ลดเหนียงใต้คาง: 15 วิธีเด็ด เห็นผลจริงใน 7 วัน ปลอดภัย
เหนียงใต้คางเกิดจากอะไร? สำรวจ 5 สาเหตุหลัก
เหนียงใต้คางเกิดจากหลายปัจจัยร่วมกัน ทั้งพันธุกรรม การเพิ่มขึ้นของน้ำหนัก อายุที่มากขึ้น ลักษณะโครงสร้างใบหน้า และท่าทางที่ไม่เหมาะสม
สาเหตุหลัก 5 ประการที่ทำให้เกิดเหนียงใต้คาง ได้แก่
- พันธุกรรม: ลักษณะที่สืบทอดมา เช่น คางสั้น คางถอย หรือแนวกรามที่ไม่ชัดเจน ทำให้ไขมันใต้คางแม้เพียงเล็กน้อยก็สามารถมองเห็นได้ง่าย นอกจากนี้ DNA ยังเป็นตัวกำหนดว่าร่างกายจะสะสมไขมันไว้ที่ส่วนใดเป็นพิเศษ
- การเพิ่มขึ้นของน้ำหนัก: เมื่อร่างกายมีไขมันสะสมเพิ่มขึ้น ไขมันส่วนเกินนั้นสามารถไปปรากฏอยู่บริเวณใต้คางได้ โดยเฉพาะในผู้ที่มีแนวโน้มทางพันธุกรรมอยู่แล้ว
- อายุที่มากขึ้น: เมื่ออายุเพิ่มขึ้น ผิวจะสูญเสียคอลลาเจนและความยืดหยุ่น ทำให้ผิวหนังหย่อนคล้อยลงมา ซึ่งอาจทำให้ดูเหมือนมีเหนียงได้แม้ว่าจะมีไขมันไม่มากก็ตาม
- ลักษณะโครงสร้างใบหน้าและลำคอ: โครงสร้างบางอย่าง เช่น คางเล็กหรือคางหลุบเข้าไป ทำให้ไม่มีกระดูกพอที่จะขึงผิวให้ตึง หรือการมีต่อมใต้ขากรรไกรและกล้ามเนื้อบางมัดที่ใหญ่กว่าปกติ ก็สามารถทำให้ใต้คางดูนูนเหมือนมีเหนียงได้
- ท่าทางที่ไม่เหมาะสม: การก้มหน้ามองจอเป็นเวลานาน (Tech Neck) หรือการอยู่ในท่าหลังค่อม ทำให้กล้ามเนื้อคออ่อนแอและผิวหนังเกิดรอยพับ ซึ่งเป็นการเน้นให้เหนียงดูชัดเจนยิ่งขึ้น
ใครเหมาะกับการลดเหนียงใต้คาง
ผู้ที่เหมาะกับการลดเหนียงคือคนที่มีไขมันส่วนเกินใต้คางและผิวหนังยังมีความยืดหยุ่นดี แต่ความเหมาะสมจะขึ้นอยู่กับสาเหตุของเหนียงแต่ละบุคคล ซึ่งแพทย์จะเป็นผู้ประเมินและเลือกวิธีการรักษาที่เหมาะสมที่สุด โดยสามารถแบ่งกลุ่มผู้ที่เหมาะกับการรักษาแต่ละประเภทได้ดังนี้
- เหมาะกับการกำจัดไขมัน (Liposuction, Kybella, CoolSculpting): ผู้ที่มีเหนียงเกิดจากไขมันสะสมเป็นหลัก โดยที่ผิวหนังยังไม่หย่อนคล้อยมากนัก (มักเป็นผู้ที่อายุไม่เกิน 45 ปี) เพราะหลังกำจัดไขมันแล้วผิวจะสามารถหดกระชับกลับคืนมาได้ดี
- เหมาะกับการยกกระชับผิว (Neck Lift, Thread Lift, HIFU, RF): ผู้ที่มีเหนียงเกิดจากผิวหนังหย่อนคล้อยหรือที่เรียกว่า “คอไก่งวง” ซึ่งมักพบในผู้สูงอายุ (ประมาณ 50 ปีขึ้นไป) หรือผู้ที่ลดน้ำหนักอย่างรวดเร็ว คนกลุ่มนี้อาจมีไขมันไม่มาก แต่ต้องการการยกกระชับเพื่อแก้ปัญหาความหย่อนยาน
- เหมาะกับการรักษาเรื่องกล้ามเนื้อ (Botox, Platysmaplasty): ผู้ที่มีเส้นแนวตั้งที่คอชัดเจน (Platysmal Bands) ซึ่งเกิดจากการทำงานของกล้ามเนื้อคอ การฉีดโบท็อกซ์ (Nefertiti Lift) จะช่วยคลายกล้ามเนื้อส่วนนี้ ทำให้แนวกรามคมชัดขึ้น
- เหมาะกับการเสริมโครงสร้าง (Chin Implant): ผู้ที่มีเหนียงเนื่องจากโครงสร้างกระดูกคางสั้นหรือถอยไปด้านหลัง ทำให้เนื้อเยื่อแม้มีไม่มากก็หย่อนลงมาเป็นเหนียงได้ การเสริมคางจะช่วยเพิ่มการรองรับและทำให้แนวกรามดูดีขึ้น
รวม 15 วิธีลดเหนียงใต้คาง เห็นผลเร่งด่วน
1. บริหารใบหน้าด้วยท่าลดเหนียง
การบริหารใบหน้าและลำคอช่วยเสริมสร้างความแข็งแรงของกล้ามเนื้อ ซึ่งอาจทำให้ผิวบริเวณใต้คางดูกระชับขึ้นเล็กน้อย แต่ไม่สามารถกำจัดไขมันเหนียงได้โดยตรง
การบริหารใบหน้า เช่น การทำคางสองชั้น (chin tucks) หรือการยืดกล้ามเนื้อด้วยการทำปากจู๋ (pouting stretches) จะช่วยให้กล้ามเนื้อบริเวณลำคอ (platysma) แข็งแรงขึ้น ทำให้ผิวหนังดูกระชับและ “ยกขึ้น” เล็กน้อย อย่างไรก็ตาม ผู้เชี่ยวชาญเน้นย้ำว่าการออกกำลังกายเฉพาะส่วนไม่สามารถเผาผลาญไขมันใต้คางได้ และไม่สามารถกำจัดเหนียงที่มีไขมันสะสมอยู่มากได้
โดยสรุป การบริหารใบหน้าเป็นวิธีที่ปลอดภัยและไม่มีค่าใช้จ่าย สามารถทำเพื่อเสริมการรักษาอื่น ๆ หรือช่วยปรับปรุงลักษณะของเหนียงเล็กน้อยได้ แต่ไม่ควรคาดหวังผลลัพธ์ที่ชัดเจนในการลดไขมัน
2. ควบคุมอาหารและปรับโภชนาการ
การควบคุมอาหารและปรับโภชนาการเป็นวิธีลดไขมันทั่วร่างกาย ซึ่งเป็นวิธีที่ดีต่อสุขภาพและมีประสิทธิภาพในการลดเหนียง โดยการปรับเปลี่ยนพฤติกรรมการกินร่วมกับการออกกำลังกายจะบังคับให้ร่างกายดึงไขมันที่สะสมไว้ออกมาใช้เป็นพลังงาน รวมถึงไขมันบริเวณใต้คางด้วย
หลักการสำคัญในการปรับโภชนาการเพื่อลดเหนียง ได้แก่:
- เน้นอาหารที่มีประโยชน์: รับประทานอาหารที่อุดมด้วยโปรตีนไร้มัน ผัก และอาหารที่มีเส้นใยสูง
- ลดอาหารที่ไม่มีประโยชน์: ลดการบริโภคน้ำตาล ไขมันแปรรูป และอาหารที่มีแคลอรีสูง
- ดื่มน้ำให้เพียงพอ: การดื่มน้ำอย่างสม่ำเสมอช่วยป้องกันอาการบวมซึ่งอาจทำให้เหนียงดูชัดขึ้น
- ลดน้ำหนัก: สำหรับผู้ที่มีน้ำหนักเกิน การลดน้ำหนักตัวลงเพียง 5–10% ก็สามารถช่วยให้เหนียงลดลงได้อย่างเห็นได้ชัด
