Skip to content

TEL : 081-841-5075, 02-258-4050

Facebook Instagram YouTube
Privato Clinic – Innovation Of Beauty  |  Bangkok
  • หน้าหลัก
  • เกี่ยวกับพรีวาโต
  • บริการทั้งหมดExpand
    • ชะลอวัย
    • ยกกระชับผิวExpand
      • XERF
      • Potenza
      • Sofwave
      • Ulthera
      • Thermage-FLX
    • รักษาสิว
    • เลเซอร์
    • โปรแกรมฉีด
    • บำรุงผิว
  • บทความExpand
    • สิว
    • ยกกระชับ
    • ดูแลผิว
    • ทำเลเซอร์
  • ผลิตภัณฑ์ดูแลผิว
  • โปรโมชั่น
  • ผลลัพธ์การรักษา
  • วิดีโอรีวิวจากเคสจริง
  • สาขาของเรา
  • ไทยExpand
    • ไทย
    • English
    • 中文 (中国)
  • ปรึกษาแพทย์
Privato Clinic – Innovation Of Beauty  |  Bangkok
Consult a Doctor
Lifting

ผิวหย่อนคล้อย: 9 วิธียกกระชับหน้าเต่งตึง เห็นผลจริง

Byadmin กันยายน 6, 2025
By นายแพทย์เลอพงษ์ กรุดเงิน Updated on กันยายน 6, 2025
✦ Medically reviewed by  นายแพทย์พนิต อุนรัตน์

Table of Contents

Toggle
  • ผิวหย่อนคล้อยคืออะไร? สัญญาณและลักษณะที่สังเกตได้
  • สาเหตุหลักที่ทำให้ผิวหน้าหย่อนคล้อย ไม่กระชับ
    • ปัจจัยภายใน: อายุ คอลลาเจน และการเปลี่ยนแปลงของโครงสร้างผิว
    • ปัจจัยภายนอก: แสงแดด มลภาวะ และพฤติกรรมการใช้ชีวิต
    • การลดน้ำหนักอย่างรวดเร็วมีผลต่อผิวอย่างไร
  • 9 วิธียกกระชับใบหน้า แก้ปัญหาผิวหย่อนคล้อย
    • วิธีที่ 1: ใช้สกินแคร์ที่ช่วยยกกระชับและลดริ้วรอย
    • วิธีที่ 2: นวดหน้าและทำโยคะใบหน้าด้วยตนเอง
    • วิธีที่ 3: ปรับการกินอาหารเพื่อเสริมสร้างคอลลาเจนให้ผิวเต่งตึง
    • วิธีที่ 4: ทำทรีทเมนท์ผลักวิตามินและยกกระชับผิว
    • วิธีที่ 5: ยกกระชับด้วยเครื่องมือกลุ่มพลังงาน (HIFU, Ultherapy, Thermage)
    • วิธีที่ 6: การฉีดสารเติมเต็ม (Filler) เพื่อพยุงผิว
    • วิธีที่ 7: การฉีดโบทูลินั่มท็อกซิน (Botox) เพื่อปรับกรอบหน้า
    • วิธีที่ 8: การร้อยไหมเพื่อดึงยกผิวที่หย่อนคล้อย
    • วิธีที่ 9: การผ่าตัดศัลยกรรมดึงใบหน้า (Facelift)
  • ตารางเปรียบเทียบ: เลือกวิธีแก้ปัญหาหน้าหย่อนคล้อยให้เหมาะกับคุณ
    • เปรียบเทียบตามระดับความรุนแรงของปัญหา
    • เปรียบเทียบผลลัพธ์และระยะเวลาเห็นผล
    • เปรียบเทียบค่าใช้จ่ายและระยะเวลาพักฟื้น
  • ความปลอดภัยและผลข้างเคียงที่ควรรู้ก่อนตัดสินใจ
    • ใครบ้างที่ไม่เหมาะกับการทำหัตถการยกกระชับ
    • ควรปรึกษาแพทย์ผู้เชี่ยวชาญเมื่อใด
  • คำถามที่พบบ่อย (FAQs)
    • แก้ปัญหาหน้าหย่อนคล้อยโดยวิธีธรรมชาติเห็นผลจริงไหม?
    • อายุเท่าไหร่ควรเริ่มดูแลเรื่องความหย่อนคล้อย?
    • ผิวหย่อนคล้อยในผู้ชายและผู้หญิงแตกต่างกันหรือไม่?
    • หลังทำหัตถการยกกระชับ ต้องดูแลตัวเองอย่างไร?
    • ริ้วรอยกับผิวหย่อนคล้อยมีความสัมพันธ์กันอย่างไร?
  • อ้างอิง:

ผิวหย่อนคล้อยคืออะไร? สัญญาณและลักษณะที่สังเกตได้

ผิวหย่อนคล้อยวัย 50

ผิวหย่อนคล้อยคือภาวะที่ผิวหนังสูญเสียความยืดหยุ่นจนหย่อนยานและไม่กระชับติดกับโครงสร้างข้างใต้เหมือนเดิม ซึ่งเกิดจากการสูญเสียคอลลาเจนและอีลาสติน ทำให้ผิวไม่สามารถ “ดีดกลับ” เข้าที่ได้

สัญญาณที่สังเกตได้ของผิวหย่อนคล้อย ได้แก่:

  • ใบหน้าหย่อนคล้อย เช่น แก้มตกหรือเปลือกตาตก
  • แก้มห้อยย้อยบริเวณแนวกราม (Jowls)
  • กรอบหน้าไม่คมชัด
  • ผิวใต้คางหย่อนยาน

สาเหตุหลักที่ทำให้ผิวหน้าหย่อนคล้อย ไม่กระชับ

ปัจจัยภายใน: อายุ คอลลาเจน และการเปลี่ยนแปลงของโครงสร้างผิว

การสลายตัวของคอลลาเจนและอีลาสติน การเปลี่ยนแปลงของไขมันบนใบหน้า การสูญเสียมวลกระดูก และความหย่อนคล้อยของกล้ามเนื้อ คือปัจจัยภายในหลักที่ทำให้ผิวหย่อนคล้อยตามอายุ

เมื่ออายุมากขึ้น ปัจจัยภายในเหล่านี้จะส่งผลกระทบต่อโครงสร้างผิว ดังนี้

  • การสลายตัวของคอลลาเจนและอีลาสติน: ผิวจะบางลงและสูญเสียความยืดหยุ่น ทำให้ไม่สามารถ “ดีดกลับ” ได้เหมือนเดิม
  • การเปลี่ยนแปลงของไขมัน: ไขมันบริเวณแก้มจะฝ่อและเคลื่อนตัวลงต่ำ ในขณะที่ไขมันอาจไปสะสมใต้คาง ทำให้เกิดแก้มตอบและเหนียง
  • การสูญเสียมวลกระดูก: โครงสร้างกระดูกบนใบหน้า เช่น ขากรรไกรและเบ้าตา จะเกิดการสลายตัว ทำให้ผิวที่เคยขึงตึงอยู่บนกระดูกยุบตัวและหย่อนลง
  • ความหย่อนของกล้ามเนื้อและพังผืด (SMAS): การพยุงผิวจากชั้นกล้ามเนื้อและพังผืดลดลง ทำให้ผิวขาดความกระชับ

