Skip to content

TEL : 081-841-5075, 02-258-4050

Facebook Instagram YouTube
Privato Clinic – Innovation Of Beauty  |  Bangkok
  • หน้าหลัก
  • เกี่ยวกับพรีวาโต
  • บริการทั้งหมดExpand
    • ชะลอวัย
    • ยกกระชับผิวExpand
      • XERF
      • Potenza
      • Sofwave
      • Ulthera
      • Thermage-FLX
    • รักษาสิว
    • เลเซอร์
    • โปรแกรมฉีด
    • บำรุงผิว
  • บทความExpand
    • สิว
    • ยกกระชับ
    • ดูแลผิว
    • ทำเลเซอร์
  • ผลิตภัณฑ์ดูแลผิว
  • โปรโมชั่น
  • ผลลัพธ์การรักษา
  • วิดีโอรีวิวจากเคสจริง
  • สาขาของเรา
  • ไทยExpand
    • ไทย
    • English
    • 中文 (中国)
  • ปรึกษาแพทย์
Privato Clinic – Innovation Of Beauty  |  Bangkok
Consult a Doctor
Acne

สิวที่แก้ม: สาเหตุ ประเภท วิธีรักษาให้หายขาด

Byadmin สิงหาคม 26, 2025สิงหาคม 27, 2025
By นายแพทย์เลอพงษ์ กรุดเงิน Updated on สิงหาคม 27, 2025
✦ Medically reviewed by  แพทย์หญิงนัชชนก หุ่นวิจิตร

Table of Contents

Toggle
  • สิวที่แก้มเกิดจากอะไร? สำรวจ 7 สาเหตุหลักที่พบบ่อย
    • 1. สาเหตุจากปัจจัยภายใน: ฮอร์โมนและความเครียด
    • 2. สาเหตุจากปัจจัยภายนอก: สุขอนามัยและสิ่งแวดล้อม
    • ปัจจัยเหล่านี้ก่อให้เกิดสิวผ่านกลไกต่างๆ ดังนี้
  • 2. สิวที่แก้มมีกี่ประเภท? รู้จักสิวแต่ละชนิดเพื่อการรักษาที่ตรงจุด
    • 1. กลุ่มสิวอุดตัน (Non-inflammatory Acne)
    • 2. กลุ่มสิวอักเสบ (Inflammatory Acne)
  • 3. วิธีรักษาสิวที่แก้มให้ได้ผลจริงทำได้อย่างไร?
    • วิธีการรักษาสิวที่แก้มมีดังนี้
    • 3.1. การรักษาด้วยตนเอง: การเลือกใช้ผลิตภัณฑ์ที่เหมาะสม
    • 3.2. การรักษาโดยแพทย์: ยาทา ยารับประทาน และหัตถการ
    • 3.3. การปรับเปลี่ยนพฤติกรรมในชีวิตประจำวัน
  • 4. ทำไมสิวที่แก้มไม่หายสักที? แนวทางแก้ปัญหาสิวเรื้อรัง
  • 5. สิวขึ้นแก้มซ้ายและแก้มขวาบอกอะไรได้บ้าง?
  • 6. จะลดรอยสิวที่แก้มได้อย่างไร?
  • 7. วิธีป้องกันไม่ให้สิวที่แก้มกลับมาเป็นซ้ำ
    • 5 วิธีป้องกันสิวที่แก้มกลับมาเป็นซ้ำ ได้แก่
  • References
  • Author

สิวที่แก้มเกิดจากอะไร? สำรวจ 7 สาเหตุหลักที่พบบ่อย

สิวที่แก้มด้านขวา

1. สาเหตุจากปัจจัยภายใน: ฮอร์โมนและความเครียด

สาเหตุภายในที่ทำให้เกิดสิวที่แก้มคือ ความผันผวนของฮอร์โมนและความเครียด การเปลี่ยนแปลงของฮอร์โมน เช่น ในช่วงมีประจำเดือนหรือวัยแรกรุ่น สามารถกระตุ้นให้เกิดสิวได้ ในขณะที่ความเครียดจะไปเพิ่มระดับฮอร์โมนคอร์ติซอล (cortisol) ซึ่งกระตุ้นให้ต่อมไขมันผลิตน้ำมันออกมามากขึ้นและเพิ่มการอักเสบ ส่งผลให้เกิดสิวได้ง่ายขึ้น

2. สาเหตุจากปัจจัยภายนอก: สุขอนามัยและสิ่งแวดล้อม

สาเหตุภายนอกที่ทำให้เกิดสิวที่แก้ม ได้แก่ การสัมผัสใบหน้า การใช้โทรศัพท์ที่ไม่สะอาด ปลอกหมอนและผ้าเช็ดตัวที่ไม่สะอาด การใช้เครื่องสำอางที่อุดตัน และการเสียดสีจากหน้ากากอนามัย

