Skip to content

TEL : 081-841-5075, 02-258-4050

Facebook Instagram YouTube
Privato Clinic – Innovation Of Beauty  |  Bangkok
  • หน้าหลัก
  • เกี่ยวกับพรีวาโต
  • บริการทั้งหมดExpand
    • ชะลอวัย
    • ยกกระชับผิวExpand
      • XERF
      • Potenza
      • Sofwave
      • Ulthera
      • Thermage-FLX
    • รักษาสิว
    • เลเซอร์
    • โปรแกรมฉีด
    • บำรุงผิว
  • บทความExpand
    • สิว
    • ยกกระชับ
    • ดูแลผิว
    • ทำเลเซอร์
  • ผลิตภัณฑ์ดูแลผิว
  • โปรโมชั่น
  • ผลลัพธ์การรักษา
  • วิดีโอรีวิวจากเคสจริง
  • สาขาของเรา
  • ไทยExpand
    • ไทย
    • English
    • 中文 (中国)
  • ปรึกษาแพทย์
Privato Clinic – Innovation Of Beauty  |  Bangkok
Consult a Doctor
Acne

สิวอักเสบหัวหนอง ต้องบีบไหม คำตอบชัด พร้อมวิธีดูแลที่ถูกต้อง

Byadmin กันยายน 17, 2025
By นายแพทย์เลอพงษ์ กรุดเงิน Updated on กันยายน 17, 2025
✦ Medically reviewed by  แพทย์หญิงนัชชนก หุ่นวิจิตร

สิวอักเสบหัวหนอง ต้องบีบไหม

Table of Contents

Toggle
  • สิวหัวหนองคืออะไร และควรบีบออกเองหรือไม่
    • ลักษณะของสิวหัวหนองที่สังเกตได้
    • คำตอบทางการแพทย์: ทำไมถึงไม่ควรบีบสิวเอง
  • ความเสี่ยงของการบีบสิวหัวหนองผิดวิธี: แผลเป็นและหลุมสิว
    • การติดเชื้อแบคทีเรียที่ลุกลามมากขึ้น
    • การเกิดรอยดำรอยแดงหลังการอักเสบ
    • ความเสี่ยงในการเกิดหลุมสิวถาวร
  • วิธีจัดการสิวหัวหนองอย่างปลอดภัย: 3 แนวทางหลัก
    • การดูแลเบื้องต้นเมื่อสิวเริ่มสุกที่บ้าน
    • การใช้ผลิตภัณฑ์เฉพาะที่เพื่อลดการอักเสบ
    • การกดสิวโดยผู้เชี่ยวชาญในคลินิก
  • สัญญาณเตือน: เมื่อไหร่ที่สิวหัวหนองต้องพบแพทย์
  • ก่อนตัดสินใจ: ปัจจัยสำคัญในการดูแลสิวอักเสบ
    • การประเมินลักษณะสิว: สุก บวม หรืออักเสบลึก
    • การป้องกันการเกิดสิวหัวหนองซ้ำ
    • ความแตกต่างระหว่างการกดสิวและการฉีดสิวโดยแพทย์
  • ข้อผิดพลาดที่พบบ่อยในการรักษาสิวหัวหนองด้วยตัวเอง
  • คำถามที่พบบ่อยเกี่ยวกับสิวอักเสบหัวหนอง
    • สิวหัวหนองหายเองได้ไหมถ้าไม่บีบ
    • ใช้แผ่นแปะสิวกับสิวหัวหนองได้หรือไม่
    • สิวหัวหนองแบบไหนที่ควรพบแพทย์ทันที
    • บีบสิวหัวหนองแล้วควรดูแลแผลอย่างไร
    • สิวหัวหนองใช้เวลากี่วันถึงจะยุบหรือหายไป
    • การกดสิวโดยผู้เชี่ยวชาญต่างจากการบีบเองอย่างไร
  • References:

สิวหัวหนองคืออะไร และควรบีบออกเองหรือไม่

สิวหัวหนองคือ สิวอักเสบที่เกิดจากการอุดตันของรูขุมขนจนมีหนองสีขาวสะสมอยู่ภายใน และไม่ควรบีบออกเอง เนื่องจากการบีบสิวจะเพิ่มความเสี่ยงของการเกิดรอยแผลเป็นและรอยดำ ทั้งยังอาจทำให้อาการอักเสบรุนแรงขึ้น สิวบวมและเจ็บกว่าเดิม และอาจทำให้เชื้อแบคทีเรียกระจายไปยังเนื้อเยื่อรอบๆ ได้

โดยทั่วไปแล้ว สิวหัวหนองสามารถหายได้เองภายใน 3-7 วัน การปล่อยให้สิวหายเองหรือใช้ยาแต้มสิวเฉพาะจุดจะช่วยลดโอกาสการเกิดรอยสิวได้ดีที่สุด หากจำเป็นต้องกดออก ควรให้แพทย์หรือผู้เชี่ยวชาญเป็นผู้ดำเนินการเพื่อความปลอดภัยและลดความเสียหายต่อผิวหนัง

