สิวอักเสบหัวหนอง ต้องบีบไหม คำตอบชัด พร้อมวิธีดูแลที่ถูกต้อง
สิวหัวหนองคืออะไร และควรบีบออกเองหรือไม่
สิวหัวหนองคือ สิวอักเสบที่เกิดจากการอุดตันของรูขุมขนจนมีหนองสีขาวสะสมอยู่ภายใน และไม่ควรบีบออกเอง เนื่องจากการบีบสิวจะเพิ่มความเสี่ยงของการเกิดรอยแผลเป็นและรอยดำ ทั้งยังอาจทำให้อาการอักเสบรุนแรงขึ้น สิวบวมและเจ็บกว่าเดิม และอาจทำให้เชื้อแบคทีเรียกระจายไปยังเนื้อเยื่อรอบๆ ได้
โดยทั่วไปแล้ว สิวหัวหนองสามารถหายได้เองภายใน 3-7 วัน การปล่อยให้สิวหายเองหรือใช้ยาแต้มสิวเฉพาะจุดจะช่วยลดโอกาสการเกิดรอยสิวได้ดีที่สุด หากจำเป็นต้องกดออก ควรให้แพทย์หรือผู้เชี่ยวชาญเป็นผู้ดำเนินการเพื่อความปลอดภัยและลดความเสียหายต่อผิวหนัง
ลักษณะของสิวหัวหนองที่สังเกตได้
สิวหัวหนองคือตุ่มแดงอักเสบที่มีหัวหนองสีขาวหรือสีเหลืองปรากฏให้เห็นอย่างชัดเจน สิวชนิดนี้เกิดขึ้นเมื่อตุ่มแดงอักเสบ (papule) ที่เกิดจากรูขุมขนอุดตันมีการสะสมของเซลล์ภูมิคุ้มกันและแบคทีเรียจนกลายเป็นหนอง โดยหัวหนองจะอยู่ใกล้กับผิวชั้นบนสุด และมักพบร่วมกับสิวอักเสบชนิดตุ่มแดงในผู้ที่มีสิวระดับปานกลาง
คำตอบทางการแพทย์: ทำไมถึงไม่ควรบีบสิวเอง
คำตอบทางการแพทย์คือ ไม่ควรบีบสิวเองเพราะ ทำให้อาการอักเสบรุนแรงขึ้น ยืดระยะเวลาการรักษา และเพิ่มความเสี่ยงในการเกิดรอยแผลเป็นถาวร การบีบสิวเองมักทำให้เกิดผลเสียมากกว่าผลดี เนื่องจากเหตุผลดังต่อไปนี้
- ทำให้อาการแย่ลง: การบีบสิวอาจดันเชื้อแบคทีเรียและสิ่งสกปรกลึกลงไปในผิวหนัง ทำให้สิวอักเสบ บวม และเจ็บปวดกว่าเดิม หรืออาจเปลี่ยนสิวอุดตันธรรมดาให้กลายเป็นสิวอักเสบขนาดใหญ่ เช่น สิวหัวช้าง (Nodule) หรือซีสต์ (Cyst)
- เสี่ยงต่อการติดเชื้อ: การใช้มือหรือเล็บบีบสิวที่ไม่สะอาดจะเพิ่มความเสี่ยงให้เกิดการติดเชื้อแบคทีเรียซ้ำซ้อน ซึ่งอาจลุกลามจนกลายเป็นฝีหรือการติดเชื้อที่ผิวหนัง (Cellulitis)
- เกิดรอยแผลเป็นและรอยดำ: การบีบสิวเป็นการทำลายเนื้อเยื่อผิวหนังและคอลลาเจนโดยรอบ ซึ่งเป็นสาเหตุโดยตรงของการเกิดรอยแผลเป็นชนิดหลุม (Atrophic scars) และรอยดำหรือรอยแดงหลังการอักเสบ (Post-inflammatory hyperpigmentation) ที่ต้องใช้เวลานานหลายเดือนในการรักษา