ปัจจัยเหล่านี้ก่อให้เกิดสิวผ่านกลไกต่างๆ ดังนี้

  • การสัมผัสและโทรศัพท์: การสัมผัสใบหน้าบ่อยๆ และการใช้โทรศัพท์แนบแก้ม เป็นการนำพาแบคทีเรียและน้ำมันจากมือและหน้าจอโทรศัพท์มาสู่ผิวหน้าโดยตรง ซึ่งหน้าจอโทรศัพท์อาจมีแบคทีเรียมากกว่าที่นั่งชักโครกถึง 10 เท่า
  • ปลอกหมอนและผ้าเช็ดตัว: สิ่งของเหล่านี้เป็นแหล่งสะสมของน้ำมัน เซลล์ผิวที่ตายแล้ว และแบคทีเรีย การใช้ซ้ำโดยไม่ทำความสะอาดจะนำสิ่งสกปรกกลับมาอุดตันรูขุมขนที่แก้มได้ แพทย์ผิวหนังแนะนำให้เปลี่ยนปลอกหมอนอย่างน้อย 1-2 ครั้งต่อสัปดาห์
  • เครื่องสำอางและสกินแคร์: ผลิตภัณฑ์ที่มีส่วนผสมที่อุดตันรูขุมขน (Comedogenic) สามารถทำให้เกิดสิวที่แก้มได้โดยตรง การเลือกใช้ผลิตภัณฑ์ที่ระบุว่า “non-comedogenic” และล้างเครื่องสำอางให้สะอาดทุกคืนจึงเป็นสิ่งสำคัญ
  • หน้ากากอนามัย (Maskne): การเสียดสี แรงกด และความอับชื้นใต้หน้ากาก ทำให้เหงื่อและน้ำมันสะสม ระคายเคืองเกราะป้องกันผิว และทำให้รูขุมขนอุดตันง่ายขึ้น ซึ่งเป็นสาเหตุของสิวที่เรียกว่า “Maskne”

2.1. การสัมผัสใบหน้าและโทรศัพท์มือถือ

การสัมผัสใบหน้าและใช้โทรศัพท์มือถือทำให้เกิดสิวที่แก้มได้โดยการถ่ายเทเชื้อโรคและน้ำมันจากมือและหน้าจอโทรศัพท์ไปยังผิวหนัง การกระทำดังกล่าวเป็นสาเหตุภายนอกที่สำคัญของการเกิดสิว ซึ่งมีรายละเอียดดังนี้

  • การสะสมของแบคทีเรีย: หน้าจอโทรศัพท์มือถือมีแบคทีเรียสะสมอยู่มากกว่าที่นั่งชักโครกถึง 10 เท่า การสัมผัสโทรศัพท์แล้วมาสัมผัสใบหน้าซ้ำๆ เป็นการนำเชื้อโรคและน้ำมันมาสู่แก้มโดยตรง
  • การเกิด “สิวจากโทรศัพท์” (Cell-phone acne): การแนบโทรศัพท์กับแก้มทำให้เกิดความร้อน การเสียดสี และการอุดตัน ซึ่งเป็นการดักจับเหงื่อและสิ่งสกปรกไว้บนผิวหนัง สร้างสภาวะที่เหมาะแก่การเกิดสิวเฉพาะที่
  • หลักฐานทางการศึกษา: งานวิจัยชิ้นหนึ่งพบว่า 77% ของผู้ป่วยมีสิวที่แก้มข้างที่ใช้โทรศัพท์คุยรุนแรงกว่าอีกข้าง ซึ่งสอดคล้องกับการเกิดสิวจากการสัมผัส (Acne Mechanica) ที่เกิดจากแบคทีเรียอย่าง *Staphylococcus aureus* บนอุปกรณ์

2.2. ปลอกหมอนและผ้าเช็ดตัวที่ไม่สะอาด

ปลอกหมอนและผ้าเช็ดตัวที่ไม่สะอาดเป็นแหล่งสะสมของสิ่งสกปรก น้ำมัน เซลล์ผิวที่ตายแล้ว และเชื้อโรค ซึ่งจะถูกส่งผ่านไปยังผิวแก้มเมื่อสัมผัส ทำให้รูขุมขนอุดตันและอักเสบได้

สภาพแวดล้อมที่อุ่นและชื้นของเครื่องนอนและผ้าเช็ดตัวที่เปียกชื้นเป็นที่ที่เหมาะอย่างยิ่งสำหรับการเจริญเติบโตของแบคทีเรียและเชื้อราที่ก่อให้เกิดสิว แพทย์ผิวหนังจึงแนะนำให้เปลี่ยนปลอกหมอนอย่างน้อย 1-2 ครั้งต่อสัปดาห์ และใช้ผ้าเช็ดตัวที่สะอาดและแห้งเสมอเพื่อลดความเสี่ยง

2.3. การอุดตันจากเครื่องสำอางและสกินแคร์

การใช้เครื่องสำอางหรือสกินแคร์ที่มีส่วนผสมที่อุดตันรูขุมขน (Comedogenic) เป็นสาเหตุโดยตรงของการเกิดสิวที่แก้ม สิวประเภทนี้เรียกว่า “Acne Cosmetica” ซึ่งมักปรากฏเป็นสิวเม็ดเล็กๆ หรือสิวหนองในบริเวณที่ใช้ผลิตภัณฑ์บ่อยๆ

งานวิจัยชี้ว่าผลิตภัณฑ์ทำความสะอาดที่มีส่วนผสมของน้ำมันที่อุดตันง่ายมีความสัมพันธ์กับความเสี่ยงในการเกิดสิวสูงขึ้น 2.5 เท่า และการใช้มอยส์เจอไรเซอร์ในปริมาณมากก็เพิ่มความเสี่ยงเช่นกัน ดังนั้น การป้องกันคือการเลือกใช้ผลิตภัณฑ์ที่ระบุว่า “non-comedogenic” (ไม่ก่อให้เกิดการอุดตัน) และทำความสะอาดใบหน้าให้หมดจดทุกคืน

2.4. การเสียดสีจากหน้ากากอนามัย

การเสียดสีและแรงกดจากหน้ากากอนามัยจะไประคายเคืองเกราะป้องกันผิว ในขณะที่ความชื้นและเหงื่อที่ติดอยู่ใต้หน้ากากทำให้ผิวหนังชั้นนอกบวมและส่งเสริมการอุดตันของรูขุมขน