ลักษณะของสิวหัวหนองที่สังเกตได้

สิวหัวหนองคือตุ่มแดงอักเสบที่มีหัวหนองสีขาวหรือสีเหลืองปรากฏให้เห็นอย่างชัดเจน สิวชนิดนี้เกิดขึ้นเมื่อตุ่มแดงอักเสบ (papule) ที่เกิดจากรูขุมขนอุดตันมีการสะสมของเซลล์ภูมิคุ้มกันและแบคทีเรียจนกลายเป็นหนอง โดยหัวหนองจะอยู่ใกล้กับผิวชั้นบนสุด และมักพบร่วมกับสิวอักเสบชนิดตุ่มแดงในผู้ที่มีสิวระดับปานกลาง

คำตอบทางการแพทย์: ทำไมถึงไม่ควรบีบสิวเอง

คำตอบทางการแพทย์คือ ไม่ควรบีบสิวเองเพราะ ทำให้อาการอักเสบรุนแรงขึ้น ยืดระยะเวลาการรักษา และเพิ่มความเสี่ยงในการเกิดรอยแผลเป็นถาวร การบีบสิวเองมักทำให้เกิดผลเสียมากกว่าผลดี เนื่องจากเหตุผลดังต่อไปนี้

  • ทำให้อาการแย่ลง: การบีบสิวอาจดันเชื้อแบคทีเรียและสิ่งสกปรกลึกลงไปในผิวหนัง ทำให้สิวอักเสบ บวม และเจ็บปวดกว่าเดิม หรืออาจเปลี่ยนสิวอุดตันธรรมดาให้กลายเป็นสิวอักเสบขนาดใหญ่ เช่น สิวหัวช้าง (Nodule) หรือซีสต์ (Cyst)
  • เสี่ยงต่อการติดเชื้อ: การใช้มือหรือเล็บบีบสิวที่ไม่สะอาดจะเพิ่มความเสี่ยงให้เกิดการติดเชื้อแบคทีเรียซ้ำซ้อน ซึ่งอาจลุกลามจนกลายเป็นฝีหรือการติดเชื้อที่ผิวหนัง (Cellulitis)
  • เกิดรอยแผลเป็นและรอยดำ: การบีบสิวเป็นการทำลายเนื้อเยื่อผิวหนังและคอลลาเจนโดยรอบ ซึ่งเป็นสาเหตุโดยตรงของการเกิดรอยแผลเป็นชนิดหลุม (Atrophic scars) และรอยดำหรือรอยแดงหลังการอักเสบ (Post-inflammatory hyperpigmentation) ที่ต้องใช้เวลานานหลายเดือนในการรักษา
  • ทำให้สิวหายช้าลง: ความเชื่อที่ว่าการบีบสิวช่วยให้หายเร็วนั้นไม่เป็นความจริง ในทางกลับกัน การบีบสิวจะสร้างบาดแผลเปิดขึ้นมาใหม่ ทำให้ร่างกายต้องใช้เวลานานขึ้นในการซ่อมแซมผิวหนัง เมื่อเทียบกับการปล่อยให้สิวหายไปเองตามธรรมชาติซึ่งมักใช้เวลาเพียง 3-7 วัน
  • ความเสี่ยงในบริเวณ “สามเหลี่ยมอันตราย” (Danger Triangle): แพทย์เตือนว่าการบีบสิวในบริเวณตั้งแต่สันจมูกลงมาจนถึงมุมปากทั้งสองข้างมีความเสี่ยงสูง แม้จะพบได้ยาก แต่การติดเชื้อในบริเวณนี้อาจลุกลามเข้าสู่โพรงไซนัสในสมองและเป็นอันตรายถึงชีวิตได้

หากจำเป็นต้องนำหัวสิวออก ควรให้แพทย์ผิวหนังหรือผู้เชี่ยวชาญเป็นผู้กดสิวให้ เนื่องจากมีความชำนาญในการใช้เครื่องมือที่ปลอดเชื้อและเทคนิคที่ถูกต้อง ซึ่งช่วยลดการบาดเจ็บของผิวและป้องกันการติดเชื้อได้ดีกว่าการทำด้วยตนเอง

ความเสี่ยงของการบีบสิวหัวหนองผิดวิธี: แผลเป็นและหลุมสิว

การติดเชื้อแบคทีเรียที่ลุกลามมากขึ้น

การบีบสิว เพิ่มความเสี่ยงอย่างมากที่จะทำให้เกิดการติดเชื้อแบคทีเรียทุติยภูมิซ้อนทับกับการเป็นสิว การบีบสิวอย่างไม่ถูกวิธีอาจทำให้สิวอักเสบธรรมดากลายเป็นการติดเชื้อที่รุนแรงขึ้น เช่น เซลลูไลติส (cellulitis) หรือฝี ซึ่งอาจมีอาการบวม แดง ร้อน และเจ็บปวดมากขึ้น ในบางกรณี หนองอาจกระจายตัวใต้ผิวหนัง ทำให้เกิดสิวใหม่ๆ หรือฝีในผิวหนัง และอาจต้องใช้ยาปฏิชีวนะในการรักษา