ปัจจัยภายนอก: แสงแดด มลภาวะ และพฤติกรรมการใช้ชีวิต

รังสียูวี มลภาวะ และพฤติกรรมการใช้ชีวิต เป็นปัจจัยภายนอกที่สำคัญซึ่งเร่งกระบวนการทำลายคอลลาเจนและอีลาสตินในผิวหนัง ส่งผลให้ผิวหย่อนคล้อยก่อนวัยอันควร ปัจจัยเหล่านี้สร้างความเสียหายผ่านภาวะเครียดออกซิเดชัน (oxidative stress) และการอักเสบเรื้อรัง

  • แสงแดด (UV Radiation): รังสียูวีจะสร้างอนุมูลอิสระที่เข้าไปทำลายคอลลาเจนและอีลาสตินโดยตรง ทำให้ผิวสูญเสียความยืดหยุ่นและเกิดการหย่อนคล้อย โดยเฉพาะบริเวณใบหน้า ลำคอ และแขน
  • มลภาวะ (Pollution): ฝุ่นละอองและสารพิษในอากาศกระตุ้นให้เกิดการอักเสบและภาวะเครียดออกซิเดชันในผิวหนัง ซึ่งจะไปเร่งเอนไซม์ที่ทำหน้าที่สลายคอลลาเจน มีงานวิจัยที่เชื่อมโยงมลภาวะกับการเกิดแก้มห้อยและผิวหย่อนคล้อย
  • พฤติกรรมการใช้ชีวิต (Lifestyle Factors):
  • การสูบบุหรี่: ควันบุหรี่เต็มไปด้วยอนุมูลอิสระที่ทำลายคอลลาเจนและขัดขวางการไหลเวียนของเลือด ทำให้ผู้ที่สูบบุหรี่จัดมีผิวหย่อนคล้อยและเหี่ยวย่นได้เร็วกว่าปกติ
  • ความเครียดเรื้อรัง: ทำให้ร่างกายหลั่งฮอร์โมนคอร์ติซอล (cortisol) ในระดับสูง ซึ่งจะไปยับยั้งการสร้างคอลลาเจนและอีลาสติน
  • การนอนหลับไม่เพียงพอและโภชนาการที่ไม่ดี: การพักผ่อนน้อยและรับประทานอาหารที่มีโปรตีนและสารต้านอนุมูลอิสระต่ำ อาจทำให้กระบวนการซ่อมแซมและสร้างคอลลาเจนช้าลง

การลดน้ำหนักอย่างรวดเร็วมีผลต่อผิวอย่างไร

การลดน้ำหนักอย่างรวดเร็วทำให้ผิวหนังหย่อนคล้อยและสูญเสียความกระชับ เนื่องจากไขมันใต้ผิวหนังซึ่งทำหน้าที่เหมือนเบาะรองรับผิวหายไปอย่างรวดเร็ว ทำให้ผิวหนังที่เคยถูกยืดออกไม่สามารถหดตัวกลับได้ทัน

โดยเฉพาะในวัยกลางคนที่ผิวมีคอลลาเจนและอีลาสตินลดลงอยู่แล้ว ผิวจะขาดความยืดหยุ่นในการหดตัว ส่งผลให้เกิดผิวหนังส่วนเกินที่หย่อนยานอย่างเห็นได้ชัดบริเวณใบหน้า (แก้มตก, เหนียง) และลำตัว ในทางตรงกันข้าม การลดน้ำหนักอย่างค่อยเป็นค่อยไปจะทำให้ผิวมีเวลาปรับตัวได้ดีกว่า

9 วิธียกกระชับใบหน้า แก้ปัญหาผิวหย่อนคล้อย

วิธีที่ 1: ใช้สกินแคร์ที่ช่วยยกกระชับและลดริ้วรอย

การใช้สกินแคร์ที่มีส่วนผสมออกฤทธิ์ (active ingredients) เช่น เรตินอยด์, วิตามินซี และเปปไทด์ เป็นวิธีที่ได้รับการพิสูจน์แล้วว่าสามารถช่วยกระตุ้นการสร้างคอลลาเจนและปรับปรุงความกระชับของผิวได้

ส่วนผสมเหล่านี้ทำงานเพื่อช่วยลดเลือนริ้วรอยและความหย่อนคล้อยในระยะเริ่มต้นได้ ดังนี้:

  • เรตินอยด์ (Retinoids): อนุพันธ์ของวิตามินเอ เช่น เรตินอล (Retinol) และเตรติโนอิน (Tretinoin) ช่วยยับยั้งเอนไซม์ที่ทำลายคอลลาเจนและกระตุ้นการสร้างคอลลาเจนและอีลาสตินใหม่ ทำให้ผิวเรียบเนียนและกระชับขึ้นเมื่อใช้ต่อเนื่อง 3-6 เดือน
  • สารต้านอนุมูลอิสระ (Antioxidants): โดยเฉพาะวิตามินซี (Vitamin C) ช่วยปกป้องคอลลาเจนเดิมจากความเสียหายของรังสียูวีและช่วยในการสร้างคอลลาเจนใหม่ ทำให้ผิวมีความยืดหยุ่นและกระจ่างใสขึ้น นอกจากนี้ยังมีไนอะซินาไมด์ (Niacinamide) ที่ช่วยให้ผิวฟื้นตัวได้ดีขึ้น
  • เปปไทด์ (Peptides): เป็นโปรตีนขนาดเล็กที่ทำหน้าที่ส่งสัญญาณให้ผิวผลิตคอลลาเจนและอีลาสตินเพิ่มขึ้น เช่น Matrixyl ซึ่งช่วยให้ผิวแน่นขึ้นและลดความลึกของริ้วรอยได้เมื่อใช้เป็นประจำ

แม้ส่วนผสมเหล่านี้จะช่วยปรับปรุงผิวที่หย่อนคล้อยในระยะเริ่มต้นได้ แต่ผลลัพธ์จะมีความเปลี่ยนแปลงเพียงเล็กน้อยและไม่สามารถเทียบเท่ากับการทำหัตถการทางการแพทย์ได้

