกะสิวทำให้ผิวหนังบาดเจ็บและอักเสบมากขึ้น ซึ่งจะกระตุ้นให้ผิวหนังผลิตเม็ดสีเมลานินออกมามากเกินไปเพื่อตอบสนองต่อการบาดเจ็บนั้น นอกจากนี้ การบีบยังอาจดันสิ่งสกปรกจากการอักเสบให้ลึกลงไปในผิว ทำให้เกิดรอยดำที่ใหญ่ขึ้น เข้มขึ้น และอาจทิ้งรอยแผลเป็นไว้ด้วย ดังนั้น วิธีที่ดีที่สุดคือการปล่อยให้สิวหายเองและใช้ยารักษาที่เหมาะสมเพื่อลดการอักเสบ ซึ่งจะช่วยลดโอกาสการเกิดรอยดำได้

วิธีลดรอยดำจากสิวแบบธรรมชาติได้ผลจริงหรือ?

โดยทั่วไปแล้ว วิธีลดรอยดำจากสิวแบบธรรมชาติหรือ DIY นั้นไม่ได้ผลดีนัก และอาจเป็นอันตรายต่อผิวได้

การใช้วัตถุดิบจากในครัวโดยตรง เช่น น้ำมะนาวหรือน้ำส้มสายชูแอปเปิ้ลไซเดอร์ อาจก่อให้เกิดการระคายเคืองและทำให้รอยดำแย่ลง เนื่องจากมีความเข้มข้นที่ไม่แน่นอนและอาจทำให้ผิวไวต่อแสงได้

แม้ว่าส่วนผสมจากธรรมชาติบางชนิด เช่น ว่านหางจระเข้ จะช่วยปลอบประโลมผิวและลดการอักเสบได้ แต่ก็ไม่มีประสิทธิภาพเพียงพอในการลดเลือนรอยดำที่เกิดขึ้นแล้ว ดังนั้นจึงแนะนำให้ใช้ผลิตภัณฑ์ที่ผ่านการวิจัยและพัฒนาสูตรมาอย่างดี ซึ่งมีส่วนผสมของสารสกัดจากธรรมชาติในความเข้มข้นที่เหมาะสมและปลอดภัยต่อผิวมากกว่า

รอยดำจากสิวที่หลังรักษาเหมือนกับที่ใบหน้าได้ไหม?

โดยหลักการแล้ว สามารถรักษารอยดำที่หลังได้เหมือนกับที่ใบหน้า แต่มีข้อแตกต่างในทางปฏิบัติบางประการ

ผิวหนังบริเวณลำตัวจะหนาและบอบบางน้อยกว่าผิวหน้า จึงอาจทนต่อการรักษาที่เข้มข้นกว่าได้ แต่ในขณะเดียวกัน การผลัดเซลล์ผิวก็ช้ากว่าและยาอาจซึมได้ยากกว่า ทำให้ต้องใช้เวลารักษานานขึ้น นอกจากนี้ ปัจจัยอื่นๆ เช่น การเสียดสีจากเสื้อผ้าและการโดนแดดโดยไม่ตั้งใจ ก็สามารถทำให้รอยดำหายช้าลงได้เช่นกัน