- ทำให้สิวหายช้าลง: ความเชื่อที่ว่าการบีบสิวช่วยให้หายเร็วนั้นไม่เป็นความจริง ในทางกลับกัน การบีบสิวจะสร้างบาดแผลเปิดขึ้นมาใหม่ ทำให้ร่างกายต้องใช้เวลานานขึ้นในการซ่อมแซมผิวหนัง เมื่อเทียบกับการปล่อยให้สิวหายไปเองตามธรรมชาติซึ่งมักใช้เวลาเพียง 3-7 วัน
- ความเสี่ยงในบริเวณ “สามเหลี่ยมอันตราย” (Danger Triangle): แพทย์เตือนว่าการบีบสิวในบริเวณตั้งแต่สันจมูกลงมาจนถึงมุมปากทั้งสองข้างมีความเสี่ยงสูง แม้จะพบได้ยาก แต่การติดเชื้อในบริเวณนี้อาจลุกลามเข้าสู่โพรงไซนัสในสมองและเป็นอันตรายถึงชีวิตได้
หากจำเป็นต้องนำหัวสิวออก ควรให้แพทย์ผิวหนังหรือผู้เชี่ยวชาญเป็นผู้กดสิวให้ เนื่องจากมีความชำนาญในการใช้เครื่องมือที่ปลอดเชื้อและเทคนิคที่ถูกต้อง ซึ่งช่วยลดการบาดเจ็บของผิวและป้องกันการติดเชื้อได้ดีกว่าการทำด้วยตนเอง
ความเสี่ยงของการบีบสิวหัวหนองผิดวิธี: แผลเป็นและหลุมสิว
การติดเชื้อแบคทีเรียที่ลุกลามมากขึ้น
การบีบสิว เพิ่มความเสี่ยงอย่างมากที่จะทำให้เกิดการติดเชื้อแบคทีเรียทุติยภูมิซ้อนทับกับการเป็นสิว การบีบสิวอย่างไม่ถูกวิธีอาจทำให้สิวอักเสบธรรมดากลายเป็นการติดเชื้อที่รุนแรงขึ้น เช่น เซลลูไลติส (cellulitis) หรือฝี ซึ่งอาจมีอาการบวม แดง ร้อน และเจ็บปวดมากขึ้น ในบางกรณี หนองอาจกระจายตัวใต้ผิวหนัง ทำให้เกิดสิวใหม่ๆ หรือฝีในผิวหนัง และอาจต้องใช้ยาปฏิชีวนะในการรักษา
การเกิดรอยดำรอยแดงหลังการอักเสบ
รอยดำรอยแดงหลังการอักเสบ (Post-Inflammatory Hyperpigmentation) มักเป็นผลโดยตรงจากการบาดเจ็บและการอักเสบของผิวหนัง โดยเฉพาะอย่างยิ่งจากการบีบหรือแกะสิว
แพทย์ผิวหนังระบุว่าการรบกวนสิวในทุกรูปแบบสามารถนำไปสู่การเปลี่ยนแปลงของสีผิวที่อาจคงอยู่นานหลายสัปดาห์หรือหลายเดือน ยิ่งผิวหนังเกิดการอักเสบหรือบาดเจ็บมากเท่าไร โอกาสที่จะเกิดรอยดำหรือรอยแดงก็จะยิ่งสูงขึ้นเท่านั้น นอกจากนี้ การสัมผัสกับรังสียูวี (UV) ยังสามารถทำให้รอยดำเหล่านี้เข้มขึ้นและจางลงได้ช้าลง ดังนั้นการทาครีมกันแดดจึงเป็นสิ่งสำคัญในการช่วยให้รอยจางเร็วขึ้น
ความเสี่ยงในการเกิดหลุมสิวถาวร
ความเสี่ยงในการเกิดหลุมสิวถาวรมาจากสิวอักเสบชนิดรุนแรง เช่น สิวหัวช้างและสิวซีสต์ และจะเพิ่มขึ้นอย่างมากจากการแกะ เกา หรือบีบสิว
การบีบสิวจะทำลายคอลลาเจนในผิวหนังชั้นหนังแท้ ซึ่งอาจส่งผลให้เกิดแผลเป็นหลุมสิว (Atrophic Scars) เช่น หลุมจิก (Ice Pick) หรือหลุมกล่อง (Boxcar) ที่คงอยู่ถาวรได้ ในทางกลับกัน สิวหัวหนองตื้นๆ มีความเสี่ยงในการเกิดแผลเป็นน้อยกว่ามากหากปล่อยให้หายเอง เมื่อเนื้อเยื่อแผลเป็นเกิดขึ้นแล้วจะรักษายากมาก ดังนั้นการหลีกเลี่ยงการบีบสิวจึงเป็นสิ่งสำคัญที่สุดในการป้องกันหลุมสิวถาวร
