สิวขึ้นระหว่างคิ้วบ่อย เกิดจากอะไร? วิธีดูแลและลดการอุดตัน
สาเหตุหลักที่ทำให้สิวขึ้นระหว่างคิ้วซ้ำๆ
ปัจจัยภายใน: ฮอร์โมน ความเครียด และการทำงานของร่างกาย
ความเครียด พันธุกรรม อาหาร และการพักผ่อนไม่เพียงพอ เป็นปัจจัยภายในหลักที่ทำให้เกิดสิวระหว่างคิ้ว
ปัจจัยเหล่านี้ส่งผลต่อการทำงานของร่างกายและกระตุ้นให้เกิดสิวได้ ดังนี้
- ความเครียด: ทำให้ระดับฮอร์โมนคอร์ติซอลสูงขึ้น ซึ่งไปกระตุ้นต่อมไขมันให้ผลิตน้ำมันมากขึ้นและเพิ่มการอักเสบ
- พันธุกรรม: มีส่วนสำคัญอย่างมาก โดยอาจเป็นสาเหตุของความแปรปรวนในการเกิดสิวได้ถึง 80%
- อาหาร: อาหารที่มีน้ำตาลสูงและผลิตภัณฑ์นมบางชนิดมีความเชื่อมโยงกับการเกิดสิวที่รุนแรงขึ้น
- การนอนหลับไม่เพียงพอ: สามารถรบกวนการทำงานของร่างกาย ทำให้การฟื้นตัวของผิวแย่ลง และเพิ่มความมันบริเวณทีโซนได้
ปัจจัยภายนอก: การอุดตันจากเครื่องสำอางและผลิตภัณฑ์เส้นผม
เครื่องสำอางและผลิตภัณฑ์จัดแต่งทรงผมที่อุดตันรูขุมขนเป็นปัจจัยภายนอกที่สำคัญที่ทำให้เกิดสิวระหว่างคิ้ว
ผลิตภัณฑ์เหล่านี้สามารถทำให้เกิดการอุดตันได้จากสาเหตุต่อไปนี้:
- เครื่องสำอางสำหรับคิ้ว: ดินสอเขียนคิ้วเนื้อหนัก เจล หรือครีมที่ไม่ได้ระบุว่า “non-comedogenic” (ไม่ก่อให้เกิดการอุดตัน) สามารถทิ้งคราบไขและน้ำมันไว้บนผิวหนัง ทำให้รูขุมขนอุดตัน
- ผลิตภัณฑ์จัดแต่งทรงผม: โพเมดหรือแว็กซ์ที่ใช้กับเส้นผมสามารถไหลซึมมาที่หน้าผากและคิ้ว ก่อให้เกิดสิวที่เรียกว่า “สิวจากโพเมด” (pomade acne)
- ทรงผม: การไว้ผมหน้าม้าที่สัมผัสบริเวณคิ้วตลอดเวลา สามารถถ่ายเทน้ำมันจากหนังศีรษะและสารเคมีจากผลิตภัณฑ์จัดแต่งทรงผมมาสู่ผิวหนัง ทำให้เกิดสิวได้ง่ายขึ้น
พฤติกรรมการใช้ชีวิต: อาหาร การพักผ่อน และการสัมผัสใบหน้า
พฤติกรรมการใช้ชีวิต เช่น อาหาร การพักผ่อน และการสัมผัสใบหน้า ล้วนส่งผลต่อการเกิดสิวระหว่างคิ้วได้โดยตรง โดยปัจจัยเหล่านี้ส่งผลกระทบต่อผิวหนัง ดังนี้
- อาหาร: อาหารที่มีค่าดัชนีน้ำตาลสูง (High-glycemic) และผลิตภัณฑ์นมบางชนิด (เช่น นมพร่องมันเนย) มีความเชื่อมโยงกับการเกิดสิวที่รุนแรงขึ้น
- การพักผ่อนและความเครียด: การพักผ่อนไม่เพียงพอและความเครียดเรื้อรังจะเพิ่มระดับฮอร์โมนคอร์ติซอล ซึ่งกระตุ้นให้ต่อมไขมันผลิตน้ำมันมากขึ้นและเพิ่มการอักเสบ ทำให้สิวแย่ลง
