Skip to content

TEL : 081-841-5075, 02-258-4050

Facebook Instagram YouTube
Privato Clinic – Innovation Of Beauty  |  Bangkok
  • หน้าหลัก
  • เกี่ยวกับพรีวาโต
  • บริการทั้งหมดExpand
    • ชะลอวัย
    • ยกกระชับผิวExpand
      • XERF
      • Potenza
      • Sofwave
      • Ulthera
      • Thermage-FLX
    • รักษาสิว
    • เลเซอร์
    • โปรแกรมฉีด
    • บำรุงผิว
  • บทความExpand
    • สิว
    • ยกกระชับ
    • ดูแลผิว
    • ทำเลเซอร์
  • ผลิตภัณฑ์ดูแลผิว
  • โปรโมชั่น
  • ผลลัพธ์การรักษา
  • วิดีโอรีวิวจากเคสจริง
  • สาขาของเรา
  • ไทยExpand
    • ไทย
    • English
    • 中文 (中国)
  • ปรึกษาแพทย์
Privato Clinic – Innovation Of Beauty  |  Bangkok
Consult a Doctor
Lifting

XERF ยกกระชับผิว | คลื่นวิทยุ RF 2 ความถี่ เทคโนโลยีล่าสุด 2025

Byadmin กันยายน 7, 2025กันยายน 18, 2025
By นายแพทย์เลอพงษ์ กรุดเงิน Updated on กันยายน 18, 2025
✦ Medically reviewed by  นายแพทย์พนิต อุนรัตน์

Table of Contents

Toggle
  • XERF คืออะไร? นวัตกรรมยกกระชับผิว Dual-Frequency Monopolar RF
    • นวัตกรรมนี้ใช้คลื่นความถี่ 2 ชนิด ได้แก่
  • หลักการทำงานของเทคโนโลยี XERF: เหนือกว่า RF ทั่วไปอย่างไร?
    • นอกจากนี้ XERF ยังมีนวัตกรรมอื่นๆ ที่ช่วยเพิ่มประสิทธิภาพและลดความเจ็บปวด ได้แก่
    • Dual-Frequency RF (6.78 MHz + 2 MHz): ส่งพลังงานลงลึก 3 ระดับชั้นผิว
    • Wave Fit Pulse และ ICD Cooling: ลดความเจ็บ ปกป้องผิวชั้นบน
    • Spider Pattern Effector: กระจายพลังงานสม่ำเสมอ ป้องกัน Hotspot
  • XERF ช่วยแก้ปัญหาผิวหย่อนคล้อยบริเวณใดได้บ้าง?
    • ยกกระชับกรอบหน้า ลดแก้มย้อย ปรับหน้าเรียว
    • สลายไขมันใต้คาง ลดเหนียง คืน V-Line
    • ลดเลือนริ้วรอย กระชับรูขุมขนทั่วใบหน้า
    • ฟื้นฟูผิวรอบดวงตาและลำคอที่หย่อนคล้อย
  • เปรียบเทียบ XERF กับเทคโนโลยียกกระชับอื่นๆ
    • XERF vs Thermage: แตกต่างกันอย่างไร?
    • XERF vs Ulthera/HIFU: เลือกเครื่องไหนให้เหมาะกับปัญหาผิว
  • ใครเหมาะกับการทำ XERF?
    • XERF เหมาะอย่างยิ่งสำหรับบุคคลในกลุ่มต่อไปนี้:
  • ขั้นตอนการทำ XERF: เจ็บไหม ใช้เวลานานเท่าไหร่?
    • การเตรียมตัวก่อนเข้ารับบริการ
    • ความรู้สึกระหว่างทำและระยะเวลาที่ใช้
    • การดูแลตัวเองหลังทำ XERF เพื่อผลลัพธ์ที่ดีที่สุด
  • ผลลัพธ์หลังทำ XERF: เห็นผลเมื่อไหร่ และอยู่ได้นานแค่ไหน?
    • ผลลัพธ์ทันทีหลังทำและผลลัพธ์ที่ชัดเจนที่สุด
    • ต้องทำกี่ครั้งจึงจะเห็นผล และควรทำซ้ำบ่อยแค่ไหน?
  • ความปลอดภัย ผลข้างเคียง และข้อห้ามในการทำ XERF
    • ผลข้างเคียงที่อาจเกิดขึ้นได้
    • สำหรับผลข้างเคียงที่พบได้ยากมาก ได้แก่:
    • ข้อห้ามสำหรับผู้ที่ไม่ควรทำ XERF
  • คำถามที่พบบ่อยเกี่ยวกับ XERF (FAQs)
    • ทำ XERF เจ็บไหม?
    • ต้องพักฟื้นกี่วัน? หลังทำแต่งหน้าได้เลยหรือไม่?
    • ผลลัพธ์จากการทำ XERF อยู่ได้นานแค่ไหน?
    • สามารถทำ XERF ร่วมกับหัตถการอื่น เช่น โบท็อกซ์ หรือฟิลเลอร์ได้ไหม?
    • XERF เหมาะกับคนอายุเท่าไหร่?
    • XERF ผ่านการรับรองมาตรฐานความปลอดภัยหรือไม่?
  • References:

XERF คืออะไร? นวัตกรรมยกกระชับผิว Dual-Frequency Monopolar RF

Program xerf

XERF คือเทคโนโลยียกกระชับผิวแบบคลื่นวิทยุขั้วเดียว (Monopolar RF) ที่ใช้พลังงานสองความถี่ (Dual-Frequency) เพื่อให้ความร้อนแก่เนื้อเยื่อผิวในหลายระดับความลึกพร้อมกัน

นวัตกรรมนี้ใช้คลื่นความถี่ 2 ชนิด ได้แก่

  • 6.78 MHz: ให้ความร้อนในชั้นหนังแท้ส่วนบนถึงส่วนกลาง เพื่อกระตุ้นคอลลาเจนและกระชับผิวชั้นบน
  • 2 MHz: ทะลุผ่านได้ลึกกว่า ลงไปถึงชั้นไขมันใต้ผิวหนังและชั้นพังผืด SMAS เพื่อยกกระชับโครงสร้างผิวชั้นลึก