ผลลัพธ์จากการปรับโภชนาการจะค่อยเป็นค่อยไปและอาจใช้เวลาหลายสัปดาห์ถึงหลายเดือนจึงจะเห็นการเปลี่ยนแปลงที่ชัดเจน อย่างไรก็ตาม วิธีนี้อาจไม่ได้ผลเต็มที่สำหรับผู้ที่มีเหนียงจากพันธุกรรมแม้จะมีน้ำหนักตัวที่เหมาะสมแล้วก็ตาม
3. นวดกระตุ้นการไหลเวียนใต้คาง
การนวดใต้คางสามารถช่วยลดอาการบวมและระบายของเหลวที่คั่งค้างได้ ซึ่งทำให้แนวกรามดูคมชัดขึ้นได้เล็กน้อย แต่ผลลัพธ์ที่ได้จะเป็นเพียงชั่วคราวและไม่สามารถกำจัดไขมันได้
การนวด เช่น กัวซา (Gua Sha) หรือการนวดระบายน้ำเหลือง จะช่วยเพิ่มการไหลเวียนโลหิตและระบายของเหลวส่วนเกินที่ทำให้บริเวณใต้คางดูบวมขึ้นได้ โดยเฉพาะหลังตื่นนอนหรือหลังรับประทานอาหารรสเค็ม อย่างไรก็ตาม ผลลัพธ์นี้ไม่ถาวร เพราะเหนียงที่เกิดจากไขมันจะกลับมาเหมือนเดิมเมื่อของเหลวกลับสู่ภาวะปกติ
โดยสรุป การนวดเป็นวิธีเสริมที่ปลอดภัยและอาจช่วยให้ผิวดูดีขึ้น แต่ไม่ใช่วิธีแก้ปัญหาเหนียงที่เกิดจากไขมันโดยตรง และมักจะได้ผลดีที่สุดเมื่อใช้ร่วมกับการรักษาอื่น เช่น การนวดเบาๆ หลังการผ่าตัดเพื่อช่วยลดอาการบวม
4. ปรับพฤติกรรมการใช้ชีวิตลดการสะสมไขมัน
การปรับเปลี่ยนไลฟ์สไตล์ที่มีประสิทธิภาพที่สุดในการลดเหนียงคือการลดไขมันโดยรวมของร่างกายผ่านการควบคุมอาหารและการออกกำลังกาย ซึ่งเป็นวิธีที่ดีต่อสุขภาพและเชื่อถือได้มากที่สุด อย่างไรก็ตาม ยังมีพฤติกรรมอื่นๆ ที่สามารถช่วยปรับปรุงลักษณะของเหนียงได้ ดังนี้
- การควบคุมอาหารและการออกกำลังกาย: การรับประทานอาหารที่มีประโยชน์และควบคุมแคลอรี่ ร่วมกับการออกกำลังกายเป็นประจำ จะช่วยให้ร่างกายเผาผลาญไขมันสะสมทั่วร่างกาย รวมถึงบริเวณใต้คาง การลดน้ำหนักตัวลงเพียง 5–10% ก็สามารถช่วยให้เหนียงลดลงอย่างเห็นได้ชัด
- การปรับท่าทาง: การรักษาท่าทางที่ดี เช่น การยืดคอตรงและเก็บคางเล็กน้อย จะช่วยพยุงกล้ามเนื้อบริเวณลำคอและป้องกันไม่ให้เหนียงดูแย่ลง โดยเฉพาะจากภาวะ “คอเทค” (tech neck) ที่เกิดจากการก้มมองหน้าจอเป็นเวลานาน
- การบริหารใบหน้าและลำคอ: การออกกำลังกายเฉพาะส่วน เช่น การทำท่าเก็บคาง (chin tucks) สามารถเสริมสร้างความแข็งแรงของกล้ามเนื้อและทำให้ผิวที่หย่อนคล้อยเล็กน้อยดูกระชับขึ้นได้ แต่ไม่สามารถกำจัดไขมันเฉพาะจุดได้
- การนวดและกัวซา: การนวดเพื่อระบายน้ำเหลืองสามารถช่วยลดอาการบวมหรืออาการหน้าบวมน้ำซึ่งทำให้เหนียงดูใหญ่ขึ้นได้ชั่วคราว แต่ไม่สามารถกำจัดไขมันได้อย่างถาวร
5. เคี้ยวหมากฝรั่งเพื่อบริหารกล้ามเนื้อ
การเคี้ยวหมากฝรั่งอาจช่วยบริหารกล้ามเนื้อกรามและลำคอได้ แต่มีผลเพียงเล็กน้อยในการลดไขมัน การเคี้ยวหมากฝรั่งชนิดไม่มีน้ำตาลประมาณ 20 นาที วันละสองครั้ง จะช่วยบริหารกล้ามเนื้อแมสซีเทอร์ (masseter) และแพลทิสมา (platysma) ซึ่งตามทฤษฎีแล้วอาจช่วยให้บริเวณใต้คางกระชับขึ้นได้เมื่อทำอย่างสม่ำเสมอ
อย่างไรก็ตาม วิธีนี้ไม่ใช่วิธีแก้ปัญหาที่ได้ผลชัดเจนและไม่สามารถกำจัดไขมันสะสมได้มากนัก แต่เป็นเพียงการปรับเปลี่ยนวิถีชีวิตที่อาจช่วยเสริมกลยุทธ์อื่นๆ ได้ ทั้งนี้ควรระวังว่าการเคี้ยวมากเกินไปอาจทำให้เกิดอาการเมื่อยล้าที่กรามหรือปัญหาเกี่ยวกับข้อต่อขากรรไกร (TMJ) ได้
6. ฉีดเมโสแฟตสลายไขมันเหนียง
การฉีดสลายไขมันเหนียง เป็นการใช้ยา เช่น กรดดีออกซีโคลิก (Deoxycholic acid) ฉีดเข้าไปในชั้นไขมันเพื่อทำลายเซลล์ไขมันอย่างถาวร โดยร่างกายจะกำจัดเซลล์ไขมันที่ถูกทำลายออกไปเองตามธรรมชาติ วิธีนี้เหมาะสำหรับผู้ที่มีไขมันสะสมใต้คางระดับน้อยถึงปานกลางและผิวหนังยังมีความยืดหยุ่นดี
- จำนวนครั้ง: โดยทั่วไปต้องฉีด 2–4 ครั้ง ห่างกันประมาณ 1 เดือน เพื่อให้ได้ผลลัพธ์ที่ดีที่สุด
- ผลข้างเคียง: ผลข้างเคียงที่พบบ่อยที่สุดคืออาการบวมอย่างเห็นได้ชัดบริเวณที่ฉีด ซึ่งอาจคงอยู่หลายวัน (เรียกว่า “คางกบ”) รวมถึงอาการช้ำ ชา หรือปวดเล็กน้อย ซึ่งจะหายไปเองใน 1–2 สัปดาห์
- ผลลัพธ์: จะเริ่มเห็นผลการเปลี่ยนแปลงใน 4–6 สัปดาห์หลังฉีด และเห็นผลเต็มที่หลังจากฉีดครั้งสุดท้ายไปแล้วประมาณ 3–4 เดือน
- ความปลอดภัย: มีความเสี่ยงที่พบได้น้อยแต่รุนแรงคือการบาดเจ็บต่อเส้นประสาท (Marginal mandibular nerve) ซึ่งอาจทำให้มุมปากตกชั่วคราว ดังนั้นจึงจำเป็นต้องทำโดยผู้เชี่ยวชาญที่มีประสบการณ์เท่านั้น
7. ฉีดโบท็อกซ์เพื่อยกกระชับกรอบหน้า
การฉีดโบท็อกซ์เพื่อยกกระชับกรอบหน้า หรือที่เรียกว่า “Nefertiti Lift” เป็นการฉีดสารโบทูลินัม ท็อกซิน เข้าไปที่กล้ามเนื้อคอ (Platysma) เพื่อคลายการดึงรั้งของกล้ามเนื้อที่ดึงกรอบหน้าลง การทำเช่นนี้จะช่วยให้กล้ามเนื้อส่วนบนของใบหน้าที่ดึงขึ้นสามารถทำงานได้ดีขึ้น ส่งผลให้กรอบหน้าคมชัดและลำคอดูเรียบเนียนขึ้น
