Skip to content

TEL : 081-841-5075, 02-258-4050

Facebook Instagram YouTube
Privato Clinic – Innovation Of Beauty  |  Bangkok
  • หน้าหลัก
  • เกี่ยวกับพรีวาโต
  • บริการทั้งหมดExpand
    • ชะลอวัย
    • ยกกระชับผิวExpand
      • XERF
      • Potenza
      • Sofwave
      • Ulthera
      • Thermage-FLX
    • รักษาสิว
    • เลเซอร์
    • โปรแกรมฉีด
    • บำรุงผิว
  • บทความExpand
    • สิว
    • ยกกระชับ
    • ดูแลผิว
    • ทำเลเซอร์
  • ผลิตภัณฑ์ดูแลผิว
  • โปรโมชั่น
  • ผลลัพธ์การรักษา
  • วิดีโอรีวิวจากเคสจริง
  • สาขาของเรา
  • ไทยExpand
    • ไทย
    • English
    • 中文 (中国)
  • ปรึกษาแพทย์
Privato Clinic – Innovation Of Beauty  |  Bangkok
Consult a Doctor
Acne

สิวฮอร์โมนในผู้หญิง วิธีดูแลตัวเองขั้นพื้นฐาน ลดเสี่ยงกำเริบ

Byadmin กันยายน 26, 2025
By แพทย์หญิงนัชชนก หุ่นวิจิตร Updated on กันยายน 26, 2025
✦ Medically reviewed by  นายแพทย์เลอพงษ์ กรุดเงิน

สิวฮอร์โมนในผู้หญิงรักษายังไง

สิวฮอร์โมนในผู้หญิงรักษายังไง — สิวฮอร์โมนในผู้หญิงคือสิวเรื้อรังหลังอายุ 25 ปีที่เห่อก่อนมีประจำเดือนและเกี่ยวข้องกับภาวะแอนโดรเจน โดยพบร่วมกับภาวะถุงน้ำรังไข่หลายใบได้ถึง 70% แพทย์แนะนำการดูแลที่ถูกต้องเพื่อลดการกำเริบ.

Table of Contents

Toggle
  • สิวฮอร์โมนในผู้หญิงคืออะไร ลักษณะและตำแหน่งที่พบบ่อย
    • ลักษณะและตำแหน่งที่พบบ่อยของสิวฮอร์โมน ได้แก่:
    • ความแตกต่างระหว่างสิวฮอร์โมนกับสิวทั่วไป
    • ตำแหน่งสิวฮอร์โมนขึ้นตรงไหนบ้าง
    • ลักษณะสิวฮอร์โมนเป็นแบบไหน
  • สาเหตุและปัจจัยที่ทำให้เกิดสิวฮอร์โมนในผู้หญิง
    • การเปลี่ยนแปลงของฮอร์โมนช่วงประจำเดือน
    • ภาวะฮอร์โมนไม่สมดุลและโรคที่เกี่ยวข้อง
    • ปัจจัยกระตุ้นจากพฤติกรรมและสิ่งแวดล้อม
  • วิธีรักษาสิวฮอร์โมนด้วยการดูแลตัวเองขั้นพื้นฐาน
    • การทำความสะอาดและดูแลผิวหน้าที่ถูกวิธี
    • การปรับอาหารและโภชนาการเพื่อสมดุลฮอร์โมน
    • การจัดการความเครียดและการนอนหลับ
    • วิตามินและอาหารเสริมที่ช่วยลดสิวฮอร์โมน
  • การรักษาสิวฮอร์โมนด้วยยาและผลิตภัณฑ์
    • ยาทารักษาสิวฮอร์โมนที่แพทย์นิยมใช้
    • ยากินรักษาสิวฮอร์โมนและยาปฏิชีวนะ
    • ยาคุมกำเนิดและยาปรับฮอร์โมนเพศหญิงลดสิว
    • ครีมและผลิตภัณฑ์รักษาสิวฮอร์โมนที่เหมาะสม
  • การรักษาสิวฮอร์โมนด้วยหัตถการและเทคโนโลยีทางการแพทย์
    • การฉายแสงและเลเซอร์รักษาสิวฮอร์โมน
    • การกดสิวและฉีดยารักษาสิวอักเสบ
    • โปรแกรมรักษาสิวฮอร์โมนแบบผสมผสาน
  • จากการรักษาสู่การป้องกัน: แนวทางดูแลระยะยาว
    • การดูแลผิวต่อเนื่องหลังสิวฮอร์โมนหาย
    • วิธีป้องกันไม่ให้สิวฮอร์โมนกลับมาเป็นซ้ำ
    • การติดตามและประเมินผลการรักษา
  • สิวประจำเดือนและสิวฮอร์โมนช่วงพิเศษ
    • สิวประจำเดือนเป็นแบบไหนและขึ้นกี่วันก่อนเมนส์
    • การดูแลสิวฮอร์โมนช่วงตั้งครรภ์และหลังคลอด
    • สิวฮอร์โมนในวัยทองและการปรับตัว
  • ข้อควรระวังและความเข้าใจผิดเกี่ยวกับสิวฮอร์โมน
    • สิ่งที่ไม่ควรทำเมื่อเป็นสิวฮอร์โมน
    • ผลข้างเคียงจากการรักษาที่อาจเกิดขึ้น
    • ความเชื่อผิดๆ เกี่ยวกับการรักษาสิวฮอร์โมน
  • คำถามที่พบบ่อยเกี่ยวกับสิวฮอร์โมนในผู้หญิง
    • สิวฮอร์โมนหายเองได้ไหม
    • สิวฮอร์โมนหายตอนไหน
    • สิวฮอร์โมนใช้อะไรดีที่สุด
    • กินยาคุมรักษาสิวฮอร์โมนได้ผลจริงหรือไม่
    • สิวฮอร์โมนกับสิววัยรุ่นต่างกันอย่างไร
    • ควรไปพบแพทย์เมื่อไหร่
  • References:

สิวฮอร์โมนในผู้หญิงคืออะไร ลักษณะและตำแหน่งที่พบบ่อย

สิวฮอร์โมนในผู้หญิงคือสิวที่มักเกิดขึ้นซ้ำๆ หรือเรื้อรังหลังอายุ 25 ปี ซึ่งอาจต่อเนื่องมาจากช่วงวัยรุ่นหรือเพิ่งเริ่มเป็นในวัยผู้ใหญ่ สิวชนิดนี้มักตอบสนองต่อยาที่หาซื้อได้ทั่วไปเพียงเล็กน้อย

ลักษณะและตำแหน่งที่พบบ่อยของสิวฮอร์โมน ได้แก่:

  • ลักษณะสิว: มักเป็นสิวอักเสบชนิดซีสต์ (Cyst) หรือสิวหัวช้าง (Nodule) ที่อยู่ลึกใต้ผิวหนัง ทำให้รู้สึกเจ็บและหายช้า
  • ตำแหน่ง: สิวจะขึ้นหนาแน่นบริเวณกรอบหน้าส่วนล่าง หรือที่เรียกว่า “U-zone” ซึ่งได้แก่ บริเวณกราม คาง และอาจลามไปถึงลำคอ ซึ่งแตกต่างจากสิววัยรุ่นที่มักขึ้นบริเวณ “T-zone” (หน้าผาก จมูก และแก้มส่วนบน)
  • ช่วงเวลา: สิวชนิดนี้มักเห่อขึ้นเป็นพิเศษในช่วงก่อนมีประจำเดือน และจะค่อยๆ ดีขึ้นเมื่อประจำเดือนหมดไป

ความแตกต่างระหว่างสิวฮอร์โมนกับสิวทั่วไป

สิวฮอร์โมนแตกต่างจากสิวทั่วไปในด้านตำแหน่งที่เกิด ลักษณะของสิว และรูปแบบการเกิดที่สัมพันธ์กับรอบเดือน โดยสิวฮอร์โมนในผู้ใหญ่มักมีลักษณะเป็นสิวอักเสบชนิดซีสต์ที่อยู่ลึกใต้ผิวหนังและเจ็บ ในขณะที่สิวทั่วไปมักเป็นสิวอุดตันและสิวหนองที่อยู่ตื้นกว่า

ความแตกต่างที่สำคัญ ได้แก่

  • ตำแหน่ง: สิวฮอร์โมนมักเกิดบริเวณกรอบหน้า คาง และกราม (U-zone) ส่วนสิวทั่วไปมักพบบริเวณหน้าผากและจมูก (T-zone)
  • ลักษณะสิว: สิวฮอร์โมนมักเป็นสิวซีสต์หรือตุ่มนูนแดงขนาดใหญ่ใต้ผิวหนังซึ่งหายช้า ในขณะที่สิวทั่วไปมักเป็นสิวอุดตัน (สิวหัวดำ สิวหัวขาว) และสิวหนอง
  • รูปแบบการเกิด: สิวฮอร์โมนมักเห่อขึ้นเป็นรอบๆ สัมพันธ์กับช่วงก่อนมีประจำเดือน แต่สิวทั่วไปสามารถเกิดขึ้นได้ตลอดเวลาโดยไม่มีรูปแบบที่ชัดเจน
  • การตอบสนองต่อยา: สิวฮอร์โมนมักไม่ค่อยตอบสนองต่อยาทาที่หาซื้อได้ทั่วไปซึ่งมักใช้ได้ผลกับสิวในวัยรุ่น

ตำแหน่งสิวฮอร์โมนขึ้นตรงไหนบ้าง

สิวฮอร์โมนมักขึ้นบริเวณแนวขากรรไกร คาง และลำคอ ซึ่งเป็นตำแหน่งที่บ่งชี้ถึงสาเหตุจากฮอร์โมนได้อย่างชัดเจน นอกจากนี้ สิวอาจขึ้นบริเวณแก้มส่วนล่างร่วมด้วย ทำให้เกิดการกระจายตัวของสิวในลักษณะรูปตัวยู (U-shaped distribution) หรือที่เรียกว่า “U-zone” ซึ่งแตกต่างจากสิวในวัยรุ่นที่มักจะขึ้นบริเวณทีโซน (T-zone) เช่น หน้าผากและจมูก

ลักษณะสิวฮอร์โมนเป็นแบบไหน

สิวฮอร์โมนมักมีลักษณะเป็นสิวอักเสบชนิดลึก เช่น สิวซีสต์และสิวหัวช้างที่เจ็บปวด ซึ่งมักขึ้นบริเวณแนวขากรรไกร คาง และลำคอ สิวประเภทนี้มักเป็นเรื้อรังในผู้ใหญ่ และดื้อต่อยาทาที่หาซื้อได้ทั่วไป

ลักษณะเด่นอื่นๆ ของสิวฮอร์โมน ได้แก่:

  • ตำแหน่งที่ขึ้น: มักจะขึ้นบริเวณกรอบหน้าส่วนล่าง หรือที่เรียกว่า “U-zone” (แนวขากรรไกร คาง และแก้มส่วนล่าง) ซึ่งต่างจากสิววัยรุ่นที่มักขึ้นบริเวณ “T-zone” (หน้าผาก จมูก)
  • ชนิดของสิว: เป็นสิวอักเสบใต้ผิวหนังที่เจ็บปวดและใช้เวลาในการรักษานาน ต่างจากสิวทั่วไปที่มักเป็นสิวหัวดำ สิวหัวขาว หรือตุ่มหนองที่ผิวชั้นบน
  • การเห่อตามรอบเดือน: สิวจะเห่อขึ้นเป็นรอบๆ สัมพันธ์กับรอบเดือน โดยมักจะรุนแรงที่สุดในช่วง 7-10 วันก่อนมีประจำเดือน และจะค่อยๆ ดีขึ้นเมื่อประจำเดือนมา