การเกิดรอยดำรอยแดงหลังการอักเสบ

รอยดำรอยแดงหลังการอักเสบ (Post-Inflammatory Hyperpigmentation) มักเป็นผลโดยตรงจากการบาดเจ็บและการอักเสบของผิวหนัง โดยเฉพาะอย่างยิ่งจากการบีบหรือแกะสิว

แพทย์ผิวหนังระบุว่าการรบกวนสิวในทุกรูปแบบสามารถนำไปสู่การเปลี่ยนแปลงของสีผิวที่อาจคงอยู่นานหลายสัปดาห์หรือหลายเดือน ยิ่งผิวหนังเกิดการอักเสบหรือบาดเจ็บมากเท่าไร โอกาสที่จะเกิดรอยดำหรือรอยแดงก็จะยิ่งสูงขึ้นเท่านั้น นอกจากนี้ การสัมผัสกับรังสียูวี (UV) ยังสามารถทำให้รอยดำเหล่านี้เข้มขึ้นและจางลงได้ช้าลง ดังนั้นการทาครีมกันแดดจึงเป็นสิ่งสำคัญในการช่วยให้รอยจางเร็วขึ้น

ความเสี่ยงในการเกิดหลุมสิวถาวร

ความเสี่ยงในการเกิดหลุมสิวถาวรมาจากสิวอักเสบชนิดรุนแรง เช่น สิวหัวช้างและสิวซีสต์ และจะเพิ่มขึ้นอย่างมากจากการแกะ เกา หรือบีบสิว

การบีบสิวจะทำลายคอลลาเจนในผิวหนังชั้นหนังแท้ ซึ่งอาจส่งผลให้เกิดแผลเป็นหลุมสิว (Atrophic Scars) เช่น หลุมจิก (Ice Pick) หรือหลุมกล่อง (Boxcar) ที่คงอยู่ถาวรได้ ในทางกลับกัน สิวหัวหนองตื้นๆ มีความเสี่ยงในการเกิดแผลเป็นน้อยกว่ามากหากปล่อยให้หายเอง เมื่อเนื้อเยื่อแผลเป็นเกิดขึ้นแล้วจะรักษายากมาก ดังนั้นการหลีกเลี่ยงการบีบสิวจึงเป็นสิ่งสำคัญที่สุดในการป้องกันหลุมสิวถาวร

วิธีจัดการสิวหัวหนองอย่างปลอดภัย: 3 แนวทางหลัก

วิธีจัดการสิวหัวหนองอย่างปลอดภัยมี 3 แนวทางหลัก ได้แก่ การใช้ยาทาเฉพาะที่, การใช้แผ่นแปะสิว และการกดสิวโดยผู้เชี่ยวชาญ

  1. การใช้ยาทาเฉพาะที่ (Spot Treatment): แต้มยาที่มีส่วนผสมของเบนโซอิลเพอร์ออกไซด์ (Benzoyl Peroxide) 2.5% หรือกรดซาลิไซลิก (Salicylic Acid) บริเวณหัวสิวโดยตรง ยาเหล่านี้จะช่วยให้หนองแห้งเร็วขึ้นและลดการอักเสบ
  2. การใช้แผ่นแปะสิว (Pimple Patch): แผ่นแปะไฮโดรคอลลอยด์ (Hydrocolloid) จะช่วยดูดซับของเหลวและหนองออกจากหัวสิว ทำให้สิวยุบเร็วขึ้น นอกจากนี้ยังช่วยป้องกันแบคทีเรียและการแกะเกา ซึ่งเป็นสาเหตุของรอยแผลเป็น
  3. การกดสิวโดยผู้เชี่ยวชาญ (Professional Extraction): หากจำเป็นต้องกดสิว ควรทำโดยแพทย์ผิวหนังหรือผู้เชี่ยวชาญที่ได้รับการฝึกฝน พวกเขาจะใช้เครื่องมือที่ผ่านการฆ่าเชื้อและเทคนิคที่ถูกต้องเพื่อลดการบาดเจ็บของผิวหนังและป้องกันการติดเชื้อ ซึ่งปลอดภัยกว่าการกดสิวด้วยตัวเองอย่างมาก

การดูแลเบื้องต้นเมื่อสิวเริ่มสุกที่บ้าน

การดูแลเบื้องต้นเมื่อสิวเริ่มสุกที่บ้านคือการใช้ยาแต้มสิวเฉพาะจุดหรือแผ่นแปะสิว และหลีกเลี่ยงการบีบหรือเค้นสิว สิวที่สุกแล้วจะมีหัวหนองสีขาวหรือเหลืองที่มองเห็นได้ชัดเจนและอยู่ใกล้ผิวชั้นบน ซึ่งเป็นสัญญาณว่าสิวอาจจะแตกออกเองในไม่ช้า