- เหมาะสำหรับ: ผู้ที่มีเส้นที่คอแนวตั้ง (Platysmal bands) ชัดเจน หรือมีผิวหย่อนคล้อยเล็กน้อย แต่ไม่เหมาะสำหรับผู้ที่มีไขมันใต้คางปริมาณมาก เพราะโบท็อกซ์ไม่สามารถกำจัดไขมันได้
- ผลลัพธ์: จะเริ่มเห็นผลใน 5-7 วัน และเห็นผลเต็มที่ใน 2 สัปดาห์ โดยผลลัพธ์จะคงอยู่ประมาณ 3-4 เดือน
- ขั้นตอน: ใช้เวลาประมาณ 15 นาที และแทบไม่มีระยะพักฟื้น
- ความปลอดภัย: มีความปลอดภัยสูงเมื่อทำโดยผู้เชี่ยวชาญ แต่มีความเสี่ยงน้อยที่อาจส่งผลต่อกล้ามเนื้อที่อยู่ลึกกว่า ทำให้กลืนลำบากชั่วคราวได้
8. ร้อยไหมเก็บเหนียง
การร้อยไหมเก็บเหนียงคือ การใช้ไหมละลายที่มีเงี่ยงสอดเข้าไปใต้ผิวหนังเพื่อดึงยกผิวที่หย่อนคล้อยบริเวณใต้คางและแนวกรามขึ้นทันที ซึ่งช่วยให้กรอบหน้าคมชัดขึ้นและเหนียงลดลงอย่างรวดเร็ว
- กลไกการทำงาน: ไหมจะทำหน้าที่ 2 อย่าง คือ ดึงยกผิวที่หย่อนคล้อยขึ้นในทันที และกระตุ้นการสร้างคอลลาเจนรอบแนวเส้นไหมเมื่อเวลาผ่านไป ทำให้ผิวบริเวณนั้นกระชับขึ้น
- เหมาะกับใคร: เหมาะสำหรับผู้ที่มีปัญหาผิวหย่อนคล้อยระดับน้อยถึงปานกลางบริเวณใต้คางและแนวกราม และอาจมีไขมันสะสมเล็กน้อย แต่ไม่เหมาะกับผู้ที่มีไขมันใต้คางเยอะหรือผิวหนังหย่อนคล้อยมากเกินไป
- ผลลัพธ์และระยะเวลา: เห็นผลการยกกระชับได้ทันทีหลังทำ และจะเห็นผลชัดเจนขึ้นอีกใน 2-3 เดือนถัดมาเมื่อคอลลาเจนถูกสร้างขึ้น ผลลัพธ์จะคงอยู่ประมาณ 12-18 เดือน ก่อนที่ไหมจะสลายไป
- การพักฟื้นและผลข้างเคียง: อาจมีอาการบวม ช้ำ หรือรู้สึกตึงๆ บริเวณที่ร้อยไหมได้ประมาณ 1 สัปดาห์ ควรหลีกเลี่ยงการอ้าปากกว้างๆ การนวดหน้า และการออกกำลังกายหนักประมาณ 2 สัปดาห์ เพื่อป้องกันไหมเคลื่อนที่ ความเสี่ยงอื่นๆ ที่พบได้น้อย ได้แก่ การติดเชื้อ ปลายไหมโผล่ หรือผิวเป็นรอยบุ๋มชั่วคราว
9. ใช้เครื่อง Hifu / Ulthera / Thermage
HIFU (เช่น Ulthera) และ RF (เช่น Thermage) เป็นเทคโนโลยีที่ใช้พลังงานความร้อนเพื่อลดไขมันใต้คางและกระชับผิวที่หย่อนคล้อยไปพร้อมกัน โดยเหมาะสำหรับผู้ที่มีเหนียงเล็กน้อยถึงปานกลางและมีผิวที่เริ่มหย่อนคล้อย
- HIFU (High-Intensity Focused Ultrasound) / Ulthera: ใช้พลังงานคลื่นอัลตราซาวนด์ความเข้มข้นสูงส่งความร้อนไปยังชั้นไขมันและผิวหนังชั้นลึกเพื่อสลายเซลล์ไขมันและกระตุ้นการสร้างคอลลาเจนใหม่ไปพร้อมกัน ผลการศึกษาพบว่าสามารถลดไขมันและยกกระชับผิวได้จริง โดยผลลัพธ์จะค่อยๆ ชัดเจนขึ้นใน 2-3 เดือน และอยู่ได้นานประมาณ 1-2 ปี
- RF (Radiofrequency) / Thermage: ใช้พลังงานคลื่นวิทยุเพื่อสร้างความร้อนในชั้นผิวหนัง เน้นการกระตุ้นคอลลาเจนเพื่อยกกระชับผิวเป็นหลัก และสามารถลดไขมันได้เล็กน้อย (ประมาณ 10%) จึงเหมาะกับผู้ที่กังวลเรื่องความหย่อนคล้อยของผิวมากกว่าปริมาณไขมัน
10. สลายไขมันด้วยความเย็น (CoolSculpting)
การสลายไขมันด้วยความเย็น (Cryolipolysis) หรือที่รู้จักกันในชื่อ CoolSculpting เป็นวิธีการลดไขมันใต้คางโดยไม่ต้องผ่าตัด โดยใช้ความเย็นจัดเพื่อทำลายเซลล์ไขมันอย่างถาวร ซึ่งร่างกายจะกำจัดเซลล์ที่ตายแล้วออกไปตามธรรมชาติในช่วงเวลาหลายสัปดาห์
โดยทั่วไปแล้ว การทำหนึ่งครั้งสามารถลดชั้นไขมันในบริเวณที่ทำได้ประมาณ 20–25% และสามารถทำซ้ำได้หากต้องการลดไขมันเพิ่มเติม
- ขั้นตอน: ระหว่างการทำ ผู้ป่วยจะรู้สึกเย็นจัดและมีแรงดูดที่หัวของอุปกรณ์ประมาณ 5-10 นาทีจนกระทั่งบริเวณนั้นชา หลังจากนั้นจะมีการนวดบริเวณที่แข็งตัวจากความเย็นเพื่อช่วยให้เซลล์ไขมันสลายตัวได้ดีขึ้น
- ผลลัพธ์: จะเริ่มเห็นการเปลี่ยนแปลงในเวลาประมาณ 3-4 สัปดาห์ และเห็นผลเต็มที่ใน 2-3 เดือน
- ผลข้างเคียง: ผลข้างเคียงที่พบบ่อยคืออาการบวม แดง ชา หรือรอยช้ำชั่วคราว ซึ่งจะหายไปเองในไม่กี่วันถึงสองสามสัปดาห์ อย่างไรก็ตาม มีความเสี่ยงที่พบได้ยากมาก (ประมาณ 1 ใน 20,000) คือภาวะไขมันขยายตัวผิดปกติ (Paradoxical Adipose Hyperplasia หรือ PAH) ซึ่งทำให้ไขมันในบริเวณที่ทำมีขนาดใหญ่และแข็งขึ้นแทนที่จะลดลง
- ข้อจำกัด: วิธีนี้เหมาะสำหรับผู้ที่มีไขมันสะสมเป็นก้อนที่สามารถหยิบจับได้ แต่ไม่สามารถแก้ไขปัญหาผิวหนังที่หย่อนคล้อยได้
11. ดูดไขมันเหนียง (Vaser Lipo)
การดูดไขมันเหนียงด้วย Vaser (Vaser Lipo) คือการผ่าตัดที่ใช้พลังงานอัลตราซาวด์เพื่อสลายไขมันให้เป็นของเหลวก่อนจะดูดออก ซึ่งเป็นวิธีที่ช่วยกำจัดไขมันใต้คางและปรับกรอบหน้าให้คมชัดขึ้นได้อย่างถาวรในการทำเพียงครั้งเดียว
- หลักการทำงาน: ศัลยแพทย์จะเปิดแผลเล็กๆ บริเวณใต้คาง แล้วสอดท่อ Vaser เข้าไปเพื่อปล่อยพลังงานอัลตราซาวด์สลายไขมันให้เหลว จากนั้นจึงใช้ท่อขนาดเล็กดูดไขมันที่สลายแล้วออกมา ความร้อนจาก Vaser ยังช่วยกระตุ้นคอลลาเจน ทำให้ผิวหนังกระชับขึ้นได้เล็กน้อย