วิธีจัดการสิวหัวหนองอย่างปลอดภัย: 3 แนวทางหลัก
วิธีจัดการสิวหัวหนองอย่างปลอดภัยมี 3 แนวทางหลัก ได้แก่ การใช้ยาทาเฉพาะที่, การใช้แผ่นแปะสิว และการกดสิวโดยผู้เชี่ยวชาญ
- การใช้ยาทาเฉพาะที่ (Spot Treatment): แต้มยาที่มีส่วนผสมของเบนโซอิลเพอร์ออกไซด์ (Benzoyl Peroxide) 2.5% หรือกรดซาลิไซลิก (Salicylic Acid) บริเวณหัวสิวโดยตรง ยาเหล่านี้จะช่วยให้หนองแห้งเร็วขึ้นและลดการอักเสบ
- การใช้แผ่นแปะสิว (Pimple Patch): แผ่นแปะไฮโดรคอลลอยด์ (Hydrocolloid) จะช่วยดูดซับของเหลวและหนองออกจากหัวสิว ทำให้สิวยุบเร็วขึ้น นอกจากนี้ยังช่วยป้องกันแบคทีเรียและการแกะเกา ซึ่งเป็นสาเหตุของรอยแผลเป็น
- การกดสิวโดยผู้เชี่ยวชาญ (Professional Extraction): หากจำเป็นต้องกดสิว ควรทำโดยแพทย์ผิวหนังหรือผู้เชี่ยวชาญที่ได้รับการฝึกฝน พวกเขาจะใช้เครื่องมือที่ผ่านการฆ่าเชื้อและเทคนิคที่ถูกต้องเพื่อลดการบาดเจ็บของผิวหนังและป้องกันการติดเชื้อ ซึ่งปลอดภัยกว่าการกดสิวด้วยตัวเองอย่างมาก
การดูแลเบื้องต้นเมื่อสิวเริ่มสุกที่บ้าน
การดูแลเบื้องต้นเมื่อสิวเริ่มสุกที่บ้านคือการใช้ยาแต้มสิวเฉพาะจุดหรือแผ่นแปะสิว และหลีกเลี่ยงการบีบหรือเค้นสิว สิวที่สุกแล้วจะมีหัวหนองสีขาวหรือเหลืองที่มองเห็นได้ชัดเจนและอยู่ใกล้ผิวชั้นบน ซึ่งเป็นสัญญาณว่าสิวอาจจะแตกออกเองในไม่ช้า
การดูแลที่ปลอดภัยสามารถทำได้ดังนี้:
- ใช้ยาแต้มสิว: ทายาแต้มสิวที่มีส่วนผสมของเบนโซอิลเพอร์ออกไซด์ (benzoyl peroxide) หรือกรดซาลิไซลิก (salicylic acid) เพื่อช่วยให้สิวแห้งและยุบตัวเร็วขึ้น
- ใช้แผ่นแปะสิว: แผ่นแปะไฮโดรคอลลอยด์ (hydrocolloid patch) สามารถช่วยดูดซับของเหลวและหนองออกจากหัวสิว ทำให้สิวยุบเร็วขึ้น และยังช่วยป้องกันการสัมผัสหรือแกะสิว
- ทำความสะอาด: หากสิวแตกเอง ควรล้างบริเวณนั้นเบาๆ ด้วยสบู่อ่อนและน้ำสะอาด แล้วซับให้แห้ง
วิธีที่ดีที่สุดคือการปล่อยให้สิวหายไปเอง ซึ่งจะช่วยลดความเสี่ยงของการอักเสบ รอยดำ และแผลเป็นได้ดีกว่าการบีบสิว
การใช้ผลิตภัณฑ์เฉพาะที่เพื่อลดการอักเสบ
การใช้ผลิตภัณฑ์เฉพาะที่ เช่น เบนโซอิลเพอร์ออกไซด์ (benzoyl peroxide) หรือกรดซาลิไซลิก (salicylic acid) สามารถช่วยลดการอักเสบและทำให้สิวหนองแห้งเร็วขึ้นได้