- การสัมผัสใบหน้า: การสัมผัส ลูบ หรือเท้าคางบริเวณหน้าผากและคิ้วบ่อยๆ จะเป็นการถ่ายเทน้ำมันและแบคทีเรียจากมือไปยังผิวหน้า ซึ่งสามารถทำให้รูขุมขนที่อุดตันอยู่แล้วเกิดการอักเสบได้
ประเภทของสิวที่พบบ่อยบริเวณระหว่างคิ้ว
สิวอุดตัน: สิวหัวดำและสิวไม่มีหัว (สิวหัวขาว)
สิวอุดตันคือ สิวชนิดที่ไม่เกิดการอักเสบ ซึ่งเกิดจากการที่รูขุมขนอุดตันด้วยน้ำมันและเซลล์ผิวที่ตายแล้ว โดยทั่วไปถือเป็นสิวที่ไม่รุนแรงและมักไม่มีอาการเจ็บหรือแดง แบ่งออกเป็น 2 ประเภทหลัก ได้แก่
- สิวหัวขาว (Closed Comedones): เกิดจากรูขุมขนที่อุดตันและถูกปิดทับด้วยผิวหนัง ทำให้มองเห็นเป็นตุ่มนูนเล็กๆ สีขาวหรือสีเดียวกับผิว
- สิวหัวดำ (Open Comedones): เกิดจากรูขุมขนที่อุดตันแต่ปากรูขุมขนเปิดออก เมื่อสิ่งที่อุดตันสัมผัสกับอากาศจึงเกิดปฏิกิริยาออกซิเดชันและเปลี่ยนเป็นสีดำ
สิวอักเสบ: สิวตุ่มแดง สิวหัวหนอง และสิวชนิดเจ็บ
สิวอักเสบคือสิวที่เกิดจากการอักเสบของรูขุมขนที่อุดตัน ซึ่งแบ่งได้เป็น สิวตุ่มแดง (Papules) สิวหัวหนอง (Pustules) และสิวชนิดเจ็บ (Nodules and Cysts) ซึ่งมีความรุนแรงแตกต่างกันไป
- สิวตุ่มแดง (Papules): เป็นตุ่มแดงบวมที่เกิดจากการอักเสบของรูขุมขน แต่จะยังไม่มีหัวหนองให้เห็น
- สิวหัวหนอง (Pustules): มีลักษณะคล้ายสิวตุ่มแดง แต่จะมีหนองสีขาวหรือสีเหลืองอยู่ตรงกลาง และมีฐานเป็นสีแดง
- สิวชนิดเจ็บ (Nodules and Cysts): เป็นสิวอักเสบชนิดรุนแรงที่อยู่ลึกลงไปใต้ผิวหนัง โดยสิวแบบก้อนแข็ง (Nodule) จะเป็นก้อนแข็งขนาดใหญ่และเจ็บปวด ส่วนสิวซีสต์ (Cyst) จะเป็นถุงหนองขนาดใหญ่อยู่ใต้ผิวหนัง ซึ่งทั้งสองชนิดนี้มีความเสี่ยงสูงที่จะทิ้งรอยแผลเป็นไว้
วิธีดูแลและป้องกันสิวระหว่างคิ้วด้วยตัวเองเบื้องต้น
การดูแลและป้องกันสิวระหว่างคิ้วด้วยตัวเองเบื้องต้นสามารถทำได้โดย การรักษาความสะอาดบนใบหน้า, เลือกใช้ผลิตภัณฑ์ที่เหมาะสม, ระมัดระวังในการกำจัดขนคิ้ว, และดูแลความสะอาดของเส้นผมและสิ่งของที่สัมผัสใบหน้า
- รักษาความสะอาดอย่างถูกวิธี: ล้างหน้าอย่างอ่อนโยนวันละ 2 ครั้งและหลังมีเหงื่อออก โดยเน้นบริเวณทีโซนและระหว่างคิ้ว ควรเช็ดเครื่องสำอาง (โดยเฉพาะผลิตภัณฑ์เขียนคิ้ว) ออกให้หมดจดก่อนนอนเสมอ