- เหมาะสำหรับ: ผู้ที่มีปัญหาเหนียงจากไขมันสะสมเป็นหลัก และผิวยังมีความยืดหยุ่นดี (มักเป็นผู้ที่อายุไม่เกิน 45 ปี) เพื่อให้ผิวสามารถหดกลับเข้ารูปได้หลังกำจัดไขมันออกไป
- ผลลัพธ์: เป็นวิธีมาตรฐานที่กำจัดไขมันได้อย่างถาวรและเห็นผลชัดเจน สามารถลดไขมันส่วนใหญ่ออกไปได้ในการทำเพียงครั้งเดียว ทำให้แนวกรามและลำคอดูคมชัดขึ้นอย่างมาก
- การพักฟื้น: ต้องสวมผ้ารัดบริเวณคางและใบหน้าตลอดเวลาประมาณ 3-7 วันแรกเพื่อลดอาการบวมและช่วยให้ผิวหนังติดกับโครงสร้างใหม่ อาการบวมและช้ำจะมากที่สุดในช่วง 3-5 วันแรก และจะค่อยๆ ดีขึ้นจนเกือบหายเป็นปกติใน 2 สัปดาห์
- ข้อจำกัดและความเสี่ยง: วิธีนี้ไม่สามารถแก้ไขปัญหาผิวหนังที่หย่อนคล้อยมากๆ ได้ และมีความเสี่ยงต่ำ เช่น อาการบวม ช้ำ หรือเกิดความผิดปกติของผิวหนังที่ไม่เรียบเนียนได้หากกำจัดไขมันไม่สม่ำเสมอ และมีความเสี่ยงที่พบได้ยากมากคือการบาดเจ็บของเส้นประสาท
12. ใช้คลื่นวิทยุ (Radio Frequency – RF)
การใช้คลื่นวิทยุ (RF) เป็นวิธีการกระชับผิวและลดไขมันใต้คางเล็กน้อย โดยใช้ความร้อนเพื่อกระตุ้นการสร้างคอลลาเจนและทำลายเซลล์ไขมันบางส่วน ทำให้เหมาะสำหรับผู้ที่มีปัญหาเหนียงจากผิวหย่อนคล้อยเป็นหลัก หรือมีไขมันสะสมไม่มาก
หลักการทำงานคือ คลื่น RF จะสร้างความร้อนประมาณ 45°C ขึ้นไปในชั้นผิวหนังและไขมัน ซึ่งช่วยกระตุ้นการสร้างคอลลาเจนใหม่ ทำให้ผิวตึงกระชับขึ้น และยังสามารถลดความหนาของชั้นไขมันได้ประมาณ 10-20% โดยผลลัพธ์จะค่อยๆ ปรากฏชัดเจนขึ้นใน 2-3 เดือน
ประเภทของเทคโนโลยี RF ที่ใช้สำหรับเหนียง ได้แก่:
- Thermage: เป็นการใช้คลื่น RF แบบขั้วเดียว (Monopolar RF) เพื่อกระชับผิว
- RF Microneedling (เช่น Morpheus8): เป็นการใช้เข็มขนาดเล็กส่งคลื่น RF ลงไปในชั้นผิวและไขมันโดยตรงเพื่อกระตุ้นคอลลาเจนและลดไขมัน มักต้องทำ 2-3 ครั้ง
- FaceTite: เป็นการใช้หัวปล่อยคลื่น RF ขนาดเล็กสอดเข้าไปใต้ผิวเพื่อสลายไขมันและกระชับผิวจากภายใน
13. เลเซอร์สลายไขมัน
เลเซอร์สลายไขมัน (Laser Lipolysis) เช่น SculpSure® เป็นวิธีการลดไขมันแบบไม่รุกรานโดยใช้ความร้อนจากเลเซอร์เพื่อทำลายเซลล์ไขมันใต้ผิวหนัง โดยร่างกายจะค่อยๆ กำจัดเซลล์ไขมันที่ถูกทำลายออกไปเองตามธรรมชาติ
การรักษาด้วยเลเซอร์สลายไขมันมีรายละเอียดดังนี้
- ประสิทธิภาพ: การรักษา 1 ครั้งสามารถลดไขมันในบริเวณที่ทำได้ประมาณ 24% และยังมีข้อดีคือความร้อนจากเลเซอร์ช่วยกระตุ้นคอลลาเจน ทำให้ผิวบริเวณเหนียงตึงกระชับขึ้นเล็กน้อย
- ขั้นตอน: ใช้เวลาประมาณ 25 นาที โดยแผ่นเลเซอร์จะสลับกันให้ความร้อนและความเย็น ผู้รับการรักษาจะรู้สึกอุ่นลึกๆ แต่ไม่เจ็บปวดมากและไม่ต้องพักฟื้น
- ผลลัพธ์: จะเริ่มเห็นการเปลี่ยนแปลงใน 6 สัปดาห์ และเห็นผลลัพธ์เต็มที่ในเวลา 3 เดือน
- ผลข้างเคียง: พบได้น้อยและไม่รุนแรง เช่น อาการบวมหรือเจ็บเล็กน้อย และไม่มีความเสี่ยงของภาวะไขมันพอกพูนผิดปกติ (Paradoxical Adipose Hyperplasia) เหมือนการสลายไขมันด้วยความเย็น
14. ผ่าตัดยกกระชับคอ (Neck Lift)
การผ่าตัดยกกระชับคอ (Neck Lift) เป็นหัตถการที่เหมาะสำหรับผู้ที่มีผิวหนังหย่อนคล้อยบริเวณคออย่างเห็นได้ชัด หรือที่เรียกว่า “เหนียงคอไก่งวง” (turkey neck) ซึ่งมักพบในผู้ที่มีอายุ 50-70 ปี หรือผู้ที่น้ำหนักลดลงอย่างมาก
- หลักการทำงาน: ศัลยแพทย์จะเปิดแผลบริเวณหน้าใบหู โค้งลงไปด้านหลังใบหู และซ่อนในแนวไรผม ร่วมกับการเปิดแผลเล็กๆ ใต้คาง เพื่อทำการยกกระชับและตัดผิวหนังส่วนเกินออก จากนั้นจะเย็บกล้ามเนื้อคอ (Platysma) ให้ตึง และกำจัดไขมันส่วนเกินออกไป
- ผลลัพธ์: เป็นวิธีที่ให้ผลลัพธ์ชัดเจนที่สุดในการกำจัดเหนียงและผิวหนังที่หย่อนคล้อย สามารถปรับแก้รูปคางและแนวกรามให้คมชัดขึ้นอย่างมาก ผลลัพธ์อยู่ได้นาน 8-10 ปีขึ้นไป
- การพักฟื้น: เป็นการผ่าตัดใหญ่ ต้องใช้เวลาพักฟื้นประมาณ 2 สัปดาห์จึงจะสามารถกลับไปทำงานได้ โดยจะมีอาการบวมและช้ำอย่างเห็นได้ชัดในช่วง 1-2 สัปดาห์แรก และต้องหลีกเลี่ยงกิจกรรมหนักประมาณ 4-6 สัปดาห์
- ความเสี่ยง: มีความเสี่ยงเช่นเดียวกับการผ่าตัดทั่วไป เช่น ภาวะเลือดคั่ง (hematoma) ซึ่งเป็นภาวะแทรกซ้อนที่พบบ่อยที่สุด, การติดเชื้อ, และความเสี่ยงจากการดมยาสลบ นอกจากนี้ยังมีความเสี่ยงเฉพาะที่ เช่น เส้นประสาทบริเวณใบหน้าได้รับการกระทบกระเทือนชั่วคราว (พบได้ประมาณ 2-7% แต่ส่วนใหญ่หายได้เอง) และการเกิดแผลเป็น (ซึ่งโดยทั่วไปจะซ่อนอยู่ในตำแหน่งที่มองเห็นได้ยาก)
15. ผ่าตัดกล้ามเนื้อใต้คาง