การดูแลที่ปลอดภัยสามารถทำได้ดังนี้:

  • ใช้ยาแต้มสิว: ทายาแต้มสิวที่มีส่วนผสมของเบนโซอิลเพอร์ออกไซด์ (benzoyl peroxide) หรือกรดซาลิไซลิก (salicylic acid) เพื่อช่วยให้สิวแห้งและยุบตัวเร็วขึ้น
  • ใช้แผ่นแปะสิว: แผ่นแปะไฮโดรคอลลอยด์ (hydrocolloid patch) สามารถช่วยดูดซับของเหลวและหนองออกจากหัวสิว ทำให้สิวยุบเร็วขึ้น และยังช่วยป้องกันการสัมผัสหรือแกะสิว
  • ทำความสะอาด: หากสิวแตกเอง ควรล้างบริเวณนั้นเบาๆ ด้วยสบู่อ่อนและน้ำสะอาด แล้วซับให้แห้ง

วิธีที่ดีที่สุดคือการปล่อยให้สิวหายไปเอง ซึ่งจะช่วยลดความเสี่ยงของการอักเสบ รอยดำ และแผลเป็นได้ดีกว่าการบีบสิว

การใช้ผลิตภัณฑ์เฉพาะที่เพื่อลดการอักเสบ

การใช้ผลิตภัณฑ์เฉพาะที่ เช่น เบนโซอิลเพอร์ออกไซด์ (benzoyl peroxide) หรือกรดซาลิไซลิก (salicylic acid) สามารถช่วยลดการอักเสบและทำให้สิวหนองแห้งเร็วขึ้นได้

คุณสามารถแต้มเจลหรือครีมเบนโซอิลเพอร์ออกไซด์ 2.5% วันละ 1-2 ครั้ง เพื่อช่วยให้หนองแห้งและลดรอยแดง หรือใช้ผลิตภัณฑ์แต้มสิวที่มีกรดซาลิไซลิก ซึ่งจะช่วยเร่งการฟื้นฟูของผิว สำหรับผู้ที่เป็นสิวหนองบ่อยครั้ง แพทย์อาจแนะนำยาปฏิชีวนะชนิดทาหรือยาทากลุ่มเรตินอยด์

ข้อควรระวัง: ควรใช้ยาเหล่านี้เฉพาะบริเวณที่เป็นสิวเท่านั้นเพื่อหลีกเลี่ยงไม่ให้ผิวหนังโดยรอบแห้งเกินไป และไม่ควรทาผลิตภัณฑ์มากเกินไปเพราะอาจทำให้เกิดการระคายเคืองได้

การกดสิวโดยผู้เชี่ยวชาญในคลินิก

การกดสิวโดยผู้เชี่ยวชาญ คือขั้นตอนการรักษาสิวที่ทำโดยแพทย์ผิวหนังหรือผู้เชี่ยวชาญที่ได้รับใบอนุญาต โดยใช้เครื่องมือที่ผ่านการฆ่าเชื้อเพื่อนำสิ่งอุดตันในสิวออกอย่างปลอดภัย ซึ่งแตกต่างจากการบีบสิวด้วยตัวเองอย่างสิ้นเชิง

ข้อดีของการกดสิวโดยผู้เชี่ยวชาญ ได้แก่

  • ความสะอาดและปลอดเชื้อ: ผู้เชี่ยวชาญจะใช้เครื่องมือที่ผ่านการฆ่าเชื้อและเตรียมผิวในสภาพแวดล้อมที่สะอาด จึงช่วยลดความเสี่ยงในการติดเชื้อได้อย่างมาก
  • เทคนิคที่ถูกต้อง: ผู้เชี่ยวชาญมีความรู้ความเข้าใจในการใช้แรงกดและมุมที่เหมาะสม เพื่อนำหัวสิวออกมาโดยไม่ทำให้เนื้อเยื่อรอบข้างบอบช้ำหรือเกิดการแตกของต่อมไขมันใต้ผิวหนัง
  • ลดความเสี่ยงของแผลเป็น: การกดสิวอย่างถูกวิธีจะช่วยลดการอักเสบและป้องกันการเกิดรอยแผลเป็นชนิดหลุมหรือรอยดำหลังสิวหาย ซึ่งมักเกิดจากการบีบเค้นสิวด้วยตัวเอง
  • การประเมินที่แม่นยำ: ผู้เชี่ยวชาญสามารถประเมินได้ว่าสิวชนิดใดที่พร้อมจะกดออกได้ และสิวชนิดใด (เช่น สิวซีสต์หรือสิวหัวช้างที่อยู่ลึก) ที่ไม่ควรกด แต่ควรใช้วิธีการรักษาอื่นแทน เช่น การฉีดสิว

สัญญาณเตือน: เมื่อไหร่ที่สิวหัวหนองต้องพบแพทย์

ควรไปพบแพทย์เมื่อสิวหัวหนองมีสัญญาณของการติดเชื้อรุนแรง อยู่ในบริเวณ “สามเหลี่ยมอันตราย” บนใบหน้า หรือไม่หายไปเอง สัญญาณเตือนที่บ่งชี้ว่าควรขอความช่วยเหลือจากแพทย์ ได้แก่