คุณสามารถแต้มเจลหรือครีมเบนโซอิลเพอร์ออกไซด์ 2.5% วันละ 1-2 ครั้ง เพื่อช่วยให้หนองแห้งและลดรอยแดง หรือใช้ผลิตภัณฑ์แต้มสิวที่มีกรดซาลิไซลิก ซึ่งจะช่วยเร่งการฟื้นฟูของผิว สำหรับผู้ที่เป็นสิวหนองบ่อยครั้ง แพทย์อาจแนะนำยาปฏิชีวนะชนิดทาหรือยาทากลุ่มเรตินอยด์
ข้อควรระวัง: ควรใช้ยาเหล่านี้เฉพาะบริเวณที่เป็นสิวเท่านั้นเพื่อหลีกเลี่ยงไม่ให้ผิวหนังโดยรอบแห้งเกินไป และไม่ควรทาผลิตภัณฑ์มากเกินไปเพราะอาจทำให้เกิดการระคายเคืองได้
การกดสิวโดยผู้เชี่ยวชาญในคลินิก
การกดสิวโดยผู้เชี่ยวชาญ คือขั้นตอนการรักษาสิวที่ทำโดยแพทย์ผิวหนังหรือผู้เชี่ยวชาญที่ได้รับใบอนุญาต โดยใช้เครื่องมือที่ผ่านการฆ่าเชื้อเพื่อนำสิ่งอุดตันในสิวออกอย่างปลอดภัย ซึ่งแตกต่างจากการบีบสิวด้วยตัวเองอย่างสิ้นเชิง
ข้อดีของการกดสิวโดยผู้เชี่ยวชาญ ได้แก่
- ความสะอาดและปลอดเชื้อ: ผู้เชี่ยวชาญจะใช้เครื่องมือที่ผ่านการฆ่าเชื้อและเตรียมผิวในสภาพแวดล้อมที่สะอาด จึงช่วยลดความเสี่ยงในการติดเชื้อได้อย่างมาก
- เทคนิคที่ถูกต้อง: ผู้เชี่ยวชาญมีความรู้ความเข้าใจในการใช้แรงกดและมุมที่เหมาะสม เพื่อนำหัวสิวออกมาโดยไม่ทำให้เนื้อเยื่อรอบข้างบอบช้ำหรือเกิดการแตกของต่อมไขมันใต้ผิวหนัง
- ลดความเสี่ยงของแผลเป็น: การกดสิวอย่างถูกวิธีจะช่วยลดการอักเสบและป้องกันการเกิดรอยแผลเป็นชนิดหลุมหรือรอยดำหลังสิวหาย ซึ่งมักเกิดจากการบีบเค้นสิวด้วยตัวเอง
- การประเมินที่แม่นยำ: ผู้เชี่ยวชาญสามารถประเมินได้ว่าสิวชนิดใดที่พร้อมจะกดออกได้ และสิวชนิดใด (เช่น สิวซีสต์หรือสิวหัวช้างที่อยู่ลึก) ที่ไม่ควรกด แต่ควรใช้วิธีการรักษาอื่นแทน เช่น การฉีดสิว
สัญญาณเตือน: เมื่อไหร่ที่สิวหัวหนองต้องพบแพทย์
ควรไปพบแพทย์เมื่อสิวหัวหนองมีสัญญาณของการติดเชื้อรุนแรง อยู่ในบริเวณ “สามเหลี่ยมอันตราย” บนใบหน้า หรือไม่หายไปเอง สัญญาณเตือนที่บ่งชี้ว่าควรขอความช่วยเหลือจากแพทย์ ได้แก่
- การติดเชื้อรุนแรง: สิวมีอาการปวดมาก บวมแดงและขยายวงกว้างขึ้น รู้สึกอุ่นเมื่อสัมผัส หรือมีไข้ร่วมด้วย
- ตำแหน่งที่เป็นอันตราย: สิวที่ขึ้นในบริเวณ “สามเหลี่ยมอันตราย” (Danger Triangle) ซึ่งคือพื้นที่จากมุมปากไปจนถึงสันจมูก เนื่องจากมีความเสี่ยงที่เชื้อโรคจะแพร่กระจายไปยังสมองได้