การปล่อยพลังงานสองความถี่พร้อมกันทำให้ XERF สามารถกระตุ้นการสร้างคอลลาเจนและยกกระชับผิวได้ครอบคลุมทุกชั้น ตั้งแต่ผิวชั้นตื้นไปจนถึงโครงสร้างพยุงผิวชั้นลึก ส่งผลให้ผิวยกกระชับขึ้น ลดเลือนริ้วรอย และปรับกรอบหน้าให้คมชัดได้อย่างมีประสิทธิภาพ โดยมีความเจ็บปวดน้อยกว่าเทคโนโลยี RF แบบดั้งเดิม

หลักการทำงานของเทคโนโลยี XERF: เหนือกว่า RF ทั่วไปอย่างไร?

xerf ดีกว่า RF ทั่วไปอย่างไร

เทคโนโลยี XERF ทำงานโดยใช้พลังงานคลื่นวิทยุ (RF) สองความถี่พร้อมกัน (Dual-Frequency Monopolar RF) เพื่อส่งพลังงานลงไปในชั้นผิวที่ความลึกต่างกันได้ในครั้งเดียว ซึ่งแตกต่างจาก RF แบบดั้งเดิมที่ใช้เพียงความถี่เดียว

หลักการนี้ทำให้ XERF เหนือกว่า RF ทั่วไป โดยคลื่นความถี่ 6.78 MHz จะกระตุ้นคอลลาเจนในผิวชั้นหนังแท้ (dermis) ส่วนคลื่นความถี่ 2 MHz จะลงไปได้ลึกถึงชั้นไขมันใต้ผิวและชั้นพังผืด SMAS ซึ่งเป็นชั้นเดียวกับที่ศัลยกรรมดึงหน้าผ่าตัด การทำงานพร้อมกันของสองความถี่นี้ช่วยให้เกิดการยกกระชับและฟื้นฟูผิวได้หลายมิติในครั้งเดียว โดยไม่ต้องใช้พลังงานสูงเกินไปจนทำให้เจ็บ

นอกจากนี้ XERF ยังมีนวัตกรรมอื่นๆ ที่ช่วยเพิ่มประสิทธิภาพและลดความเจ็บปวด ได้แก่

  • Wave Fit™ Pulse Technology: แบ่งการปล่อยพลังงาน 1 ครั้งออกเป็นชุดคลื่นสั้นๆ หลายชุด ทำให้ความร้อนสะสมอย่างนุ่มนวลและสม่ำเสมอ ช่วยลดความเจ็บปวด
  • Integrated Cryogen Delivery (ICD): ระบบปล่อยความเย็นที่ทำงานประสานกับการปล่อยคลื่น RF เพื่อปกป้องผิวชั้นบน ทำให้สามารถส่งพลังงานลงไปกระตุ้นผิวชั้นลึกได้อย่างเต็มที่โดยไม่เสี่ยงต่อการไหม้
  • Spider Web Pattern Tip: หัวยิงที่มีการออกแบบเป็นลายใยแมงมุม ช่วยกระจายพลังงานได้อย่างทั่วถึงและสม่ำเสมอ ป้องกันปัญหาความร้อนสะสมเป็นจุดๆ (hot spots) ที่ขอบหัวยิง

Dual-Frequency RF (6.78 MHz + 2 MHz): ส่งพลังงานลงลึก 3 ระดับชั้นผิว

การผสมผสานคลื่นความถี่ 2 ชนิดทำให้เกิดการให้ความร้อนแบบ 3 มิติ (3-dimensional tissue heating) ซึ่งสามารถกระตุ้นคอลลาเจนได้ครอบคลุมหลายชั้นผิวในการทำทรีตเมนต์เพียงครั้งเดียว โดยแต่ละความถี่จะทำงานในชั้นผิวที่แตกต่างกัน ดังนี้

  • คลื่นความถี่ 6.78 MHz ให้ความร้อนในชั้นหนังแท้ส่วนบนถึงส่วนกลาง (superficial to mid-dermis)
  • คลื่นความถี่ 2 MHz ลงไปได้ลึกกว่าถึงชั้นไขมันใต้ผิวหนัง (subcutaneous fat) และชั้นพังผืด SMAS

Wave Fit Pulse และ ICD Cooling: ลดความเจ็บ ปกป้องผิวชั้นบน

เทคโนโลยี Wave Fit™ Pulse และ Advanced Integrated Cryogen Delivery (ICD) เป็นนวัตกรรมสำคัญในเครื่อง XERF ที่ทำงานร่วมกันเพื่อลดความเจ็บปวดและปกป้องผิวชั้นบนระหว่างการรักษา โดยทั้งสองเทคโนโลยีทำงานดังนี้

  • Wave Fit™ Pulse: เทคโนโลยีนี้จะแบ่งพลังงานคลื่นวิทยุ (RF) 1 ช็อต ออกเป็นคลื่นพลังงานย่อยๆ หลายลูก (micro-pulses) ทำให้ความร้อนค่อยๆ สะสมในเนื้อเยื่ออย่างนุ่มนวลและสม่ำเสมอ แทนที่จะปล่อยพลังงานสูงในครั้งเดียว จึงช่วยลดความเจ็บปวดได้อย่างมีนัยสำคัญ
  • ICD Cooling: เป็นระบบปล่อยความเย็น (cryogen) ที่ทำงานประสานกับการปล่อยพลังงาน โดยจะพ่นสเปรย์ความเย็นลงบนผิวชั้นบน (epidermis) ในทุกๆ ช็อต เพื่อป้องกันผิวไหม้และลดความรู้สึกไม่สบาย ในขณะที่ผิวชั้นลึกยังคงได้รับความร้อนในระดับที่จำเป็นต่อการกระตุ้นคอลลาเจน

Spider Pattern Effector: กระจายพลังงานสม่ำเสมอ ป้องกัน Hotspot

Spider Pattern Effector คือหัวทิปของเครื่อง XERF ที่มีดีไซน์ขั้วไฟฟ้าเป็นเอกลักษณ์ซึ่งช่วยกระจายพลังงานคลื่นวิทยุ (RF) ในรูปแบบคล้ายใยแมงมุม การออกแบบนี้ช่วยให้ความร้อนกระจายตัวอย่างสม่ำเสมอทั่วบริเวณที่ทำการรักษา และช่วยกำจัดปัญหา “Hotspot” หรือจุดความร้อนสะสมที่ขอบหัวทิป ซึ่งเคยเป็นปัญหาในหัวทิปสี่เหลี่ยมรุ่นเก่า ทำให้การรักษามีความปลอดภัยและประสิทธิภาพสูงขึ้น