สาเหตุและปัจจัยที่ทำให้เกิดสิวฮอร์โมนในผู้หญิง

การเปลี่ยนแปลงของฮอร์โมนช่วงประจำเดือน

ช่วงที่สิวมักจะเห่อมากที่สุดในรอบเดือนมี 2 ช่วงหลักๆ คือ ช่วงตกไข่และช่วงก่อนมีประจำเดือน ซึ่งเกิดจากการเปลี่ยนแปลงของระดับฮอร์โมน

  • ช่วงตกไข่: ร่างกายจะมีการเพิ่มขึ้นของฮอร์โมนแอนโดรเจนเล็กน้อย และระดับฮอร์โมนเทสโทสเตอโรนจะขึ้นสู่จุดสูงสุด ซึ่งกระตุ้นการผลิตไขมันบนผิวหนัง (ซีบัม) และอาจทำให้เกิดสิวได้
  • ช่วงก่อนมีประจำเดือน (Luteal Phase): ประมาณ 7-10 วันก่อนมีประจำเดือน ฮอร์โมนโปรเจสเตอโรนจะสูงขึ้นในขณะที่เอสโตรเจนลดลง ทำให้ผิวผลิตน้ำมันมากขึ้นและเกิดสิวได้ง่าย โดยเฉพาะบริเวณคางและกราม สิวจะเห่อมากที่สุดในช่วงนี้และมักจะดีขึ้นเมื่อประจำเดือนมา

ภาวะฮอร์โมนไม่สมดุลและโรคที่เกี่ยวข้อง

ภาวะฮอร์โมนไม่สมดุลและโรคที่เกี่ยวข้องซึ่งทำให้เกิดสิวฮอร์โมน ได้แก่ ภาวะถุงน้ำรังไข่หลายใบ (PCOS), ภาวะแอนโดรเจนเกิน (hyperandrogenism) และภาวะดื้อต่ออินซูลิน ภาวะเหล่านี้ส่งผลกระทบต่อการผลิตฮอร์โมนและกระตุ้นให้เกิดสิว

  • ภาวะถุงน้ำรังไข่หลายใบ (PCOS): เป็นสาเหตุที่พบบ่อยของสิวในผู้หญิงวัยผู้ใหญ่ โดยพบในผู้หญิงที่มีภาวะแอนโดรเจนเกินและเป็นสิวถึง 70% นอกจากสิวแล้ว ผู้ป่วยมักมีอาการอื่นร่วมด้วย เช่น ประจำเดือนมาไม่ปกติ และมีขนขึ้นตามร่างกายหรือใบหน้ามากกว่าปกติ
  • ภาวะแอนโดรเจนเกิน (Hyperandrogenism): คือภาวะที่มีฮอร์โมนเพศชาย (แอนโดรเจน) สูงเกินไป ซึ่งอาจมาจากรังไข่ (เช่นใน PCOS) หรือต่อมหมวกไต ทำให้ผิวผลิตน้ำมันออกมามากเกินไปและเกิดสิว
  • ภาวะดื้อต่ออินซูลิน: ระดับอินซูลินที่สูงจะกระตุ้นให้รังไข่และต่อมหมวกไตผลิตแอนโดรเจนมากขึ้น นอกจากนี้ยังไปเพิ่มระดับของสาร IGF-1 (insulin-like growth factor) ซึ่งกระตุ้นต่อมไขมันโดยตรง ทำให้การผลิตน้ำมันเพิ่มขึ้นและเกิดการอักเสบ

ปัจจัยกระตุ้นจากพฤติกรรมและสิ่งแวดล้อม

ปัจจัยกระตุ้นจากพฤติกรรมและสิ่งแวดล้อมที่ทำให้เกิดสิวฮอร์โมน ได้แก่ อาหารที่มีน้ำตาลสูง ผลิตภัณฑ์นม ความเครียด การนอนหลับไม่เพียงพอ และสารเคมีในสิ่งแวดล้อม

  • อาหาร: อาหารที่มีค่าดัชนีน้ำตาลสูง (เช่น อาหารที่มีน้ำตาลและคาร์โบไฮเดรตสูง) และผลิตภัณฑ์นม (โดยเฉพาะนมพร่องมันเนย) มีความสัมพันธ์กับการเกิดสิวที่รุนแรงขึ้น เนื่องจากสามารถกระตุ้นการผลิตอินซูลินและ IGF-1 ซึ่งส่งผลให้ต่อมไขมันผลิตน้ำมันออกมามากขึ้น
  • ความเครียด: ความเครียดเรื้อรังจะเพิ่มระดับฮอร์โมนคอร์ติซอล ซึ่งกระตุ้นการผลิตน้ำมันในผิวหนังโดยตรง อีกทั้งยังส่งเสริมการอักเสบและทำให้การฟื้นฟูของผิวแย่ลง
  • การนอนหลับ: การนอนหลับไม่เพียงพอเป็นอีกสาเหตุหนึ่งที่ทำให้ระดับฮอร์โมนคอร์ติซอลสูงขึ้น ซึ่งเป็นตัวกระตุ้นให้เกิดสิวฮอร์โมนได้
  • สารเคมีในสิ่งแวดล้อม: การสัมผัสกับสารเคมีที่รบกวนการทำงานของต่อมไร้ท่อ (Endocrine Disruptors) เช่น BPA ในพลาสติก หรือ Phthalates ในเครื่องสำอาง อาจส่งผลกระทบต่อความสมดุลของฮอร์โมนและการผลิตน้ำมันของผิวได้