การผ่าตัดกล้ามเนื้อใต้คาง (Submentoplasty) คือการผ่าตัดเพื่อแก้ไขปัญหาเหนียงและคอที่หย่อนคล้อยเฉพาะบริเวณกลางลำคอ ผ่านแผลขนาดเล็กที่ซ่อนอยู่ใต้คาง
ศัลยแพทย์จะเปิดแผลยาวประมาณ 3-5 ซม. ใต้คางเพื่อเข้าไปกำจัดไขมันส่วนเกิน เย็บกล้ามเนื้อคอ (Platysma) ให้กระชับ และอาจตัดผิวหนังส่วนเกินออก (Cervicoplasty) เพื่อทำให้แนวกรามและลำคอคมชัดขึ้น
- ผู้ที่เหมาะสม: เหมาะสำหรับผู้ที่มีปัญหาไขมันและผิวหนังหย่อนคล้อยระดับปานกลางเฉพาะบริเวณใต้คาง แต่ผิวหนังด้านข้างยังดีอยู่ และไม่ต้องการผ่าตัดดึงคอทั้งหมดซึ่งมีแผลบริเวณรอบหู
- ข้อดี: เป็นการผ่าตัดที่เล็กกว่าการดึงคอทั้งหมด (Neck Lift) ทำให้ฟื้นตัวเร็วกว่า และมีแผลเป็นเพียงจุดเดียวใต้คาง
- ข้อจำกัด: ไม่สามารถแก้ไขความหย่อนคล้อยบริเวณด้านข้างลำคอหรือแก้มส่วนล่าง (Jowls) ได้
- การฟื้นตัว: โดยทั่วไปจะมีอาการบวมและช้ำประมาณ 1-2 สัปดาห์
ตารางเปรียบเทียบ 15 วิธีลดเหนียง: เลือกแบบไหนเหมาะกับคุณ
ตารางนี้เปรียบเทียบ 15 วิธีลดเหนียงตามหลักการทำงาน ความเหมาะสม ผลลัพธ์ และการพักฟื้น เพื่อช่วยให้คุณเลือกวิธีที่ตรงกับความต้องการและปัญหาของคุณมากที่สุด
| วิธีการ | หลักการทำงาน | เหมาะกับใคร | ผลลัพธ์ | เห็นผลเมื่อไหร่ | อยู่นานแค่ไหน | การพักฟื้น |
|---|---|---|---|---|---|---|
| 1. คุมอาหารและออกกำลังกาย | ลดไขมันโดยรวมทั้งร่างกาย | ผู้ที่มีน้ำหนักเกิน | ลดเหนียงได้ชัดเจนเมื่อน้ำหนักลดลง 5-10% | ค่อยเป็นค่อยไป (หลายสัปดาห์-เดือน) | ถาวร (ถ้าน้ำหนักคงที่) | ไม่ต้องพักฟื้น |
| 2. บริหารใบหน้าและลำคอ | เสริมสร้างความแข็งแรงของกล้ามเนื้อคอ (Platysma) | ผู้ที่มีเหนียงเล็กน้อย หรือต้องการให้กรอบหน้ากระชับขึ้น | น้อยมาก ไม่สามารถสลายไขมันได้ แค่ช่วยให้ดูกระชับขึ้นเล็กน้อย | ค่อยเป็นค่อยไป (หลายเดือน) | ต้องทำสม่ำเสมอ | ไม่ต้องพักฟื้น |
| 3. ปรับบุคลิกภาพ | ช่วยยืดลำคอและพยุงเนื้อเยื่อใต้คาง | ผู้ที่มีเหนียงเล็กน้อย หรือเพื่อป้องกัน “คอตก” จากการใช้มือถือ | เล็กน้อย ช่วยให้มุมคางดูดีขึ้น | ทันที แต่ต้องทำเป็นนิสัย | ต้องรักษาบุคลิกภาพที่ดีไว้ | ไม่ต้องพักฟื้น |
| 4. นวด/กัวซา | ระบายน้ำเหลือง ลดอาการบวมน้ำ | ผู้ที่มีอาการบวมน้ำหรือหน้าบวมในตอนเช้า | เล็กน้อยและชั่วคราว ไม่ได้ลดไขมัน | ทันที แต่ผลอยู่ไม่นาน | ไม่กี่ชั่วโมงถึงหนึ่งวัน | ไม่ต้องพักฟื้น |
| 5. ฉีดสลายไขมัน (Kybella) | ใช้กรด Deoxycholic ทำลายเซลล์ไขมันอย่างถาวร | ผู้ที่มีไขมันสะสมปานกลางและผิวยังกระชับ | ลดไขมันได้ 20-25% ต่อครั้ง | 4-6 สัปดาห์หลังฉีดแต่ละครั้ง | ถาวร | บวมมาก 3-7 วัน (“คางคก”) |
| 6. โบท็อกซ์ (Nefertiti Lift) | คลายกล้ามเนื้อคอ (Platysma) ที่ดึงรั้งกรอบหน้าลง | ผู้ที่มีเส้นที่คอชัด หรือกรอบหน้าไม่คม แต่ไม่มีไขมันเยอะ | กรอบหน้าคมขึ้นเล็กน้อย ไม่ได้ลดไขมัน | 5-14 วัน | 3-4 เดือน | ไม่ต้องพักฟื้น อาจมีรอยช้ำเล็กน้อย |
| 7. HIFU (เช่น Ultherapy) | ใช้คลื่นอัลตราซาวนด์สร้างความร้อนเพื่อสลายไขมันและกระตุ้นคอลลาเจน | ผู้ที่มีไขมันเล็กน้อยร่วมกับผิวหย่อนคล้อย | ลดไขมันได้บ้างและยกกระชับผิวได้ดี | ผลลัพธ์เต็มที่ใน 2-3 เดือน | 1-2 ปี | น้อยมาก (อาจมีรอยแดงหรือบวมเล็กน้อย) |
| 8. คลื่นวิทยุ (RF/RF Microneedling) | ใช้ความร้อนกระตุ้นคอลลาเจนและลดไขมันบางส่วน | ผู้ที่เน้นแก้ปัญหาผิวหย่อนคล้อย มีไขมันไม่มาก | ลดไขมัน 10-20% และยกกระชับผิวได้ดี | ผลลัพธ์เต็มที่ใน 2-3 เดือน | ประมาณ 1-2 ปี | น้อยมาก (RF) หรือมีรอยแดง 2-3 วัน (RF Microneedling) |
| 9. สลายไขมันด้วยความเย็น (CoolSculpting) | แช่แข็งเซลล์ไขมันให้ตายและถูกขับออกจากร่างกาย | ผู้ที่มีไขมันสะสมเป็นก้อน สามารถหยิบจับได้ และผิวไม่หย่อน | ลดไขมันได้ 20-25% ต่อครั้ง | ผลลัพธ์เต็มที่ใน 2-3 เดือน | ถาวร | น้อยมาก (อาจบวม ชา หรือแดง 1-2 สัปดาห์) |
| 10. สลายไขมันด้วยเลเซอร์ (SculpSure) | ใช้ความร้อนจากเลเซอร์ทำลายเซลล์ไขมัน | ผู้ที่มีไขมันสะสมเป็นก้อน อาจช่วยกระชับผิวได้เล็กน้อย | ลดไขมันได้ประมาณ 24% ต่อครั้ง | ผลลัพธ์เต็มที่ใน 3 เดือน | ถาวร | ไม่ต้องพักฟื้น (อาจมีอาการเจ็บเล็กน้อย) |
| 11. ร้อยไหม | ใช้ไหมละลายที่มีเงี่ยงเกี่ยวเพื่อดึงยกผิวที่หย่อนคล้อย | ผู้ที่มีปัญหาผิวหย่อนคล้อยเป็นหลัก มีไขมันไม่มาก | ยกกระชับผิวได้ทันที | เห็นผลทันที และดีขึ้นใน 2-3 เดือน | 12-18 เดือน | บวมช้ำ 3-7 วัน |
| 12. ดูดไขมันเหนียง | ใช้ท่อขนาดเล็กดูดไขมันใต้คางออกโดยตรง | ผู้ที่มีไขมันปานกลางถึงมาก และผิวยังมีความยืดหยุ่นดี (อายุน้อยกว่า 45) | สูงมาก กำจัดไขมันได้เกือบทั้งหมดในครั้งเดียว | เห็นผลทันที แต่จะเข้าที่ใน 3-6 เดือน | ถาวร | 1-2 สัปดาห์ (ต้องใส่ผ้ารัดหน้า) |