References:*

  1. Chen, T., Xue, J., & Wang, Q. (2024). Tranexamic Acid for the Treatment of Hyperpigmentation and Telangiectatic Disorders Other Than Melasma: An Update. Clinical, Cosmetic and Investigational Dermatology.
  2. Rocio, J., Pittet, J. C., & Sachdev, M. (2025). Evaluation of the Efficacy of a Serum Containing Niacinamide, Tranexamic Acid, Vitamin C, and Hydroxy Acid Compared to 4 % Hydroquinone in the Management of Melasma. Journal of Cosmetic Dermatology
  3. Brar, G., Dhaliwal, A., & Brar, A. S. (2025). A Comprehensive Review of the Role of UV Radiation in Photoaging Processes Between Different Types of Skin. Cureus.
  4. Rodríguez-Luna, A., Zamarrón, A., & Juarranz, Á. (2023). Clinical Applications of Polypodium leucotomos (Fernblock®): An Update. Life.
  5. Kadu, P. P., & Laul, R. A. (2025). 80 % Lactic Acid Peel Versus 50 % Glycolic Acid Peel for Melasma: A Randomised Clinical Trial. Indian Journal of Dermatology.
  6. Le, T. V. T., Nguyen, P. T., & Le, V. A. (2025). Fractional 1064 nm Nd:YAG Picosecond Laser for Asian Skin Rejuvenation: Clinical Efficacy and the Role of Photoprotective Behaviours. Lasers in Medical Science.
  7. National Library of Medicine. (2023). Mechanistic Insights into the Multiple Functions of Niacinamide. National Institutes of Health.
  8. VeryWell Health. (2024). How Tranexamic Acid Can Improve Skin Discoloration. VeryWell Health.
  9. Harvard Health Publishing. (2024). Why Is Topical Vitamin C Important for Skin Health? Harvard Health.
  10. American Academy of Dermatology. (2023). Guidelines of Care for the Management of Acne Vulgaris. Journal of the American Academy of Dermatology.

Author

  • นายแพทย์เลอพงษ์ กรุดเงิน
    นายแพทย์เลอพงษ์ กรุดเงิน

    View all posts

แนะแนวเรื่อง

Previous Previous
สิวหัวช้าง: สาเหตุ การรักษา และวิธีป้องกันที่ถูกต้อง
NextContinue
สิวที่หลัง: สาเหตุ การรักษา และการป้องกัน

Product Type

  • Acne Care - รักษาสิว22 สินค้า
  • Brightening - ผิวกระจ่างใส22 สินค้า
  • Dark Spot Reduction - ลดจุดด่างดำ22 สินค้า
  • Red or Dark Spots - รอยสิว11 สินค้า
  • Skin Cleansing - ทำความสะอาดผิว33 สินค้า
  • Skin Hydration - ความชุ่มชื่นผิว22 สินค้า
  • Skin Mask - มาร์สผิว22 สินค้า
  • Sun Protection - กันแดด22 สินค้า
  • Travel Size - ขนาดพกพา66 สินค้า

สาขาพรีวาโต คลินิก

    สาขาอโศก ตั้งอยู่ที่ ชั้น 2 อาคารมิดทาวน์
    Phone: 02-258-4050 , 081-841-5075
    สาขาสีลม ตั้งอยู่ที่ ชั้น 1 อาคารซี.พี.ทาวเวอร์
    Phone: 02-780-2011 , 098-272-5244
    สาขาราชพฤกษ์ ตั้งอยู่ที่ ชั้น 2 ศูนย์การค้า เดอะคริสตัล เอสบี (ด้านบนร้านสตาร์บัคส์)
    Phone: 02-102-2778 , 098-272-5244

ติดต่อเรา

    Facebook: Privato Clinic
    Messenger: Privato Clinic
    Instagram: privatoclinic
    Email: privatoclinic@gmail.com
    Line: @privatoclinic

Copyright© 2022-2024. All Rights Reserved

Scroll to top
  • หน้าหลัก
  • เกี่ยวกับพรีวาโต
  • บริการทั้งหมด
    • ชะลอวัย
    • ยกกระชับผิว
      • XERF
      • Potenza
      • Sofwave
      • Ulthera
      • Thermage-FLX
    • รักษาสิว
    • เลเซอร์
    • โปรแกรมฉีด
    • บำรุงผิว
  • บทความ
    • สิว
    • ยกกระชับ
    • ดูแลผิว
    • ทำเลเซอร์
  • ผลิตภัณฑ์ดูแลผิว
  • โปรโมชั่น
  • ผลลัพธ์การรักษา
  • วิดีโอรีวิวจากเคสจริง
  • สาขาของเรา
  • ไทย
    • ไทย
    • English
    • 中文 (中国)
  • ปรึกษาแพทย์
Facebook Instagram YouTube