- เลือกใช้ผลิตภัณฑ์ดูแลผิวที่เหมาะสม: มองหาผลิตภัณฑ์ที่มีฉลากว่า “non-comedogenic” (ไม่ก่อให้เกิดการอุดตัน) และหลีกเลี่ยงผลิตภัณฑ์ที่มีส่วนผสมที่อาจก่อให้เกิดการระคายเคือง เช่น แอลกอฮอล์หรือน้ำหอมรุนแรง อาจพิจารณาใช้ผลิตภัณฑ์ที่มีส่วนผสมของกรดซาลิไซลิก (Salicylic Acid) เพื่อช่วยผลัดเซลล์ผิวและลดการอุดตัน
- ดูแลสุขอนามัยในการกำจัดขนคิ้ว: ก่อนและหลังการกำจัดขนคิ้ว (เช่น แว็กซ์, กันคิ้ว) ควรทำความสะอาดผิวบริเวณนั้นเพื่อลดการสะสมของแบคทีเรีย และปลอบประโลมผิวด้วยผลิตภัณฑ์ที่อ่อนโยน เช่น เจลว่านหางจระเข้
- หลีกเลี่ยงการสัมผัสและระคายเคือง: ดูแลความสะอาดของสิ่งของที่สัมผัสกับหน้าผากและคิ้วเป็นประจำ เช่น เช็ดแว่นตา, ซักหมวกหรือผ้าคาดผม และพยายามอย่าให้ผมหน้าม้าหรือผลิตภัณฑ์จัดแต่งทรงผมที่เหนียวเหนอะหนะสัมผัสกับผิวบริเวณคิ้ว
การทำความสะอาดผิวเพื่อลดการสะสมของสิ่งสกปรก
การทำความสะอาดผิวเพื่อลดการสะสมของสิ่งสกปรกคือการล้างหน้าอย่างอ่อนโยนวันละสองครั้ง โดยเฉพาะหลังการออกกำลังกายหรือกิจกรรมที่ทำให้เหงื่อออก และต้องเช็ดเครื่องสำอางออกให้หมดก่อนนอนเสมอ
เพื่อประสิทธิภาพสูงสุด ควรปฏิบัติดังนี้:
- ล้างหน้าอย่างนุ่มนวล: ใช้ปลายนิ้วทำความสะอาดผิวแทนการใช้ผ้าหรือแปรงขัดผิวที่รุนแรง เพื่อหลีกเลี่ยงการระคายเคือง
- ล้างหน้าหลังเหงื่อออก: ควรล้างหน้าทันทีหลังจากออกกำลังกายหรือสวมหมวก เพื่อกำจัดเหงื่อและแบคทีเรีย
- เช็ดเครื่องสำอางทุกครั้ง: การทิ้งเครื่องสำอางไว้ข้ามคืน โดยเฉพาะบริเวณคิ้ว สามารถอุดตันรูขุมขนได้ สำหรับเครื่องสำอางที่ติดทนหรือกันน้ำ อาจใช้วิธีล้างหน้าแบบสองขั้นตอน (Double Cleansing) คือใช้คลีนเซอร์แบบน้ำมันก่อนแล้วตามด้วยคลีนเซอร์แบบน้ำ
การเลือกใช้สกินแคร์ที่เหมาะสมกับปัญหาสิวอุดตัน
ควรเลือกใช้ผลิตภัณฑ์ที่ไม่ก่อให้เกิดการอุดตัน (non-comedogenic) และมีส่วนผสมที่ช่วยผลัดเซลล์ผิวและทำความสะอาดรูขุมขน สกินแคร์ที่เหมาะสมสำหรับสิวอุดตันควรเน้นการป้องกันการอุดตันมากกว่าการฆ่าเชื้อแบคทีเรีย
- ส่วนผสมที่ช่วยเคลียร์รูขุมขน:
- กรดซาลิไซลิก (Salicylic Acid): เป็นกรด BHA ที่สามารถซึมเข้าไปในรูขุมขนเพื่อสลายเซลล์ผิวที่ตายแล้วและน้ำมันส่วนเกิน