| 13. ศัลยกรรมดึงคอ (Neck Lift) | ตัดผิวหนังส่วนเกิน เย็บกระชับกล้ามเนื้อ และกำจัดไขมัน | ผู้ที่มีเหนียงขนาดใหญ่ ผิวหย่อนคล้อยมาก (“คอไก่งวง”) และมีเส้นที่คอ | สูงที่สุด แก้ปัญหาได้ครอบคลุม | เห็นผลทันที แต่จะเข้าที่ใน 3-6 เดือน | ยาวนาน (10+ ปี) | 2-3 สัปดาห์ (บวมช้ำมาก) |
| 14. ผ่าตัดเหนียงโดยตรง (Submentoplasty) | ตัดไขมันและผิวหนังส่วนเกินออกโดยตรงจากแผลใต้คาง | ผู้ที่มีไขมันและผิวหนังหย่อนคล้อยบริเวณกลางลำคอ แต่ด้านข้างยังดี | สูงมาก คล้ายการดึงคอเฉพาะจุด | เห็นผลทันที แต่จะเข้าที่ใน 3-6 เดือน | ยาวนาน | 1-2 สัปดาห์ (พักฟื้นน้อยกว่าดึงคอ) |
| 15. เคี้ยวหมากฝรั่ง | บริหารกล้ามเนื้อกรามและคอเล็กน้อย | เป็นวิธีเสริม อาจช่วยให้กล้ามเนื้อกระชับขึ้น | น้อยมาก แทบไม่มีผลต่อไขมัน | ค่อยเป็นค่อยไป | ต้องทำสม่ำเสมอ | ไม่ต้องพักฟื้น |
ความเสี่ยงและผลข้างเคียงที่ควรรู้
ความเสี่ยงของวิธีธรรมชาติและท่าออกกำลังกาย
โดยทั่วไปแล้ว วิธีธรรมชาติและท่าออกกำลังกายเพื่อลดเหนียงมีความปลอดภัยสูงและแทบไม่มีผลข้างเคียงที่ร้ายแรง อย่างไรก็ตาม อาจมีความเสี่ยงเล็กน้อยที่เกี่ยวข้องกับการปฏิบัติที่ไม่ถูกต้องหรือทำมากเกินไป ดังนี้
- การออกกำลังใบหน้า: การทำมากเกินไปอาจทำให้กล้ามเนื้อเมื่อยล้าหรือเจ็บได้
- การนวด: การนวดที่รุนแรงเกินไปอาจทำให้เกิดรอยช้ำหรือการอักเสบของเนื้อเยื่อ
- การเคี้ยวหมากฝรั่ง: การเคี้ยวมากเกินไปอาจทำให้เมื่อยล้ากราม, เกิดปัญหากับข้อต่อขากรรไกร (TMJ) หรือทำให้ฟันสึกได้
- การลดน้ำหนักอย่างรวดเร็ว: อาจทำให้ผิวหนังที่หย่อนคล้อยใต้คางดูแย่ลงได้
ความเสี่ยงจากการทำหัตถการและศัลยกรรม
ความเสี่ยงของการรักษาเหนียงมีตั้งแต่ผลข้างเคียงที่ไม่รุนแรงและเกิดขึ้นชั่วคราวในกลุ่มหัตถการที่ไม่ใช่การผ่าตัด ไปจนถึงความเสี่ยงที่รุนแรงกว่า เช่น การเกิดก้อนเลือด (hematoma) หรือเส้นประสาทเสียหายชั่วคราวในการผ่าตัด โดยความเสี่ยงจะแตกต่างกันไปตามแต่ละวิธี
หัตถการแบบไม่ผ่าตัด
- Kybella (ฉีดสลายไขมัน): อาการบวมมาก (คางกบ), ช้ำ, ชา และเจ็บปวดชั่วคราวเป็นเรื่องปกติ ความเสี่ยงที่พบได้ยากคือเส้นประสาทเสียหายชั่วคราว ทำให้ยิ้มไม่สมมาตร
- CoolSculpting (สลายไขมันด้วยความเย็น): อาการชา, แดง, บวม และช้ำ ความเสี่ยงที่พบได้ยากมาก (ประมาณ 1 ใน 20,000) คือภาวะไขมันขยายตัวผิดปกติ (Paradoxical Adipose Hyperplasia หรือ PAH) ซึ่งไขมันจะขยายใหญ่ขึ้นแทนที่จะลดลง
- HIFU และ RF (คลื่นอัลตราซาวด์และคลื่นวิทยุ): อาจมีอาการบวมแดงเล็กน้อย ความเสี่ยงที่พบได้ยากคือการไหม้ที่ผิวหนังหรือเส้นประสาทอักเสบชั่วคราวหากทำไม่ถูกวิธี
- ร้อยไหม (Thread Lifts): อาการบวม, ช้ำ และรู้สึกตึง ความเสี่ยงที่อาจเกิดขึ้นได้คือการติดเชื้อ, ไหมโผล่, ผิวไม่เรียบ หรือใบหน้าไม่สมมาตร
- โบท็อกซ์ (Nefertiti Lift): รอยช้ำ ความเสี่ยงที่พบได้ยากจากการฉีดผิดตำแหน่งคืออาการกลืนลำบากหรือยิ้มไม่สมมาตร ซึ่งจะหายไปเองเมื่อโบท็อกซ์หมดฤทธิ์
ศัลยกรรม
- การดูดไขมัน (Liposuction): อาการบวม, ช้ำ และชา ความเสี่ยงที่พบได้ยากคือผิวไม่เรียบ, การบาดเจ็บของเส้นประสาท (น้อยกว่า 1%) หรือการเกิดก้อนเลือด
- การผ่าตัดดึงคอ (Neck Lift) และการผ่าตัดกระชับเหนียงโดยตรง (Submentoplasty): มีความเสี่ยงสูงกว่าหัตถการอื่น ความเสี่ยงที่พบบ่อยที่สุดคือการเกิดก้อนเลือด (hematoma) (1-5%) ความเสี่ยงอื่นๆ ได้แก่ การติดเชื้อ, แผลเป็น และการบาดเจ็บของเส้นประสาทซึ่งส่วนใหญ่มักเป็นเพียงชั่วคราว (2-7%) และมีโอกาสน้อยมากที่จะเสียหายถาวร (น้อยกว่า 1%) การตายของผิวหนัง (skin necrosis) เป็นภาวะแทรกซ้อนที่พบได้ยากและมีความเสี่ยงสูงในผู้ที่สูบบุหรี่
การเตรียมตัวก่อนและวิธีดูแลหลังลดเหนียง
การเตรียมตัวก่อนลดเหนียงจะเน้นการงดยาและอาหารเสริมที่ส่งผลต่อการแข็งตัวของเลือดและดูแลสุขภาพให้พร้อม ส่วนการดูแลหลังทำจะมุ่งเน้นไปที่การลดบวม การดูแลแผล และการปฏิบัติตามคำแนะนำของแพทย์อย่างเคร่งครัด การเตรียมตัวและดูแลตัวเองจะแตกต่างกันไปตามประเภทของหัตถการ ดังนี้
การเตรียมตัวก่อนทำ
- สำหรับหัตถการที่ไม่ใช่การผ่าตัด (เช่น ฉีดสลายไขมัน, ร้อยไหม, HIFU, CoolSculpting):
- งดยาต้านการอักเสบ (NSAIDs) เช่น แอสไพริน ไอบูโพรเฟน และอาหารเสริมที่ทำให้เลือดออกง่าย เช่น น้ำมันปลา วิตามินอี และแปะก๊วย อย่างน้อย 1 สัปดาห์ก่อนทำเพื่อลดความเสี่ยงในการเกิดรอยช้ำ
- งดดื่มแอลกอฮอล์และงดสูบบุหรี่ เพื่อช่วยให้ร่างกายฟื้นตัวได้ดีขึ้น
- หากทำเลเซอร์หรือหัตถการที่ใช้พลังงานความร้อน ควรหลีกเลี่ยงการตากแดดจัดในบริเวณที่จะทำ