ปรากฏการณ์นี้เรียกว่า “Maskne” (สิวจากหน้ากากอนามัย) ซึ่งจัดเป็นสิวจากแรงเสียดสี (acne mechanica) ชนิดหนึ่ง สภาพแวดล้อมที่อับชื้นใต้หน้ากากทำให้เหงื่อและน้ำมันสะสม ซึ่งเอื้อต่อการเจริญเติบโตของแบคทีเรีย *Cutibacterium acnes* ผลการศึกษาพบว่าการใส่หน้ากากอนามัยอย่างต่อเนื่องเป็นเวลา 4 สัปดาห์ ทำให้จำนวนสิวเพิ่มขึ้นโดยเฉลี่ย 43%

2. สิวที่แก้มมีกี่ประเภท? รู้จักสิวแต่ละชนิดเพื่อการรักษาที่ตรงจุด

1. กลุ่มสิวอุดตัน (Non-inflammatory Acne)

สิวอุดตัน (Non-inflammatory Acne) คือสิวที่เกิดจากการอุดตันในรูขุมขนโดยไม่มีการอักเสบ ซึ่งแบ่งออกเป็น 2 ประเภทหลัก ได้แก่ สิวหัวขาวและสิวหัวดำ

  • สิวหัวขาว (Closed Comedones): เป็นตุ่มนูนเล็กๆ สีขาวหรือสีเดียวกับผิว เกิดจากรูขุมขนที่อุดตันและปิดสนิท ทำให้สิ่งสกปรกและไขมันที่อุดตันอยู่ภายในไม่สัมผัสกับอากาศ
  • สิวหัวดำ (Open Comedones): เป็นสิวอุดตันที่รูขุมขนเปิดออก ทำให้สิ่งที่อุดตันอยู่ภายในสัมผัสกับอากาศและเกิดปฏิกิริยาออกซิเดชัน (Oxidation) จนกลายเป็นสีดำ ซึ่งไม่ได้เกิดจากความสกปรก

1.1. สิวอุดตันหัวปิด (สิวไม่มีหัว)

สิวอุดตันหัวปิดคือสิวในระยะเริ่มต้นของการอุดตันในรูขุมขน ซึ่งเกิดจากการสะสมของเซลล์ผิวที่ตายแล้วและไขมัน (sebum) ภายในรูขุมขน สิวชนิดนี้จะไม่มีอาการแดงหรือเจ็บเนื่องจากมีการอักเสบน้อยมาก และมักปรากฏเป็นตุ่มเล็กๆ ที่มีลักษณะหยาบหรือเป็นปุ่มปมบนผิวแก้ม สิวอุดตันหัวปิดสามารถตอบสนองได้ดีต่อการรักษาที่ช่วยผลัดเซลล์ผิวและสลายการอุดตัน เช่น เรตินอยด์ (retinoids) หรือกรดซาลิไซลิก (salicylic acid)

1.2. สิวอุดตันหัวเปิด (สิวหัวดำ)

สิวอุดตันหัวเปิด หรือสิวหัวดำ คือรูขุมขนขนาดเล็กที่ปากรูขุมขนเปิดกว้าง ทำให้สิ่งอุดตันภายในซึ่งประกอบด้วยซีบัม (sebum) และเซลล์ผิวที่ตายแล้วสัมผัสกับอากาศและเกิดปฏิกิริยาออกซิเดชัน (Oxidation) จนกลายเป็นสีดำ

สีดำที่เห็นนั้นเกิดจากปฏิกิริยาออกซิเดชัน ไม่ใช่สิ่งสกปรก สิวหัวดำมีลักษณะเป็นจุดสีดำเล็กๆ บนผิวหนัง และมักจะอยู่บนใบหน้าเป็นเวลานานหากไม่ได้รับการรักษา แต่สามารถกำจัดออกได้ทันทีโดยผู้เชี่ยวชาญ

1.3. สิวผดหรือสิวเม็ดเล็กๆ

สิวผดหรือสิวเม็ดเล็กๆ (Acne Aestivalis) คือสิวที่เกิดจากการเจริญเติบโตของเชื้อยีสต์มาลาสซีเซีย (Malassezia) ในรูขุมขนมากเกินไป ไม่ได้เกิดจากเชื้อแบคทีเรียเหมือนสิวทั่วไป สิวชนิดนี้มักปรากฏเป็นตุ่มเล็กๆ หรือตุ่มหนองที่มีลักษณะและขนาดใกล้เคียงกัน (monomorphic) และมักมีอาการคัน ซึ่งเป็นจุดเด่นที่ใช้แยกจากสิวอักเสบปกติ สิวผดมักมีอาการแย่ลงในสภาพอากาศร้อนชื้น และจะไม่ตอบสนองต่อยาปฏิชีวนะที่ใช้รักษาสิวทั่วไป

2. กลุ่มสิวอักเสบ (Inflammatory Acne)

สิวอักเสบคือสิวที่เกิดจากการอักเสบของรูขุมขนและมักมีอาการเจ็บหรือแดง ซึ่งประกอบด้วยสิวประเภทต่างๆ ดังนี้

  • ตุ่มแดงนูน (Papules): เป็นตุ่มแข็งสีแดงที่ไม่มีหัวหนอง เกิดขึ้นเมื่อผนังรูขุมขนแตกและเกิดการอักเสบ
  • ตุ่มหนอง (Pustules): เป็นตุ่มนูนที่มีฐานสีแดงและมีหัวหนองสีขาวหรือเหลืองอยู่ด้านบน ซึ่งพัฒนามาจากตุ่มแดงนูน
  • สิวหัวช้างและสิวซีสต์ (Nodules and Cysts): เป็นสิวอักเสบชนิดรุนแรงที่สุด มีลักษณะเป็นก้อนแข็งหรือถุงของเหลวใต้ผิวหนัง มีอาการเจ็บปวด และมักทิ้งรอยแผลเป็นไว้