XERF ช่วยแก้ปัญหาผิวหย่อนคล้อยบริเวณใดได้บ้าง?

xerf ลดปัญหาผิวหย่อนคล้อย

เทคโนโลยี XERF สามารถช่วยแก้ปัญหาผิวหย่อนคล้อยได้หลายบริเวณ โดยเฉพาะใบหน้าส่วนล่าง กรอบหน้า ใต้คาง และลำคอ เทคโนโลยีนี้มีประสิทธิภาพในการยกกระชับผิวในบริเวณต่างๆ ดังนี้

  • ใบหน้าส่วนล่างและกรอบหน้า: ช่วยยกกระชับแก้มที่หย่อนคล้อย ลดความหย่อนของร่องแก้ม (jowls) และทำให้กรอบหน้าคมชัดขึ้น
  • ใต้คาง: ช่วยลดไขมันใต้คางหรือ “เหนียง” ทำให้บริเวณใต้คางดูกระชับขึ้น
  • ลำคอ: ช่วยลดความเหี่ยวย่นของผิวหนังบริเวณลำคอ (turkey neck) และทำให้คอดูยกกระชับขึ้น
  • รอบดวงตาและหน้าผาก: สามารถช่วยลดเลือนริ้วรอยเล็กๆ และความหย่อนคล้อยเล็กน้อยบริเวณรอบดวงตาได้

ยกกระชับกรอบหน้า ลดแก้มย้อย ปรับหน้าเรียว

xerf ปรับหน้าเรียว

XERF สามารถช่วยยกกระชับกรอบหน้า ลดแก้มที่หย่อนคล้อย และปรับรูปหน้าให้เรียวขึ้นได้ ด้วยเทคโนโลยีคลื่นวิทยุ 2 ความถี่ (Dual-Frequency RF) โดยเฉพาะคลื่นความถี่ 2 MHz ที่สามารถส่งพลังงานลงไปได้ลึกถึงชั้นไขมันใต้คางและชั้นพังผืด SMAS ซึ่งเป็นชั้นเดียวกับที่ใช้ในการผ่าตัดดึงหน้า

พลังงานความร้อนจะทำให้เกิดการหดตัวของเนื้อเยื่อและเส้นใยคอลลาเจน ส่งผลให้เกิดการ “ดึงขึ้น” ของผิวบริเวณใบหน้าส่วนล่าง ทำให้แก้มที่หย่อนคล้อย (Jowls) ดูกระชับขึ้น กรอบหน้าคมชัดขึ้น และช่วยลดไขมันใต้คาง ทำให้ใบหน้าโดยรวมดูเรียวและได้รูปมากขึ้นโดยไม่ต้องผ่าตัด

สลายไขมันใต้คาง ลดเหนียง คืน V-Line

XERF สามารถช่วยลดไขมันใต้คาง (เหนียง) และปรับกรอบหน้าให้เรียวเป็น V-Line ได้ เนื่องจากเทคโนโลยีนี้ใช้คลื่นความถี่ 2 MHz ที่สามารถส่งพลังงานลงลึกถึงชั้นไขมันใต้ผิวหนังและแผ่นพังผืด (Fibrous Septa) บริเวณใต้คางและแนวกรามโดยเฉพาะ

การให้ความร้อนในระดับลึกนี้จะช่วยลดไขมันสะสมใต้คาง พร้อมกับกระตุ้นการหดตัวของคอลลาเจนและเนื้อเยื่อพังผืด ทำให้ผิวที่หย่อนคล้อยกระชับขึ้น ส่งผลให้กรอบหน้าดูคมชัดและเรียวขึ้นอย่างเห็นได้ชัด

ลดเลือนริ้วรอย กระชับรูขุมขนทั่วใบหน้า

เทคโนโลยี XERF สามารถช่วยลดเลือนริ้วรอยและกระชับรูขุมขนได้ โดยการกระตุ้นให้เกิดการสร้างคอลลาเจนขึ้นใหม่ ซึ่งส่งผลให้ผิวมีความเรียบเนียนและรูขุมขนดูเล็กลง การศึกษาทางคลินิกยังพบว่า XERF สามารถลดความลึกของริ้วรอยและขนาดของรูขุมขนได้ โดยเฉพาะริ้วรอยตื้นๆ บริเวณรอบดวงตาและหน้าผาก

ฟื้นฟูผิวรอบดวงตาและลำคอที่หย่อนคล้อย

เทคโนโลยี XERF สามารถฟื้นฟูผิวรอบดวงตาและลำคอที่หย่อนคล้อยได้ โดยใช้การตั้งค่าความลึกที่แตกต่างกันเพื่อจัดการกับปัญหาเฉพาะจุดในแต่ละบริเวณ

  • รอบดวงตา: XERF ใช้โหมดตื้น (shallow-mode) เพื่อกระตุ้นคอลลาเจนในผิวชั้นบนโดยเฉพาะ ช่วยลดเลือนริ้วรอยตีนกาและความเหี่ยวย่นใต้ตา ทำให้ผิวบริเวณดังกล่าวเรียบเนียนขึ้น
  • ลำคอ: XERF ใช้คลื่นความถี่ลึก 2 MHz ซึ่งสามารถทะลุผ่านผิวหนังบริเวณลำคอที่หนาและชั้นไขมันใต้คางได้ ช่วยกระชับผิวที่หย่อนคล้อย ลดเหนียง และลดลักษณะคอที่เหี่ยวย่น (turkey neck) ที่มีความหย่อนคล้อยเล็กน้อยถึงปานกลาง

เปรียบเทียบ XERF กับเทคโนโลยียกกระชับอื่นๆ

XERF vs Thermage: แตกต่างกันอย่างไร?