- ควรมาถึงคลินิกก่อนเวลานัดหมายเพื่อทายาชา (ประมาณ 30-60 นาที)
- สำหรับหัตถการผ่าตัด (เช่น ดูดไขมัน, ผ่าตัดยกกระชับคอ):
- ปฏิบัติตามคำแนะนำข้างต้นอย่างเคร่งครัด โดยอาจต้องงดยานานขึ้น (ประมาณ 1-2 สัปดาห์)
- ต้องงดสูบบุหรี่อย่างเด็ดขาด เพราะส่งผลกระทบอย่างรุนแรงต่อการหายของแผล
- งดน้ำและอาหารอย่างน้อย 8 ชั่วโมงก่อนผ่าตัด (กรณีที่ต้องดมยาสลบ)
- เตรียมผู้ดูแลเพื่อขับรถกลับและช่วยเหลือในช่วง 1-2 วันแรกหลังผ่าตัด
- เตรียมอาหารอ่อนๆ ที่เคี้ยวง่าย และเตรียมหมอนหลายใบสำหรับหนุนนอนให้ศีรษะสูง
การดูแลหลังทำ
- สำหรับหัตถการที่ไม่ใช่การผ่าตัด:
- ฉีดสลายไขมัน (Kybella): จะมีอาการบวมมากในช่วง 2-3 วันแรก สามารถประคบเย็นเพื่อช่วยลดบวมได้ ควรนอนหนุนหมอนสูง และหลีกเลี่ยงการออกกำลังกายหนัก 2-3 วัน
- ร้อยไหม: หลีกเลี่ยงการนวดหน้า การอ้าปากกว้างๆ และการออกกำลังกายหนักประมาณ 2 สัปดาห์ ควรนอนหงายและหนุนหมอนสูงเพื่อป้องกันไม่ให้ไหมเคลื่อนที่
- CoolSculpting/HIFU/RF: อาจมีรอยแดงหรือบวมเล็กน้อย ซึ่งจะหายไปเอง สามารถใช้ชีวิตได้ตามปกติ แต่ควรหลีกเลี่ยงความร้อนและแสงแดดจัดในช่วงแรก
- สำหรับหัตถการผ่าตัด:
- ดูดไขมัน: สวมผ้ารัดคาง (Chin Strap) ตลอดเวลาในช่วง 3-7 วันแรก จากนั้นใส่ต่อเฉพาะตอนกลางคืนตามคำแนะนำของแพทย์ เพื่อลดบวมและช่วยให้ผิวกระชับ ควรนอนหนุนหมอนสูง และงดกิจกรรมหนัก 1-2 สัปดาห์
- ผ่าตัดยกกระชับคอ: สวมผ้ารัดตามคำแนะนำของแพทย์อย่างเคร่งครัด นอนหนุนหมอนสูงบนหลังเท่านั้นในช่วง 1-2 สัปดาห์แรกเพื่อลดแรงตึงที่แผล งดการก้มหรือหันคอแรงๆ ทานอาหารอ่อนๆ และงดสูบบุหรี่อย่างเด็ดขาดเพื่อป้องกันภาวะแทรกซ้อน
คำถามที่พบบ่อย (FAQ)
ลดเหนียงวิธีไหนเห็นผลเร็วที่สุด?
การทำศัลยกรรม เช่น การดูดไขมันหรือการผ่าตัดยกกระชับคอ เป็นวิธีที่ให้ผลลัพธ์รวดเร็วและชัดเจนที่สุด โดยจะเห็นการเปลี่ยนแปลงได้ทันทีหลังอาการบวมลดลงในเวลาไม่กี่สัปดาห์
สำหรับวิธีที่ไม่ใช่การผ่าตัด การร้อยไหม (thread lift) ถือเป็นวิธีที่เห็นผลเร็วที่สุด โดยจะเห็นการยกกระชับได้ทันทีหลังทำ ในขณะที่วิธีอื่นๆ เช่น การฉีดสลายไขมัน หรือการใช้เครื่องมืออย่าง CoolSculpting และ HIFU จะต้องใช้เวลาหลายสัปดาห์ถึงหลายเดือนจึงจะเห็นผลลัพธ์เต็มที่
ผอมแต่มีเหนียงเกิดจากอะไรและแก้ไขอย่างไร?
การมีเหนียงทั้งที่รูปร่างผอม ส่วนใหญ่มักเกิดจากปัจจัยทางพันธุกรรม โครงสร้างใบหน้า และท่าทางที่ไม่เหมาะสม ซึ่งทำให้ไขมันเพียงเล็กน้อยหรือเนื้อเยื่อบริเวณใต้คางดูกูนออกมามากกว่าปกติ
สาเหตุหลักที่ทำให้คนผอมมีเหนียง ได้แก่
- พันธุกรรมและโครงสร้างใบหน้า DNA เป็นตัวกำหนดรูปแบบการสะสมไขมันในร่างกาย บางคนมีแนวโน้มที่จะเก็บไขมันไว้ใต้คางได้ง่าย นอกจากนี้ โครงสร้างกระดูก เช่น คางสั้น คางถอย หรือแนวกรามที่ไม่ชัดเจน จะทำให้ขาดโครงสร้างพยุงผิวหนังและไขมัน ทำให้เหนียงมองเห็นได้ชัดเจนแม้จะมีไขมันไม่มาก
- ท่าทางที่ไม่เหมาะสม การก้มหน้ามองจอสมาร์ทโฟนหรือคอมพิวเตอร์เป็นเวลานาน (Tech Neck) ทำให้กล้ามเนื้อคออ่อนแอลงและผิวหนังขาดความยืดหยุ่น ซึ่งสามารถกระตุ้นให้เกิดหรือทำให้เหนียงดูเด่นชัดขึ้นได้ โดยเฉพาะในคนหนุ่มสาว
- โครงสร้างอื่นๆ ที่ไม่ใช่ไขมัน ในบางกรณี ความนูนใต้คางอาจไม่ได้เกิดจากไขมัน แต่เกิดจากต่อมน้ำลายใต้ขากรรไกร (Submandibular Glands) หรือกล้ามเนื้อไดแกสทริก (Digastric Muscle) ที่มีขนาดใหญ่กว่าปกติ
แนวทางการแก้ไขจะขึ้นอยู่กับสาเหตุหลัก ดังนี้
- การกำจัดไขมันเฉพาะจุด สำหรับเหนียงที่เกิดจากไขมันสะสมตามพันธุกรรมซึ่งไม่ตอบสนองต่อการลดน้ำหนัก สามารถใช้หัตถการทางการแพทย์เพื่อกำจัดไขมันออกไปโดยตรง เช่น การฉีดสลายไขมัน (Kybella), การสลายไขมันด้วยความเย็น (CoolSculpting), การสลายไขมันด้วยเลเซอร์ (SculpSure) หรือการดูดไขมัน (Liposuction)
- การปรับแก้โครงสร้างใบหน้า หากสาเหตุหลักมาจากคางที่เล็กหรือถอย การผ่าตัดเสริมคาง (Chin Implant) สามารถช่วยเพิ่มความยาวของแนวกราม ทำให้ผิวหนังใต้คางตึงขึ้นและเหนียงลดลงอย่างเห็นได้ชัด
- การปรับท่าทาง การปรับเปลี่ยนพฤติกรรมโดยการฝึกนั่งและยืนให้หลังตรง ศีรษะตั้งตรง จะช่วยเสริมสร้างความแข็งแรงให้กล้ามเนื้อคอและลดการหย่อนคล้อยของผิวหนังได้
- การยกกระชับผิวและกล้ามเนื้อ หากเหนียงเกิดจากกล้ามเนื้อหรือผิวหนังที่หย่อนคล้อย สามารถใช้โบท็อกซ์ (Nefertiti Lift) เพื่อคลายกล้ามเนื้อที่ดึงรั้งแนวกรามลง หรือใช้เทคโนโลยียกกระชับ เช่น HIFU, RF และการร้อยไหม เพื่อทำให้ผิวหนังและเนื้อเยื่อบริเวณใต้คางกระชับขึ้น
ออกกำลังกายอย่างเดียวช่วยให้เหนียงหายถาวรได้ไหม?