- สิวที่ไม่หาย: สิวเม็ดนั้นไม่ดีขึ้นหรือไม่หายไปหลังจากผ่านไปหลายสัปดาห์ หรือสิวที่กลับมาขึ้นซ้ำที่เดิมตลอด อาจเป็นสัญญาณของซีสต์ใต้ผิวหนัง
- สิวเรื้อรังหรือทิ้งรอย: หากสิวขึ้นต่อเนื่อง เป็นรุนแรงขึ้นเรื่อยๆ หรือมักจะทิ้งรอยดำและหลุมสิวไว้เสมอ ควรปรึกษาแพทย์เพื่อป้องกันความเสียหายถาวรต่อผิว
- ผู้ที่มีภูมิคุ้มกันบกพร่อง: หากมีระบบภูมิคุ้มกันที่อ่อนแอ ควรไปพบแพทย์ตั้งแต่เนิ่นๆ เมื่อมีสิวอักเสบที่เป็นหนองและเจ็บปวด เพื่อป้องกันภาวะแทรกซ้อนที่รุนแรง
ก่อนตัดสินใจ: ปัจจัยสำคัญในการดูแลสิวอักเสบ
การประเมินลักษณะสิว: สุก บวม หรืออักเสบลึก
การประเมินลักษณะสิวสามารถทำได้โดยดูว่าสิวมีหัวหนองสีขาวที่มองเห็นได้ชัดเจน (สิวสุก), เป็นตุ่มแดงบวมที่ไม่มีหัว (สิวอักเสบ), หรือเป็นก้อนแข็งเจ็บใต้ผิวหนัง (สิวอักเสบลึก) การแยกแยะลักษณะสิวเป็นสิ่งสำคัญเพื่อเลือกวิธีจัดการที่ถูกต้องและหลีกเลี่ยงการเกิดรอยแผลเป็น
- สิวสุก (Pustule): คือสิวที่มีหัวหนองสีขาวหรือสีเหลืองเกิดขึ้นบริเวณผิวชั้นบนอย่างชัดเจน ซึ่งเป็นสัญญาณว่าสิวอาจจะแตกออกเองในไม่ช้า สิวประเภทนี้เหมาะกับการใช้ยาแต้มสิวหรือแผ่นแปะสิวเพื่อช่วยดูดซับของเหลวและลดการอักเสบ
- สิวอักเสบ (Papule/Swollen Pimple): คือตุ่มแดงที่ยังไม่มีหัวหนองให้เห็น การพยายามบีบหรือเค้นสิวประเภทนี้จะยิ่งทำให้สิวบวม แดง และเจ็บมากขึ้น อีกทั้งยังเสี่ยงต่อการอักเสบลุกลาม
- สิวอักเสบลึก (Nodule/Cyst): คือก้อนไตแข็งที่เจ็บและอยู่ลึกใต้ผิวหนัง โดยจะไม่มีหัวหนองปรากฏให้เห็น สิวประเภทนี้มีความเสี่ยงสูงที่จะทิ้งรอยแผลเป็นถาวร จึงไม่ควรพยายามบีบอย่างเด็ดขาด และควรให้แพทย์เป็นผู้ดูแลรักษา เช่น การฉีดสเตียรอยด์เพื่อลดการอักเสบ
การป้องกันการเกิดสิวหัวหนองซ้ำ
การป้องกันการเกิดสิวหัวหนองซ้ำสามารถทำได้โดยการจัดการปัจจัยที่ทำให้รูขุมขนอุดตันและเกิดการอักเสบ ซึ่งทำได้โดยการดูแลผิวอย่างสม่ำเสมอเพื่อหยุดยั้งการเกิดสิวตั้งแต่ระยะเริ่มต้น
แนวทางการป้องกันมีดังนี้:
- ใช้ผลิตภัณฑ์ที่ช่วยผลัดเซลล์ผิว: ใช้ผลิตภัณฑ์ที่มีส่วนผสมของกรดซาลิไซลิกหรือเรตินอยด์ เพื่อช่วยให้รูขุมขนสะอาดและไม่อุดตัน
- ลดแบคทีเรีย: ใช้เบนโซอิลเพอร์ออกไซด์เพื่อลดปริมาณแบคทีเรียที่ก่อให้เกิดสิว
- ควบคุมความมัน: เลือกใช้ผลิตภัณฑ์ที่เหมาะสมเพื่อควบคุมความมันบนใบหน้า