XERF แตกต่างจาก Thermage ตรงที่ใช้เทคโนโลยีคลื่นความถี่วิทยุ (RF) แบบขั้วเดียวสองความถี่ (Dual-Frequency Monopolar RF) ในขณะที่ Thermage ใช้คลื่นความถี่เดียว ซึ่งส่งผลให้เกิดความแตกต่างในด้านการทำงาน ความรู้สึกขณะทำ และประสิทธิภาพ

ตารางเปรียบเทียบความแตกต่างที่สำคัญระหว่าง XERF และ Thermage:

คุณสมบัติ XERF Thermage
เทคโนโลยี ใช้คลื่น 2 ความถี่ (6.78 MHz + 2 MHz) ทำให้พลังงานลงลึกได้หลายระดับชั้นผิวพร้อมกัน ตั้งแต่ผิวชั้นตื้นไปจนถึงชั้นไขมันใต้ผิวและ SMAS ใช้คลื่นความถี่เดียว (6.78 MHz) ซึ่งเน้นการทำงานที่ผิวชั้นหนังแท้เป็นหลัก
ความรู้สึกขณะทำ เจ็บน้อยกว่าอย่างชัดเจน ผู้ป่วยส่วนใหญ่ไม่จำเป็นต้องใช้ยาชา เนื่องจากมีระบบทำความเย็นและเทคโนโลยีปล่อยพลังงานที่นุ่มนวล มีความเจ็บมากกว่า และในอดีตมักต้องใช้ยาชาหรือการจัดการความเจ็บปวดร่วมด้วย
ประสิทธิภาพ หัวทิปมีขนาดใหญ่กว่า 50% และให้พลังงานรวมสูงกว่าในจำนวนช็อตที่เท่ากัน ทำให้ใช้เวลาในการทำน้อยลงและเห็นผลชัดเจนในการยกกระชับ หัวทิปเล็กกว่าและให้พลังงานต่อช็อตน้อยกว่า
ความปลอดภัย มีเทคโนโลยีกระจายพลังงานแบบ “ใยแมงมุม” (Spider Web Pattern) และระบบตรวจจับแรงต้านผิวแบบเรียลไทม์ ช่วยลดความเสี่ยงผิวไหม้และทำให้พลังงานสม่ำเสมอ รุ่นเก่าอาจมีความเสี่ยงเกิดความร้อนสะสมที่ขอบหัวทิปได้
ค่าใช้จ่ายและความยืดหยุ่น หัวทิปไม่มีข้อจำกัดเรื่องเวลาหรือจำนวนช็อต ทำให้สามารถปรับแผนการรักษาได้ยืดหยุ่นและอาจมีต้นทุนต่อครั้งที่ต่ำกว่า หัวทิปมีวันหมดอายุและจำกัดจำนวนช็อต ทำให้มีราคาสูงและมีความยืดหยุ่นในการรักษาน้อยกว่า

XERF vs Ulthera/HIFU: เลือกเครื่องไหนให้เหมาะกับปัญหาผิว

การเลือกระหว่าง XERF และ Ulthera/HIFU ขึ้นอยู่กับปัญหาผิว โดย HIFU จะเน้นการยกกระชับผิวชั้นลึก ส่วน XERF จะเน้นการกระชับผิวโดยรวมและปรับปรุงคุณภาพผิวให้เรียบเนียน ทั้งสองเทคโนโลยีใช้หลักการทำงานที่แตกต่างกันและเหมาะกับสภาพผิวที่ต่างกัน ดังนี้

คุณสมบัติ XERF (คลื่นวิทยุ RF) Ulthera/HIFU (อัลตราซาวด์)
หลักการทำงาน ใช้คลื่นวิทยุ (RF) สองความถี่ให้ความร้อนเป็นวงกว้างทั่วทั้งชั้นผิวหนังแท้และชั้นไขมันใต้ผิว ใช้คลื่นอัลตราซาวด์ความเข้มข้นสูง (HIFU) สร้างจุดความร้อนขนาดเล็กเฉพาะจุดที่ชั้นผิวลึก (SMAS)
เหมาะสำหรับ กระชับผิวที่หย่อนคล้อยเล็กน้อยถึงปานกลาง, ลดริ้วรอยเล็กๆ, ปรับผิวให้เรียบเนียน และปรับปรุงคุณภาพผิวโดยรวม ยกกระชับผิวที่หย่อนคล้อยปานกลางถึงมาก, ยกคิ้ว, เก็บกรอบหน้าที่หย่อน หรือเหนียงที่เห็นได้ชัด
ความรู้สึกขณะทำ รู้สึกอุ่นสบาย ไม่เจ็บ หรือเจ็บน้อยมาก (ระดับ 2-3/10) อาจรู้สึกเจ็บจี๊ดๆ หรือปวดหน่วงๆ บริเวณกระดูก (ระดับ 5-7/10)
ผู้ที่เหมาะกับเครื่องนี้ ผู้ที่ต้องการปรับปรุงคุณภาพผิวโดยรวมให้แน่นกระชับขึ้น หรือผู้ที่มีความกังวลเรื่องความเจ็บ ผู้ที่ต้องการผลลัพธ์ด้านการ “ยก” ที่ชัดเจน คล้ายการทำมินิเฟซลิฟต์

ในหลายกรณี แพทย์อาจแนะนำให้ทำทั้งสองอย่างร่วมกันเพื่อผลลัพธ์ที่ดีที่สุด โดยใช้ HIFU เพื่อยกโครงสร้างผิวชั้นลึกก่อน แล้วตามด้วย XERF เพื่อกระชับผิวชั้นบนและปรับสภาพผิวให้เรียบเนียนยิ่งขึ้น

ใครเหมาะกับการทำ XERF?

