ผิวหย่อนคล้อย: 9 วิธียกกระชับหน้าเต่งตึง เห็นผลจริง
ผิวหย่อนคล้อยคืออะไร? สัญญาณและลักษณะที่สังเกตได้
ผิวหย่อนคล้อยคือภาวะที่ผิวหนังสูญเสียความยืดหยุ่นจนหย่อนยานและไม่กระชับติดกับโครงสร้างข้างใต้เหมือนเดิม ซึ่งเกิดจากการสูญเสียคอลลาเจนและอีลาสติน ทำให้ผิวไม่สามารถ “ดีดกลับ” เข้าที่ได้
สัญญาณที่สังเกตได้ของผิวหย่อนคล้อย ได้แก่:
- ใบหน้าหย่อนคล้อย เช่น แก้มตกหรือเปลือกตาตก
- แก้มห้อยย้อยบริเวณแนวกราม (Jowls)
- กรอบหน้าไม่คมชัด
- ผิวใต้คางหย่อนยาน
สาเหตุหลักที่ทำให้ผิวหน้าหย่อนคล้อย ไม่กระชับ
ปัจจัยภายใน: อายุ คอลลาเจน และการเปลี่ยนแปลงของโครงสร้างผิว
การสลายตัวของคอลลาเจนและอีลาสติน การเปลี่ยนแปลงของไขมันบนใบหน้า การสูญเสียมวลกระดูก และความหย่อนคล้อยของกล้ามเนื้อ คือปัจจัยภายในหลักที่ทำให้ผิวหย่อนคล้อยตามอายุ
เมื่ออายุมากขึ้น ปัจจัยภายในเหล่านี้จะส่งผลกระทบต่อโครงสร้างผิว ดังนี้
- การสลายตัวของคอลลาเจนและอีลาสติน: ผิวจะบางลงและสูญเสียความยืดหยุ่น ทำให้ไม่สามารถ “ดีดกลับ” ได้เหมือนเดิม
- การเปลี่ยนแปลงของไขมัน: ไขมันบริเวณแก้มจะฝ่อและเคลื่อนตัวลงต่ำ ในขณะที่ไขมันอาจไปสะสมใต้คาง ทำให้เกิดแก้มตอบและเหนียง
- การสูญเสียมวลกระดูก: โครงสร้างกระดูกบนใบหน้า เช่น ขากรรไกรและเบ้าตา จะเกิดการสลายตัว ทำให้ผิวที่เคยขึงตึงอยู่บนกระดูกยุบตัวและหย่อนลง
- ความหย่อนของกล้ามเนื้อและพังผืด (SMAS): การพยุงผิวจากชั้นกล้ามเนื้อและพังผืดลดลง ทำให้ผิวขาดความกระชับ
ปัจจัยภายนอก: แสงแดด มลภาวะ และพฤติกรรมการใช้ชีวิต
รังสียูวี มลภาวะ และพฤติกรรมการใช้ชีวิต เป็นปัจจัยภายนอกที่สำคัญซึ่งเร่งกระบวนการทำลายคอลลาเจนและอีลาสตินในผิวหนัง ส่งผลให้ผิวหย่อนคล้อยก่อนวัยอันควร ปัจจัยเหล่านี้สร้างความเสียหายผ่านภาวะเครียดออกซิเดชัน (oxidative stress) และการอักเสบเรื้อรัง
- แสงแดด (UV Radiation): รังสียูวีจะสร้างอนุมูลอิสระที่เข้าไปทำลายคอลลาเจนและอีลาสตินโดยตรง ทำให้ผิวสูญเสียความยืดหยุ่นและเกิดการหย่อนคล้อย โดยเฉพาะบริเวณใบหน้า ลำคอ และแขน
- มลภาวะ (Pollution): ฝุ่นละอองและสารพิษในอากาศกระตุ้นให้เกิดการอักเสบและภาวะเครียดออกซิเดชันในผิวหนัง ซึ่งจะไปเร่งเอนไซม์ที่ทำหน้าที่สลายคอลลาเจน มีงานวิจัยที่เชื่อมโยงมลภาวะกับการเกิดแก้มห้อยและผิวหย่อนคล้อย
- พฤติกรรมการใช้ชีวิต (Lifestyle Factors):
- การสูบบุหรี่: ควันบุหรี่เต็มไปด้วยอนุมูลอิสระที่ทำลายคอลลาเจนและขัดขวางการไหลเวียนของเลือด ทำให้ผู้ที่สูบบุหรี่จัดมีผิวหย่อนคล้อยและเหี่ยวย่นได้เร็วกว่าปกติ
- ความเครียดเรื้อรัง: ทำให้ร่างกายหลั่งฮอร์โมนคอร์ติซอล (cortisol) ในระดับสูง ซึ่งจะไปยับยั้งการสร้างคอลลาเจนและอีลาสติน
- การนอนหลับไม่เพียงพอและโภชนาการที่ไม่ดี: การพักผ่อนน้อยและรับประทานอาหารที่มีโปรตีนและสารต้านอนุมูลอิสระต่ำ อาจทำให้กระบวนการซ่อมแซมและสร้างคอลลาเจนช้าลง
การลดน้ำหนักอย่างรวดเร็วมีผลต่อผิวอย่างไร
การลดน้ำหนักอย่างรวดเร็วทำให้ผิวหนังหย่อนคล้อยและสูญเสียความกระชับ เนื่องจากไขมันใต้ผิวหนังซึ่งทำหน้าที่เหมือนเบาะรองรับผิวหายไปอย่างรวดเร็ว ทำให้ผิวหนังที่เคยถูกยืดออกไม่สามารถหดตัวกลับได้ทัน