- ดูแลผิวอย่างอ่อนโยน: ใช้ผลิตภัณฑ์ดูแลผิวที่อ่อนโยนและหลีกเลี่ยงเครื่องสำอางที่อุดตันรูขุมขน โดยเลือกใช้ผลิตภัณฑ์ที่ระบุว่า “non-comedogenic” (ไม่ก่อให้เกิดการอุดตัน)
- ปรับพฤติกรรม: หลีกเลี่ยงการสัมผัสใบหน้าบ่อยๆ และเปลี่ยนปลอกหมอนเป็นประจำ
- ปรึกษาแพทย์: หากสิวเกี่ยวข้องกับฮอร์โมน ควรปรึกษาแพทย์เพื่อหาแนวทางแก้ไขที่เหมาะสม
ความแตกต่างระหว่างการกดสิวและการฉีดสิวโดยแพทย์
การกดสิวโดยแพทย์เป็นการใช้เครื่องมือที่ปลอดเชื้อเพื่อนำหนองหรือสิ่งอุดตันออกจากสิว ในขณะที่การฉีดสิวเป็นการฉีดตัวยาสเตียรอยด์เข้าไปในสิวโดยตรงเพื่อลดการอักเสบ
การรักษาทั้งสองวิธีนี้ใช้สำหรับสิวคนละประเภทกัน:
- การกดสิว (Extraction): เหมาะสำหรับสิวที่อยู่ตื้นๆ เช่น สิวหัวขาว สิวหัวดำ หรือสิวหนองที่มีหัวหนองชัดเจน แพทย์จะใช้เครื่องมือที่ผ่านการฆ่าเชื้อ เช่น ที่กดสิวหรือเข็ม เพื่อเปิดหัวสิวและนำสิ่งอุดตันออกอย่างถูกวิธี ซึ่งช่วยลดการบาดเจ็บของผิวและลดความเสี่ยงในการติดเชื้อเมื่อเทียบกับการบีบสิวเอง
- การฉีดสิว (Cortisone Injection): เหมาะสำหรับสิวอักเสบขนาดใหญ่ที่อยู่ลึกใต้ผิวหนัง เช่น สิวซีสต์หรือสิวหัวช้างที่ไม่มีหัวหนองให้กดออก การฉีดสเตียรอยด์จะช่วยลดการอักเสบ ความเจ็บปวด และทำให้สิวยุบลงอย่างรวดเร็วภายใน 1-2 วัน ซึ่งช่วยลดความเสี่ยงของการเกิดแผลเป็นได้อย่างมาก
ข้อผิดพลาดที่พบบ่อยในการรักษาสิวหัวหนองด้วยตัวเอง
ข้อผิดพลาดที่พบบ่อยและร้ายแรงที่สุดคือการบีบหรือเค้นสิว ซึ่งมักจะทำให้อาการแย่ลงและยืดระยะเวลาการรักษา แทนที่จะช่วยให้สิวหายเร็วขึ้น
ข้อผิดพลาดอื่นๆ ในการดูแลสิวหัวหนองด้วยตัวเอง ได้แก่:
- การใช้ผลิตภัณฑ์ที่รุนแรงเกินไป: การใช้สครับขัดผิวที่หยาบหรือผลิตภัณฑ์ที่ทำให้ผิวแห้งตึง สามารถสร้างความระคายเคืองและกระตุ้นให้การอักเสบแย่ลง
- การล้างหน้าบ่อยเกินไป: การล้างหน้ามากกว่าวันละสองครั้งอาจทำลายเกราะป้องกันผิวและทำให้เกิดการระคายเคือง
- การพยายามบีบสิวที่ยังไม่สุก: ไม่ควรพยายามบีบสิวที่อยู่ลึกใต้ผิวหนังและยังไม่มีหัวหนองที่มองเห็นได้ชัดเจน เพราะจะยิ่งทำให้อาการแย่ลงและเสี่ยงต่อการเกิดแผลเป็น
- การแกะสะเก็ดแผล: การแกะสะเก็ดแผลหลังจากสิวแตกหรือถูกบีบจะทำให้แผลเปิดใหม่และเพิ่มโอกาสการเกิดรอยดำหรือแผลเป็นได้
คำถามที่พบบ่อยเกี่ยวกับสิวอักเสบหัวหนอง
สิวหัวหนองหายเองได้ไหมถ้าไม่บีบ