- เรตินอยด์ (Retinoids): ช่วยปรับการผลัดเซลล์ผิวให้เป็นปกติเพื่อป้องกันการอุดตัน
- คุณสมบัติของผลิตภัณฑ์:
- มองหาฉลาก “Non-Comedogenic” ซึ่งหมายความว่าผลิตภัณฑ์ถูกออกแบบมาไม่ให้อุดตันรูขุมขน
- หลีกเลี่ยงผลิตภัณฑ์ที่มีเนื้อหนัก เช่น ครีมเนื้อข้น หรือโพเมด
- หลีกเลี่ยงส่วนผสมที่อาจก่อให้เกิดการระคายเคือง เช่น สครับที่หยาบ แอลกอฮอล์ หรือน้ำหอม
เทคนิคการกันคิ้วและแต่งหน้าที่ไม่กระตุ้นให้เกิดสิว
เทคนิคการกันคิ้วและแต่งหน้าที่ไม่กระตุ้นสิวคือการเลือกใช้ผลิตภัณฑ์ที่ไม่ก่อให้เกิดการอุดตัน (non-comedogenic) และให้ความสำคัญกับความสะอาดอย่างเคร่งครัด เพื่อลดการอักเสบและการสะสมของแบคทีเรีย
เทคนิคที่แนะนำมีดังนี้
- การกันคิ้ว:
- ทำความสะอาด: ทำความสะอาดผิวบริเวณคิ้วทั้งก่อนและหลังการกำจัดขนด้วยแว็กซ์หรือการถอน เพื่อลดเชื้อแบคทีเรีย
- ปลอบประโลมผิว: หลังกำจัดขน ควรใช้ผลิตภัณฑ์ที่ช่วยปลอบประโลมผิว เช่น เจลว่านหางจระเข้ที่ปราศจากน้ำหอม และหลีกเลี่ยงการใช้ผลิตภัณฑ์เนื้อหนักทันที
- พิจารณาวิธีที่อ่อนโยนกว่า: หากการแว็กซ์ทำให้เกิดสิวเป็นประจำ อาจลองเปลี่ยนไปใช้วิธีที่ระคายเคืองน้อยกว่า เช่น การชูการ์ริ่ง (sugaring)
- การแต่งหน้า:
- เลือกผลิตภัณฑ์: ใช้ดินสอเขียนคิ้ว เจล หรือครีมที่มีฉลากว่า “non-comedogenic” เพื่อป้องกันการอุดตันของรูขุมขน
- ล้างเครื่องสำอางให้หมดจด: ต้องล้างเครื่องสำอางบริเวณคิ้วออกให้สะอาดทุกคืนก่อนนอน โดยอาจใช้คลีนเซอร์สำหรับเช็ดเครื่องสำอางก่อนแล้วตามด้วยโฟมล้างหน้า
- รักษาความสะอาดของอุปกรณ์: เหลาดินสอเขียนคิ้วเป็นประจำและไม่ใช้เครื่องสำอางร่วมกับผู้อื่นเพื่อป้องกันการปนเปื้อนของแบคทีเรีย
- ระวังผลิตภัณฑ์จัดแต่งทรง: หากใช้เจลหรือสเปรย์เพื่อจัดแต่งทรงคิ้ว ควรระวังไม่ให้สัมผัสกับผิวหนังโดยรอบ ให้ใช้เฉพาะบนเส้นขนคิ้วเท่านั้น
เมื่อไหร่ที่ควรพบแพทย์ และแนวทางการรักษาโดยผู้เชี่ยวชาญ
สัญญาณเตือนว่าสิวรุนแรงและควรปรึกษาแพทย์
สัญญาณเตือนว่าสิวรุนแรงและควรปรึกษาแพทย์ ได้แก่ การมีสิวอักเสบขนาดใหญ่ เจ็บลึกใต้ผิวหนัง การเกิดรอยแผลเป็นหรือรอยดำ และการที่สิวไม่ดีขึ้นหลังใช้ยาทาเองเป็นเวลา 2-3 เดือน
คุณควรไปพบแพทย์ผิวหนังหากมีอาการดังต่อไปนี้:
- สิวอักเสบรุนแรง: มีสิวขนาดใหญ่ เจ็บปวด เป็นไตแข็งอยู่ใต้ผิวหนัง (Nodules) หรือเป็นถุงหนอง (Cysts)
- เกิดรอยแผลเป็น: สิวเริ่มทิ้งรอยหลุมหรือรอยดำที่จางยาก
- การรักษาเบื้องต้นไม่ได้ผล: ใช้ผลิตภัณฑ์รักษาสิวที่หาซื้อได้เองอย่างสม่ำเสมอแล้ว 2-3 เดือน แต่อาการไม่ดีขึ้น
- ส่งผลกระทบต่อจิตใจ: สิวทำให้เกิดความเครียด วิตกกังวล หรือสูญเสียความมั่นใจอย่างมาก
ตัวอย่างการรักษาโดยแพทย์: การใช้ยาและหัตถการทางการแพทย์
การรักษาโดยแพทย์สำหรับสิวระหว่างคิ้วมีทั้งการใช้ยาและหัตถการทางการแพทย์ ซึ่งแพทย์ผิวหนังจะเลือกใช้ตามความรุนแรงและลักษณะของสิว
ตัวอย่างการรักษาโดยแพทย์ ได้แก่
- การใช้ยา:
- ยาทา: เช่น ยาทากลุ่มเรตินอยด์, เบนโซอิลเพอร์ออกไซด์, ยาปฏิชีวนะชนิดทา, ยาแดพโซน และกรดอะซีลาอิก
- ยารับประทาน: เช่น ยาปฏิชีวนะ, การรักษาด้วยฮอร์โมน (ยาคุมกำเนิดหรือสไปโรโนแลคโตน), และยาไอโซเตรติโนอินสำหรับกรณีที่รุนแรง
- หัตถการทางการแพทย์:
- การฉีดคอร์ติโคสเตียรอยด์: เพื่อลดการอักเสบของสิวซีสต์ขนาดใหญ่ได้อย่างรวดเร็ว
- การกดสิว: เพื่อระบายสิวอุดตันหรือสิวหนองออกอย่างถูกวิธีและสะอาด
- การผลัดเซลล์ผิวด้วยสารเคมี (Chemical peels): เพื่อช่วยผลัดเซลล์ผิวและลดการอุดตัน
- การบำบัดด้วยแสงหรือเลเซอร์: เพื่อฆ่าเชื้อแบคทีเรียและลดการอักเสบ
ข้อควรรู้เพิ่มเติมก่อนตัดสินใจรักษาสิวระหว่างคิ้ว
การแยกสิวจากภาวะอื่น เช่น รูขุมขนอักเสบ
สิวสามารถแยกได้จากรูขุมขนอักเสบ (Folliculitis) โดยสังเกตจากลักษณะและตำแหน่งของตุ่มที่เกิดขึ้น ซึ่งมีความแตกต่างที่สำคัญดังนี้
- รูขุมขนอักเสบ (Folliculitis): ตุ่มมักจะมีขนาดเล็ก แต่ละตุ่มจะอยู่ตรงกลางรูเส้นขน อาจมีอาการคันหรือเจ็บเล็กน้อย และมักเกิดขึ้นเฉพาะบริเวณที่มีขนคิ้วเท่านั้น สาเหตุอาจเกิดจากแบคทีเรียหลังการแว็กซ์ หรือขนคุด
- สิว (Acne): เกี่ยวข้องกับการอุดตันของรูขุมขนโดยทั่วไป และมักจะเกิดขึ้นพร้อมกับสิวในบริเวณใกล้เคียง เช่น หน้าผากหรือจมูก (T-zone)
การแยกภาวะเหล่านี้มีความสำคัญเนื่องจากการรักษาอาจแตกต่างกัน หากไม่แน่ใจหรืออาการไม่ดีขึ้น ควรปรึกษาแพทย์ผิวหนังเพื่อการวินิจฉัยที่ถูกต้อง
ระยะเวลาเห็นผลของการรักษาแต่ละวิธี