โดยเฉพาะในวัยกลางคนที่ผิวมีคอลลาเจนและอีลาสตินลดลงอยู่แล้ว ผิวจะขาดความยืดหยุ่นในการหดตัว ส่งผลให้เกิดผิวหนังส่วนเกินที่หย่อนยานอย่างเห็นได้ชัดบริเวณใบหน้า (แก้มตก, เหนียง) และลำตัว ในทางตรงกันข้าม การลดน้ำหนักอย่างค่อยเป็นค่อยไปจะทำให้ผิวมีเวลาปรับตัวได้ดีกว่า
9 วิธียกกระชับใบหน้า แก้ปัญหาผิวหย่อนคล้อย
วิธีที่ 1: ใช้สกินแคร์ที่ช่วยยกกระชับและลดริ้วรอย
การใช้สกินแคร์ที่มีส่วนผสมออกฤทธิ์ (active ingredients) เช่น เรตินอยด์, วิตามินซี และเปปไทด์ เป็นวิธีที่ได้รับการพิสูจน์แล้วว่าสามารถช่วยกระตุ้นการสร้างคอลลาเจนและปรับปรุงความกระชับของผิวได้
ส่วนผสมเหล่านี้ทำงานเพื่อช่วยลดเลือนริ้วรอยและความหย่อนคล้อยในระยะเริ่มต้นได้ ดังนี้:
- เรตินอยด์ (Retinoids): อนุพันธ์ของวิตามินเอ เช่น เรตินอล (Retinol) และเตรติโนอิน (Tretinoin) ช่วยยับยั้งเอนไซม์ที่ทำลายคอลลาเจนและกระตุ้นการสร้างคอลลาเจนและอีลาสตินใหม่ ทำให้ผิวเรียบเนียนและกระชับขึ้นเมื่อใช้ต่อเนื่อง 3-6 เดือน
- สารต้านอนุมูลอิสระ (Antioxidants): โดยเฉพาะวิตามินซี (Vitamin C) ช่วยปกป้องคอลลาเจนเดิมจากความเสียหายของรังสียูวีและช่วยในการสร้างคอลลาเจนใหม่ ทำให้ผิวมีความยืดหยุ่นและกระจ่างใสขึ้น นอกจากนี้ยังมีไนอะซินาไมด์ (Niacinamide) ที่ช่วยให้ผิวฟื้นตัวได้ดีขึ้น
- เปปไทด์ (Peptides): เป็นโปรตีนขนาดเล็กที่ทำหน้าที่ส่งสัญญาณให้ผิวผลิตคอลลาเจนและอีลาสตินเพิ่มขึ้น เช่น Matrixyl ซึ่งช่วยให้ผิวแน่นขึ้นและลดความลึกของริ้วรอยได้เมื่อใช้เป็นประจำ
แม้ส่วนผสมเหล่านี้จะช่วยปรับปรุงผิวที่หย่อนคล้อยในระยะเริ่มต้นได้ แต่ผลลัพธ์จะมีความเปลี่ยนแปลงเพียงเล็กน้อยและไม่สามารถเทียบเท่ากับการทำหัตถการทางการแพทย์ได้
วิธีที่ 2: นวดหน้าและทำโยคะใบหน้าด้วยตนเอง
การนวดหน้าและโยคะใบหน้า เป็นวิธีที่อาจช่วยปรับปรุงรูปหน้าและความยืดหยุ่นของผิวได้เล็กน้อย โดยมีหลักฐานทางวิทยาศาสตร์สนับสนุนเพิ่มขึ้นเรื่อยๆ
แนวคิดคือการนวดหรือบริหารกล้ามเนื้อใบหน้าจะช่วยเพิ่มการไหลเวียนโลหิต, เพิ่มความกระชับของกล้ามเนื้อ และอาจกระตุ้นการสร้างคอลลาเจนได้ งานวิจัยในปี 2023 พบว่าทั้งลูกกลิ้งนวดหน้า (facial roller) และกัวซา (gua sha) สามารถปรับปรุงรูปหน้าและความยืดหยุ่นของผิวได้จริงหลังใช้เป็นเวลา 8 สัปดาห์ นอกจากนี้ การศึกษาเกี่ยวกับการทำโยคะใบหน้าทุกวันเป็นเวลา 20 สัปดาห์ ยังรายงานว่าช่วยให้แก้มดูอิ่มฟูขึ้นและใบหน้าดูอ่อนเยาว์ลง
อย่างไรก็ตาม ผู้เชี่ยวชาญแนะนำให้ทำอย่างเบามือและใช้น้ำมันหรือครีมหล่อลื่นเพื่อหลีกเลี่ยงการดึงรั้งผิวแรงเกินไป ซึ่งอาจส่งผลเสียได้ ผลลัพธ์ที่ได้นั้นไม่ชัดเจนเท่ากับการทำหัตถการทางการแพทย์ แต่ถือเป็นวิธีเสริมความงามที่มีความเสี่ยงต่ำและสามารถทำได้เองที่บ้านเพื่อช่วยให้ผิวดูยกกระชับขึ้นเล็กน้อย
วิธีที่ 3: ปรับการกินอาหารเพื่อเสริมสร้างคอลลาเจนให้ผิวเต่งตึง
การปรับเปลี่ยนอาหารและรับประทานผลิตภัณฑ์เสริมอาหารบางชนิดสามารถช่วยเพิ่มความยืดหยุ่นและความกระชับของผิวจากภายในได้ โดยการให้สารอาหารที่จำเป็นต่อการสร้างและปกป้องคอลลาเจน
งานวิจัยได้ยืนยันถึงประโยชน์ของอาหารและผลิตภัณฑ์เสริมอาหารดังต่อไปนี้
- อาหารที่อุดมด้วยสารอาหาร:
- โปรตีน: เนื้อสัตว์ไม่ติดมันและปลา เพื่อให้ได้กรดอะมิโนที่จำเป็นต่อการสร้างคอลลาเจน เช่น ไลซีนและโพรลีน
- วิตามินและแร่ธาตุ: ผักและผลไม้ที่อุดมด้วยวิตามิน C, A, B, สังกะสี และทองแดง เพื่อสนับสนุนกระบวนการซ่อมแซมผิว