วิธีที่ 2: นวดหน้าและทำโยคะใบหน้าด้วยตนเอง

การนวดหน้าและโยคะใบหน้า เป็นวิธีที่อาจช่วยปรับปรุงรูปหน้าและความยืดหยุ่นของผิวได้เล็กน้อย โดยมีหลักฐานทางวิทยาศาสตร์สนับสนุนเพิ่มขึ้นเรื่อยๆ

แนวคิดคือการนวดหรือบริหารกล้ามเนื้อใบหน้าจะช่วยเพิ่มการไหลเวียนโลหิต, เพิ่มความกระชับของกล้ามเนื้อ และอาจกระตุ้นการสร้างคอลลาเจนได้ งานวิจัยในปี 2023 พบว่าทั้งลูกกลิ้งนวดหน้า (facial roller) และกัวซา (gua sha) สามารถปรับปรุงรูปหน้าและความยืดหยุ่นของผิวได้จริงหลังใช้เป็นเวลา 8 สัปดาห์ นอกจากนี้ การศึกษาเกี่ยวกับการทำโยคะใบหน้าทุกวันเป็นเวลา 20 สัปดาห์ ยังรายงานว่าช่วยให้แก้มดูอิ่มฟูขึ้นและใบหน้าดูอ่อนเยาว์ลง

อย่างไรก็ตาม ผู้เชี่ยวชาญแนะนำให้ทำอย่างเบามือและใช้น้ำมันหรือครีมหล่อลื่นเพื่อหลีกเลี่ยงการดึงรั้งผิวแรงเกินไป ซึ่งอาจส่งผลเสียได้ ผลลัพธ์ที่ได้นั้นไม่ชัดเจนเท่ากับการทำหัตถการทางการแพทย์ แต่ถือเป็นวิธีเสริมความงามที่มีความเสี่ยงต่ำและสามารถทำได้เองที่บ้านเพื่อช่วยให้ผิวดูยกกระชับขึ้นเล็กน้อย

วิธีที่ 3: ปรับการกินอาหารเพื่อเสริมสร้างคอลลาเจนให้ผิวเต่งตึง

การปรับเปลี่ยนอาหารและรับประทานผลิตภัณฑ์เสริมอาหารบางชนิดสามารถช่วยเพิ่มความยืดหยุ่นและความกระชับของผิวจากภายในได้ โดยการให้สารอาหารที่จำเป็นต่อการสร้างและปกป้องคอลลาเจน

งานวิจัยได้ยืนยันถึงประโยชน์ของอาหารและผลิตภัณฑ์เสริมอาหารดังต่อไปนี้

  • อาหารที่อุดมด้วยสารอาหาร:
  • โปรตีน: เนื้อสัตว์ไม่ติดมันและปลา เพื่อให้ได้กรดอะมิโนที่จำเป็นต่อการสร้างคอลลาเจน เช่น ไลซีนและโพรลีน
  • วิตามินและแร่ธาตุ: ผักและผลไม้ที่อุดมด้วยวิตามิน C, A, B, สังกะสี และทองแดง เพื่อสนับสนุนกระบวนการซ่อมแซมผิว
  • กรดไขมันโอเมก้า 3: พบในปลาและเมล็ดแฟลกซ์ ช่วยลดการอักเสบที่ทำลายคอลลาเจน
  • การดื่มน้ำให้เพียงพอ: ช่วยให้ผิวชุ่มชื้นและดูอิ่มฟูขึ้น
  • ผลิตภัณฑ์เสริมอาหาร:
  • คอลลาเจนเปปไทด์: จากการวิเคราะห์อภิมาน (meta-analysis) ในปี 2021 พบว่าการรับประทานคอลลาเจนไฮโดรไลซ์ 2.5-10 กรัมต่อวัน สามารถเพิ่มความชุ่มชื้นและความยืดหยุ่นของผิวได้อย่างมีนัยสำคัญ โดยจะเริ่มเห็นผลหลังผ่านไป 8-12 สัปดาห์
  • สารต้านอนุมูลอิสระ: วิตามิน C, E และโคเอนไซม์คิวเทน (Coenzyme Q10) ช่วยปกป้องคอลลาเจนที่มีอยู่จากการถูกทำลาย
  • ไอโซฟลาโวนจากถั่วเหลือง (Soy Isoflavones): มีงานวิจัยบางชิ้นแสดงให้เห็นว่าช่วยเพิ่มความหนาและความยืดหยุ่นของผิวในผู้หญิงวัยหมดประจำเดือนได้

วิธีนี้เหมาะที่สุดสำหรับการป้องกันหรือใช้กับผิวที่เริ่มหย่อนคล้อยในระยะแรก และจะได้ผลดียิ่งขึ้นเมื่อใช้ร่วมกับการดูแลผิวด้วยวิธีอื่น

วิธีที่ 4: ทำทรีทเมนท์ผลักวิตามินและยกกระชับผิว

ทรีทเมนท์ผลักวิตามินและยกกระชับผิวทำงานโดย การส่งสารบำรุง เช่น วิตามิน กรดไฮยาลูรอนิก หรือเปปไทด์ เข้าสู่ผิวชั้นลึก เพื่อเพิ่มความชุ่มชื้นและความกระชับให้แก่ผิวโดยตรง ซึ่งสามารถทำได้หลายวิธี

  • เมโสเทอราพี (Mesotherapy): เป็นการใช้เข็มขนาดเล็กมากฉีดสารอาหารเข้าไปในผิวชั้นตื้นๆ โดยตรง เพื่อช่วยให้ผิวชุ่มชื้นและดู “เด้ง” ขึ้น แม้จะไม่ได้ช่วยยกกระชับผิวที่หย่อนคล้อยมากนัก แต่ช่วยปรับปรุงคุณภาพผิวโดยรวมได้
  • อิเล็กโตรโฟรีซิส (Electroporation) หรือเมโสแบบไม่ใช้เข็ม: เป็นเทคนิคที่ใช้คลื่นไฟฟ้าเพื่อเปิดช่องทางในเซลล์ผิวชั่วคราว ทำให้เซรั่มหรือสารบำรุงต่างๆ สามารถซึมลึกเข้าสู่ผิวได้โดยไม่ต้องใช้เข็ม ตัวเครื่องไม่ได้ทำให้ผิวกระชับขึ้นโดยตรง แต่สารออกฤทธิ์ที่ถูกผลักเข้าไปจะช่วยบำรุงและอาจให้ผลลัพธ์ด้านความกระชับได้เมื่อทำอย่างต่อเนื่อง

ทรีทเมนท์เหล่านี้ให้ผลลัพธ์ที่ไม่ชัดเจนเท่าหัตถการอื่น แต่สามารถช่วยปรับปรุงสุขภาพผิวโดยรวมได้ดี และมักแนะนำให้ทำเป็นคอร์สต่อเนื่องเพื่อผลลัพธ์ที่ดีที่สุด