2.1. สิวตุ่มแดง (Papules)

สิวตุ่มแดงคือสิวอุดตันที่เกิดการอักเสบ ซึ่งก่อตัวเป็นตุ่มแดงหรือชมพูขนาดเล็กบนผิวหนัง

สิวชนิดนี้มีลักษณะเป็นตุ่มแข็ง ไม่มีหัวหนองสีขาวหรือเหลือง และอาจรู้สึกเจ็บเมื่อสัมผัส สิวตุ่มแดงมักพัฒนามาจากสิวหัวขาวที่อักเสบ และอาจหายไปเองหรือกลายเป็นสิวหนองได้ การบีบหรือแกะอาจทำให้อาการอักเสบแย่ลงและนำไปสู่การเกิดรอยแผลเป็น

2.2. สิวหัวหนอง (Pustules)

สิวหัวหนอง (Pustules) คือ ตุ่มนูนแดงที่มีหนองสีขาวขุ่นอยู่ตรงกลาง ซึ่งเกิดจากการอักเสบของรูขุมขนที่ลามขึ้นมาถึงผิวชั้นบน หนองที่เห็นคือส่วนผสมของเซลล์เม็ดเลือดขาวที่ตายแล้ว แบคทีเรีย และสิ่งสกปรก

สิวชนิดนี้มักมีขนาดใหญ่กว่าสิวอักเสบชนิดตุ่มนูนแดง (Papules) และมักมีอาการเจ็บ ไม่ควรบีบหรือเค้นสิวหัวหนอง เพราะอาจทำให้การติดเชื้อลุกลามลึกลงไปในผิวหนังและทิ้งรอยแดงหรือรอยดำไว้ได้

2.3. สิวอักเสบเรื้อรัง

สิวอักเสบเรื้อรังเป็นสิวประเภทที่รุนแรงที่สุด มีลักษณะเป็นตุ่มนูนแข็งใต้ผิวหนัง (Nodules) และถุงซีสต์ (Cysts) ที่เจ็บปวด ซึ่งบ่งบอกถึงกระบวนการอักเสบที่รุนแรงและเรื้อรังในชั้นผิวหนังลึก

สิวชนิดนี้มักพบบริเวณแก้มและอาจคงอยู่นานหลายสัปดาห์ มีลักษณะดังนี้

  • ตุ่มนูน (Nodules): เป็นก้อนแข็งและเจ็บเมื่อสัมผัส
  • ซีสต์ (Cysts): เป็นก้อนนุ่มๆ ที่มีของเหลวหรือกึ่งของแข็งอยู่ภายใน

เนื่องจากการอักเสบเกิดขึ้นในชั้นผิวที่ลึก การรักษาด้วยยาทาเพียงอย่างเดียวจึงมักไม่เพียงพอ และมีความเสี่ยงสูงที่จะทิ้งรอยแผลเป็นถาวร จึงควรปรึกษาแพทย์เพื่อรับการรักษาที่เหมาะสม เช่น การใช้ยารับประทาน

3. วิธีรักษาสิวที่แก้มให้ได้ผลจริงทำได้อย่างไร?

การรักษาสิวที่แก้มให้ได้ผลจริงต้องใช้วิธีการแบบผสมผสาน ตั้งแต่การใช้ผลิตภัณฑ์ที่หาซื้อได้เอง การรักษาโดยแพทย์ ไปจนถึงการปรับเปลี่ยนไลฟ์สไตล์ให้เหมาะสมกับประเภทและความรุนแรงของสิว

วิธีการรักษาสิวที่แก้มมีดังนี้

การรักษาด้วยตนเอง (Over-the-Counter – OTC): เหมาะสำหรับสิวที่ไม่รุนแรง

  • เบนโซอิลเพอร์ออกไซด์ (Benzoyl Peroxide): ช่วยฆ่าเชื้อแบคทีเรียที่ก่อให้เกิดสิวอักเสบ ลดจำนวนสิวอักเสบและสิวหัวหนอง
  • กรดซาลิไซลิก (Salicylic Acid): ช่วยผลัดเซลล์ผิวและละลายสิ่งอุดตันในรูขุมขน เหมาะสำหรับรักษาสิวอุดตันหัวขาวและหัวดำ
  • กรดอะซีลาอิก (Azelaic Acid): มีฤทธิ์ต้านเชื้อแบคทีเรียและช่วยลดรอยดำจากสิว มีความอ่อนโยนและมักแนะนำสำหรับผู้ที่ตั้งครรภ์
  • เรตินอยด์ชนิดทา (Topical Retinoids): เช่น Adapalene ช่วยควบคุมการผลัดเซลล์ผิว ป้องกันการอุดตัน และลดการอักเสบ
  • การรักษาโดยแพทย์ (Medical Treatment): สำหรับสิวระดับปานกลางถึงรุนแรง
  • ยาทาตามใบสั่งแพทย์: เช่น เรตินอยด์ความเข้มข้นสูง (Tretinoin) หรือยาปฏิชีวนะชนิดทา (Clindamycin) ซึ่งมักใช้ร่วมกับเบนโซอิลเพอร์ออกไซด์เพื่อป้องกันเชื้อดื้อยา
  • ยารับประทาน: ได้แก่ ยาปฏิชีวนะเพื่อลดการอักเสบ, ยาปรับฮอร์โมน (ยาคุมกำเนิด, Spironolactone) สำหรับสิวฮอร์โมนในผู้หญิง หรือ Isotretinoin สำหรับสิวรุนแรงที่ไม่ตอบสนองต่อการรักษาอื่น
  • หัตถการในคลินิก: เช่น การผลัดเซลล์ผิวด้วยสารเคมี (Chemical Peels), การฉายแสงบำบัด (Light Therapy), การกดสิวอุดตันโดยผู้เชี่ยวชาญ และการฉีดสเตียรอยด์เพื่อลดการอักเสบของสิวซีสต์ขนาดใหญ่
  • การปรับเปลี่ยนไลฟ์สไตล์และสุขอนามัย:
  • อาหาร: รับประทานอาหารที่มีค่าดัชนีน้ำตาลต่ำ (Low-GI) เช่น ธัญพืชไม่ขัดสี ผัก และอาจพิจารณาจำกัดการบริโภคนม
  • สุขอนามัย: ทำความสะอาดหน้าจอโทรศัพท์เป็นประจำ เปลี่ยนปลอกหมอนอย่างน้อยสัปดาห์ละครั้ง และหลีกเลี่ยงการใช้มือสัมผัสใบหน้า
  • การจัดการความเครียด: ความเครียดกระตุ้นการผลิตฮอร์โมนคอร์ติซอลซึ่งทำให้สิวแย่ลง การพักผ่อนให้เพียงพอและการออกกำลังกายสามารถช่วยลดความเครียดได้