วิธีรักษาสิวฮอร์โมนด้วยการดูแลตัวเองขั้นพื้นฐาน

การรักษาสิวฮอร์โมนด้วยการดูแลตัวเองขั้นพื้นฐานทำได้โดย การใช้ผลิตภัณฑ์ดูแลผิวที่เหมาะสม ปรับเปลี่ยนการรับประทานอาหาร จัดการความเครียด และนอนหลับให้เพียงพอ การดูแลเหล่านี้จะช่วยควบคุมปัจจัยกระตุ้นและส่งเสริมสุขภาพผิวโดยรวม

แนวทางการดูแลตัวเองเบื้องต้นมีดังนี้

การดูแลผิว:

  • ล้างหน้าอย่างอ่อนโยน: ใช้ผลิตภัณฑ์ทำความสะอาดที่อ่อนโยน ปราศจากซัลเฟต วันละ 2 ครั้ง และหลีกเลี่ยงการขัดถูผิวแรงๆ
  • เลือกผลิตภัณฑ์ที่ไม่อุดตัน: ใช้มอยส์เจอไรเซอร์ ครีมกันแดด และเครื่องสำอางที่ระบุว่า “non-comedogenic” (ไม่ก่อให้เกิดการอุดตัน)
  • ใช้ยาทาเฉพาะที่: ผลิตภัณฑ์ที่มีส่วนผสมของกรดซาลิไซลิก (Salicylic Acid) ช่วยลดการอุดตันในรูขุมขน และเบนโซอิลเพอร์ออกไซด์ (Benzoyl Peroxide) ช่วยฆ่าเชื้อแบคทีเรียที่ก่อให้เกิดสิวอักเสบ
  • ให้ความชุ่มชื้น: แม้ผิวมันก็ควรใช้มอยส์เจอไรเซอร์ที่บางเบา เพื่อรักษาสมดุลและเสริมสร้างเกราะป้องกันผิว
  • การปรับเปลี่ยนอาหาร:
  • ลดอาหารที่มีน้ำตาลสูง: หลีกเลี่ยงอาหารและเครื่องดื่มที่มีน้ำตาลสูงและคาร์โบไฮเดรตขัดสี ซึ่งจะไปกระตุ้นการผลิตน้ำมันบนผิว
  • ทานอาหารต้านการอักเสบ: เพิ่มการทานปลาที่มีไขมันสูง (อุดมด้วยโอเมก้า 3) ผัก และผลไม้
  • พิจารณาจำกัดผลิตภัณฑ์นม: นม โดยเฉพาะนมพร่องมันเนย อาจเป็นตัวกระตุ้นให้เกิดสิวในบางคน
  • การปรับเปลี่ยนวิถีชีวิต:
  • จัดการความเครียด: ความเครียดทำให้ร่างกายหลั่งฮอร์โมนคอร์ติซอลซึ่งกระตุ้นการผลิตน้ำมัน ควรหาวิธีผ่อนคลาย เช่น ออกกำลังกายหรือทำสมาธิ
  • นอนหลับให้เพียงพอ: การนอนหลับ 7-9 ชั่วโมงต่อคืนช่วยควบคุมระดับฮอร์โมนและสนับสนุนการซ่อมแซมผิว
  • หลีกเลี่ยงการบีบแกะสิว: การสัมผัสใบหน้าหรือบีบสิวจะทำให้อาการอักเสบรุนแรงขึ้นและเสี่ยงต่อการเกิดรอยแผลเป็น

การทำความสะอาดและดูแลผิวหน้าที่ถูกวิธี

การทำความสะอาดและดูแลผิวหน้าที่ถูกวิธีคือการล้างหน้าอย่างอ่อนโยนวันละ 2 ครั้งด้วยผลิตภัณฑ์ที่ปราศจากซัลเฟตและไม่ก่อให้เกิดการระคายเคือง เพื่อรักษาสมดุลของผิวและหลีกเลี่ยงการกระตุ้นให้เกิดสิวมากขึ้น

หลักการดูแลผิวหน้าที่สำคัญมีดังนี้:

  • หลีกเลี่ยงการล้างบ่อยหรือขัดถูแรงๆ: การทำความสะอาดที่รุนแรงเกินไปจะทำลายเกราะป้องกันผิวและกระตุ้นให้ผิวผลิตน้ำมันออกมามากกว่าเดิม
  • ใช้มอยส์เจอไรเซอร์เสมอ: แม้แต่ผิวมันก็ควรใช้มอยส์เจอไรเซอร์ชนิดเบาและไม่ก่อให้เกิดการอุดตัน (non-comedogenic) เพื่อป้องกันผิวขาดน้ำและรักษาสมดุล
  • เลือกผลิตภัณฑ์ที่เหมาะสม: ควรเลือกใช้ผลิตภัณฑ์บำรุงผิว ครีมกันแดด และเครื่องสำอางที่เป็นสูตร non-comedogenic เพื่อไม่ให้เกิดการอุดตันรูขุมขน
  • มองหาส่วนผสมที่เป็นประโยชน์: ส่วนผสมอย่างเซราไมด์ (ceramides) และไนอะซินาไมด์ (niacinamide) ช่วยเสริมสร้างเกราะป้องกันผิวให้แข็งแรงและควบคุมความมันได้ดี

การปรับอาหารและโภชนาการเพื่อสมดุลฮอร์โมน

การปรับอาหารและโภชนาการเพื่อช่วยปรับสมดุลฮอร์โมนทำได้โดยการรับประทานอาหารต้านการอักเสบและมีค่าดัชนีน้ำตาลต่ำ ควบคู่ไปกับการเสริมสารอาหารที่จำเป็นบางชนิด

แนวทางการปรับอาหารและโภชนาการที่สำคัญมีดังนี้:

  • อาหารต้านการอักเสบ: เน้นอาหารที่อุดมด้วยโอเมก้า 3 เช่น ปลาที่มีไขมันสูง (หรืออาหารเสริมน้ำมันปลา) ผลไม้ตระกูลเบอร์รี่ และผักใบเขียว ซึ่งช่วยลดการอักเสบของสิวได้
  • อาหารที่มีค่าดัชนีน้ำตาลต่ำ (Low-Glycemic): จำกัดอาหารที่มีน้ำตาลสูงและคาร์โบไฮเดรตขัดสี เพื่อลดการกระตุ้นของอินซูลินและ IGF-1 ซึ่งเป็นตัวการที่ทำให้ผลิตไขมันบนผิวมากขึ้น
  • ผลิตภัณฑ์นม: อาจพิจารณาจำกัดการบริโภคนม โดยเฉพาะนมพร่องมันเนย หากสังเกตเห็นว่ามีความเชื่อมโยงกับการเกิดสิว
  • อาหารปรับฮอร์โมน: การดื่มชาเขียวหรือรับประทานเมล็ดแฟลกซ์บดอาจมีส่วนช่วยในการปรับสมดุลฮอร์โมนอย่างอ่อนโยน
  • วิตามินและแร่ธาตุ: การเสริมสังกะสี (Zinc) และวิตามินดี (Vitamin D) อาจช่วยลดการอักเสบของสิวได้ ในขณะที่การได้รับวิตามินเอและบี 5 อย่างเพียงพอจากอาหารก็มีส่วนช่วยให้สุขภาพผิวดีขึ้น

การจัดการความเครียดและการนอนหลับ

การจัดการความเครียดและการนอนหลับให้เพียงพอเป็นสิ่งสำคัญในการควบคุมสิวฮอร์โมน เนื่องจากความเครียดและการพักผ่อนไม่เพียงพอจะกระตุ้นให้ร่างกายหลั่งฮอร์โมนคอร์ติซอล (cortisol) ซึ่งไปเพิ่มการผลิตน้ำมัน (sebum) ทำให้รูขุมขนอุดตันและเกิดการอักเสบได้ง่ายขึ้น

  • ความเครียด: กระตุ้นให้เกิดการอักเสบในร่างกายและทำให้การฟื้นฟูของผิวแย่ลง การหากิจกรรมผ่อนคลาย เช่น การออกกำลังกาย หรือการทำสมาธิ สามารถช่วยลดการเห่อของสิวได้
  • การนอนหลับ: การนอนหลับที่มีคุณภาพ 7-9 ชั่วโมงต่อคืน ช่วยให้ร่างกายซ่อมแซมตัวเองและควบคุมระดับฮอร์โมนคอร์ติซอลให้เป็นปกติ ซึ่งส่งผลดีต่อสุขภาพผิวโดยรวม

วิตามินและอาหารเสริมที่ช่วยลดสิวฮอร์โมน

วิตามินและอาหารเสริมที่อาจช่วยลดสิวฮอร์โมน ได้แก่ โอเมก้า 3, สังกะสี, ชาสเปียร์มินต์, โพรไบโอติก, ซอว์ปาล์มเมตโต และน้ำมันอีฟนิ่งพริมโรส โดยแต่ละชนิดมีกลไกการทำงานที่แตกต่างกัน ดังนี้

  • โอเมก้า 3 (Omega-3): ช่วยลดการอักเสบในร่างกาย ซึ่งเป็นหนึ่งในปัจจัยขับเคลื่อนการเกิดสิว งานวิจัยพบว่าการเสริมโอเมก้า 3 สามารถลดจำนวนสิวอักเสบและสิวที่ไม่อักเสบได้อย่างมีนัยสำคัญ
  • สังกะสี (Zinc): มีการศึกษาพบว่าสามารถช่วยลดจำนวนสิว โดยเฉพาะสิวอักเสบได้
  • ชาสเปียร์มินต์ (Spearmint Tea): มีคุณสมบัติต้านแอนโดรเจน (anti-androgenic) ซึ่งอาจช่วยลดระดับฮอร์โมนเทสโทสเตอโรนอิสระ จึงเป็นประโยชน์สำหรับผู้หญิงที่มีสิวจากฮอร์โมน โดยเฉพาะผู้ที่มีภาวะ PCOS
  • โพรไบโอติก (Probiotics): อาจช่วยลดการอักเสบทั่วร่างกาย ลดความมันบนผิว และปรับสมดุลจุลินทรีย์ในลำไส้ ซึ่งส่งผลทางอ้อมให้ผิวสงบลง
  • ซอว์ปาล์มเมตโต (Saw Palmetto): ทำหน้าที่เป็นตัวบล็อกเอนไซม์ 5α-reductase ซึ่งช่วยลดการเปลี่ยนฮอร์โมนเทสโทสเตอโรนไปเป็น DHT ที่กระตุ้นต่อมไขมัน ทำให้การผลิตน้ำมันลดลง
  • น้ำมันอีฟนิ่งพริมโรส (Evening Primrose Oil): ช่วยลดการอักเสบ เสริมสร้างเกราะป้องกันผิว และอาจช่วยบรรเทาผลข้างเคียงจากยารักษาสิวบางชนิด เช่น อาการผิวแห้ง
  • วิตามินอื่นๆ: วิตามินดี, วิตามินเอ และวิตามินบี 5 ก็มีบทบาทในการสนับสนุนสุขภาพผิวโดยรวมเช่นกัน แต่ควรปรึกษาแพทย์ก่อนรับประทานอาหารเสริมในปริมาณสูง