- กรดไขมันโอเมก้า 3: พบในปลาและเมล็ดแฟลกซ์ ช่วยลดการอักเสบที่ทำลายคอลลาเจน
- การดื่มน้ำให้เพียงพอ: ช่วยให้ผิวชุ่มชื้นและดูอิ่มฟูขึ้น
- ผลิตภัณฑ์เสริมอาหาร:
- คอลลาเจนเปปไทด์: จากการวิเคราะห์อภิมาน (meta-analysis) ในปี 2021 พบว่าการรับประทานคอลลาเจนไฮโดรไลซ์ 2.5-10 กรัมต่อวัน สามารถเพิ่มความชุ่มชื้นและความยืดหยุ่นของผิวได้อย่างมีนัยสำคัญ โดยจะเริ่มเห็นผลหลังผ่านไป 8-12 สัปดาห์
- สารต้านอนุมูลอิสระ: วิตามิน C, E และโคเอนไซม์คิวเทน (Coenzyme Q10) ช่วยปกป้องคอลลาเจนที่มีอยู่จากการถูกทำลาย
- ไอโซฟลาโวนจากถั่วเหลือง (Soy Isoflavones): มีงานวิจัยบางชิ้นแสดงให้เห็นว่าช่วยเพิ่มความหนาและความยืดหยุ่นของผิวในผู้หญิงวัยหมดประจำเดือนได้
วิธีนี้เหมาะที่สุดสำหรับการป้องกันหรือใช้กับผิวที่เริ่มหย่อนคล้อยในระยะแรก และจะได้ผลดียิ่งขึ้นเมื่อใช้ร่วมกับการดูแลผิวด้วยวิธีอื่น
วิธีที่ 4: ทำทรีทเมนท์ผลักวิตามินและยกกระชับผิว
ทรีทเมนท์ผลักวิตามินและยกกระชับผิวทำงานโดย การส่งสารบำรุง เช่น วิตามิน กรดไฮยาลูรอนิก หรือเปปไทด์ เข้าสู่ผิวชั้นลึก เพื่อเพิ่มความชุ่มชื้นและความกระชับให้แก่ผิวโดยตรง ซึ่งสามารถทำได้หลายวิธี
- เมโสเทอราพี (Mesotherapy): เป็นการใช้เข็มขนาดเล็กมากฉีดสารอาหารเข้าไปในผิวชั้นตื้นๆ โดยตรง เพื่อช่วยให้ผิวชุ่มชื้นและดู “เด้ง” ขึ้น แม้จะไม่ได้ช่วยยกกระชับผิวที่หย่อนคล้อยมากนัก แต่ช่วยปรับปรุงคุณภาพผิวโดยรวมได้
- อิเล็กโตรโฟรีซิส (Electroporation) หรือเมโสแบบไม่ใช้เข็ม: เป็นเทคนิคที่ใช้คลื่นไฟฟ้าเพื่อเปิดช่องทางในเซลล์ผิวชั่วคราว ทำให้เซรั่มหรือสารบำรุงต่างๆ สามารถซึมลึกเข้าสู่ผิวได้โดยไม่ต้องใช้เข็ม ตัวเครื่องไม่ได้ทำให้ผิวกระชับขึ้นโดยตรง แต่สารออกฤทธิ์ที่ถูกผลักเข้าไปจะช่วยบำรุงและอาจให้ผลลัพธ์ด้านความกระชับได้เมื่อทำอย่างต่อเนื่อง
ทรีทเมนท์เหล่านี้ให้ผลลัพธ์ที่ไม่ชัดเจนเท่าหัตถการอื่น แต่สามารถช่วยปรับปรุงสุขภาพผิวโดยรวมได้ดี และมักแนะนำให้ทำเป็นคอร์สต่อเนื่องเพื่อผลลัพธ์ที่ดีที่สุด
วิธีที่ 5: ยกกระชับด้วยเครื่องมือกลุ่มพลังงาน (HIFU, Ultherapy, Thermage)
การยกกระชับด้วยเครื่องมือกลุ่มพลังงานเป็นการใช้เทคโนโลยีที่ไม่ต้องผ่าตัด เช่น คลื่นอัลตราซาวนด์ (HIFU, Ultherapy) และคลื่นวิทยุ (Thermage) เพื่อส่งพลังงานความร้อนลงไปกระตุ้นการสร้างคอลลาเจนในชั้นผิวลึก ทำให้ผิวที่หย่อนคล้อยค่อยๆ ตึงและยกกระชับขึ้น
เครื่องมือแต่ละชนิดมีหลักการทำงานและผลลัพธ์ที่แตกต่างกันเล็กน้อย ดังนี้
- HIFU (High-Intensity Focused Ultrasound): ใช้คลื่นอัลตราซาวนด์ความเข้มข้นสูงสร้างจุดความร้อนเล็กๆ ในชั้นผิวลึกถึงชั้น SMAS (ชั้นพังผืดของกล้ามเนื้อใบหน้า) เพื่อกระตุ้นให้คอลลาเจนหดตัวและสร้างใหม่ ผลลัพธ์จะค่อยๆ ปรากฏชัดเจนใน 2-3 เดือน ช่วยยกกระชับบริเวณกรอบหน้าและลำคอได้ประมาณ 18-30% โดยผลลัพธ์อยู่ได้นาน 1-2 ปี
- Ultherapy (MFU-V): เป็นเทคโนโลยี HIFU ขั้นสูงที่มีหน้าจออัลตราซาวนด์แสดงภาพชั้นผิวแบบเรียลไทม์ ทำให้แพทย์สามารถส่งพลังงานได้อย่างแม่นยำตรงเป้าหมาย จึงให้ผลลัพธ์ที่สม่ำเสมอและปลอดภัยสูง มีอัตราความพึงพอใจของผู้รับการรักษาสูงถึง 84% และผลลัพธ์คงอยู่ได้ประมาณ 1.5-2 ปี