โดยทั่วไปควรให้เวลาการรักษาสิววิธีใหม่ๆ ประมาณ 6-8 สัปดาห์ เพื่อประเมินว่าได้ผลหรือไม่ แพทย์ผิวหนังแนะนำให้ใช้ผลิตภัณฑ์อย่างสม่ำเสมอเป็นเวลาอย่างน้อย 2 เดือนก่อนที่จะตัดสินใจเปลี่ยนวิธี
- สิวหนึ่งเม็ด: อาจใช้เวลาประมาณ 1-2 สัปดาห์ในการยุบและหายดี
- การเห็นผลเบื้องต้น: การเปลี่ยนแปลงในทางที่ดีขึ้นมักจะเริ่มเห็นได้ภายใน 2-3 สัปดาห์
- การเห็นผลที่ชัดเจน: สำหรับการรักษาสิวโดยรวมเพื่อให้ผิวเรียบเนียนขึ้นอย่างเห็นได้ชัด อาจต้องใช้เวลานานถึง 3-4 เดือน
- ข้อควรระวัง: ในช่วงสัปดาห์แรกๆ ของการใช้ยาบางชนิด เช่น กลุ่มเรตินอยด์ สิวอาจดูเหมือนเห่อขึ้นเล็กน้อยก่อนที่จะค่อยๆ ดีขึ้น ซึ่งถือเป็นเรื่องปกติ
การดูแลผิวหลังสิวหายเพื่อป้องกันรอยสิว
การดูแลผิวหลังสิวหายเพื่อป้องกันรอยสิวที่สำคัญที่สุดคือ การทาครีมกันแดดอย่างสม่ำเสมอ หลีกเลี่ยงการแกะเกา และใช้ผลิตภัณฑ์บำรุงผิวที่ช่วยฟื้นฟูผิวและลดเลือนรอยดำ การดูแลอย่างถูกวิธีจะช่วยให้ผิวกลับมาเรียบเนียนและสีผิวสม่ำเสมอได้เร็วขึ้น
แนวทางการดูแลผิวมีดังนี้:
- ป้องกันแสงแดด: ทาครีมกันแดด (SPF 30 ขึ้นไป) ทุกวัน เนื่องจากรังสียูวีสามารถทำให้รอยแดงและรอยดำจากสิวมีสีเข้มขึ้นและหายช้าลง
- ใช้ผลิตภัณฑ์ลดเลือนรอย: ใช้ผลิตภัณฑ์ที่มีส่วนผสมช่วยผลัดเซลล์ผิวและปรับสีผิวให้สม่ำเสมอ เช่น เรตินอยด์ (Retinoids), กรดอะซีลาอิก (Azelaic acid), วิตามินซี หรือไนอะซินาไมด์ (Niacinamide)
- ให้ความชุ่มชื้น: ใช้มอยส์เจอไรเซอร์ชนิดไม่ก่อให้เกิดการอุดตัน (Non-comedogenic) เพื่อช่วยให้เกราะป้องกันผิวแข็งแรงและสนับสนุนกระบวนการฟื้นฟูผิว
- ปรึกษาแพทย์: หากเกิดรอยแผลเป็นชนิดหลุม ควรปรึกษาแพทย์ผิวหนังเพื่อรับการรักษาที่เหมาะสม เช่น การทำเลเซอร์ หรือการทำไมโครนีดลิง (Microneedling)
ข้อควรเลี่ยงและความเชื่อผิดๆ เกี่ยวกับสิวที่คิ้ว
ทำไมการบีบสิวระหว่างคิ้วจึงเป็นสิ่งที่ไม่ควรทำ
ไม่ควรบีบสิวระหว่างคิ้ว เพราะจะทำให้อาการอักเสบแย่ลงและอาจดันเชื้อโรคให้ลึกลงไปในผิวหนัง ซึ่งเพิ่มความเสี่ยงที่จะเกิดรอยแผลเป็นและรอยดำหลังสิวหาย
แทนการบีบ ควรใช้วิธีต่อไปนี้:
- ใช้ยาแต้มสิวที่มีส่วนผสมของเบนโซอิลเพอร์ออกไซด์ (Benzoyl Peroxide) หรือกรดซาลิไซลิก (Salicylic Acid)
- ใช้แผ่นแปะสิวเพื่อช่วยดูดซับของเหลว