  • การติดเชื้อรุนแรง: สิวมีอาการปวดมาก บวมแดงและขยายวงกว้างขึ้น รู้สึกอุ่นเมื่อสัมผัส หรือมีไข้ร่วมด้วย
  • ตำแหน่งที่เป็นอันตราย: สิวที่ขึ้นในบริเวณ “สามเหลี่ยมอันตราย” (Danger Triangle) ซึ่งคือพื้นที่จากมุมปากไปจนถึงสันจมูก เนื่องจากมีความเสี่ยงที่เชื้อโรคจะแพร่กระจายไปยังสมองได้
  • สิวที่ไม่หาย: สิวเม็ดนั้นไม่ดีขึ้นหรือไม่หายไปหลังจากผ่านไปหลายสัปดาห์ หรือสิวที่กลับมาขึ้นซ้ำที่เดิมตลอด อาจเป็นสัญญาณของซีสต์ใต้ผิวหนัง
  • สิวเรื้อรังหรือทิ้งรอย: หากสิวขึ้นต่อเนื่อง เป็นรุนแรงขึ้นเรื่อยๆ หรือมักจะทิ้งรอยดำและหลุมสิวไว้เสมอ ควรปรึกษาแพทย์เพื่อป้องกันความเสียหายถาวรต่อผิว
  • ผู้ที่มีภูมิคุ้มกันบกพร่อง: หากมีระบบภูมิคุ้มกันที่อ่อนแอ ควรไปพบแพทย์ตั้งแต่เนิ่นๆ เมื่อมีสิวอักเสบที่เป็นหนองและเจ็บปวด เพื่อป้องกันภาวะแทรกซ้อนที่รุนแรง

ก่อนตัดสินใจ: ปัจจัยสำคัญในการดูแลสิวอักเสบ

การประเมินลักษณะสิว: สุก บวม หรืออักเสบลึก

การประเมินลักษณะสิวสามารถทำได้โดยดูว่าสิวมีหัวหนองสีขาวที่มองเห็นได้ชัดเจน (สิวสุก), เป็นตุ่มแดงบวมที่ไม่มีหัว (สิวอักเสบ), หรือเป็นก้อนแข็งเจ็บใต้ผิวหนัง (สิวอักเสบลึก) การแยกแยะลักษณะสิวเป็นสิ่งสำคัญเพื่อเลือกวิธีจัดการที่ถูกต้องและหลีกเลี่ยงการเกิดรอยแผลเป็น

  • สิวสุก (Pustule): คือสิวที่มีหัวหนองสีขาวหรือสีเหลืองเกิดขึ้นบริเวณผิวชั้นบนอย่างชัดเจน ซึ่งเป็นสัญญาณว่าสิวอาจจะแตกออกเองในไม่ช้า สิวประเภทนี้เหมาะกับการใช้ยาแต้มสิวหรือแผ่นแปะสิวเพื่อช่วยดูดซับของเหลวและลดการอักเสบ
  • สิวอักเสบ (Papule/Swollen Pimple): คือตุ่มแดงที่ยังไม่มีหัวหนองให้เห็น การพยายามบีบหรือเค้นสิวประเภทนี้จะยิ่งทำให้สิวบวม แดง และเจ็บมากขึ้น อีกทั้งยังเสี่ยงต่อการอักเสบลุกลาม
  • สิวอักเสบลึก (Nodule/Cyst): คือก้อนไตแข็งที่เจ็บและอยู่ลึกใต้ผิวหนัง โดยจะไม่มีหัวหนองปรากฏให้เห็น สิวประเภทนี้มีความเสี่ยงสูงที่จะทิ้งรอยแผลเป็นถาวร จึงไม่ควรพยายามบีบอย่างเด็ดขาด และควรให้แพทย์เป็นผู้ดูแลรักษา เช่น การฉีดสเตียรอยด์เพื่อลดการอักเสบ

การป้องกันการเกิดสิวหัวหนองซ้ำ

การป้องกันการเกิดสิวหัวหนองซ้ำสามารถทำได้โดยการจัดการปัจจัยที่ทำให้รูขุมขนอุดตันและเกิดการอักเสบ ซึ่งทำได้โดยการดูแลผิวอย่างสม่ำเสมอเพื่อหยุดยั้งการเกิดสิวตั้งแต่ระยะเริ่มต้น

แนวทางการป้องกันมีดังนี้:

  • ใช้ผลิตภัณฑ์ที่ช่วยผลัดเซลล์ผิว: ใช้ผลิตภัณฑ์ที่มีส่วนผสมของกรดซาลิไซลิกหรือเรตินอยด์ เพื่อช่วยให้รูขุมขนสะอาดและไม่อุดตัน
  • ลดแบคทีเรีย: ใช้เบนโซอิลเพอร์ออกไซด์เพื่อลดปริมาณแบคทีเรียที่ก่อให้เกิดสิว
  • ควบคุมความมัน: เลือกใช้ผลิตภัณฑ์ที่เหมาะสมเพื่อควบคุมความมันบนใบหน้า
  • ดูแลผิวอย่างอ่อนโยน: ใช้ผลิตภัณฑ์ดูแลผิวที่อ่อนโยนและหลีกเลี่ยงเครื่องสำอางที่อุดตันรูขุมขน โดยเลือกใช้ผลิตภัณฑ์ที่ระบุว่า “non-comedogenic” (ไม่ก่อให้เกิดการอุดตัน)
  • ปรับพฤติกรรม: หลีกเลี่ยงการสัมผัสใบหน้าบ่อยๆ และเปลี่ยนปลอกหมอนเป็นประจำ
  • ปรึกษาแพทย์: หากสิวเกี่ยวข้องกับฮอร์โมน ควรปรึกษาแพทย์เพื่อหาแนวทางแก้ไขที่เหมาะสม

ความแตกต่างระหว่างการกดสิวและการฉีดสิวโดยแพทย์

การกดสิวโดยแพทย์เป็นการใช้เครื่องมือที่ปลอดเชื้อเพื่อนำหนองหรือสิ่งอุดตันออกจากสิว ในขณะที่การฉีดสิวเป็นการฉีดตัวยาสเตียรอยด์เข้าไปในสิวโดยตรงเพื่อลดการอักเสบ

การรักษาทั้งสองวิธีนี้ใช้สำหรับสิวคนละประเภทกัน:

  • การกดสิว (Extraction): เหมาะสำหรับสิวที่อยู่ตื้นๆ เช่น สิวหัวขาว สิวหัวดำ หรือสิวหนองที่มีหัวหนองชัดเจน แพทย์จะใช้เครื่องมือที่ผ่านการฆ่าเชื้อ เช่น ที่กดสิวหรือเข็ม เพื่อเปิดหัวสิวและนำสิ่งอุดตันออกอย่างถูกวิธี ซึ่งช่วยลดการบาดเจ็บของผิวและลดความเสี่ยงในการติดเชื้อเมื่อเทียบกับการบีบสิวเอง
  • การฉีดสิว (Cortisone Injection): เหมาะสำหรับสิวอักเสบขนาดใหญ่ที่อยู่ลึกใต้ผิวหนัง เช่น สิวซีสต์หรือสิวหัวช้างที่ไม่มีหัวหนองให้กดออก การฉีดสเตียรอยด์จะช่วยลดการอักเสบ ความเจ็บปวด และทำให้สิวยุบลงอย่างรวดเร็วภายใน 1-2 วัน ซึ่งช่วยลดความเสี่ยงของการเกิดแผลเป็นได้อย่างมาก

ข้อผิดพลาดที่พบบ่อยในการรักษาสิวหัวหนองด้วยตัวเอง

ข้อผิดพลาดที่พบบ่อยและร้ายแรงที่สุดคือการบีบหรือเค้นสิว ซึ่งมักจะทำให้อาการแย่ลงและยืดระยะเวลาการรักษา แทนที่จะช่วยให้สิวหายเร็วขึ้น

ข้อผิดพลาดอื่นๆ ในการดูแลสิวหัวหนองด้วยตัวเอง ได้แก่:

  • การใช้ผลิตภัณฑ์ที่รุนแรงเกินไป: การใช้สครับขัดผิวที่หยาบหรือผลิตภัณฑ์ที่ทำให้ผิวแห้งตึง สามารถสร้างความระคายเคืองและกระตุ้นให้การอักเสบแย่ลง
  • การล้างหน้าบ่อยเกินไป: การล้างหน้ามากกว่าวันละสองครั้งอาจทำลายเกราะป้องกันผิวและทำให้เกิดการระคายเคือง
  • การพยายามบีบสิวที่ยังไม่สุก: ไม่ควรพยายามบีบสิวที่อยู่ลึกใต้ผิวหนังและยังไม่มีหัวหนองที่มองเห็นได้ชัดเจน เพราะจะยิ่งทำให้อาการแย่ลงและเสี่ยงต่อการเกิดแผลเป็น
  • การแกะสะเก็ดแผล: การแกะสะเก็ดแผลหลังจากสิวแตกหรือถูกบีบจะทำให้แผลเปิดใหม่และเพิ่มโอกาสการเกิดรอยดำหรือแผลเป็นได้

คำถามที่พบบ่อยเกี่ยวกับสิวอักเสบหัวหนอง

สิวหัวหนองหายเองได้ไหมถ้าไม่บีบ

ได้ สิวหัวหนองส่วนใหญ่สามารถหายและยุบไปได้เองหากไม่ไปบีบหรือแกะ โดยทั่วไป สิวจะเริ่มยุบและแห้งลงภายในเวลาประมาณ 3 ถึง 7 วัน การปล่อยให้สิวหายเองยังช่วยลดโอกาสการเกิดรอยแผลเป็นหรือรอยดำในระยะยาวได้อีกด้วย