- Thermage (Monopolar Radiofrequency): ใช้คลื่นวิทยุ (RF) สร้างความร้อนแบบเป็นกลุ่มก้อน (bulk heating) ในชั้นหนังแท้ เพื่อกระตุ้นการจัดเรียงตัวและการสร้างคอลลาเจนใหม่ เหมาะสำหรับผู้ที่มีความหย่อนคล้อยเล็กน้อยถึงปานกลาง และเป็นเทคโนโลยีเดียวที่ได้รับการรับรองจาก FDA ให้ใช้ยกกระชับผิวเปลือกตาที่หย่อนคล้อยได้ ผลลัพธ์จะค่อยๆ ดีขึ้นใน 2-6 เดือน และอยู่ได้นาน 1-2 ปี
วิธีที่ 6: การฉีดสารเติมเต็ม (Filler) เพื่อพยุงผิว
การฉีดสารเติมเต็ม (Filler) ช่วยยกกระชับผิวที่หย่อนคล้อยโดยการเข้าไปเติมเต็มปริมาตรที่สูญเสียไปตามวัย เพื่อพยุงโครงสร้างผิวจากภายใน ทำให้ผิวที่หย่อนคล้อยกลับมาเต่งตึงและได้รูปอีกครั้ง
เมื่ออายุมากขึ้น ใบหน้าจะสูญเสียปริมาตรไขมันและกระดูกบริเวณแก้ม ขมับ และแนวกราม ทำให้ผิวหนังที่อยู่ด้านบนหย่อนลงมา การฉีดฟิลเลอร์เข้าไปในบริเวณดังกล่าวจะช่วยทดแทนปริมาตรที่หายไปและทำหน้าที่เป็นโครงสร้างพยุงผิวหนังไว้ ส่งผลให้ผิวถูกยกขึ้นอย่างเป็นธรรมชาติ
- หลักการทำงาน: ฟิลเลอร์จะเข้าไปเติมเต็มช่องว่างใต้ผิวหนัง ทำให้ผิวที่หย่อนคล้อยและร่องลึกตื้นขึ้นและยกกระชับขึ้นทันที เทคนิคการฉีดที่เรียกว่า “Liquid Facelift” หรือการฉีดฟิลเลอร์เพื่อยกกระชับใบหน้า จะเน้นการเติมบริเวณโหนกแก้มเพื่อดึงผิวส่วนล่างที่หย่อนคล้อยให้ยกขึ้น ซึ่งช่วยลดร่องแก้มและร่องน้ำหมากได้
- ผลลัพธ์: สามารถเห็นผลการยกกระชับได้ทันทีหลังฉีด และจะเห็นผลชัดเจนขึ้นใน 1-2 สัปดาห์ โดยผลลัพธ์จะคงอยู่ประมาณ 6-24 เดือน ขึ้นอยู่กับชนิดของฟิลเลอร์และบริเวณที่ฉีด
- การกระตุ้นคอลลาเจน: ฟิลเลอร์บางชนิด เช่น Calcium Hydroxyapatite (CaHA) และ Poly-L-lactic acid (PLLA) ยังสามารถกระตุ้นให้ร่างกายสร้างคอลลาเจนขึ้นมาใหม่รอบๆ บริเวณที่ฉีด ทำให้ผิวมีความแน่นกระชับในระยะยาว
วิธีที่ 7: การฉีดโบทูลินั่มท็อกซิน (Botox) เพื่อปรับกรอบหน้า
การฉีดโบทูลินั่มท็อกซิน (Botox) สามารถช่วยยกกระชับกรอบหน้าและลำคอได้เล็กน้อย โดยการทำให้กล้ามเนื้อที่ดึงผิวลงด้านล่างเกิดการผ่อนคลาย ซึ่งเทคนิคนี้มักเรียกว่า “Nefertiti Lift” (การยกกระชับแบบเนเฟอร์ติติ)
กลไกการทำงานคือการฉีดสารโบท็อกซ์เข้าไปในกล้ามเนื้อคอ (Platysma) และกล้ามเนื้อที่ดึงมุมปากลง (DAO) เพื่อลดแรงดึงลง ทำให้กล้ามเนื้อส่วนที่ทำหน้าที่ยกผิวหน้าทำงานได้เด่นขึ้น ส่งผลให้กรอบหน้าดูคมชัดและลำคอเรียบเนียนขึ้น
- ผลลัพธ์: การยกกระชับจะเกิดขึ้นเพียงเล็กน้อย (หลักมิลลิเมตร) แต่ก็เพียงพอที่จะทำให้เห็นความแตกต่างได้ชัดเจน เหมาะสำหรับผู้ที่มีปัญหาหย่อนคล้อยในระยะเริ่มต้น หรือผู้ที่มีเส้นกล้ามเนื้อคอที่มองเห็นได้ชัด
- ระยะเวลา: ผลลัพธ์จะเริ่มเห็นใน 3-7 วัน และเห็นผลเต็มที่ใน 2 สัปดาห์ โดยจะคงอยู่ประมาณ 3-4 เดือน
- ความเหมาะสม: เทคนิคนี้เหมาะสำหรับผู้ที่มีปัญหากรอบหน้าหย่อนคล้อยเล็กน้อย และมักใช้ร่วมกับการรักษาอื่น ๆ เช่น ฟิลเลอร์ เพื่อให้ได้ผลลัพธ์การยกกระชับที่ดียิ่งขึ้น
วิธีที่ 8: การร้อยไหมเพื่อดึงยกผิวที่หย่อนคล้อย
การร้อยไหมเป็นหัตถการที่ใช้ไหมละลายสอดเข้าไปใต้ผิวหนังเพื่อดึงยกเนื้อเยื่อที่หย่อนคล้อยขึ้น ซึ่งให้ผลลัพธ์ 2 อย่างคือ การดึงยกผิวในทันที และการกระตุ้นให้เกิดการสร้างคอลลาเจนใหม่เพื่อช่วยให้ผิวกระชับขึ้นในระยะยาว
การร้อยไหมเหมาะสำหรับผู้ที่มีความหย่อนคล้อยระดับปานกลาง และให้ผลลัพธ์ที่ชัดเจนแต่ไม่ถาวร โดยมีรายละเอียดดังนี้