ได้ สิวหัวหนองส่วนใหญ่สามารถหายและยุบไปได้เองหากไม่ไปบีบหรือแกะ โดยทั่วไป สิวจะเริ่มยุบและแห้งลงภายในเวลาประมาณ 3 ถึง 7 วัน การปล่อยให้สิวหายเองยังช่วยลดโอกาสการเกิดรอยแผลเป็นหรือรอยดำในระยะยาวได้อีกด้วย
ใช้แผ่นแปะสิวกับสิวหัวหนองได้หรือไม่
ได้ แผ่นแปะสิวมีประโยชน์อย่างยิ่งสำหรับสิวหัวหนอง เนื่องจากแผ่นแปะซึ่งมักทำจากไฮโดรคอลลอยด์ (hydrocolloid) จะช่วยดูดซับของเหลว เช่น หนองและน้ำมันออกจากสิว ซึ่งช่วยให้สิวยุบตัวเร็วขึ้น
แผ่นแปะสิวทำงานได้ดีที่สุดกับสิวที่อยู่บนผิวชั้นบน เช่น สิวหัวหนอง หรือสิวที่เพิ่งแตก นอกจากนี้ยังช่วยป้องกันไม่ให้เราสัมผัสหรือแกะสิว ซึ่งช่วยให้สิวหายเร็วขึ้นและสะอาดกว่าเดิม อย่างไรก็ตาม แผ่นแปะสิวจะไม่มีประสิทธิภาพสำหรับสิวที่อยู่ลึกลงไปใต้ผิวหนัง เช่น สิวอุดตันหรือสิวซีสต์
สิวหัวหนองแบบไหนที่ควรพบแพทย์ทันที
ควรพบแพทย์ทันทีหาก สิวหัวหนองมีสัญญาณของการติดเชื้อรุนแรง หรือขึ้นในบริเวณที่อันตราย
สัญญาณเตือนที่บ่งบอกว่าควรไปพบแพทย์โดยด่วน ได้แก่:
- สิวมีอาการปวด บวม แดง และร้อนอย่างรุนแรง
- มีรอยแดงเป็นเส้นลากออกจากสิว หรือบริเวณที่แดงขยายวงกว้างขึ้น
- สิวขึ้นในบริเวณ “สามเหลี่ยมอันตราย” (ตั้งแต่สันจมูกไปจนถึงมุมปาก) และมีอาการแย่ลงหรือเจ็บปวดมาก
- สิวอยู่ใกล้ดวงตาและทำให้เกิดอาการบวม
- ผู้ที่มีระบบภูมิคุ้มกันบกพร่องควรพบแพทย์ตั้งแต่เนิ่นๆ หากมีสิวที่เป็นหนองและเจ็บปวด
บีบสิวหัวหนองแล้วควรดูแลแผลอย่างไร
ควรทายาฆ่าเชื้อเพื่อป้องกันการติดเชื้อ จากนั้นปิดแผลให้สะอาด และทาครีมกันแดดเพื่อป้องกันรอยดำ การดูแลแผลหลังจากบีบสิวหัวหนองอย่างถูกวิธีจะช่วยลดโอกาสการเกิดแผลเป็นและรอยสิวได้
ขั้นตอนการดูแลแผล มีดังนี้:
- ทายาฆ่าเชื้อ: ทายาปฏิชีวนะชนิดขี้ผึ้ง (เช่น Bacitracin) หรือเจลเบนโซอิลเพอร์ออกไซด์ 2.5% บางๆ บริเวณแผลเปิดเพื่อฆ่าเชื้อและช่วยให้แผลแห้ง
- ปิดแผล: ใช้แผ่นแปะสิวไฮโดรคอลลอยด์หรือพลาสเตอร์ปิดแผล เพื่อรักษาความสะอาด ป้องกันการสัมผัส และช่วยดูดซับของเหลวที่เหลืออยู่
- อย่าแกะสะเก็ด: ปล่อยให้สะเก็ดแผลหลุดออกไปเองตามธรรมชาติ การแกะสะเก็ดจะทำให้แผลหายช้าลงและเสี่ยงต่อการเกิดรอยดำหรือแผลเป็นมากขึ้น
- ทาครีมกันแดด: เมื่อแผลเริ่มแห้ง ควรทาครีมกันแดด (SPF 30 ขึ้นไป) ทุกวัน เพื่อป้องกันไม่ให้รังสียูวีทำให้รอยแดงหรือรอยดำเข้มขึ้นและจางช้าลง