ผู้ที่เหมาะกับการทำ XERF คือผู้ที่มีปัญหาผิวหย่อนคล้อยเล็กน้อยถึงปานกลาง มีริ้วรอย หรือผิวขาดความกระชับ และต้องการการรักษาที่ไม่ต้องผ่าตัดเพื่อยกกระชับใบหน้าและลำคอให้ดูสดใสและอ่อนเยาว์ขึ้น

XERF เหมาะอย่างยิ่งสำหรับบุคคลในกลุ่มต่อไปนี้:

  • ผู้ที่มีความกังวลเรื่องความหย่อนคล้อยในระยะเริ่มต้น เช่น กรอบหน้าไม่คมชัด แก้มตก มีเหนียง หรือผิวรอบดวงตาเริ่มไม่กระชับ
  • ผู้ที่ต้องการหลีกเลี่ยงการรักษาที่ต้องใช้เข็ม การฉีด หรือการผ่าตัด
  • ผู้ที่เคยรู้สึกว่าการรักษาด้วยเครื่องมืออื่น เช่น HIFU เจ็บเกินไป เนื่องจาก XERF เป็นการรักษาที่เจ็บน้อยกว่ามาก
  • สามารถทำได้ทุกเพศและทุกสีผิว เนื่องจากพลังงาน RF ไม่ได้มีเป้าหมายที่เม็ดสีผิว

อย่างไรก็ตาม XERF อาจไม่เหมาะกับผู้ที่มีความหย่อนคล้อยรุนแรง ซึ่งอาจต้องพิจารณาการผ่าตัดเพื่อผลลัพธ์ที่ชัดเจนกว่า

ขั้นตอนการทำ XERF: เจ็บไหม ใช้เวลานานเท่าไหร่?

การทำ XERF ให้ความรู้สึกอุ่นๆ คล้ายการนวดด้วยหินร้อนและไม่เจ็บปวดมากนัก โดยขั้นตอนการทำค่อนข้างรวดเร็วและมักไม่จำเป็นต้องใช้ยาชา

ระหว่างการทำ ผู้รับบริการจะรู้สึกถึงความร้อนเป็นจังหวะสลับกับความเย็นที่ผิวชั้นบน ซึ่งเป็นผลมาจากเทคโนโลยี Wave Fit™ ที่ปล่อยพลังงานเป็นชุดคลื่นสั้นๆ และระบบให้ความเย็น (ICD) ที่ทำงานไปพร้อมกัน ทำให้ผิวชั้นบนได้รับการปกป้องในขณะที่ความร้อนลงไปกระตุ้นคอลลาเจนในชั้นผิวลึกได้อย่างมีประสิทธิภาพ ความรู้สึกโดยรวมจึงสบายกว่าเมื่อเทียบกับเครื่องมือรุ่นเก่า โดยมีระดับความเจ็บเฉลี่ยเพียง 2-3 จาก 10 คะแนน

นอกจากนี้ ระยะเวลาในการทำยังสั้นลง เนื่องจากหัวยิงของ XERF มีขนาดใหญ่กว่าและให้พลังงานรวมต่อช็อตสูงกว่า ทำให้สามารถครอบคลุมพื้นที่การรักษาได้เร็วยิ่งขึ้น

การเตรียมตัวก่อนเข้ารับบริการ

การเตรียมตัวก่อนเข้ารับบริการ XERF นั้น ไม่ซับซ้อน โดยหลักๆ คือการงดใช้ผลิตภัณฑ์บำรุงผิวที่อาจก่อให้เกิดการระคายเคือง และมาถึงคลินิกด้วยใบหน้าที่สะอาดปราศจากเครื่องสำอางและเครื่องประดับโลหะ

โดยทั่วไป การเตรียมตัวจะเริ่มต้นจากการปรึกษาแพทย์เพื่อวางแผนการรักษาที่เหมาะสม จากนั้นจึงปฏิบัติตามคำแนะนำดังนี้

  • ดื่มน้ำให้เพียงพอ
  • หลีกเลี่ยงการใช้ผลิตภัณฑ์บำรุงผิวที่มีส่วนผสมออกฤทธิ์แรง เช่น กรดหรือเรตินอยด์ ประมาณ 1-2 วันก่อนทำ
  • ในวันนัดหมาย ควรมาด้วยใบหน้าที่สะอาด ไม่แต่งหน้า ไม่ทาโลชั่น และถอดเครื่องประดับที่เป็นโลหะออกทั้งหมด

เมื่อถึงคลินิก เจ้าหน้าที่จะทำความสะอาดผิวอีกครั้งและติดแผ่นสื่อไฟฟ้า (Grounding Pad) ที่ร่างกาย เช่น บริเวณหลังหรือต้นขา เพื่อให้เครื่องทำงานได้อย่างสมบูรณ์ โดยส่วนใหญ่ไม่จำเป็นต้องทายาชา ซึ่งทำให้ขั้นตอนการเตรียมตัวรวดเร็วขึ้น

ความรู้สึกระหว่างทำและระยะเวลาที่ใช้

ระหว่างการทำ XERF จะรู้สึกอุ่นสบายผิวคล้ายการนวดด้วยหินร้อน สลับกับความเย็น และใช้เวลาในการทำน้อยกว่าเทคโนโลยีรุ่นก่อน เนื่องจากมีการผสมผสานเทคโนโลยีที่ช่วยลดความเจ็บปวดและเพิ่มประสิทธิภาพ

  • ความรู้สึกระหว่างทำ: ผู้รับบริการส่วนใหญ่จะรู้สึกถึงความร้อนที่อุ่นสบาย ไม่เจ็บปวด โดยมีคะแนนความเจ็บเฉลี่ยเพียง 2-3 เต็ม 10 และไม่จำเป็นต้องใช้ยาชา ในแต่ละช็อตที่ปล่อยพลังงานจะรู้สึกอุ่นลึกใต้ผิวสลับกับความเย็นจากสเปรย์ไครโอเจนที่ปล่อยออกมาพร้อมกันเพื่อปกป้องผิวชั้นบน ทำให้รู้สึกสบายผิวตลอดการรักษา
  • ระยะเวลาที่ใช้: การรักษาใช้เวลาสั้นลง เนื่องจากหัวยิงของ XERF มีขนาดใหญ่กว่าเทคโนโลยีรุ่นก่อนถึง 50% ทำให้ครอบคลุมพื้นที่ได้มากกว่าในแต่ละช็อต ส่งผลให้ใช้จำนวนช็อตน้อยลงแต่ได้พลังงานที่เทียบเท่าหรือสูงกว่า ทำให้การรักษาทั้งใบหน้าและลำคอเสร็จสิ้นได้รวดเร็วจนถูกเรียกว่าเป็น “Lunchtime Lift”