3.1. การรักษาด้วยตนเอง: การเลือกใช้ผลิตภัณฑ์ที่เหมาะสม

การรักษาสิวที่แก้มด้วยตนเองสามารถทำได้โดยการเลือกใช้ผลิตภัณฑ์ที่หาซื้อได้ทั่วไป (OTC) ซึ่งมีส่วนผสมออกฤทธิ์ที่เหมาะสมกับประเภทของสิว โดยผลิตภัณฑ์เหล่านี้จะช่วยจัดการกับสาเหตุต่างๆ ของการเกิดสิว เช่น การอุดตันของรูขุมขน แบคทีเรีย และการอักเสบ

ส่วนผสมออกฤทธิ์ที่สำคัญซึ่งมีข้อมูลทางวิทยาศาสตร์รองรับ ได้แก่:

  • เบนโซอิลเพอร์ออกไซด์ (Benzoyl Peroxide – BPO): มีคุณสมบัติต้านเชื้อแบคทีเรีย C. acnes ซึ่งเป็นสาเหตุของสิวอักเสบ เหมาะสำหรับสิวอักเสบชนิดตุ่มแดง (Papules) และสิวหัวหนอง (Pustules) โดยความเข้มข้นที่แนะนำให้เริ่มต้นคือ 2.5% หรือ 5% เพื่อลดการระคายเคือง
  • กรดซาลิไซลิก (Salicylic Acid – BHA): ช่วยผลัดเซลล์ผิวและสลายสิ่งอุดตันในรูขุมขน จึงเหมาะอย่างยิ่งสำหรับรักษาสิวอุดตัน (Comedones) เช่น สิวหัวดำและสิวหัวขาว
  • กรดอะซีลาอิก (Azelaic Acid): มีฤทธิ์ต้านเชื้อแบคทีเรีย ช่วยลดการอักเสบ และที่สำคัญคือช่วยลดรอยดำหลังการเกิดสิว (PIH) ได้ดี จัดเป็นตัวเลือกที่อ่อนโยนและปลอดภัยสำหรับหญิงตั้งครรภ์
  • เรตินอยด์ชนิดทา (Topical Retinoids): เป็นอนุพันธ์ของวิตามินเอที่ช่วยปรับการผลัดเซลล์ผิวให้เป็นปกติ ป้องกันการอุดตัน และลดการอักเสบ โดย Adapalene 0.1% เป็นเรตินอยด์ชนิดเดียวที่หาซื้อได้เองโดยไม่ต้องใช้ใบสั่งยา และมีประสิทธิภาพสูงในการรักษาสิวอุดตันและใช้เพื่อควบคุมสิวในระยะยาว

นอกจากนี้ ควรใช้ผลิตภัณฑ์ที่มีส่วนผสมสนับสนุนอื่นๆ เพื่อช่วยเสริมสร้างเกราะป้องกันผิวและลดการระคายเคืองจากการใช้ยารักษาสิว เช่น ไนอะซินาไมด์ (Niacinamide) ที่ช่วยลดรอยแดงและควบคุมความมัน, เซราไมด์ (Ceramides) ที่ช่วยฟื้นฟูเกราะป้องกันผิว และ กรดไฮยาลูรอนิก (Hyaluronic Acid) ที่ช่วยเติมความชุ่มชื้นโดยไม่อุดตันรูขุมขน

3.2. การรักษาโดยแพทย์: ยาทา ยารับประทาน และหัตถการ

การรักษาโดยแพทย์สำหรับสิวที่แก้มประกอบด้วยยาทาตามใบสั่งแพทย์ ยารับประทาน และหัตถการทางคลินิก ซึ่งแพทย์จะเลือกใช้ตามความรุนแรงและชนิดของสิว