- ประคบด้วยผ้าชุบน้ำอุ่นเพื่อช่วยให้สิวระบายหนองออกได้เอง
- หากเป็นสิวอักเสบขนาดใหญ่หรือเจ็บปวดมาก ควรปรึกษาแพทย์ผิวหนังเพื่อรับการรักษาที่ปลอดภัย เช่น การฉีดสเตียรอยด์เพื่อลดการอักเสบ
ความจริงเรื่องสิวบอกโรค: การเชื่อมโยงกับสุขภาพตับ
ความเชื่อที่ว่าสิวระหว่างคิ้วเป็นสัญญาณของปัญหาสุขภาพตับนั้นไม่เป็นความจริง และไม่ได้รับการสนับสนุนจากหลักการแพทย์ผิวหนังสมัยใหม่
ตามข้อมูลทางผิวหนัง สิวเกิดจากปัจจัยเฉพาะที่บนผิวหนัง เช่น การผลิตน้ำมันที่มากเกินไป การอุดตันของรูขุมขน และแบคทีเรีย ไม่ได้เกิดจากสารพิษหรือความผิดปกติของอวัยวะภายในอย่างตับ ความเชื่อนี้มาจากศาสตร์ “การอ่านสิวบนใบหน้า” (Acne Face Mapping) ซึ่งแพทย์ผิวหนังในปัจจุบันไม่ยอมรับว่าเป็นวิธีวินิจฉัยที่เชื่อถือได้ หากมีปัญหาเกี่ยวกับตับจริง จะมีอาการอื่นที่รุนแรงและชัดเจนกว่าการเกิดสิว
คำถามที่พบบ่อยเกี่ยวกับสิวขึ้นระหว่างคิ้ว
สิวระหว่างคิ้ว บีบได้ไหม และควรทำอย่างไร?
ไม่แนะนำให้บีบสิวระหว่างคิ้ว เพราะอาจทำให้อาการอักเสบแย่ลงและดันเชื้อโรคให้ลึกลงไปในผิวหนังได้
แทนการบีบสิว ควรปฏิบัติดังนี้:
- ใช้ยาแต้มสิว: ทายาแต้มสิวเฉพาะจุดที่มีส่วนผสมของเบนโซอิลเพอร์ออกไซด์ (benzoyl peroxide) หรือกรดซาลิไซลิก (salicylic acid) เพื่อช่วยลดการอักเสบ
- ใช้แผ่นแปะสิว: แผ่นแปะสิวแบบไฮโดรคอลลอยด์สามารถช่วยดูดซับของเหลวจากหัวสิวได้
- ประคบอุ่น: สำหรับสิวอักเสบที่ไม่มีหัวและเจ็บ การประคบด้วยผ้าชุบน้ำอุ่นจะช่วยลดอาการปวดบวมได้
- พบแพทย์ผิวหนัง: หากสิวมีขนาดใหญ่ เจ็บมาก หรือเป็นสิวซีสต์ ควรไปพบแพทย์เพื่อรับการรักษาที่ปลอดภัย เช่น การฉีดสเตียรอยด์เพื่อลดการอักเสบ หรือการกดสิวโดยผู้เชี่ยวชาญ
สิวอุดตันไม่มีหัวที่คิ้ว ดูแลต่างจากสิวอักเสบหรือไม่?
ใช่ การดูแลแตกต่างกัน โดยสิวอุดตันไม่มีหัวควรเน้นการใช้ผลิตภัณฑ์ที่ช่วยผลัดเซลล์ผิวและสลายการอุดตัน เช่น กรดซาลิไซลิก (salicylic acid) และเรตินอยด์ (retinoid) ส่วนสิวอักเสบซึ่งมีอาการแดงหรือมีหนอง ควรใช้ผลิตภัณฑ์ที่ช่วยลดการอักเสบและฆ่าเชื้อแบคทีเรีย เช่น เบนโซอิลเพอร์ออกไซด์ (benzoyl peroxide) หรือยาปฏิชีวนะชนิดทา
การกันคิ้วหรือแว็กซ์คิ้วทำให้เกิดสิวเพิ่มขึ้นจริงหรือ?