วิธีที่ 5: ยกกระชับด้วยเครื่องมือกลุ่มพลังงาน (HIFU, Ultherapy, Thermage)

การยกกระชับด้วยเครื่องมือกลุ่มพลังงานเป็นการใช้เทคโนโลยีที่ไม่ต้องผ่าตัด เช่น คลื่นอัลตราซาวนด์ (HIFU, Ultherapy) และคลื่นวิทยุ (Thermage) เพื่อส่งพลังงานความร้อนลงไปกระตุ้นการสร้างคอลลาเจนในชั้นผิวลึก ทำให้ผิวที่หย่อนคล้อยค่อยๆ ตึงและยกกระชับขึ้น

เครื่องมือแต่ละชนิดมีหลักการทำงานและผลลัพธ์ที่แตกต่างกันเล็กน้อย ดังนี้

  • HIFU (High-Intensity Focused Ultrasound): ใช้คลื่นอัลตราซาวนด์ความเข้มข้นสูงสร้างจุดความร้อนเล็กๆ ในชั้นผิวลึกถึงชั้น SMAS (ชั้นพังผืดของกล้ามเนื้อใบหน้า) เพื่อกระตุ้นให้คอลลาเจนหดตัวและสร้างใหม่ ผลลัพธ์จะค่อยๆ ปรากฏชัดเจนใน 2-3 เดือน ช่วยยกกระชับบริเวณกรอบหน้าและลำคอได้ประมาณ 18-30% โดยผลลัพธ์อยู่ได้นาน 1-2 ปี
  • Ultherapy (MFU-V): เป็นเทคโนโลยี HIFU ขั้นสูงที่มีหน้าจออัลตราซาวนด์แสดงภาพชั้นผิวแบบเรียลไทม์ ทำให้แพทย์สามารถส่งพลังงานได้อย่างแม่นยำตรงเป้าหมาย จึงให้ผลลัพธ์ที่สม่ำเสมอและปลอดภัยสูง มีอัตราความพึงพอใจของผู้รับการรักษาสูงถึง 84% และผลลัพธ์คงอยู่ได้ประมาณ 1.5-2 ปี
  • Thermage (Monopolar Radiofrequency): ใช้คลื่นวิทยุ (RF) สร้างความร้อนแบบเป็นกลุ่มก้อน (bulk heating) ในชั้นหนังแท้ เพื่อกระตุ้นการจัดเรียงตัวและการสร้างคอลลาเจนใหม่ เหมาะสำหรับผู้ที่มีความหย่อนคล้อยเล็กน้อยถึงปานกลาง และเป็นเทคโนโลยีเดียวที่ได้รับการรับรองจาก FDA ให้ใช้ยกกระชับผิวเปลือกตาที่หย่อนคล้อยได้ ผลลัพธ์จะค่อยๆ ดีขึ้นใน 2-6 เดือน และอยู่ได้นาน 1-2 ปี

วิธีที่ 6: การฉีดสารเติมเต็ม (Filler) เพื่อพยุงผิว

การฉีดสารเติมเต็ม (Filler) ช่วยยกกระชับผิวที่หย่อนคล้อยโดยการเข้าไปเติมเต็มปริมาตรที่สูญเสียไปตามวัย เพื่อพยุงโครงสร้างผิวจากภายใน ทำให้ผิวที่หย่อนคล้อยกลับมาเต่งตึงและได้รูปอีกครั้ง

เมื่ออายุมากขึ้น ใบหน้าจะสูญเสียปริมาตรไขมันและกระดูกบริเวณแก้ม ขมับ และแนวกราม ทำให้ผิวหนังที่อยู่ด้านบนหย่อนลงมา การฉีดฟิลเลอร์เข้าไปในบริเวณดังกล่าวจะช่วยทดแทนปริมาตรที่หายไปและทำหน้าที่เป็นโครงสร้างพยุงผิวหนังไว้ ส่งผลให้ผิวถูกยกขึ้นอย่างเป็นธรรมชาติ

  • หลักการทำงาน: ฟิลเลอร์จะเข้าไปเติมเต็มช่องว่างใต้ผิวหนัง ทำให้ผิวที่หย่อนคล้อยและร่องลึกตื้นขึ้นและยกกระชับขึ้นทันที เทคนิคการฉีดที่เรียกว่า “Liquid Facelift” หรือการฉีดฟิลเลอร์เพื่อยกกระชับใบหน้า จะเน้นการเติมบริเวณโหนกแก้มเพื่อดึงผิวส่วนล่างที่หย่อนคล้อยให้ยกขึ้น ซึ่งช่วยลดร่องแก้มและร่องน้ำหมากได้
  • ผลลัพธ์: สามารถเห็นผลการยกกระชับได้ทันทีหลังฉีด และจะเห็นผลชัดเจนขึ้นใน 1-2 สัปดาห์ โดยผลลัพธ์จะคงอยู่ประมาณ 6-24 เดือน ขึ้นอยู่กับชนิดของฟิลเลอร์และบริเวณที่ฉีด
  • การกระตุ้นคอลลาเจน: ฟิลเลอร์บางชนิด เช่น Calcium Hydroxyapatite (CaHA) และ Poly-L-lactic acid (PLLA) ยังสามารถกระตุ้นให้ร่างกายสร้างคอลลาเจนขึ้นมาใหม่รอบๆ บริเวณที่ฉีด ทำให้ผิวมีความแน่นกระชับในระยะยาว

วิธีที่ 7: การฉีดโบทูลินั่มท็อกซิน (Botox) เพื่อปรับกรอบหน้า

การฉีดโบทูลินั่มท็อกซิน (Botox) สามารถช่วยยกกระชับกรอบหน้าและลำคอได้เล็กน้อย โดยการทำให้กล้ามเนื้อที่ดึงผิวลงด้านล่างเกิดการผ่อนคลาย ซึ่งเทคนิคนี้มักเรียกว่า “Nefertiti Lift” (การยกกระชับแบบเนเฟอร์ติติ)

กลไกการทำงานคือการฉีดสารโบท็อกซ์เข้าไปในกล้ามเนื้อคอ (Platysma) และกล้ามเนื้อที่ดึงมุมปากลง (DAO) เพื่อลดแรงดึงลง ทำให้กล้ามเนื้อส่วนที่ทำหน้าที่ยกผิวหน้าทำงานได้เด่นขึ้น ส่งผลให้กรอบหน้าดูคมชัดและลำคอเรียบเนียนขึ้น