การรักษาสิวฮอร์โมนด้วยยาและผลิตภัณฑ์

ยาทารักษาสิวฮอร์โมนที่แพทย์นิยมใช้

ยาทาที่แพทย์นิยมใช้รักษาสิวฮอร์โมน ได้แก่ กลุ่มยาอนุพันธ์วิตามินเอ (Retinoids), คลาสโคเทอโรน (Clascoterone) และกรดอะซีลาอิก (Azelaic acid) ซึ่งมักใช้ร่วมกันเพื่อผลลัพธ์ที่ดีที่สุด

ยาแต่ละชนิดมีกลไกการออกฤทธิ์ที่แตกต่างกัน ดังนี้

  • อนุพันธ์วิตามินเอ (Retinoids): เช่น Tretinoin และ Adapalene ถือเป็นยาหลักในการรักษา ช่วยผลัดเซลล์ผิว ป้องกันการอุดตันของรูขุมขน และลดการอักเสบ
  • คลาสโคเทอโรน (Clascoterone): เป็นยาต้านแอนโดรเจนชนิดทา ออกฤทธิ์ยับยั้งฮอร์โมนที่ผิวหนังโดยตรงเพื่อลดการผลิตไขมัน
  • กรดอะซีลาอิก (Azelaic acid): มีคุณสมบัติต้านเชื้อแบคทีเรียและลดการอักเสบ ทั้งยังช่วยลดรอยดำ และมีความปลอดภัยสำหรับใช้ในระหว่างตั้งครรภ์

ยากินรักษาสิวฮอร์โมนและยาปฏิชีวนะ

ยารับประทานสำหรับรักษาสิวฮอร์โมน ได้แก่ ยาต้านแอนโดรเจน ยาปฏิชีวนะ ยาคุมกำเนิด และไอโสเตรติโนอิน ซึ่งแต่ละชนิดมีกลไกการออกฤทธิ์และข้อบ่งใช้ที่แตกต่างกัน

  • สไปโรโนแลคโตน (Spironolactone): เป็นยาต้านแอนโดรเจน (anti-androgen) ที่ช่วยยับยั้งผลของฮอร์โมนเพศชายต่อต่อมไขมัน มักใช้เป็นการรักษาต่อเนื่องในระยะยาว และจะเห็นผลชัดเจนในเวลาประมาณ 3-4 เดือน
  • ยาปฏิชีวนะชนิดรับประทาน (Oral Antibiotics): เช่น กลุ่มเตตราไซคลีน (Tetracyclines) ใช้เพื่อลดการอักเสบในระยะสั้น (ประมาณ 3-6 เดือน) เพื่อป้องกันการดื้อยา และไม่ใช่การรักษาในระยะยาว
  • ไอโสเตรติโนอิน (Isotretinoin): เป็นอนุพันธ์ของวิตามินเอที่ใช้รักษาสิวรุนแรงหรือสิวที่ไม่ตอบสนองต่อการรักษาอื่น สามารถช่วยให้สิวหายขาดได้ในระยะยาว แต่มีผลข้างเคียงและข้อควรระวังที่สำคัญ โดยเฉพาะเรื่องการตั้งครรภ์
  • ยาคุมกำเนิดชนิดฮอร์โมนรวม (Combined Oral Contraceptives): ช่วยปรับสมดุลฮอร์โมนโดยลดการผลิตแอนโดรเจนจากรังไข่ โดยจะเห็นผลเต็มที่ในเวลา 3-6 เดือน และมักเลือกใช้ชนิดที่มีโปรเจสตินที่มีฤทธิ์ต้านแอนโดรเจน

ยาคุมกำเนิดและยาปรับฮอร์โมนเพศหญิงลดสิว

ยาคุมกำเนิดชนิดฮอร์โมนรวมและยาปรับฮอร์โมนช่วยลดสิวโดยการลดการผลิตฮอร์โมนเพศชาย (แอนโดรเจน) และลดปริมาณฮอร์โมนที่สามารถกระตุ้นต่อมไขมันบนผิวหนังได้ กลไกหลักคือการยับยั้งการตกไข่ ซึ่งช่วยลดการสร้างฮอร์โมนแอนโดรเจนจากรังไข่ นอกจากนี้ ฮอร์โมนเอสโตรเจนในยาคุมยังช่วยเพิ่มโปรตีนที่ชื่อว่า SHBG (Sex Hormone-Binding Globulin) ซึ่งจะไปจับกับฮอร์โมนเทสโทสเตอโรนอิสระในกระแสเลือด ทำให้ฮอร์โมนเหล่านี้ไม่สามารถไปกระตุ้นต่อมไขมันให้ผลิตน้ำมันออกมามากเกินไปได้

ยาคุมกำเนิดบางชนิด เช่น ยี่ห้อที่มีส่วนผสมของโดรสไพรีโนน (Drospirenone) จะมีคุณสมบัติต้านแอนโดรเจนโดยตรง ซึ่งช่วยเพิ่มประสิทธิภาพในการรักษาสิว โดยทั่วไปจะเห็นผลการรักษาที่ชัดเจนหลังจากใช้ยาต่อเนื่องประมาณ 3-6 เดือน

ครีมและผลิตภัณฑ์รักษาสิวฮอร์โมนที่เหมาะสม

ผลิตภัณฑ์ที่เหมาะสมสำหรับสิวฮอร์โมน ได้แก่ กลุ่มยาเรตินอยด์ (Retinoids), เบนโซอิลเพอร์ออกไซด์ (Benzoyl Peroxide), กรดซาลิไซลิก (Salicylic Acid), กรดอะซีลาอิก (Azelaic Acid) และคลาสโคเทอโรน (Clascoterone) ซึ่งแต่ละชนิดมีคุณสมบัติในการรักษาที่แตกต่างกันไป