- หลักการทำงาน: ไหมชนิดที่มีเงี่ยง (Cog threads) จะทำหน้าที่เกี่ยวและดึงยกเนื้อเยื่อขึ้นทันที ขณะที่ตัวไหมเองจะกระตุ้นให้ร่างกายสร้างคอลลาเจนขึ้นมาล้อมรอบ ทำให้ผิวบริเวณนั้นแข็งแรงและกระชับขึ้น
- บริเวณที่นิยมทำ: ส่วนกลางของใบหน้า (ยกแก้ม), กรอบหน้า (แก้ปัญหาแก้มห้อย), คิ้ว (ยกหางคิ้ว) และลำคอ
- ผลลัพธ์และระยะเวลา: ให้ผลการยกกระชับในระดับเล็กน้อยถึงปานกลาง โดยผลลัพธ์จะอยู่ได้ประมาณ 1-2 ปี ไหมจะค่อยๆ สลายไปใน 6-12 เดือน แต่คอลลาเจนที่สร้างขึ้นใหม่จะยังคงช่วยพยุงผิวต่อไปอีกระยะหนึ่ง
- ขั้นตอนและระยะเวลาพักฟื้น: เป็นหัตถการที่ทำในคลินิกโดยใช้ยาชาเฉพาะที่ ใช้เวลาประมาณ 30-60 นาที หลังทำอาจมีอาการบวม ช้ำ หรือรอยบุ๋มเล็กน้อย ซึ่งจะค่อยๆ ดีขึ้นภายใน 1-2 สัปดาห์
- ความปลอดภัย: การใช้ไหมละลายทำให้มีความปลอดภัยสูง ผลข้างเคียงที่อาจพบได้ เช่น ไหมโผล่ การติดเชื้อ หรือความไม่สมมาตรนั้นพบได้ไม่บ่อยและส่วนใหญ่มักเป็นเพียงชั่วคราว
วิธีที่ 9: การผ่าตัดศัลยกรรมดึงใบหน้า (Facelift)
การผ่าตัดดึงใบหน้าเป็นวิธีที่มีประสิทธิภาพสูงสุดสำหรับแก้ไขปัญหาผิวหย่อนคล้อยในระดับรุนแรง โดยศัลยแพทย์จะทำการยกกระชับและจัดเรียงเนื้อเยื่อพังผืดชั้นลึกของใบหน้า (SMAS) กลับสู่ตำแหน่งเดิม พร้อมทั้งตัดผิวหนังส่วนเกินออก วิธีนี้สามารถแก้ไขปัญหาแก้มห้อยย้อย, ร่องแก้มลึก และเหนียงได้อย่างชัดเจน
ผลลัพธ์ที่ได้มีความเป็นธรรมชาติและคงอยู่ได้นาน 10-15 ปี จึงเหมาะสำหรับผู้ที่มีความหย่อนคล้อยระดับปานกลางถึงรุนแรง อย่างไรก็ตาม การผ่าตัดมีความเสี่ยงและต้องใช้เวลาพักฟื้นนานประมาณ 2-3 สัปดาห์
ตารางเปรียบเทียบ: เลือกวิธีแก้ปัญหาหน้าหย่อนคล้อยให้เหมาะกับคุณ
เปรียบเทียบตามระดับความรุนแรงของปัญหา
การเลือกวิธีรักษาผิวหย่อนคล้อยจะแตกต่างกันไปตามระดับความรุนแรงของปัญหา ซึ่งโดยทั่วไปสามารถแบ่งได้เป็น 3 ระดับ ดังนี้
- ผิวหย่อนคล้อยเล็กน้อย (Mild Sagging): เหมาะสำหรับการดูแลผิวด้วยผลิตภัณฑ์เฉพาะทาง เช่น เรตินอยด์และครีมกันแดด ร่วมกับการใช้อุปกรณ์พลังงานที่ไม่ต้องผ่าตัด (Non-invasive) อย่าง HIFU หรือ RF เพื่อกระชับผิวในระยะเริ่มต้น หรืออาจใช้ฟิลเลอร์เพื่อช่วยพยุงโครงสร้างผิวเล็กน้อย
- ผิวหย่อนคล้อยปานกลาง (Moderate Sagging): มักต้องใช้วิธีการรักษาแบบผสมผสานเพื่อให้ได้ผลลัพธ์ที่ดีที่สุด เช่น การใช้อุปกรณ์พลังงาน (HIFU, RF) ร่วมกับการร้อยไหมเพื่อยกกระชับ และการฉีดฟิลเลอร์เพื่อเติมเต็มปริมาตรที่หายไป นอกจากนี้ การผ่าตัดดึงหน้าแบบแผลเล็ก (Mini-lift) ก็เป็นอีกทางเลือกหนึ่งสำหรับผู้ที่ต้องการผลลัพธ์ที่ชัดเจนและยาวนานขึ้น
- ผิวหย่อนคล้อยรุนแรง (Severe Sagging): การผ่าตัดศัลยกรรม เช่น การผ่าตัดดึงใบหน้า (Facelift) และลำคอ (Neck lift) ถือเป็นวิธีที่เหมาะสมและมีประสิทธิภาพที่สุด เนื่องจากสามารถกำจัดผิวหนังส่วนเกินและยกกระชับเนื้อเยื่อชั้นลึกได้อย่างครอบคลุม ซึ่งเป็นสิ่งที่หัตถการอื่นไม่สามารถทำได้
เปรียบเทียบผลลัพธ์และระยะเวลาเห็นผล
ผลลัพธ์และระยะเวลาเห็นผลของการรักษาผิวหย่อนคล้อยจะแตกต่างกันอย่างมาก ตั้งแต่การเปลี่ยนแปลงที่เห็นผลทันทีไปจนถึงผลลัพธ์ที่ค่อยๆ ปรากฏขึ้นในระยะเวลาหลายเดือน
ตารางด้านล่างเปรียบเทียบผลลัพธ์และระยะเวลาเห็นผลของการรักษาแต่ละประเภท