  • ผลลัพธ์: การยกกระชับจะเกิดขึ้นเพียงเล็กน้อย (หลักมิลลิเมตร) แต่ก็เพียงพอที่จะทำให้เห็นความแตกต่างได้ชัดเจน เหมาะสำหรับผู้ที่มีปัญหาหย่อนคล้อยในระยะเริ่มต้น หรือผู้ที่มีเส้นกล้ามเนื้อคอที่มองเห็นได้ชัด
  • ระยะเวลา: ผลลัพธ์จะเริ่มเห็นใน 3-7 วัน และเห็นผลเต็มที่ใน 2 สัปดาห์ โดยจะคงอยู่ประมาณ 3-4 เดือน
  • ความเหมาะสม: เทคนิคนี้เหมาะสำหรับผู้ที่มีปัญหากรอบหน้าหย่อนคล้อยเล็กน้อย และมักใช้ร่วมกับการรักษาอื่น ๆ เช่น ฟิลเลอร์ เพื่อให้ได้ผลลัพธ์การยกกระชับที่ดียิ่งขึ้น

วิธีที่ 8: การร้อยไหมเพื่อดึงยกผิวที่หย่อนคล้อย

การร้อยไหมเป็นหัตถการที่ใช้ไหมละลายสอดเข้าไปใต้ผิวหนังเพื่อดึงยกเนื้อเยื่อที่หย่อนคล้อยขึ้น ซึ่งให้ผลลัพธ์ 2 อย่างคือ การดึงยกผิวในทันที และการกระตุ้นให้เกิดการสร้างคอลลาเจนใหม่เพื่อช่วยให้ผิวกระชับขึ้นในระยะยาว

การร้อยไหมเหมาะสำหรับผู้ที่มีความหย่อนคล้อยระดับปานกลาง และให้ผลลัพธ์ที่ชัดเจนแต่ไม่ถาวร โดยมีรายละเอียดดังนี้

  • หลักการทำงาน: ไหมชนิดที่มีเงี่ยง (Cog threads) จะทำหน้าที่เกี่ยวและดึงยกเนื้อเยื่อขึ้นทันที ขณะที่ตัวไหมเองจะกระตุ้นให้ร่างกายสร้างคอลลาเจนขึ้นมาล้อมรอบ ทำให้ผิวบริเวณนั้นแข็งแรงและกระชับขึ้น
  • บริเวณที่นิยมทำ: ส่วนกลางของใบหน้า (ยกแก้ม), กรอบหน้า (แก้ปัญหาแก้มห้อย), คิ้ว (ยกหางคิ้ว) และลำคอ
  • ผลลัพธ์และระยะเวลา: ให้ผลการยกกระชับในระดับเล็กน้อยถึงปานกลาง โดยผลลัพธ์จะอยู่ได้ประมาณ 1-2 ปี ไหมจะค่อยๆ สลายไปใน 6-12 เดือน แต่คอลลาเจนที่สร้างขึ้นใหม่จะยังคงช่วยพยุงผิวต่อไปอีกระยะหนึ่ง
  • ขั้นตอนและระยะเวลาพักฟื้น: เป็นหัตถการที่ทำในคลินิกโดยใช้ยาชาเฉพาะที่ ใช้เวลาประมาณ 30-60 นาที หลังทำอาจมีอาการบวม ช้ำ หรือรอยบุ๋มเล็กน้อย ซึ่งจะค่อยๆ ดีขึ้นภายใน 1-2 สัปดาห์
  • ความปลอดภัย: การใช้ไหมละลายทำให้มีความปลอดภัยสูง ผลข้างเคียงที่อาจพบได้ เช่น ไหมโผล่ การติดเชื้อ หรือความไม่สมมาตรนั้นพบได้ไม่บ่อยและส่วนใหญ่มักเป็นเพียงชั่วคราว

วิธีที่ 9: การผ่าตัดศัลยกรรมดึงใบหน้า (Facelift)

การผ่าตัดดึงใบหน้าเป็นวิธีที่มีประสิทธิภาพสูงสุดสำหรับแก้ไขปัญหาผิวหย่อนคล้อยในระดับรุนแรง โดยศัลยแพทย์จะทำการยกกระชับและจัดเรียงเนื้อเยื่อพังผืดชั้นลึกของใบหน้า (SMAS) กลับสู่ตำแหน่งเดิม พร้อมทั้งตัดผิวหนังส่วนเกินออก วิธีนี้สามารถแก้ไขปัญหาแก้มห้อยย้อย, ร่องแก้มลึก และเหนียงได้อย่างชัดเจน

ผลลัพธ์ที่ได้มีความเป็นธรรมชาติและคงอยู่ได้นาน 10-15 ปี จึงเหมาะสำหรับผู้ที่มีความหย่อนคล้อยระดับปานกลางถึงรุนแรง อย่างไรก็ตาม การผ่าตัดมีความเสี่ยงและต้องใช้เวลาพักฟื้นนานประมาณ 2-3 สัปดาห์

ตารางเปรียบเทียบ: เลือกวิธีแก้ปัญหาหน้าหย่อนคล้อยให้เหมาะกับคุณ

เปรียบเทียบตามระดับความรุนแรงของปัญหา

การเลือกวิธีรักษาผิวหย่อนคล้อยจะแตกต่างกันไปตามระดับความรุนแรงของปัญหา ซึ่งโดยทั่วไปสามารถแบ่งได้เป็น 3 ระดับ ดังนี้

  • ผิวหย่อนคล้อยเล็กน้อย (Mild Sagging): เหมาะสำหรับการดูแลผิวด้วยผลิตภัณฑ์เฉพาะทาง เช่น เรตินอยด์และครีมกันแดด ร่วมกับการใช้อุปกรณ์พลังงานที่ไม่ต้องผ่าตัด (Non-invasive) อย่าง HIFU หรือ RF เพื่อกระชับผิวในระยะเริ่มต้น หรืออาจใช้ฟิลเลอร์เพื่อช่วยพยุงโครงสร้างผิวเล็กน้อย
  • ผิวหย่อนคล้อยปานกลาง (Moderate Sagging): มักต้องใช้วิธีการรักษาแบบผสมผสานเพื่อให้ได้ผลลัพธ์ที่ดีที่สุด เช่น การใช้อุปกรณ์พลังงาน (HIFU, RF) ร่วมกับการร้อยไหมเพื่อยกกระชับ และการฉีดฟิลเลอร์เพื่อเติมเต็มปริมาตรที่หายไป นอกจากนี้ การผ่าตัดดึงหน้าแบบแผลเล็ก (Mini-lift) ก็เป็นอีกทางเลือกหนึ่งสำหรับผู้ที่ต้องการผลลัพธ์ที่ชัดเจนและยาวนานขึ้น
  • ผิวหย่อนคล้อยรุนแรง (Severe Sagging): การผ่าตัดศัลยกรรม เช่น การผ่าตัดดึงใบหน้า (Facelift) และลำคอ (Neck lift) ถือเป็นวิธีที่เหมาะสมและมีประสิทธิภาพที่สุด เนื่องจากสามารถกำจัดผิวหนังส่วนเกินและยกกระชับเนื้อเยื่อชั้นลึกได้อย่างครอบคลุม ซึ่งเป็นสิ่งที่หัตถการอื่นไม่สามารถทำได้