  1. ยาทาตามใบสั่งแพทย์ (Prescription Topicals): แพทย์อาจสั่งยาปฏิชีวนะชนิดทา (เช่น คลินดามัยซิน ซึ่งมักใช้ร่วมกับเบนโซอิลเพอร์ออกไซด์) เรตินอยด์ที่แรงขึ้น (เช่น เทรติโนอิน) หรือยาที่ออกฤทธิ์เฉพาะที่ต่อฮอร์โมน (เช่น คลาสโคเทอโรน) เพื่อลดการอักเสบและควบคุมการผลิตน้ำมัน
  2. ยารับประทาน (Oral Medications): สำหรับสิวระดับปานกลางถึงรุนแรง ตัวเลือกได้แก่ ยาปฏิชีวนะ (เช่น ด็อกซีไซคลิน) ยาปรับฮอร์โมนสำหรับผู้หญิง (เช่น ยาคุมกำเนิด, สไปโรโนแลคโตน) และยาไอโสเตรติโนอิน (Isotretinoin) สำหรับสิวชนิดรุนแรงหรือดื้อยา
  3. หัตถการทางคลินิก (Clinical Procedures): หัตถการเสริมที่แพทย์ผิวหนังทำได้แก่ การผลัดเซลล์ผิวด้วยสารเคมี (Chemical peels) การกดสิวอุดตัน การฉายแสงบำบัด (เช่น แสงสีฟ้า) การใช้เลเซอร์ และการฉีดคอร์ติโคสเตียรอยด์เข้าที่สิวอักเสบเม็ดใหญ่โดยตรงเพื่อลดการอักเสบอย่างรวดเร็ว

3.3. การปรับเปลี่ยนพฤติกรรมในชีวิตประจำวัน

การปรับเปลี่ยนพฤติกรรมในชีวิตประจำวันเพื่อลดสิวที่แก้มสามารถทำได้โดยการปรับเปลี่ยนอาหาร ปรับปรุงสุขอนามัย และจัดการความเครียด ซึ่งการปรับเปลี่ยนเหล่านี้จะช่วยลดปัจจัยกระตุ้นภายนอกและภายในที่ทำให้เกิดสิวได้

  • อาหาร:
  • รับประทานอาหารที่มีค่าดัชนีน้ำตาลต่ำ (Low-GI): ลดการบริโภคอาหารที่มีน้ำตาลและคาร์โบไฮเดรตสูง เช่น ขนมปังขาว ของหวาน และน้ำอัดลม เนื่องจากมีงานวิจัยพบว่าอาหารกลุ่มนี้สามารถลดจำนวนสิวได้
  • จำกัดการบริโภคนม: โดยเฉพาะนมพร่องมันเนย มีความสัมพันธ์กับการเกิดสิวที่เพิ่มขึ้นในงานวิจัยหลายชิ้น
  • สุขอนามัย:
  • ทำความสะอาดโทรศัพท์มือถือ: เช็ดหน้าจอโทรศัพท์ทุกวันด้วยแอลกอฮอล์ 70% เพื่อกำจัดแบคทีเรีย และพยายามใช้หูฟังหรือเปิดลำโพงเพื่อลดการสัมผัสกับแก้มโดยตรง
  • เปลี่ยนปลอกหมอนบ่อยๆ: ควรเปลี่ยนปลอกหมอนอย่างน้อยสัปดาห์ละ 1-2 ครั้ง เพื่อกำจัดน้ำมัน เซลล์ผิวที่ตายแล้ว และแบคทีเรียที่สะสมอยู่
  • หลีกเลี่ยงการสัมผัสใบหน้า: การจับหรือเท้าคางบ่อยๆ สามารถนำพาน้ำมันและเชื้อโรคมาสู่ผิวหน้าได้
  • ล้างหน้าอย่างถูกวิธี: ล้างหน้าวันละ 2 ครั้งด้วยผลิตภัณฑ์ที่อ่อนโยนและไม่ก่อให้เกิดการอุดตัน (Non-comedogenic)
  • การจัดการความเครียด:
  • ลดความเครียด: ความเครียดทำให้ร่างกายหลั่งฮอร์โมนคอร์ติซอล ซึ่งกระตุ้นการผลิตน้ำมันและการอักเสบ การทำสมาธิ โยคะ หรือการหายใจลึกๆ สามารถช่วยลดความเครียดและส่งผลดีต่อผิวได้
  • นอนหลับให้เพียงพอ: การนอนหลับ 7-9 ชั่วโมงต่อคืนเป็นสิ่งสำคัญในการควบคุมระดับฮอร์โมนและช่วยให้ผิวได้ซ่อมแซมตัวเอง

4. ทำไมสิวที่แก้มไม่หายสักที? แนวทางแก้ปัญหาสิวเรื้อรัง

สิวที่แก้มซึ่งไม่หายสักทีอาจมีสาเหตุมาจากความไม่สมดุลของฮอร์โมน การวินิจฉัยที่ไม่ถูกต้อง หรือการดื้อยาของเชื้อแบคทีเรีย ซึ่งแนวทางการแก้ปัญหาคือการพบแพทย์เพื่อประเมินสาเหตุที่แท้จริงและปรับการรักษาให้ตรงจุด

สาเหตุหลักที่ทำให้สิวที่แก้มเรื้อรังและไม่ตอบสนองต่อการรักษาทั่วไป ได้แก่:

  • ภาวะฮอร์โมนหรือโรคประจำตัว: ภาวะบางอย่าง เช่น ภาวะถุงน้ำรังไข่หลายใบ (PCOS) ความผิดปกติของต่อมไทรอยด์ หรือกลุ่มอาการคุชชิง (Cushing’s syndrome) สามารถกระตุ้นให้เกิดสิวรุนแรงและต่อเนื่องได้ การรักษาสิวให้ได้ผลจึงจำเป็นต้องรักษาโรคที่เป็นต้นเหตุควบคู่กันไป
  • การวินิจฉัยที่ไม่ถูกต้อง: สิ่งที่ดูเหมือนสิวอาจเป็นภาวะอื่น เช่น สิวเชื้อรา (Malassezia folliculitis) หรือโรคโรซาเชีย (Rosacea) ซึ่งต้องการการรักษาที่แตกต่างจากการรักษาสิวทั่วไป การใช้ยาผิดประเภทอาจทำให้สิวไม่หายหรือแย่ลง
  • การดื้อยาของแบคทีเรีย: การใช้ยาปฏิชีวนะเป็นเวลานานอาจทำให้เชื้อแบคทีเรียที่ก่อสิวเกิดการดื้อยา หรืออาจมีการติดเชื้อแบคทีเรียชนิดอื่น เช่น แบคทีเรียแกรมลบ ซึ่งไม่ตอบสนองต่อยารักษาสิวแบบเดิมๆ แพทย์อาจต้องทำการเพาะเชื้อเพื่อระบุชนิดของเชื้อและเลือกยาที่เหมาะสม

5. สิวขึ้นแก้มซ้ายและแก้มขวาบอกอะไรได้บ้าง?

โดยทั่วไปแล้ว สิวที่ขึ้นบนแก้มซ้ายและแก้มขวาไม่ได้มีความหมายที่แตกต่างกันในทางการแพทย์ หลักฐานทางวิทยาศาสตร์สมัยใหม่ไม่สนับสนุนความเชื่อดั้งเดิมที่ว่าสิวบนแก้มแต่ละข้างเชื่อมโยงกับปัญหาสุขภาพของอวัยวะภายในที่แตกต่างกัน

การเกิดสิวบนแก้มเพียงข้างใดข้างหนึ่งมักเกิดจากปัจจัยภายนอกหรือพฤติกรรมเฉพาะด้านมากกว่า ปัจจัยเหล่านี้ได้แก่:

  • การสัมผัสโทรศัพท์มือถือ: การแนบโทรศัพท์กับแก้มข้างใดข้างหนึ่งเป็นประจำ ทำให้เกิดการสะสมของแบคทีเรียและความร้อน
  • ท่านอน: การนอนตะแคงข้างเดิมเป็นประจำ ทำให้แก้มข้างนั้นสัมผัสกับปลอกหมอนที่อาจมีน้ำมันและสิ่งสกปรกสะสมอยู่
  • พฤติกรรมการสัมผัสใบหน้า: การใช้มือเท้าคางหรือสัมผัสใบหน้าข้างใดข้างหนึ่งบ่อยกว่าอีกข้าง
  • ปัจจัยอื่นๆ: ปัจจัยภายนอก เช่น ทรงผมที่ปรกหน้าข้างเดียว หรือวิธีการโกนหนวด ก็อาจทำให้เกิดสิวเฉพาะที่ได้

6. จะลดรอยสิวที่แก้มได้อย่างไร?

คุณสามารถลดรอยสิวที่แก้มได้ ด้วยการใช้ผลิตภัณฑ์ที่หาซื้อได้เอง การทำหัตถการโดยผู้เชี่ยวชาญ และการทาครีมกันแดดอย่างสม่ำเสมอ ซึ่งเป็นสิ่งสำคัญที่สุดในการป้องกันไม่ให้รอยสิวเข้มขึ้น

วิธีการรักษารอยสิวที่แก้มมีดังนี้

  • ผลิตภัณฑ์ที่หาซื้อได้เอง (Over-the-Counter):
  • เรตินอยด์ (Retinoids): เช่น Adapalene ช่วยเร่งการผลัดเซลล์ผิวเพื่อลดเลือนรอยดำและปรับสภาพผิว
  • กรดอะซีลาอิก (Azelaic Acid): มีประสิทธิภาพในการลดรอยดำ (PIH) และช่วยเรื่องสิวอักเสบ
  • วิตามินซี (Vitamin C): เป็นสารต้านอนุมูลอิสระที่ช่วยให้ผิวกระจ่างใสและลดเลือนรอยดำ
  • ไนอะซินาไมด์ (Niacinamide): ช่วยลดรอยแดงและเสริมสร้างเกราะป้องกันผิว
  • หัตถการโดยผู้เชี่ยวชาญ (Professional Treatments):
  • เลเซอร์ (Laser Resurfacing): เช่น Fractional CO₂ laser ช่วยกระตุ้นการสร้างคอลลาเจนเพื่อรักษาหลุมสิวและปรับสภาพผิว
  • ไมโครนีดลิง (Microneedling): การใช้เข็มขนาดเล็กกระตุ้นให้ผิวสร้างคอลลาเจนใหม่เพื่อเติมเต็มหลุมสิว
  • การแต้มกรด (TCA CROSS): เหมาะสำหรับรักษารอยสิวชนิดหลุมลึก (ice pick scars) โดยเฉพาะ
  • การฉีดฟิลเลอร์ (Dermal Fillers): ช่วยเติมเต็มหลุมสิวชนิดแอ่ง (rolling scars) ให้ตื้นขึ้นได้ทันที

7. วิธีป้องกันไม่ให้สิวที่แก้มกลับมาเป็นซ้ำ

วิธีป้องกันสิวที่แก้มกลับมาเป็นซ้ำที่มีประสิทธิภาพคือ การใช้ยาทาเพื่อควบคุมสิวในระยะยาวอย่างสม่ำเสมอ ร่วมกับการปรับเปลี่ยนพฤติกรรมและสุขอนามัยเพื่อลดปัจจัยกระตุ้น