| การรักษา | ผลลัพธ์ที่คาดหวัง | ระยะเวลาเห็นผล |
|---|---|---|
| ผลิตภัณฑ์ทาผิว (เช่น เรตินอยด์) | ช่วยป้องกันและทำให้ผิวกระชับขึ้นเล็กน้อย | ค่อยเป็นค่อยไป (เห็นผลชัดเจนใน 3-6 เดือน) |
| เครื่องมือยกกระชับ (HIFU, RF) | ผิวยกกระชับและตึงขึ้นอย่างเห็นได้ชัด (ประมาณ 20-30%) | ค่อยๆ เห็นผล และเห็นผลเต็มที่ใน 2-6 เดือน |
| ฟิลเลอร์ | เติมเต็ม объёмที่หายไปและช่วยยกพยุงผิวได้ทันที | เห็นผลทันที และจะเข้าที่ใน 1-2 สัปดาห์ |
| โบท็อกซ์ (Nefertiti Lift) | กรอบหน้าและลำคอคมชัดขึ้นเล็กน้อย | เห็นผลใน 1-2 สัปดาห์ |
| การร้อยไหม | ยกกระชับผิวได้ทันทีในระดับปานกลาง | เห็นผลการยกทันที และจะเข้าที่ใน 2 สัปดาห์ |
| การผ่าตัดดึงหน้า | ยกกระชับผิวที่หย่อนคล้อยรุนแรงและกำจัดผิวหนังส่วนเกินได้อย่างชัดเจน | เห็นผลทันที แต่จะเห็นผลลัพธ์สุดท้ายเมื่ออาการบวมลดลงใน 3-6 เดือน |
เปรียบเทียบค่าใช้จ่ายและระยะเวลาพักฟื้น
ค่าใช้จ่ายและระยะเวลาพักฟื้นจะเพิ่มขึ้นตามระดับความรุนแรงของการรักษา โดยหัตถการที่ไม่ต้องผ่าตัด เช่น การใช้ยาทาหรือเครื่องมือพลังงาน จะมีค่าใช้จ่ายน้อยกว่าและใช้เวลาพักฟื้นน้อยที่สุด ในขณะที่การผ่าตัดจะมีค่าใช้จ่ายสูงสุดและต้องใช้เวลาพักฟื้นนานที่สุด
ตารางเปรียบเทียบค่าใช้จ่ายและระยะเวลาพักฟื้นโดยประมาณสำหรับการรักษาแต่ละประเภท มีดังนี้
| การรักษา | ระยะเวลาพักฟื้น | ค่าใช้จ่ายโดยประมาณ (ในสหรัฐอเมริกา) |
|---|---|---|
| การใช้ยาทา (เรตินอยด์/วิตามินซี) | ไม่ต้องพักฟื้น | ต่ำ ($20–$100 ต่อเดือน) |
| การนวดหน้า/โยคะใบหน้า | ไม่ต้องพักฟื้น | ไม่มี (ทำเองที่บ้าน) |
| HIFU (เช่น Ultherapy) | น้อยมาก (รอยแดง 2-3 ชั่วโมง) | ปานกลาง-สูง ($2,000–$4,000) |
| คลื่นวิทยุ (เช่น Thermage) | น้อยมาก (อาจบวม 2-3 วัน) | ปานกลาง-สูง ($1,500–$3,000) |
| ฟิลเลอร์ | เล็กน้อย (รอยช้ำ 2-3 วัน) | ปานกลาง ($600–$1,200 ต่อไซริงจ์) |
| การร้อยไหม | เล็กน้อย (บวมหรือรอยบุ๋มประมาณ 1 สัปดาห์) | ปานกลาง ($1,500–$4,500) |
| โบท็อกซ์ (Nefertiti Lift) | ไม่ต้องพักฟื้นหรือมีเพียงรอยช้ำเล็กน้อย | ต่ำ-ปานกลาง ($300–$600) |
| การผ่าตัดดึงหน้าแบบมินิ | ประมาณ 1–2 สัปดาห์ | สูง ($6,000–$10,000) |
| การผ่าตัดดึงหน้าเต็มรูปแบบ | ประมาณ 2–3 สัปดาห์ | สูง ($8,000–$15,000+) |
ความปลอดภัยและผลข้างเคียงที่ควรรู้ก่อนตัดสินใจ
ใครบ้างที่ไม่เหมาะกับการทำหัตถการยกกระชับ
ผู้ที่ไม่เหมาะกับการทำหัตถการยกกระชับคือผู้ที่มีปัญหาสุขภาพร้ายแรง ผู้ที่สูบบุหรี่เป็นประจำ และผู้ที่มีความคาดหวังต่อผลลัพธ์ที่ไม่สมจริง นอกจากนี้ยังมีข้อควรพิจารณาอื่นๆ สำหรับแต่ละบุคคลและประเภทของหัตถการ
กลุ่มที่ไม่เหมาะกับการทำหัตถการยกกระชับโดยทั่วไป ได้แก่:
- ผู้ที่มีโรคประจำตัวรุนแรง: เช่น โรคหัวใจที่ยังควบคุมอาการไม่ได้ หรือภาวะเลือดออกผิดปกติ
- ผู้ที่สูบบุหรี่: การสูบบุหรี่ขัดขวางกระบวนการฟื้นตัวของแผลอย่างรุนแรง และเพิ่มความเสี่ยงที่ผิวหนังจะตายหลังการผ่าตัด ศัลยแพทย์หลายคนจึงไม่ผ่าตัดยกกระชับใบหน้าให้ผู้ที่ยังสูบบุหรี่อยู่
- ผู้ที่มีความคาดหวังที่ไม่สมจริง: ผู้ที่คาดหวังว่าการทำหัตถการจะสามารถเปลี่ยนแปลงชีวิตในด้านอื่นๆ ได้