สิวหัวหนองใช้เวลากี่วันถึงจะยุบหรือหายไป
โดยทั่วไปแล้ว สิวหัวหนองจะเริ่มยุบและแห้งไปเองภายในเวลาประมาณ 3 ถึง 7 วัน หากไม่ไปบีบหรือแกะ
เมื่อปล่อยให้สิวหัวหนองหายเองตามธรรมชาติ เซลล์เม็ดเลือดขาวในหนองจะสลายไป อาการบวมจะลดลง และสิวจะค่อยๆ ตกสะเก็ดหรือระบายหนองออกเล็กน้อยแล้วจึงหายไป การบีบสิวอาจทำให้กระบวนการหายช้าลงและทิ้งรอยไว้นานกว่าเดิม หากสิวมีขนาดใหญ่มาก เจ็บปวด หรือไม่ดีขึ้นหลังจากผ่านไปหนึ่งสัปดาห์ ควรไปพบแพทย์
การกดสิวโดยผู้เชี่ยวชาญต่างจากการบีบเองอย่างไร
การกดสิวโดยผู้เชี่ยวชาญแตกต่างจากการบีบเองที่บ้านในด้านเทคนิคและความสะอาดปลอดเชื้อ ซึ่งทำให้ปลอดภัยกว่าและสร้างความเสียหายต่อผิวน้อยกว่ามาก
ความแตกต่างที่สำคัญมีดังนี้
- ผู้เชี่ยวชาญ (เช่น แพทย์ผิวหนัง):
- ความสะอาด: ใช้เครื่องมือที่ผ่านการฆ่าเชื้อและเตรียมผิวอย่างเหมาะสมเพื่อลดความเสี่ยงในการติดเชื้อ
- เทคนิค: ใช้เทคนิคที่ถูกต้องในการออกแรงกดเพื่อนำสิ่งอุดตันออกมาโดยไม่ทำลายเนื้อเยื่อรอบข้าง ซึ่งช่วยลดการอักเสบและป้องกันการเกิดแผลเป็น
- การประเมิน: สามารถประเมินได้ว่าสิวชนิดใดพร้อมที่จะกดออก และมีทางเลือกอื่นสำหรับสิวที่ยังไม่ควรไปยุ่ง เช่น การฉีดสิว
- การบีบเอง:
- ความเสี่ยงติดเชื้อ: มักใช้นิ้วมือซึ่งอาจนำแบคทีเรียเข้าสู่ผิวหนัง
- การบาดเจ็บ: แรงกดที่ไม่ถูกวิธีมักทำให้รูขุมขนแตกใต้ผิวหนัง ส่งผลให้การอักเสบลุกลามและรุนแรงขึ้น
- แผลเป็น: เพิ่มความเสี่ยงสูงในการเกิดแผลเป็นรอยหลุมหรือรอยดำหลังสิวหาย และทำให้สิวหายช้าลง
References:
- American Academy of Dermatology. (n.d.). How to Treat Different Types of Acne. AAD. aad.org
- Cleveland Clinic. (n.d.). Should You Pop That Pimple? Cleveland Clinic Health Library. clevelandclinic.org
- National Institutes of Health. (n.d.). Acne Treatment Guidelines. NIH. nih.gov
- Medical News Today. (n.d.). Popping Pimples: Why You Shouldn’t Do It. medicalnewstoday.com
- Verywell Health. (n.d.). How to Safely Extract a Pimple. verywellhealth.com
- UPMC. (n.d.). Pimple Popping: When to See a Dermatologist. University of Pittsburgh Medical Center. upmc.com
- Northwestern Medicine. (n.d.). The Truth About Popping Pimples. nm.org