เป็นความจริงบางส่วน การกันคิ้วหรือแว็กซ์คิ้วสามารถทำให้เกิดสิวได้ โดยเฉพาะหากดูแลผิวไม่ถูกวิธี
การดึงหรือเสียดสีจากการแว็กซ์และการกันคิ้วอาจทำให้รูขุมขนอักเสบ (folliculitis) ซึ่งมีลักษณะคล้ายสิว นอกจากนี้ แว็กซ์หรือผลิตภัณฑ์ที่ตกค้างก็สามารถอุดตันรูขุมขนได้ เพื่อป้องกันปัญหานี้ ควรทำความสะอาดบริเวณคิ้วให้ดีทั้งก่อนและหลังการกำจัดขน และอาจใช้ยาฆ่าเชื้อชนิดอ่อนทาหลังทำเสร็จ
สิวระหว่างคิ้วเกี่ยวข้องกับความผิดปกติของตับจริงไหม?
ตามหลักการแพทย์ผิวหนังสมัยใหม่ สิวระหว่างคิ้วไม่ได้เกี่ยวข้องกับความผิดปกติของตับ ความเชื่อดังกล่าวมาจากศาสตร์แผนผังใบหน้า (Face Mapping) ซึ่งไม่ได้รับการสนับสนุนจากหลักฐานทางวิทยาศาสตร์ โดยสาเหตุที่แท้จริงของสิวบริเวณนี้เกิดจากปัจจัยเฉพาะที่บนผิวหนัง เช่น การผลิตน้ำมันที่มากเกินไป การอุดตันของรูขุมขน และแบคทีเรีย
ต้องใช้เวลานานแค่ไหนกว่าสิวที่คิ้วจะหาย?
โดยทั่วไป สิวหนึ่งเม็ดจะใช้เวลาประมาณ 1-2 สัปดาห์ในการหาย แต่หากเป็นการรักษาสิวทั้งหมดในบริเวณนั้น อาจต้องใช้เวลาหลายสัปดาห์จึงจะเริ่มเห็นผลการเปลี่ยนแปลงที่ดีขึ้น โดยแพทย์ผิวหนังแนะนำให้ใช้ผลิตภัณฑ์รักษาสิวอย่างสม่ำเสมอเป็นเวลาอย่างน้อย 6-8 สัปดาห์เพื่อประเมินประสิทธิภาพของผลิตภัณฑ์นั้นๆ
ควรพบแพทย์เมื่อสิวระหว่างคิ้วมีลักษณะอย่างไร?
ควรพบแพทย์เมื่อสิวระหว่างคิ้วมีลักษณะรุนแรง ไม่ตอบสนองต่อการรักษาด้วยตนเอง ทิ้งรอยแผลเป็น หรือส่งผลกระทบต่อสภาพจิตใจ
คุณควรปรึกษาแพทย์ผิวหนังหากสิวมีลักษณะดังต่อไปนี้:
- สิวอักเสบรุนแรง: เป็นสิวเม็ดใหญ่ เจ็บปวด เป็นก้อนแข็งใต้ผิวหนัง (Nodules) หรือเป็นถุงซีสต์ (Cysts)
- ไม่ดีขึ้นหลังการดูแลตนเอง: สิวไม่หายหรือกลับมาเป็นซ้ำ หลังจากใช้ผลิตภัณฑ์ที่หาซื้อได้เองอย่างสม่ำเสมอเป็นเวลา 2 เดือน
- ทำให้เกิดรอยแผลเป็น: สิวทิ้งรอยหลุมหรือรอยดำถาวรหลังจากหายแล้ว
- ส่งผลกระทบต่อจิตใจ: สิวทำให้เกิดความเครียด วิตกกังวล หรือสูญเสียความมั่นใจอย่างมาก
References:
- American Academy of Dermatology. (n.d.). Acne: Tips for managing. AAD. aad.org
- Cleveland Clinic. (n.d.). Acne: Types, Causes, Treatment & Prevention. Cleveland Clinic. clevelandclinic.org
- Mayo Clinic. (n.d.). Acne – Symptoms and causes. Mayo Clinic. mayoclinic.org
- National Institutes of Health. (n.d.). Acne. NIH – National Institute of Arthritis and Musculoskeletal and Skin Diseases. nih.gov
- Healthline. (n.d.). Everything You Want to Know About Acne. Healthline Media. healthline.com
- Medical News Today. (n.d.). What you need to know about acne. MNT. medicalnewstoday.com