การดูแลตัวเองหลังทำ XERF เพื่อผลลัพธ์ที่ดีที่สุด

การดูแลตัวเองหลังทำ XERF เพื่อผลลัพธ์ที่ดีที่สุดคือการดูแลผิวอย่างอ่อนโยนในช่วงแรก ควบคู่ไปกับการบำรุงและปกป้องผิวในระยะยาว ซึ่งจะช่วยส่งเสริมการสร้างคอลลาเจนและคงสภาพผิวที่ยกกระชับไว้ได้นานขึ้น

การดูแลในช่วง 24 ชั่วโมงแรก

  • หลีกเลี่ยงความร้อน: งดการออกกำลังกายหนัก ซาวน่า หรืออาบน้ำร้อน เพื่อป้องกันความร้อนส่วนเกินบนผิว
  • ดูแลผิวอย่างอ่อนโยน: ใช้ผลิตภัณฑ์ล้างหน้าที่อ่อนโยนและทามอยส์เจอไรเซอร์เพื่อเพิ่มความชุ่มชื้น สามารถแต่งหน้าได้ตามปกติหากไม่มีอาการแดง
  • ป้องกันแสงแดด: ทาครีมกันแดดที่มีค่า SPF 30 ขึ้นไป และพยายามหลีกเลี่ยงการสัมผัสแสงแดดโดยตรง

การดูแลในระยะยาว

  • ใช้ครีมกันแดดสม่ำเสมอ: การป้องกันผิวจากรังสียูวีเป็นสิ่งสำคัญที่สุดในการรักษาระดับคอลลาเจน
  • บำรุงผิว: หลังจากผ่านไป 2-3 วัน สามารถกลับมาใช้สกินแคร์กลุ่ม active เช่น วิตามินซี หรือเรตินอยด์ เพื่อช่วยกระตุ้นการสร้างคอลลาเจน
  • รักษาสุขภาพ: การงดสูบบุหรี่และรับประทานอาหารที่มีประโยชน์จะช่วยส่งเสริมกระบวนการซ่อมแซมและสร้างคอลลาเจนของร่างกาย
  • ทำทรีตเมนต์ซ้ำ: เพื่อคงผลลัพธ์ไว้ แนะนำให้กลับมาทำทรีตเมนต์ซ้ำทุกๆ 6-12 เดือน

ผลลัพธ์หลังทำ XERF: เห็นผลเมื่อไหร่ และอยู่ได้นานแค่ไหน?

ผลลัพธ์หลังทำ XERF จะเริ่มเห็นผลชัดเจนที่สุดในช่วง 2-3 เดือนหลังทำ และคงอยู่ได้นานประมาณ 6-12 เดือน

แม้ว่าบางครั้งอาจรู้สึกว่าผิวกระชับขึ้นเล็กน้อยในช่วง 1-2 สัปดาห์แรก แต่ผลลัพธ์ที่ชัดเจนและยาวนานจะค่อยๆ ปรากฏขึ้นในช่วง 2-3 เดือนถัดมา และจะเห็นผลเต็มที่ที่สุดในช่วง 3-6 เดือน เนื่องจากเป็นช่วงที่ร่างกายสร้างคอลลาเจนใหม่อย่างสมบูรณ์

โดยทั่วไปผลลัพธ์จะคงอยู่ได้นานประมาณ 1 ปี และแนะนำให้กลับมาทำซ้ำทุกๆ 6-12 เดือนเพื่อรักษาสภาพผิวและกระตุ้นคอลลาเจนอย่างต่อเนื่อง

ผลลัพธ์ทันทีหลังทำและผลลัพธ์ที่ชัดเจนที่สุด

หลังทำ XERF จะรู้สึกว่าผิวกระชับขึ้นเล็กน้อยในทันที แต่ผลลัพธ์ที่ชัดเจนและยาวนานที่สุดจะค่อยๆ ปรากฏในช่วง 2-3 เดือนหลังการรักษา

ผลลัพธ์ที่เห็นในทันทีเกิดจากการหดตัวของคอลลาเจนและอาการบวมของเนื้อเยื่อเล็กน้อย ซึ่งอาจเป็นผลชั่วคราว ส่วนผลลัพธ์ที่ชัดเจนและคงอยู่ยาวนานจะเกิดขึ้นจากการที่ร่างกายสร้างคอลลาเจนและอีลาสตินขึ้นมาใหม่ โดยจะเห็นผลดีขึ้นเรื่อยๆ และชัดเจนที่สุดในช่วง 2-3 เดือน และอาจต่อเนื่องไปจนถึง 6 เดือนหลังทำ

ต้องทำกี่ครั้งจึงจะเห็นผล และควรทำซ้ำบ่อยแค่ไหน?

โดยทั่วไปจะเห็นผลลัพธ์หลังทำเพียง 1 ครั้ง และแนะนำให้ทำซ้ำทุก 6-12 เดือนเพื่อคงผลลัพธ์ไว้

แม้ว่าบางรายอาจรู้สึกว่าผิวกระชับขึ้นเล็กน้อยทันทีหลังทำ แต่ผลลัพธ์ที่ชัดเจนและยาวนานจะค่อยๆ ปรากฏขึ้นในช่วง 2-3 เดือน และจะเห็นผลเต็มที่ในเวลาประมาณ 3-6 เดือนหลังการรักษา

ความถี่ในการทำซ้ำขึ้นอยู่กับอายุและสภาพผิวของแต่ละบุคคล โดยทั่วไปแนะนำให้ทำปีละ 1 ครั้งเพื่อกระตุ้นคอลลาเจนอย่างต่อเนื่อง อย่างไรก็ตาม ผู้ที่มีอายุน้อยอาจเว้นระยะได้นานถึง 1.5-2 ปี ในขณะที่ผู้ที่มีอายุมากหรือมีปัญหาผิวหย่อนคล้อยมากอาจต้องทำซ้ำทุก 6-9 เดือน

ความปลอดภัย ผลข้างเคียง และข้อห้ามในการทำ XERF

ผลข้างเคียงที่อาจเกิดขึ้นได้

ผลข้างเคียงที่พบบ่อยที่สุดคือ อาการบวมแดงเล็กน้อยซึ่งจะหายไปเองชั่วคราว

โดยทั่วไปแล้ว อาการแดงและบวมเล็กน้อยจะหายไปภายในไม่กี่ชั่วโมงถึงหนึ่งวันหลังการรักษา ผู้ป่วยอาจรู้สึกอุ่นหรือตึงที่ผิว รวมถึงอาจรู้สึกเจ็บแปลบเล็กน้อยบริเวณแนวกระดูก ซึ่งจะหายไปเองภายใน 1-2 วัน