- ผู้ที่มีผิวหย่อนคล้อยรุนแรงมาก: อาจไม่เหมาะกับหัตถการที่ไม่ใช่การผ่าตัด เช่น ฟิลเลอร์ ร้อยไหม หรือ HIFU เนื่องจากอาจให้ผลลัพธ์เพียงเล็กน้อยหรือไม่เป็นธรรมชาติ
- ผู้ที่รับประทานยาหรืออาหารเสริมบางชนิด: เช่น ยาไอโซเตรติโนอิน (Isotretinoin) หรือผู้ที่รับประทานน้ำมันปลาและวิตามินอีในปริมาณสูง อาจต้องหยุดยาหรือเลื่อนการทำหัตถการออกไปก่อนเพื่อลดความเสี่ยง
ควรปรึกษาแพทย์ผู้เชี่ยวชาญเมื่อใด
ควรปรึกษาแพทย์ผู้เชี่ยวชาญ ก่อนเริ่มการรักษาทางคลินิกใดๆ สำหรับปัญหาผิวหย่อนคล้อย เพื่อให้ได้รับการประเมินสภาพผิวและความรุนแรงของปัญหาอย่างแม่นยำ ซึ่งจะนำไปสู่การวางแผนการรักษาที่เหมาะสมและปลอดภัยที่สุดสำหรับแต่ละบุคคล
การปรึกษาผู้เชี่ยวชาญ เช่น แพทย์ผิวหนังหรือศัลยแพทย์ตกแต่งที่ได้รับการรับรอง จะช่วยลดความเสี่ยงและทำให้ได้ผลลัพธ์ที่ดีที่สุดจากการรักษา ไม่ว่าจะเป็นการใช้เครื่องมือยกกระชับ การฉีดสารเติมเต็ม หรือการผ่าตัด นอกจากนี้ การปรึกษาแพทย์ตั้งแต่เนิ่นๆ ในช่วงอายุ 20-30 ปี ยังสามารถช่วยวางแผนการดูแลเพื่อชะลอการเกิดความหย่อนคล้อยได้อีกด้วย
คำถามที่พบบ่อย (FAQs)
แก้ปัญหาหน้าหย่อนคล้อยโดยวิธีธรรมชาติเห็นผลจริงไหม?
วิธีแก้ปัญหาหน้าหย่อนคล้อยตามธรรมชาติส่วนใหญ่ให้ผลลัพธ์เพียง ชั่วคราวหรือเล็กน้อยเท่านั้น และไม่สามารถแก้ไขโครงสร้างผิวที่หย่อนคล้อยอย่างชัดเจนได้จริง
การใช้วิธีธรรมชาติ เช่น การมาสก์หน้าด้วยไข่ขาวหรือว่านหางจระเข้ อาจทำให้ผิวรู้สึกตึงขึ้นชั่วคราวจากการที่ส่วนผสมแห้งเป็นฟิล์มบนผิว หรือช่วยให้ผิวชุ่มชื้นขึ้น แต่ไม่ได้สร้างคอลลาเจนหรืออีลาสตินขึ้นมาใหม่เพื่อยกกระشับผิวอย่างถาวร
อย่างไรก็ตาม มีวิธีธรรมชาติบางอย่างที่ได้รับการสนับสนุนทางวิทยาศาสตร์ว่าสามารถช่วยได้ในระดับหนึ่ง ได้แก่:
- การนวดหน้าและโยคะใบหน้า: อาจช่วยเพิ่มความกระชับของกล้ามเนื้อและความยืดหยุ่นของผิวได้เล็กน้อย
- การรับประทานอาหารและอาหารเสริม: การทานอาหารที่มีโปรตีนและสารต้านอนุมูลอิสระสูง รวมถึงอาหารเสริมคอลลาเจนชนิดทาน สามารถช่วยเสริมสร้างโครงสร้างผิวจากภายใน
- ส่วนผสมจากธรรมชาติในสกินแคร์: ส่วนผสมบางชนิด เช่น บาคูชิออล (Bakuchiol) ซึ่งเป็นทางเลือกของเรตินอลจากธรรมชาติ มีข้อมูลว่าช่วยกระตุ้นการสร้างคอลลาเจนได้
โดยสรุป วิธีธรรมชาติเหล่านี้เหมาะสำหรับการบำรุงผิวโดยรวมหรือช่วยชะลอความหย่อนคล้อยในระยะเริ่มต้น แต่ไม่สามารถยกกระชับผิวที่หย่อนคล้อยไปแล้วให้กลับมาเหมือนเดิมได้
อายุเท่าไหร่ควรเริ่มดูแลเรื่องความหย่อนคล้อย?
แพทย์ผิวหนังแนะนำให้เริ่มดูแลป้องกันความหย่อนคล้อยตั้งแต่ช่วงอายุ 20 และ 30 ปี เพื่อชะลอการเกิดปัญหาผิวที่มองเห็นได้ชัดเจนในอนาคต
การป้องกันตั้งแต่เนิ่นๆ จะช่วย “สะสม” ความยืดหยุ่นของผิวไว้สำหรับอนาคต โดยผู้เชี่ยวชาญแนะนำให้เริ่มใช้มาตรการป้องกันเหล่านี้อย่างช้าที่สุดในช่วงกลางอายุ 30 ปี กลยุทธ์หลักในการป้องกัน ได้แก่:
- การใช้ครีมกันแดดเป็นประจำทุกวัน: การป้องกันรังสียูวีอย่างสม่ำเสมอสามารถชะลอการสูญเสียคอลลาเจนและรักษาความยืดหยุ่นของผิวได้อย่างมีนัยสำคัญ
- การใช้ผลิตภัณฑ์กลุ่มเรตินอยด์ (Retinoids): การเริ่มใช้เรตินอยด์ความเข้มข้นต่ำในช่วงปลายอายุ 20 หรือต้น 30 จะช่วยเพิ่มความหนาแน่นของคอลลาเจนและลดเลือนริ้วรอยเล็กๆ ได้
ผิวหย่อนคล้อยในผู้ชายและผู้หญิงแตกต่างกันหรือไม่?