เปรียบเทียบผลลัพธ์และระยะเวลาเห็นผล

ผลลัพธ์และระยะเวลาเห็นผลของการรักษาผิวหย่อนคล้อยจะแตกต่างกันอย่างมาก ตั้งแต่การเปลี่ยนแปลงที่เห็นผลทันทีไปจนถึงผลลัพธ์ที่ค่อยๆ ปรากฏขึ้นในระยะเวลาหลายเดือน

ตารางด้านล่างเปรียบเทียบผลลัพธ์และระยะเวลาเห็นผลของการรักษาแต่ละประเภท

การรักษา ผลลัพธ์ที่คาดหวัง ระยะเวลาเห็นผล
ผลิตภัณฑ์ทาผิว (เช่น เรตินอยด์) ช่วยป้องกันและทำให้ผิวกระชับขึ้นเล็กน้อย ค่อยเป็นค่อยไป (เห็นผลชัดเจนใน 3-6 เดือน)
เครื่องมือยกกระชับ (HIFU, RF) ผิวยกกระชับและตึงขึ้นอย่างเห็นได้ชัด (ประมาณ 20-30%) ค่อยๆ เห็นผล และเห็นผลเต็มที่ใน 2-6 เดือน
ฟิลเลอร์ เติมเต็ม объёмที่หายไปและช่วยยกพยุงผิวได้ทันที เห็นผลทันที และจะเข้าที่ใน 1-2 สัปดาห์
โบท็อกซ์ (Nefertiti Lift) กรอบหน้าและลำคอคมชัดขึ้นเล็กน้อย เห็นผลใน 1-2 สัปดาห์
การร้อยไหม ยกกระชับผิวได้ทันทีในระดับปานกลาง เห็นผลการยกทันที และจะเข้าที่ใน 2 สัปดาห์
การผ่าตัดดึงหน้า ยกกระชับผิวที่หย่อนคล้อยรุนแรงและกำจัดผิวหนังส่วนเกินได้อย่างชัดเจน เห็นผลทันที แต่จะเห็นผลลัพธ์สุดท้ายเมื่ออาการบวมลดลงใน 3-6 เดือน

เปรียบเทียบค่าใช้จ่ายและระยะเวลาพักฟื้น

ค่าใช้จ่ายและระยะเวลาพักฟื้นจะเพิ่มขึ้นตามระดับความรุนแรงของการรักษา โดยหัตถการที่ไม่ต้องผ่าตัด เช่น การใช้ยาทาหรือเครื่องมือพลังงาน จะมีค่าใช้จ่ายน้อยกว่าและใช้เวลาพักฟื้นน้อยที่สุด ในขณะที่การผ่าตัดจะมีค่าใช้จ่ายสูงสุดและต้องใช้เวลาพักฟื้นนานที่สุด

ตารางเปรียบเทียบค่าใช้จ่ายและระยะเวลาพักฟื้นโดยประมาณสำหรับการรักษาแต่ละประเภท มีดังนี้

การรักษา ระยะเวลาพักฟื้น ค่าใช้จ่ายโดยประมาณ (ในสหรัฐอเมริกา)
การใช้ยาทา (เรตินอยด์/วิตามินซี) ไม่ต้องพักฟื้น ต่ำ ($20–$100 ต่อเดือน)
การนวดหน้า/โยคะใบหน้า ไม่ต้องพักฟื้น ไม่มี (ทำเองที่บ้าน)
HIFU (เช่น Ultherapy) น้อยมาก (รอยแดง 2-3 ชั่วโมง) ปานกลาง-สูง ($2,000–$4,000)
คลื่นวิทยุ (เช่น Thermage) น้อยมาก (อาจบวม 2-3 วัน) ปานกลาง-สูง ($1,500–$3,000)
ฟิลเลอร์ เล็กน้อย (รอยช้ำ 2-3 วัน) ปานกลาง ($600–$1,200 ต่อไซริงจ์)
การร้อยไหม เล็กน้อย (บวมหรือรอยบุ๋มประมาณ 1 สัปดาห์) ปานกลาง ($1,500–$4,500)
โบท็อกซ์ (Nefertiti Lift) ไม่ต้องพักฟื้นหรือมีเพียงรอยช้ำเล็กน้อย ต่ำ-ปานกลาง ($300–$600)
การผ่าตัดดึงหน้าแบบมินิ ประมาณ 1–2 สัปดาห์ สูง ($6,000–$10,000)
การผ่าตัดดึงหน้าเต็มรูปแบบ ประมาณ 2–3 สัปดาห์ สูง ($8,000–$15,000+)

ความปลอดภัยและผลข้างเคียงที่ควรรู้ก่อนตัดสินใจ

ใครบ้างที่ไม่เหมาะกับการทำหัตถการยกกระชับ

ผู้ที่ไม่เหมาะกับการทำหัตถการยกกระชับคือผู้ที่มีปัญหาสุขภาพร้ายแรง ผู้ที่สูบบุหรี่เป็นประจำ และผู้ที่มีความคาดหวังต่อผลลัพธ์ที่ไม่สมจริง นอกจากนี้ยังมีข้อควรพิจารณาอื่นๆ สำหรับแต่ละบุคคลและประเภทของหัตถการ

กลุ่มที่ไม่เหมาะกับการทำหัตถการยกกระชับโดยทั่วไป ได้แก่:

  • ผู้ที่มีโรคประจำตัวรุนแรง: เช่น โรคหัวใจที่ยังควบคุมอาการไม่ได้ หรือภาวะเลือดออกผิดปกติ
  • ผู้ที่สูบบุหรี่: การสูบบุหรี่ขัดขวางกระบวนการฟื้นตัวของแผลอย่างรุนแรง และเพิ่มความเสี่ยงที่ผิวหนังจะตายหลังการผ่าตัด ศัลยแพทย์หลายคนจึงไม่ผ่าตัดยกกระชับใบหน้าให้ผู้ที่ยังสูบบุหรี่อยู่
  • ผู้ที่มีความคาดหวังที่ไม่สมจริง: ผู้ที่คาดหวังว่าการทำหัตถการจะสามารถเปลี่ยนแปลงชีวิตในด้านอื่นๆ ได้
  • ผู้ที่มีผิวหย่อนคล้อยรุนแรงมาก: อาจไม่เหมาะกับหัตถการที่ไม่ใช่การผ่าตัด เช่น ฟิลเลอร์ ร้อยไหม หรือ HIFU เนื่องจากอาจให้ผลลัพธ์เพียงเล็กน้อยหรือไม่เป็นธรรมชาติ
  • ผู้ที่รับประทานยาหรืออาหารเสริมบางชนิด: เช่น ยาไอโซเตรติโนอิน (Isotretinoin) หรือผู้ที่รับประทานน้ำมันปลาและวิตามินอีในปริมาณสูง อาจต้องหยุดยาหรือเลื่อนการทำหัตถการออกไปก่อนเพื่อลดความเสี่ยง