ใช้แผ่นแปะสิวกับสิวหัวหนองได้หรือไม่

ได้ แผ่นแปะสิวมีประโยชน์อย่างยิ่งสำหรับสิวหัวหนอง เนื่องจากแผ่นแปะซึ่งมักทำจากไฮโดรคอลลอยด์ (hydrocolloid) จะช่วยดูดซับของเหลว เช่น หนองและน้ำมันออกจากสิว ซึ่งช่วยให้สิวยุบตัวเร็วขึ้น

แผ่นแปะสิวทำงานได้ดีที่สุดกับสิวที่อยู่บนผิวชั้นบน เช่น สิวหัวหนอง หรือสิวที่เพิ่งแตก นอกจากนี้ยังช่วยป้องกันไม่ให้เราสัมผัสหรือแกะสิว ซึ่งช่วยให้สิวหายเร็วขึ้นและสะอาดกว่าเดิม อย่างไรก็ตาม แผ่นแปะสิวจะไม่มีประสิทธิภาพสำหรับสิวที่อยู่ลึกลงไปใต้ผิวหนัง เช่น สิวอุดตันหรือสิวซีสต์

สิวหัวหนองแบบไหนที่ควรพบแพทย์ทันที

ควรพบแพทย์ทันทีหาก สิวหัวหนองมีสัญญาณของการติดเชื้อรุนแรง หรือขึ้นในบริเวณที่อันตราย

สัญญาณเตือนที่บ่งบอกว่าควรไปพบแพทย์โดยด่วน ได้แก่:

  • สิวมีอาการปวด บวม แดง และร้อนอย่างรุนแรง
  • มีรอยแดงเป็นเส้นลากออกจากสิว หรือบริเวณที่แดงขยายวงกว้างขึ้น
  • สิวขึ้นในบริเวณ “สามเหลี่ยมอันตราย” (ตั้งแต่สันจมูกไปจนถึงมุมปาก) และมีอาการแย่ลงหรือเจ็บปวดมาก
  • สิวอยู่ใกล้ดวงตาและทำให้เกิดอาการบวม
  • ผู้ที่มีระบบภูมิคุ้มกันบกพร่องควรพบแพทย์ตั้งแต่เนิ่นๆ หากมีสิวที่เป็นหนองและเจ็บปวด

บีบสิวหัวหนองแล้วควรดูแลแผลอย่างไร

ควรทายาฆ่าเชื้อเพื่อป้องกันการติดเชื้อ จากนั้นปิดแผลให้สะอาด และทาครีมกันแดดเพื่อป้องกันรอยดำ การดูแลแผลหลังจากบีบสิวหัวหนองอย่างถูกวิธีจะช่วยลดโอกาสการเกิดแผลเป็นและรอยสิวได้

ขั้นตอนการดูแลแผล มีดังนี้:

  • ทายาฆ่าเชื้อ: ทายาปฏิชีวนะชนิดขี้ผึ้ง (เช่น Bacitracin) หรือเจลเบนโซอิลเพอร์ออกไซด์ 2.5% บางๆ บริเวณแผลเปิดเพื่อฆ่าเชื้อและช่วยให้แผลแห้ง
  • ปิดแผล: ใช้แผ่นแปะสิวไฮโดรคอลลอยด์หรือพลาสเตอร์ปิดแผล เพื่อรักษาความสะอาด ป้องกันการสัมผัส และช่วยดูดซับของเหลวที่เหลืออยู่
  • อย่าแกะสะเก็ด: ปล่อยให้สะเก็ดแผลหลุดออกไปเองตามธรรมชาติ การแกะสะเก็ดจะทำให้แผลหายช้าลงและเสี่ยงต่อการเกิดรอยดำหรือแผลเป็นมากขึ้น
  • ทาครีมกันแดด: เมื่อแผลเริ่มแห้ง ควรทาครีมกันแดด (SPF 30 ขึ้นไป) ทุกวัน เพื่อป้องกันไม่ให้รังสียูวีทำให้รอยแดงหรือรอยดำเข้มขึ้นและจางช้าลง

สิวหัวหนองใช้เวลากี่วันถึงจะยุบหรือหายไป

โดยทั่วไปแล้ว สิวหัวหนองจะเริ่มยุบและแห้งไปเองภายในเวลาประมาณ 3 ถึง 7 วัน หากไม่ไปบีบหรือแกะ

เมื่อปล่อยให้สิวหัวหนองหายเองตามธรรมชาติ เซลล์เม็ดเลือดขาวในหนองจะสลายไป อาการบวมจะลดลง และสิวจะค่อยๆ ตกสะเก็ดหรือระบายหนองออกเล็กน้อยแล้วจึงหายไป การบีบสิวอาจทำให้กระบวนการหายช้าลงและทิ้งรอยไว้นานกว่าเดิม หากสิวมีขนาดใหญ่มาก เจ็บปวด หรือไม่ดีขึ้นหลังจากผ่านไปหนึ่งสัปดาห์ ควรไปพบแพทย์