ผิวหย่อนคล้อยในผู้ชายและผู้หญิงมีความแตกต่างกัน เนื่องจากโครงสร้างผิวและรูปแบบการเปลี่ยนแปลงตามวัยที่ไม่เหมือนกัน
โดยทั่วไปผิวของผู้ชายจะหนาและมีคอลลาเจนมากกว่า ทำให้หย่อนคล้อยช้ากว่า แต่เมื่อเกิดขึ้นแล้วมักจะมีร่องลึกและหย่อนคล้อยชัดเจนบริเวณใบหน้าส่วนล่าง เช่น กรอบหน้าและเปลือกตาล่าง ในทางกลับกัน ผิวของผู้หญิงจะบางกว่าและสูญเสียคอลลาเจนอย่างรวดเร็วในช่วงวัยหมดประจำเดือน ทำให้สังเกตเห็นความหย่อนคล้อยและผิวที่เหี่ยวย่นได้เร็วกว่า โดยเฉพาะบริเวณแก้มและลำคอ
หลังทำหัตถการยกกระชับ ต้องดูแลตัวเองอย่างไร?
การดูแลตัวเองหลังทำหัตถการยกกระชับจะแตกต่างกันไปขึ้นอยู่กับประเภทของหัตถการ ตั้งแต่การดูแลเพียงเล็กน้อยสำหรับหัตถการที่ไม่ต้องผ่าตัด ไปจนถึงการดูแลอย่างเข้มงวดหลังการผ่าตัด
- กลุ่มที่ไม่ต้องผ่าตัด (เช่น HIFU, Ultherapy, Thermage): แทบไม่ต้องพักฟื้นและสามารถกลับไปใช้ชีวิตได้ตามปกติทันที อาจมีรอยแดงหรือบวมเล็กน้อยซึ่งจะหายไปเอง การดูแลที่สำคัญคือการทาครีมกันแดดและมอยส์เจอไรเซอร์เป็นประจำ
- กลุ่มฉีด (เช่น โบท็อกซ์, ฟิลเลอร์): หลังฉีดโบท็อกซ์ (Nefertiti Lift) ควรหลีกเลี่ยงการนวดหรือกดบริเวณที่ฉีดประมาณ 1-2 วัน ส่วนการฉีดฟิลเลอร์อาจมีรอยช้ำเล็กน้อยได้
- กลุ่มร้อยไหม: ควรหลีกเลี่ยงการออกกำลังกายหนักๆ การขยับใบหน้าแรงๆ หรือการนวดหน้าประมาณ 1-2 สัปดาห์เพื่อให้ไหมเข้าที่ และแนะนำให้นอนหงายในช่วงแรก
- กลุ่มผ่าตัดดึงหน้า: ต้องมีการดูแลแผลผ่าตัดให้สะอาด หลีกเลี่ยงการยกของหนักหรือออกกำลังกายหนักเป็นเวลา 4-6 สัปดาห์ งดสูบบุหรี่โดยเด็ดขาด และปกป้องรอยแผลจากแสงแดดเป็นเวลาอย่างน้อย 1 ปี
ริ้วรอยกับผิวหย่อนคล้อยมีความสัมพันธ์กันอย่างไร?
ริ้วรอยและผิวหย่อนคล้อยมีสาเหตุหลักร่วมกันคือการสลายตัวของคอลลาเจนและอีลาสติน จึงมักเกิดขึ้นพร้อมกันเมื่อผิวมีอายุมากขึ้น
อย่างไรก็ตาม ทั้งสองอย่างมีความแตกต่างกัน โดยริ้วรอยคือรอยพับหรือร่องเล็กๆ ที่สามารถเกิดขึ้นได้แม้บนผิวที่ยังค่อนข้างกระชับ (เช่น ริ้วรอยจากการแสดงสีหน้า) ในขณะที่ความหย่อนคล้อยคือการที่ผิวสูญเสียความแน่นกระชับโดยรวมและไม่ยึดเกาะกับโครงสร้างข้างใต้เหมือนเดิม
อ้างอิง:
- Plastic Surgery Key. (2019). Skin Laxity: Anatomy, Etiology, and Treatment Indications. PlasticSurgeryKey.com. plasticsurgerykey.com
- Huizen, J. (2024). What are jowls and how to get rid of them. Medical News Today. medicalnewstoday.com
- Cavinato, M., Martic, I., & Jansen-Dürr, P. (2022). Effects of air pollution on cellular senescence and skin aging. Cells/Biomolecules (MDPI). mdpi.com
- Howard, D. (2019). Is a Man’s Skin Really Different?. The International Dermal Institute. dermalinstitute.com
- McGurnaghan, A., & Ogilvie, J. (2023). Age-related volume loss in women and men – how structural differences affect aging. Aesthetic Medicine Magazine, Sept 2023 Issue. mag.aestheticmed.co.uk
- Huizen, J. (2023). 6 ways to tighten loose skin. Medical News Today. medicalnewstoday.com
- Haykal, D., et al. (2024). Rapid weight loss through GLP-1 agonists – aesthetic implications (“Ozempic face”). Journal of Cosmetic Dermatology, 23(8), 2623–2630.
- American Academy of Dermatology. (2017). Many ways to firm sagging skin. aad.org
- Quan, T. (2023). Human Skin Aging and the Anti-Aging Properties of Retinol. Biomolecules, 13(11), 1614. mdpi.com
- Park, K. et al. (2025). The state of the art in anti-aging: plant-based phytochemicals for skin care. Immunity & Ageing, 18(1), 4. biomedcentral.com