5 วิธีป้องกันสิวที่แก้มกลับมาเป็นซ้ำ ได้แก่

  1. ใช้ยาทาเพื่อควบคุมสิว (Maintenance Therapy): การใช้ยาทากลุ่มเรตินอยด์ (Topical Retinoids) เช่น Adapalene หรือ Tretinoin อย่างต่อเนื่องแม้ในช่วงที่ไม่มีสิวแล้ว จะช่วยยับยั้งการก่อตัวของสิวใหม่ตั้งแต่ระยะเริ่มต้น ซึ่งผลการศึกษาพบว่าสามารถลดอัตราการกลับมาเป็นซ้ำได้ถึง 20-50%
  2. รักษาวินัยในการดูแลผิว: ล้างหน้าวันละ 2 ครั้งอย่างอ่อนโยน ไม่นอนหลับทั้งที่ยังมีเครื่องสำอาง และเลือกใช้ผลิตภัณฑ์บำรุงผิวและเครื่องสำอางที่ระบุว่า “ไม่ก่อให้เกิดการอุดตัน” (Non-Comedogenic)
  3. ใส่ใจสุขอนามัย: เปลี่ยนปลอกหมอนอย่างน้อยสัปดาห์ละครั้ง ทำความสะอาดหน้าจอโทรศัพท์เป็นประจำ และหลีกเลี่ยงการใช้มือสัมผัสหรือเท้าแก้ม เพื่อลดการสะสมของแบคทีเรียและสิ่งสกปรก
  4. ปกป้องผิวจากแสงแดด: การทาครีมกันแดดเป็นประจำทุกวันจะช่วยป้องกันการอักเสบและรอยสิวที่อาจถูกกระตุ้นโดยรังสียูวี อีกทั้งยารักษาสิวหลายชนิดยังทำให้ผิวไวต่อแสงมากขึ้น
  5. ควบคุมปัจจัยภายใน (สำหรับผู้หญิง): สำหรับผู้หญิงที่สิวมีความสัมพันธ์กับฮอร์โมน การใช้ยาคุมกำเนิดหรือยา Spironolactone อย่างต่อเนื่องตามคำแนะนำของแพทย์ สามารถช่วยควบคุมระดับฮอร์โมนและป้องกันการกลับมาของสิวได้อย่างมีประสิทธิภาพ

References

  • American Academy of Dermatology. (n.d.). Acne. AAD. aad.org
  • BioMed Central. (n.d.). General medical research. BioMed Central. biomedcentral.com
  • Cleveland Clinic. (n.d.). Acne Face Map. Cleveland Clinic. clevelandclinic.org
  • Epoch Times. (2023). Bacteria levels on pillowcases after one week. Epoch Times. epochtimes.com
  • Yonsei Medical Journal. (2023). Dermatology research studies. Yonsei University. eyjm.org
  • Healthline. (2020). Face Mapping Myths. Healthline. healthline.com
  • Hindustan Times. (2023). Dermatologist explains pillowcase-acne link. Hindustan Times. hindustantimes.com
  • JMIR Dermatology. (2023). Digital dermatology research. JMIR Publications. derma.jmir.org
  • Yonsei Medical Journal. (2023). Acne prevalence and risk data. Yonsei University. eyjm.org
  • Cleveland Clinic. (n.d.). Acne Face Mapping. Cleveland Clinic. clevelandclinic.org
  • Journal of Drugs in Dermatology. (2009). Benzoyl Peroxide in Acne Management. JDD Online. jddonline.com
  • BMC Public Health. (2024). Acne risk factors in health populations. BioMed Central. biomedcentral.com
  • Evidence-Based Practice. (2024). Effective acne treatments. Wolters Kluwer. journals.lww.com

Author

  • admin
    admin

    View all posts

แนะแนวเรื่อง

Previous Previous
สิวจาก PCOS: สาเหตุ อาการ แนวทางการรักษาและควบคุม
NextContinue
หน้าแห้ง แก้ยังไง คู่มือดูแลผิวและเลือกมอยส์เจอร์ไรเซอร์

สาขาพรีวาโต คลินิก

    สาขาอโศก ตั้งอยู่ที่ ชั้น 2 อาคารมิดทาวน์
    Phone: 02-258-4050 , 081-841-5075
    สาขาสีลม ตั้งอยู่ที่ ชั้น 1 อาคารซี.พี.ทาวเวอร์
    Phone: 02-780-2011 , 098-272-5244
    สาขาราชพฤกษ์ ตั้งอยู่ที่ ชั้น 2 ศูนย์การค้า เดอะคริสตัล เอสบี (ด้านบนร้านสตาร์บัคส์)
    Phone: 02-102-2778 , 098-272-5244

ติดต่อเรา

    Facebook: Privato Clinic
    Messenger: Privato Clinic
    Instagram: privatoclinic
    Email: privatoclinic@gmail.com
    Line: @privatoclinic

Copyright© 2022-2024. All Rights Reserved

Scroll to top
  • หน้าหลัก
  • เกี่ยวกับพรีวาโต
  • บริการทั้งหมด
    • ชะลอวัย
    • ยกกระชับผิว
      • XERF
      • Potenza
      • Sofwave
      • Ulthera
      • Thermage-FLX
    • รักษาสิว
    • เลเซอร์
    • โปรแกรมฉีด
    • บำรุงผิว
  • บทความ
    • สิว
    • ยกกระชับ
    • ดูแลผิว
    • ทำเลเซอร์
  • ผลิตภัณฑ์ดูแลผิว
  • โปรโมชั่น
  • ผลลัพธ์การรักษา
  • วิดีโอรีวิวจากเคสจริง
  • สาขาของเรา
  • ไทย
    • ไทย
    • English
    • 中文 (中国)
  • ปรึกษาแพทย์
Facebook Instagram YouTube