การกดสิวโดยผู้เชี่ยวชาญต่างจากการบีบเองอย่างไร

การกดสิวโดยผู้เชี่ยวชาญแตกต่างจากการบีบเองที่บ้านในด้านเทคนิคและความสะอาดปลอดเชื้อ ซึ่งทำให้ปลอดภัยกว่าและสร้างความเสียหายต่อผิวน้อยกว่ามาก

ความแตกต่างที่สำคัญมีดังนี้

  • ผู้เชี่ยวชาญ (เช่น แพทย์ผิวหนัง):
  • ความสะอาด: ใช้เครื่องมือที่ผ่านการฆ่าเชื้อและเตรียมผิวอย่างเหมาะสมเพื่อลดความเสี่ยงในการติดเชื้อ
  • เทคนิค: ใช้เทคนิคที่ถูกต้องในการออกแรงกดเพื่อนำสิ่งอุดตันออกมาโดยไม่ทำลายเนื้อเยื่อรอบข้าง ซึ่งช่วยลดการอักเสบและป้องกันการเกิดแผลเป็น
  • การประเมิน: สามารถประเมินได้ว่าสิวชนิดใดพร้อมที่จะกดออก และมีทางเลือกอื่นสำหรับสิวที่ยังไม่ควรไปยุ่ง เช่น การฉีดสิว
  • การบีบเอง:
  • ความเสี่ยงติดเชื้อ: มักใช้นิ้วมือซึ่งอาจนำแบคทีเรียเข้าสู่ผิวหนัง
  • การบาดเจ็บ: แรงกดที่ไม่ถูกวิธีมักทำให้รูขุมขนแตกใต้ผิวหนัง ส่งผลให้การอักเสบลุกลามและรุนแรงขึ้น
  • แผลเป็น: เพิ่มความเสี่ยงสูงในการเกิดแผลเป็นรอยหลุมหรือรอยดำหลังสิวหาย และทำให้สิวหายช้าลง

References:

  1. American Academy of Dermatology. (n.d.). How to Treat Different Types of Acne. AAD. aad.org
  2. Cleveland Clinic. (n.d.). Should You Pop That Pimple? Cleveland Clinic Health Library. clevelandclinic.org
  3. National Institutes of Health. (n.d.). Acne Treatment Guidelines. NIH. nih.gov
  4. Medical News Today. (n.d.). Popping Pimples: Why You Shouldn’t Do It. medicalnewstoday.com
  5. Verywell Health. (n.d.). How to Safely Extract a Pimple. verywellhealth.com
  6. UPMC. (n.d.). Pimple Popping: When to See a Dermatologist. University of Pittsburgh Medical Center. upmc.com
  7. Northwestern Medicine. (n.d.). The Truth About Popping Pimples. nm.org

แนะแนวเรื่อง

Previous Previous
หลุมสิวรักษาเองได้ไหม: 10 วิธีธรรมชาติที่ทำได้ที่บ้านที่ได้ผล
NextContinue
สิวอักเสบขึ้นไม่หยุด เกิดจากอะไร แก้ที่ต้นเหตุยังไงให้ได้ผลทันใจ

สาขาพรีวาโต คลินิก

    สาขาอโศก ตั้งอยู่ที่ ชั้น 2 อาคารมิดทาวน์
    Phone: 02-258-4050 , 081-841-5075
    สาขาสีลม ตั้งอยู่ที่ ชั้น 1 อาคารซี.พี.ทาวเวอร์
    Phone: 02-780-2011 , 098-272-5244
    สาขาราชพฤกษ์ ตั้งอยู่ที่ ชั้น 2 ศูนย์การค้า เดอะคริสตัล เอสบี (ด้านบนร้านสตาร์บัคส์)
    Phone: 02-102-2778 , 098-272-5244

ติดต่อเรา

    Facebook: Privato Clinic
    Messenger: Privato Clinic
    Instagram: privatoclinic
    Email: privatoclinic@gmail.com
    Line: @privatoclinic

Copyright© 2022-2024. All Rights Reserved

Scroll to top
  • หน้าหลัก
  • เกี่ยวกับพรีวาโต
  • บริการทั้งหมด
    • ชะลอวัย
    • ยกกระชับผิว
      • XERF
      • Potenza
      • Sofwave
      • Ulthera
      • Thermage-FLX
    • รักษาสิว
    • เลเซอร์
    • โปรแกรมฉีด
    • บำรุงผิว
  • บทความ
    • สิว
    • ยกกระชับ
    • ดูแลผิว
    • ทำเลเซอร์
  • ผลิตภัณฑ์ดูแลผิว
  • โปรโมชั่น
  • ผลลัพธ์การรักษา
  • วิดีโอรีวิวจากเคสจริง
  • สาขาของเรา
  • ไทย
    • ไทย
    • English
    • 中文 (中国)
  • ปรึกษาแพทย์
Facebook Instagram YouTube