สำหรับผลข้างเคียงที่พบได้ยากมาก ได้แก่:

  • แผลพุพองขนาดเล็ก
  • การฝ่อตัวของไขมันใต้ผิวหนัง (หน้าตอบ)
  • การระคายเคืองเส้นประสาทชั่วคราว

ข้อห้ามสำหรับผู้ที่ไม่ควรทำ XERF

ผู้ที่ไม่ควรทำ XERF คือ สตรีมีครรภ์หรือให้นมบุตร, ผู้ที่ใส่อุปกรณ์อิเล็กทรอนิกส์ในร่างกาย, และผู้ที่มีโลหะฝังอยู่ในบริเวณที่ทำ

นอกจากนี้ยังมีข้อห้ามสำหรับกลุ่มอื่น ๆ ดังนี้:

  • ผู้ที่ใส่อุปกรณ์อิเล็กทรอนิกส์ฝังในร่างกาย เช่น เครื่องกระตุ้นหัวใจ (Pacemaker)
  • ผู้ที่มีโลหะฝังอยู่ในบริเวณที่จะทำ เช่น ไหมทองคำ หรือแผ่นโลหะ
  • ผู้ที่มีการติดเชื้อ, แผลเปิด, หรือโรคผิวหนังที่ยังแสดงอาการในบริเวณที่จะทำ
  • ผู้ที่มีภาวะป่วยรุนแรงซึ่งส่งผลต่อการสมานแผล เช่น โรคเบาหวานที่ควบคุมไม่ได้
  • ผู้ที่เพิ่งทำหัตถการอื่น ๆ ในบริเวณเดียวกัน เช่น ฉีดฟิลเลอร์หรือโบท็อกซ์ (ควรรอ 2-4 สัปดาห์) หรือร้อยไหม (ควรรอประมาณ 1 เดือน)

xerf ที่ privato clinic

คำถามที่พบบ่อยเกี่ยวกับ XERF (FAQs)

ทำ XERF เจ็บไหม?

การทำ XERF แทบไม่เจ็บ และโดยทั่วไปไม่จำเป็นต้องใช้ยาชา

ผู้ป่วยส่วนใหญ่จะรู้สึกเหมือนการนวดด้วยหินร้อน คือรู้สึกอุ่นๆ ลึกๆ ที่ผิว สลับกับความเย็นจากหัวสเปรย์ ไม่ใช่ความเจ็บปวดที่รุนแรง โดยระดับความเจ็บจะอยู่ที่ประมาณ 2-3 จาก 10 คะแนนเท่านั้น เนื่องจากเทคโนโลยี XERF มีนวัตกรรมที่ช่วยลดความเจ็บปวด ได้แก่

  • Wave Fit™ Pulse Technology: แบ่งการปล่อยพลังงานออกเป็นชุดคลื่นย่อยๆ ทำให้ความร้อนค่อยๆ สะสมอย่างสม่ำเสมอ ไม่เกิดความร้อนพุ่งสูงจนเจ็บ
  • Integrated Cryogen Delivery (ICD): ระบบให้ความเย็นที่ทำงานพร้อมกับการปล่อยพลังงาน RF ช่วยปกป้องผิวชั้นบนไม่ให้ร้อนเกินไป ทำให้รู้สึกสบายผิวตลอดการทำ

ต้องพักฟื้นกี่วัน? หลังทำแต่งหน้าได้เลยหรือไม่?

โดยทั่วไปแล้วไม่จำเป็นต้องพักฟื้น และสามารถแต่งหน้าได้ในวันเดียวกันหลังการรักษา ผู้รับการรักษาสามารถกลับไปทำกิจกรรมต่างๆ ได้ตามปกติทันที โดยอาจมีรอยแดงเล็กน้อยซึ่งจะหายไปเองภายในไม่กี่ชั่วโมง หลังจากรอยแดงจางลงก็สามารถแต่งหน้าได้ตามปกติ

ผลลัพธ์จากการทำ XERF อยู่ได้นานแค่ไหน?

ผลลัพธ์ความกระชับของผิวจากการทำ XERF สามารถคงอยู่ได้นานประมาณ 6-12 เดือน โดยทั่วไปแนะนำให้กลับมาทำซ้ำทุกปีเพื่อรักษาสภาพผิวและกระตุ้นการสร้างคอลลาเจนอย่างต่อเนื่อง

ผลลัพธ์ที่ชัดเจนและยาวนานที่สุดจะค่อยๆ ปรากฏขึ้นในช่วง 2-3 เดือนหลังทำ อย่างไรก็ตาม ระยะเวลาของผลลัพธ์อาจแตกต่างกันไปในแต่ละบุคคล ขึ้นอยู่กับปัจจัยต่างๆ เช่น อายุ สภาพผิว และไลฟ์สไตล์ ผู้ที่มีอายุน้อยอาจคงผลลัพธ์ได้นานกว่า ในขณะที่ผู้ที่มีอายุมากอาจต้องกลับมาทำซ้ำเร็วขึ้นที่ 6-9 เดือน

สามารถทำ XERF ร่วมกับหัตถการอื่น เช่น โบท็อกซ์ หรือฟิลเลอร์ได้ไหม?

สามารถทำ XERF ร่วมกับหัตถการอื่น เช่น โบท็อกซ์และฟิลเลอร์ได้ แต่จำเป็นต้องมีการวางแผนและเว้นระยะเวลาที่เหมาะสมเพื่อผลลัพธ์ที่ดีที่สุดและความปลอดภัย

โดยทั่วไปมีแนวทางปฏิบัติดังนี้:

  • หลังฉีดฟิลเลอร์หรือโบท็อกซ์: ควรรออย่างน้อย 2–4 สัปดาห์ก่อนทำ XERF เพื่อป้องกันไม่ให้ความร้อนจากคลื่นวิทยุส่งผลต่อการสลายตัวของฟิลเลอร์หรือการกระจายตัวของโบท็อกซ์
  • หลังทำ XERF: ควรรอประมาณ 1–2 สัปดาห์เพื่อให้ผิวฟื้นตัวเต็มที่ก่อนเข้ารับการฉีดฟิลเลอร์หรือโบท็อกซ์

ในบางกรณี แพทย์อาจทำ XERF และฉีดโบท็อกซ์ในวันเดียวกันได้ โดยจะทำ XERF ให้เสร็จก่อนแล้วจึงฉีดโบท็อกซ์ในบริเวณที่ต้องการ เพื่อหลีกเลี่ยงการกดทับบริเวณที่เพิ่งฉีดไป

XERF เหมาะกับคนอายุเท่าไหร่?