การออกกำลังกายอย่างเดียวไม่สามารถทำให้เหนียงหายไปได้อย่างถาวร โดยเฉพาะหากเหนียงมีสาเหตุมาจากไขมันสะสมจำนวนมากหรือพันธุกรรม
ผู้เชี่ยวชาญระบุว่าการออกกำลังกายเฉพาะส่วน (Spot Reduction) เป็นเรื่องที่เป็นไปไม่ได้ การบริหารใบหน้าและลำคอจะช่วยเสริมสร้างความแข็งแรงของกล้ามเนื้อ ทำให้บริเวณใต้คางดูกระชับขึ้นเล็กน้อย แต่ไม่สามารถเผาผลาญไขมันใต้คางได้โดยตรง อย่างไรก็ตาม การออกกำลังกายทั่วร่างกายร่วมกับการควบคุมอาหารเพื่อลดไขมันโดยรวม สามารถช่วยลดขนาดของเหนียงลงได้ แต่ผลลัพธ์จะขึ้นอยู่กับแต่ละบุคคลและอาจไม่สามารถกำจัดเหนียงได้ทั้งหมด
วิธีลดเหนียงสำหรับผู้ชายต่างจากผู้หญิงหรือไม่?
โดยทั่วไปแล้ววิธีการรักษาเหนียงสำหรับผู้ชายและผู้หญิงไม่แตกต่างกันมากนัก เนื่องจากการเลือกวิธีรักษาจะขึ้นอยู่กับลักษณะทางกายวิภาค เช่น ปริมาณไขมัน ความหย่อนคล้อยของผิว และสภาพกล้ามเนื้อ มากกว่าเพศโดยตรง อย่างไรก็ตาม มีข้อแตกต่างบางประการในความเหมาะสมและความนิยม ดังนี้
- ลักษณะทางกายวิภาค: ผู้ชายมักมีกล้ามเนื้อคอที่หนาและไขมันที่เป็นพังผืดมากกว่า ซึ่งอาจทำให้ตอบสนองต่อการรักษาแบบไม่ผ่าตัด เช่น การฉีดสลายไขมัน (Kybella) หรือการสลายไขมันด้วยความเย็น (CoolSculpting) ได้ไม่ดีเท่า และอาจเหมาะกับการดูดไขมันมากกว่า
- พฤติกรรมการรักษา: ผู้หญิงมักเริ่มรักษาก่อนเมื่อเหนียงยังไม่มากนักและนิยมการรักษาแบบฉีดหรือร้อยไหมเพื่อการปรับปรุงเล็กน้อย ในขณะที่ผู้ชายมักจะรอจนกว่าเหนียงจะเห็นได้ชัดเจนแล้วเลือกการผ่าตัดเพื่อผลลัพธ์ในครั้งเดียว
- การเลือกวิธีการผ่าตัด: ผู้ชายบางคนอาจเลือกการผ่าตัดยกกระชับคอเฉพาะจุด (Submentoplasty) เนื่องจากสามารถซ่อนรอยแผลเป็นไว้ในเคราได้
- ความเสี่ยง: ผู้ชายมีความเสี่ยงที่สูงกว่าเล็กน้อยในการเกิดภาวะไขมันขยายตัวผิดปกติ (Paradoxical Adipose Hyperplasia) ซึ่งเป็นผลข้างเคียงที่พบได้ยากมากจากการสลายไขมันด้วยความเย็น
ลดเหนียงใต้คางเจ็บไหม?
ความเจ็บปวดในการลดเหนียงนั้นแตกต่างกันไปตามแต่ละวิธี โดยมีตั้งแต่ไม่เจ็บไปจนถึงความรู้สึกไม่สบายชั่วคราวซึ่งสามารถจัดการได้
- วิธีดูแลตนเองที่บ้าน: การออกกำลังกายใบหน้า การนวด หรือการปรับท่าทางโดยทั่วไปไม่ทำให้เกิดความเจ็บปวด แต่อาจรู้สึกเมื่อยล้าของกล้ามเนื้อได้
- หัตถการแบบไม่ผ่าตัด:
- การฉีดสลายไขมัน (Kybella): ทำให้รู้สึกแสบร้อนและปวดเล็กน้อยชั่วคราว แต่จะใช้การประคบเย็นหรือยาชาเพื่อช่วยลดความรู้สึกไม่สบาย
- HIFU และคลื่นวิทยุ (RF): อาจรู้สึกร้อนลึกๆ หรือเจ็บจี๊ดๆ ระหว่างทำ แต่สามารถจัดการได้ด้วยยาชาเฉพาะที่
- การสลายไขมันด้วยความเย็น (CoolSculpting): จะรู้สึกเย็นจัดและตึงในช่วงแรก จากนั้นจะชาไป แต่ไม่เจ็บปวดรุนแรง
- การร้อยไหม: มีการใช้ยาชาเฉพาะที่ แต่หลังทำอาจมีอาการเจ็บหรือตึงเล็กน้อยประมาณ 1 สัปดาห์
- การผ่าตัด: การดูดไขมันและการผ่าตัดดึงคอจะทำภายใต้การใช้ยาชาหรือยาสลบจึงไม่เจ็บระหว่างทำ แต่จะมีอาการปวดหลังผ่าตัดซึ่งสามารถควบคุมได้ด้วยยาแก้ปวด
อ้างอิง:
- Dr. Cornelia Montanari. (2023). Doppelkinn – Ursachen & Methoden zur Entfernung. Praxis Dr. Montanari (German Plastic Surgery). dr-montanari.de
- Editverse. (2023). Doppelkinn: Die genetische Wissenschaft hinter der submentalen Fettverteilung (“Double Chin: The genetic science behind submental fat distribution”). Editverse (Science Communication). editverse.com
- Verma, K.K. et al. (2024). Facial contouring through jaw exercises: a report of two cases examining efficacy and consumer expectations. Cureus Journal of Medical Science. pmc.ncbi.nlm.nih.gov
- Huizen, J. (2023). What are the risks of CoolSculpting? Medical News Today. medicalnewstoday.com
- Bosslett, M. (2025). At-home facial massage methods clinically proven to improve skin elasticity, tone, and contour. Dermatology Times. dermatologytimes.com
- Goo, B. et al. (2025). Efficacy and safety of high-intensity focused ultrasound on reduction of submental fat in Asian patients. Aesthetic Plastic Surgery (Springer). pubmed.ncbi.nlm.nih.gov
- Patel, N. (2023). SculpSure vs. Kybella for double chin reduction. Dr. Nita Patel Laser & Aesthetics Blog. drpatellaser.com
- Hong, G.W. et al. (2025). Anatomical consideration for double chin thread lifting. Journal of Cosmetic Dermatology. Wiley Online Library. pmc.ncbi.nlm.nih.gov
- Finical, S. (2023). Submental lipo vs. neck lift: Which one do I need? Charlotte Plastic Surgery Blog. charlotteplasticsurgery.com
- Doyle, A.M. (2023). How long do PDO thread lift results last? CentreFARS (Andrea Doyle MD) Aesthetics Blog. centrefars.com