ควรปรึกษาแพทย์ผู้เชี่ยวชาญเมื่อใด

ควรปรึกษาแพทย์ผู้เชี่ยวชาญ ก่อนเริ่มการรักษาทางคลินิกใดๆ สำหรับปัญหาผิวหย่อนคล้อย เพื่อให้ได้รับการประเมินสภาพผิวและความรุนแรงของปัญหาอย่างแม่นยำ ซึ่งจะนำไปสู่การวางแผนการรักษาที่เหมาะสมและปลอดภัยที่สุดสำหรับแต่ละบุคคล

การปรึกษาผู้เชี่ยวชาญ เช่น แพทย์ผิวหนังหรือศัลยแพทย์ตกแต่งที่ได้รับการรับรอง จะช่วยลดความเสี่ยงและทำให้ได้ผลลัพธ์ที่ดีที่สุดจากการรักษา ไม่ว่าจะเป็นการใช้เครื่องมือยกกระชับ การฉีดสารเติมเต็ม หรือการผ่าตัด นอกจากนี้ การปรึกษาแพทย์ตั้งแต่เนิ่นๆ ในช่วงอายุ 20-30 ปี ยังสามารถช่วยวางแผนการดูแลเพื่อชะลอการเกิดความหย่อนคล้อยได้อีกด้วย

คำถามที่พบบ่อย (FAQs)

แก้ปัญหาหน้าหย่อนคล้อยโดยวิธีธรรมชาติเห็นผลจริงไหม?

วิธีแก้ปัญหาหน้าหย่อนคล้อยตามธรรมชาติส่วนใหญ่ให้ผลลัพธ์เพียง ชั่วคราวหรือเล็กน้อยเท่านั้น และไม่สามารถแก้ไขโครงสร้างผิวที่หย่อนคล้อยอย่างชัดเจนได้จริง

การใช้วิธีธรรมชาติ เช่น การมาสก์หน้าด้วยไข่ขาวหรือว่านหางจระเข้ อาจทำให้ผิวรู้สึกตึงขึ้นชั่วคราวจากการที่ส่วนผสมแห้งเป็นฟิล์มบนผิว หรือช่วยให้ผิวชุ่มชื้นขึ้น แต่ไม่ได้สร้างคอลลาเจนหรืออีลาสตินขึ้นมาใหม่เพื่อยกกระشับผิวอย่างถาวร

อย่างไรก็ตาม มีวิธีธรรมชาติบางอย่างที่ได้รับการสนับสนุนทางวิทยาศาสตร์ว่าสามารถช่วยได้ในระดับหนึ่ง ได้แก่:

  • การนวดหน้าและโยคะใบหน้า: อาจช่วยเพิ่มความกระชับของกล้ามเนื้อและความยืดหยุ่นของผิวได้เล็กน้อย
  • การรับประทานอาหารและอาหารเสริม: การทานอาหารที่มีโปรตีนและสารต้านอนุมูลอิสระสูง รวมถึงอาหารเสริมคอลลาเจนชนิดทาน สามารถช่วยเสริมสร้างโครงสร้างผิวจากภายใน
  • ส่วนผสมจากธรรมชาติในสกินแคร์: ส่วนผสมบางชนิด เช่น บาคูชิออล (Bakuchiol) ซึ่งเป็นทางเลือกของเรตินอลจากธรรมชาติ มีข้อมูลว่าช่วยกระตุ้นการสร้างคอลลาเจนได้

โดยสรุป วิธีธรรมชาติเหล่านี้เหมาะสำหรับการบำรุงผิวโดยรวมหรือช่วยชะลอความหย่อนคล้อยในระยะเริ่มต้น แต่ไม่สามารถยกกระชับผิวที่หย่อนคล้อยไปแล้วให้กลับมาเหมือนเดิมได้

อายุเท่าไหร่ควรเริ่มดูแลเรื่องความหย่อนคล้อย?

แพทย์ผิวหนังแนะนำให้เริ่มดูแลป้องกันความหย่อนคล้อยตั้งแต่ช่วงอายุ 20 และ 30 ปี เพื่อชะลอการเกิดปัญหาผิวที่มองเห็นได้ชัดเจนในอนาคต

การป้องกันตั้งแต่เนิ่นๆ จะช่วย “สะสม” ความยืดหยุ่นของผิวไว้สำหรับอนาคต โดยผู้เชี่ยวชาญแนะนำให้เริ่มใช้มาตรการป้องกันเหล่านี้อย่างช้าที่สุดในช่วงกลางอายุ 30 ปี กลยุทธ์หลักในการป้องกัน ได้แก่:

  • การใช้ครีมกันแดดเป็นประจำทุกวัน: การป้องกันรังสียูวีอย่างสม่ำเสมอสามารถชะลอการสูญเสียคอลลาเจนและรักษาความยืดหยุ่นของผิวได้อย่างมีนัยสำคัญ
  • การใช้ผลิตภัณฑ์กลุ่มเรตินอยด์ (Retinoids): การเริ่มใช้เรตินอยด์ความเข้มข้นต่ำในช่วงปลายอายุ 20 หรือต้น 30 จะช่วยเพิ่มความหนาแน่นของคอลลาเจนและลดเลือนริ้วรอยเล็กๆ ได้

ผิวหย่อนคล้อยในผู้ชายและผู้หญิงแตกต่างกันหรือไม่?

ผิวหย่อนคล้อยในผู้ชายและผู้หญิงมีความแตกต่างกัน เนื่องจากโครงสร้างผิวและรูปแบบการเปลี่ยนแปลงตามวัยที่ไม่เหมือนกัน

โดยทั่วไปผิวของผู้ชายจะหนาและมีคอลลาเจนมากกว่า ทำให้หย่อนคล้อยช้ากว่า แต่เมื่อเกิดขึ้นแล้วมักจะมีร่องลึกและหย่อนคล้อยชัดเจนบริเวณใบหน้าส่วนล่าง เช่น กรอบหน้าและเปลือกตาล่าง ในทางกลับกัน ผิวของผู้หญิงจะบางกว่าและสูญเสียคอลลาเจนอย่างรวดเร็วในช่วงวัยหมดประจำเดือน ทำให้สังเกตเห็นความหย่อนคล้อยและผิวที่เหี่ยวย่นได้เร็วกว่า โดยเฉพาะบริเวณแก้มและลำคอ

หลังทำหัตถการยกกระชับ ต้องดูแลตัวเองอย่างไร?