XERF เหมาะกับกลุ่มที่มีอายุระหว่าง 30-50 ปี ที่ต้องการแก้ปัญหาความหย่อนคล้อยระยะเริ่มต้น

อย่างไรก็ตาม ผู้ที่มีอายุน้อยกว่า เช่นช่วง 20 ปลายๆ ก็สามารถทำเพื่อป้องกัน (Prejuvenation) และชะลอการเกิดความหย่อนคล้อยได้ ในขณะที่ผู้สูงอายุ เช่น วัย 70 ปีขึ้นไป ก็ยังสามารถได้รับประโยชน์ในการปรับปรุงคุณภาพผิวได้เช่นกัน แต่ผลลัพธ์อาจไม่ชัดเจนเท่า

XERF ผ่านการรับรองมาตรฐานความปลอดภัยหรือไม่?

XERF ผ่านการรับรองมาตรฐานความปลอดภัยจากหน่วยงานกำกับดูแลหลายแห่งทั่วโลก ซึ่งรวมถึงการรับรองจากองค์การอาหารและยาแห่งสหรัฐอเมริกา (FDA), การรับรองมาตรฐาน CE Mark ในยุโรป, การอนุมัติจากกระทรวงความปลอดภัยอาหารและยาของเกาหลีใต้ (MFDS/KFDA) และการอนุมัติจาก Health Canada ในแคนาดา การรับรองเหล่านี้ยืนยันว่าอุปกรณ์ดังกล่าวได้ผ่านการตรวจสอบด้านความปลอดภัยและประสิทธิภาพตามมาตรฐานสากลแล้ว

References:

  1. Ace Clinic Nagoya. (n.d.). XERF – Dual-Frequency Monopolar RF Lift Treatment (Procedure & Q&A). Ace Clinic Nagoya (Japan). ace-clinic.com
  2. Cynosure Lutronic. (n.d.). Cynosure Lutronic Announces U.S. Clearance of the XERF™ Device, Redefining the Future of Non-Invasive Skin Tightening. Business Wire. businesswire.com
  3. Chan, C. (n.d.). Japanese Dermatologist Recommends New Skin Tightening Treatment: XERF Dual-Frequency RF for Painless Lifting. Cosmopolitan (HK Edition). cosmopolitan.com
  4. Cynosure. (n.d.). Cynosure. cynosure.com
  5. Hanakoganei Ekimae Skin Clinic. (n.d.). XERF (Zāfu) – Next-Generation Dual-Frequency RF Lifting Treatment. Hanakoganei Ekimae Skin Clinic. hanako-skin.com
  6. Noonopi Plastic Surgery Clinic. (n.d.). XERF vs Thermage: A New Era of Laser Skin Tightening in Korea. Noonopi Clinic Blog. noonopiclinic.com
  7. Tribeca Aesthetics. (n.d.). XERF Structural Skin Tightening in NYC (Patient Information). Tribeca Aesthetics. tribecaaesthetics.com
  8. Hong, J., Ryu, H.G., Park, C., et al. (n.d.). Efficacy of dual-frequency noninvasive monopolar radiofrequency in skin tightening: Histological evidence. Skin Research and Technology (Wiley Online Library).
  9. Byun, J.W., Kang, Y.R., Park, S., Hong, W. (n.d.). Efficacy of Radiofrequency Combined with Single-Dot Ultrasound for Skin Rejuvenation: A Split-Face Trial. Skin Research and Technology. nih.gov

แนะแนวเรื่อง

Previous Previous
แก้มย้อย: 7 วิธีแก้ไขที่ได้ผลจริง ปลอดภัย หน้าเรียวเป็นธรรมชาติ
NextContinue
ฉีด sculptra ราคาเท่าไหร่ คุ้มไหม เสี่ยงหรือไม่

สาขาพรีวาโต คลินิก

    สาขาอโศก ตั้งอยู่ที่ ชั้น 2 อาคารมิดทาวน์
    Phone: 02-258-4050 , 081-841-5075
    สาขาสีลม ตั้งอยู่ที่ ชั้น 1 อาคารซี.พี.ทาวเวอร์
    Phone: 02-780-2011 , 098-272-5244
    สาขาราชพฤกษ์ ตั้งอยู่ที่ ชั้น 2 ศูนย์การค้า เดอะคริสตัล เอสบี (ด้านบนร้านสตาร์บัคส์)
    Phone: 02-102-2778 , 098-272-5244

ติดต่อเรา

    Facebook: Privato Clinic
    Messenger: Privato Clinic
    Instagram: privatoclinic
    Email: privatoclinic@gmail.com
    Line: @privatoclinic

Copyright© 2022-2024. All Rights Reserved

Scroll to top
  • หน้าหลัก
  • เกี่ยวกับพรีวาโต
  • บริการทั้งหมด
    • ชะลอวัย
    • ยกกระชับผิว
      • XERF
      • Potenza
      • Sofwave
      • Ulthera
      • Thermage-FLX
    • รักษาสิว
    • เลเซอร์
    • โปรแกรมฉีด
    • บำรุงผิว
  • บทความ
    • สิว
    • ยกกระชับ
    • ดูแลผิว
    • ทำเลเซอร์
  • ผลิตภัณฑ์ดูแลผิว
  • โปรโมชั่น
  • ผลลัพธ์การรักษา
  • วิดีโอรีวิวจากเคสจริง
  • สาขาของเรา
  • ไทย
    • ไทย
    • English
    • 中文 (中国)
  • ปรึกษาแพทย์
Facebook Instagram YouTube