การดูแลตัวเองหลังทำหัตถการยกกระชับจะแตกต่างกันไปขึ้นอยู่กับประเภทของหัตถการ ตั้งแต่การดูแลเพียงเล็กน้อยสำหรับหัตถการที่ไม่ต้องผ่าตัด ไปจนถึงการดูแลอย่างเข้มงวดหลังการผ่าตัด

  • กลุ่มที่ไม่ต้องผ่าตัด (เช่น HIFU, Ultherapy, Thermage): แทบไม่ต้องพักฟื้นและสามารถกลับไปใช้ชีวิตได้ตามปกติทันที อาจมีรอยแดงหรือบวมเล็กน้อยซึ่งจะหายไปเอง การดูแลที่สำคัญคือการทาครีมกันแดดและมอยส์เจอไรเซอร์เป็นประจำ
  • กลุ่มฉีด (เช่น โบท็อกซ์, ฟิลเลอร์): หลังฉีดโบท็อกซ์ (Nefertiti Lift) ควรหลีกเลี่ยงการนวดหรือกดบริเวณที่ฉีดประมาณ 1-2 วัน ส่วนการฉีดฟิลเลอร์อาจมีรอยช้ำเล็กน้อยได้
  • กลุ่มร้อยไหม: ควรหลีกเลี่ยงการออกกำลังกายหนักๆ การขยับใบหน้าแรงๆ หรือการนวดหน้าประมาณ 1-2 สัปดาห์เพื่อให้ไหมเข้าที่ และแนะนำให้นอนหงายในช่วงแรก
  • กลุ่มผ่าตัดดึงหน้า: ต้องมีการดูแลแผลผ่าตัดให้สะอาด หลีกเลี่ยงการยกของหนักหรือออกกำลังกายหนักเป็นเวลา 4-6 สัปดาห์ งดสูบบุหรี่โดยเด็ดขาด และปกป้องรอยแผลจากแสงแดดเป็นเวลาอย่างน้อย 1 ปี

ริ้วรอยกับผิวหย่อนคล้อยมีความสัมพันธ์กันอย่างไร?

ริ้วรอยและผิวหย่อนคล้อยมีสาเหตุหลักร่วมกันคือการสลายตัวของคอลลาเจนและอีลาสติน จึงมักเกิดขึ้นพร้อมกันเมื่อผิวมีอายุมากขึ้น

อย่างไรก็ตาม ทั้งสองอย่างมีความแตกต่างกัน โดยริ้วรอยคือรอยพับหรือร่องเล็กๆ ที่สามารถเกิดขึ้นได้แม้บนผิวที่ยังค่อนข้างกระชับ (เช่น ริ้วรอยจากการแสดงสีหน้า) ในขณะที่ความหย่อนคล้อยคือการที่ผิวสูญเสียความแน่นกระชับโดยรวมและไม่ยึดเกาะกับโครงสร้างข้างใต้เหมือนเดิม

อ้างอิง:

  1. Plastic Surgery Key. (2019). Skin Laxity: Anatomy, Etiology, and Treatment Indications. PlasticSurgeryKey.com. plasticsurgerykey.com
  2. Huizen, J. (2024). What are jowls and how to get rid of them. Medical News Today. medicalnewstoday.com
  3. Cavinato, M., Martic, I., & Jansen-Dürr, P. (2022). Effects of air pollution on cellular senescence and skin aging. Cells/Biomolecules (MDPI). mdpi.com
  4. Howard, D. (2019). Is a Man’s Skin Really Different?. The International Dermal Institute. dermalinstitute.com
  5. McGurnaghan, A., & Ogilvie, J. (2023). Age-related volume loss in women and men – how structural differences affect aging. Aesthetic Medicine Magazine, Sept 2023 Issue. mag.aestheticmed.co.uk
  6. Huizen, J. (2023). 6 ways to tighten loose skin. Medical News Today. medicalnewstoday.com
  7. Haykal, D., et al. (2024). Rapid weight loss through GLP-1 agonists – aesthetic implications (“Ozempic face”). Journal of Cosmetic Dermatology, 23(8), 2623–2630.
  8. American Academy of Dermatology. (2017). Many ways to firm sagging skin. aad.org
  9. Quan, T. (2023). Human Skin Aging and the Anti-Aging Properties of Retinol. Biomolecules, 13(11), 1614. mdpi.com
  10. Park, K. et al. (2025). The state of the art in anti-aging: plant-based phytochemicals for skin care. Immunity & Ageing, 18(1), 4. biomedcentral.com

แนะแนวเรื่อง

Previous Previous
ฉีดเมโสหน้าใสคืออะไร ช่วยลดฝ้า กระ ผิวกระจ่างใสจริงหรือไม่?
NextContinue
ลดเหนียงใต้คาง: 15 วิธีเด็ด เห็นผลจริงใน 7 วัน ปลอดภัย

สาขาพรีวาโต คลินิก

    สาขาอโศก ตั้งอยู่ที่ ชั้น 2 อาคารมิดทาวน์
    Phone: 02-258-4050 , 081-841-5075
    สาขาสีลม ตั้งอยู่ที่ ชั้น 1 อาคารซี.พี.ทาวเวอร์
    Phone: 02-780-2011 , 098-272-5244
    สาขาราชพฤกษ์ ตั้งอยู่ที่ ชั้น 2 ศูนย์การค้า เดอะคริสตัล เอสบี (ด้านบนร้านสตาร์บัคส์)
    Phone: 02-102-2778 , 098-272-5244

ติดต่อเรา

    Facebook: Privato Clinic
    Messenger: Privato Clinic
    Instagram: privatoclinic
    Email: privatoclinic@gmail.com
    Line: @privatoclinic

Copyright© 2022-2024. All Rights Reserved

Scroll to top
  • หน้าหลัก
  • เกี่ยวกับพรีวาโต
  • บริการทั้งหมด
    • ชะลอวัย
    • ยกกระชับผิว
      • XERF
      • Potenza
      • Sofwave
      • Ulthera
      • Thermage-FLX
    • รักษาสิว
    • เลเซอร์
    • โปรแกรมฉีด
    • บำรุงผิว
  • บทความ
    • สิว
    • ยกกระชับ
    • ดูแลผิว
    • ทำเลเซอร์
  • ผลิตภัณฑ์ดูแลผิว
  • โปรโมชั่น
  • ผลลัพธ์การรักษา
  • วิดีโอรีวิวจากเคสจริง
  • สาขาของเรา
  • ไทย
    • ไทย
    • English
    • 中文 (中国)
  • ปรึกษาแพทย์
Facebook Instagram YouTube