  • กรดซาลิไซลิก (Salicylic Acid): ช่วยผลัดเซลล์ผิวและละลายไขมันที่อุดตันในรูขุมขน เหมาะสำหรับรักษาสิวอุดตัน เช่น สิวหัวดำและสิวหัวขาว
  • เบนโซอิลเพอร์ออกไซด์ (Benzoyl Peroxide): มีฤทธิ์ฆ่าเชื้อแบคทีเรียที่ก่อให้เกิดสิว (C. acnes) จึงเหมาะสำหรับรักษาสิวอักเสบ เช่น สิวตุ่มแดงและสิวมีหนอง
  • กลุ่มยาเรตินอยด์ (Topical Retinoids): เป็นยาหลักในการรักษาสิว ช่วยควบคุมการผลัดเซลล์ผิวให้เป็นปกติ ป้องกันการเกิดสิวอุดตัน และมีฤทธิ์ต้านการอักเสบ
  • กรดอะซีลาอิก (Azelaic Acid): ช่วยฆ่าเชื้อแบคทีเรีย ลดการอักเสบ และช่วยลดรอยดำหลังสิวหาย ทั้งยังเป็นตัวเลือกที่ปลอดภัยสำหรับผู้ที่ตั้งครรภ์
  • คลาสโคเทอโรน (Clascoterone): เป็นยาทาเฉพาะที่ซึ่งออกฤทธิ์ต้านฮอร์โมนแอนโดรเจนโดยตรงที่ผิวหนัง ช่วยลดการผลิตไขมันและการอักเสบโดยไม่มีผลกระทบต่อระบบอื่น ๆ ของร่างกาย

นอกจากนี้ การดูแลผิวขั้นพื้นฐานด้วยคลีนเซอร์ที่อ่อนโยนและมอยส์เจอไรเซอร์ที่ไม่ก่อให้เกิดการอุดตัน (non-comedogenic) ก็มีความสำคัญอย่างยิ่งเพื่อช่วยเสริมสร้างเกราะป้องกันผิวให้แข็งแรงและลดการระคายเคืองจากการใช้ยารักษาสิว

การรักษาสิวฮอร์โมนด้วยหัตถการและเทคโนโลยีทางการแพทย์

การฉายแสงและเลเซอร์รักษาสิวฮอร์โมน

การฉายแสงและเลเซอร์รักษาสิวฮอร์โมนโดยการลดการผลิตไขมัน ฆ่าเชื้อแบคทีเรียที่ก่อให้เกิดสิว และลดการอักเสบ การรักษาเหล่านี้ถือเป็นทางเลือกเสริมที่ดี โดยเฉพาะสำหรับผู้ที่ไม่สามารถทนต่อการใช้ยาได้

กลไกการทำงานของการรักษาแต่ละประเภทมีดังนี้:

  • เลเซอร์: เช่น เลเซอร์ไดโอด 1450 นาโนเมตร จะส่งความร้อนเข้าไปในชั้นผิวหนังเพื่อลดการทำงานของต่อมไขมัน ทำให้การผลิตไขมันลดลงและช่วยต้านการอักเสบ
  • แสงสีฟ้า (Blue Light): มีเป้าหมายเพื่อฆ่าเชื้อแบคทีเรีย *C. acnes* ซึ่งเป็นสาเหตุหลักของการเกิดสิวอักเสบ
  • แสงสีแดง (Red Light): สามารถส่องลงไปในผิวได้ลึกกว่าเพื่อช่วยลดการอักเสบและส่งเสริมกระบวนการฟื้นฟูผิว
  • การบำบัดด้วยแสง (Photodynamic Therapy – PDT): เป็นการทาสารไวแสงลงบนผิวแล้วฉายแสงเพื่อกระตุ้นให้สารนั้นทำงาน ซึ่งจะช่วยทำลายทั้งต่อมไขมันและเชื้อแบคทีเรียได้อย่างมีประสิทธิภาพ

การกดสิวและฉีดยารักษาสิวอักเสบ

การฉีดคอร์ติโซน (Intralesional Corticosteroid Injections) เป็นการรักษาเฉพาะจุดสำหรับสิวอักเสบที่เป็นซีสต์ขนาดใหญ่และเจ็บปวด เพื่อลดการอักเสบอย่างรวดเร็ว

แพทย์จะฉีดสเตียรอยด์เจือจางเข้าไปในตุ่มสิวโดยตรง ซึ่งจะช่วยให้สิวยุบลงและลดอาการเจ็บปวดได้ภายใน 24-48 ชั่วโมง วิธีนี้มักใช้เป็น “การรักษาฉุกเฉิน” สำหรับสิวเม็ดใหญ่ที่อยู่ลึกใต้ผิวหนัง เพื่อป้องกันการเกิดแผลเป็น อย่างไรก็ตาม การฉีดสิวเป็นการรักษาตามอาการ ไม่ได้ช่วยป้องกันการเกิดสิวใหม่ และมีความเสี่ยงทำให้ผิวหนังบริเวณที่ฉีดเกิดรอยบุ๋มได้หากทำไม่ถูกวิธี

ส่วนการกดสิว แม้ในบทความจะแนะนำให้หลีกเลี่ยงการบีบหรือแกะสิวด้วยตนเอง แต่ไม่ได้กล่าวถึงการกดสิวโดยผู้เชี่ยวชาญ

โปรแกรมรักษาสิวฮอร์โมนแบบผสมผสาน

โปรแกรมรักษาสิวฮอร์โมนแบบผสมผสานคือ การใช้หลายวิธีรักษาร่วมกันเพื่อให้ได้ผลลัพธ์ที่ดีที่สุด โดยมักจะครอบคลุมการรักษาจากภายในสู่ภายนอก โปรแกรมโดยทั่วไปประกอบด้วยองค์ประกอบต่อไปนี้:

  • การใช้ยาทาเฉพาะที่: เป็นการรักษาร่วมกัน เช่น ใช้เรตินอยด์ในเวลากลางคืนเพื่อผลัดเซลล์ผิวและป้องกันการอุดตัน และใช้เบนโซอิลเพอร์ออกไซด์ (Benzoyl Peroxide) หรือกรดอะซีลาอิก (Azelaic Acid) ในตอนเช้าเพื่อฆ่าเชื้อแบคทีเรียและลดการอักเสบ
  • การรับประทานยา: สำหรับสิวฮอร์โมนโดยเฉพาะ แพทย์มักสั่งยาที่ออกฤทธิ์ต่อฮอร์โมน เช่น ยาคุมกำเนิดชนิดฮอร์โมนรวม หรือยาขับปัสสาวะสไปโรโนแลคโตน (Spironolactone) เพื่อลดผลของฮอร์โมนแอนโดรเจน ในกรณีที่รุนแรงอาจพิจารณาใช้ยาปฏิชีวนะหรือไอโสเตรติโนอิน (Isotretinoin)
  • การปรับเปลี่ยนไลฟ์สไตล์: รวมถึงการควบคุมอาหารโดยเน้นอาหารที่มีค่าดัชนีน้ำตาลต่ำ การจัดการความเครียด และการนอนหลับให้เพียงพอ เพื่อช่วยรักษาสมดุลของฮอร์โมน
  • หัตถการโดยผู้เชี่ยวชาญ: อาจใช้การรักษาเสริม เช่น การฉายแสง LED (สีฟ้าและสีแดง) การทำเลเซอร์ หรือการฉีดสเตียรอยด์เข้าที่สิวโดยตรงเพื่อลดการอักเสบของสิวซีสต์ขนาดใหญ่
  • การดูแลผิวขั้นพื้นฐาน: ใช้ผลิตภัณฑ์ทำความสะอาดที่อ่อนโยนและผลิตภัณฑ์บำรุงผิวที่ไม่อุดตันรูขุมขน (Non-comedogenic) เพื่อเสริมสร้างเกราะป้องกันผิวให้แข็งแรง

จากการรักษาสู่การป้องกัน: แนวทางดูแลระยะยาว

การดูแลผิวต่อเนื่องหลังสิวฮอร์โมนหาย

การดูแลผิวต่อเนื่องหลังสิวฮอร์โมนหายคือ การใช้ยาทาเฉพาะที่อย่างสม่ำเสมอเพื่อป้องกันการกลับมาเป็นซ้ำ ควบคู่ไปกับการปรับเปลี่ยนวิถีชีวิตอย่างต่อเนื่อง

แพทย์มักแนะนำให้ใช้ยาทากลุ่มเรตินอยด์ (Retinoids) เช่น Adapalene หรือ Tretinoin สัปดาห์ละ 2-3 คืน หรือใช้กรดอะซีลาอิก (Azelaic acid) เพื่อช่วยควบคุมการอุดตันของรูขุมขนและลดการอักเสบ นอกจากนี้ การป้องกันการกลับมาเป็นซ้ำยังรวมถึง:

  • รับประทานอาหารที่มีค่าดัชนีน้ำตาลต่ำ
  • จัดการความเครียด
  • หลีกเลี่ยงผลิตภัณฑ์ดูแลผิวและเครื่องสำอางที่อุดตันรูขุมขน (Non-comedogenic)

วิธีป้องกันไม่ให้สิวฮอร์โมนกลับมาเป็นซ้ำ

วิธีป้องกันไม่ให้สิวฮอร์โมนกลับมาเป็นซ้ำคือ การใช้ยารักษาสิวอย่างต่อเนื่องในระยะยาว แม้ว่าสิวจะหายดีแล้วก็ตาม เพื่อควบคุมไม่ให้เกิดสิวใหม่

กลยุทธ์หลักในการป้องกันการกลับมาเป็นซ้ำ ได้แก่:

  • การใช้ยาทา: ใช้ยาทากลุ่มเรตินอยด์ (Retinoids) หรือกรดอะซีลาอิก (Azelaic acid) อย่างสม่ำเสมอเพื่อช่วยผลัดเซลล์ผิวและป้องกันการอุดตันของรูขุมขน
  • การใช้ยารับประทาน (หากจำเป็น): อาจต้องรับประทานยาที่เคยใช้ได้ผลในปริมาณต่ำๆ ต่อไป เช่น ยาสไปโรโนแลคโตน (Spironolactone) เพื่อควบคุมฮอร์โมนในระยะยาว
  • การปรับเปลี่ยนวิถีชีวิต: ควบคุมอาหารโดยเน้นอาหารที่มีค่าดัชนีน้ำตาลต่ำ จัดการความเครียด และใช้ผลิตภัณฑ์ที่ไม่ก่อให้เกิดการอุดตัน (Non-comedogenic)
  • การติดตามผลกับแพทย์: การพบแพทย์ตามนัดอย่างสม่ำเสมอจะช่วยให้สามารถปรับเปลี่ยนแผนการรักษาได้ทันท่วงทีหากมีสิวเริ่มกลับมา

การติดตามและประเมินผลการรักษา

ควรติดตามและประเมินผลการรักษาหลังจากปฏิบัติตามแผนอย่างสม่ำเสมอเป็นเวลา 2-3 เดือน หากไม่เห็นการเปลี่ยนแปลงที่ดีขึ้นหรืออาการแย่ลง ควรกลับไปพบแพทย์เพื่อปรับเปลี่ยนแผนการรักษา

โดยทั่วไปแพทย์ผิวหนังจะนัดติดตามผลในช่วง 2-3 เดือนหลังเริ่มการรักษาใหม่เพื่อประเมินการตอบสนอง หากอาการดีขึ้นบางส่วนอาจมีการเพิ่มการรักษาเสริม แต่หากไม่ดีขึ้นเลยอาจต้องเปลี่ยนแนวทางการรักษา เช่น การใช้ยารับประทาน เมื่อควบคุมอาการได้ดีแล้ว สามารถนัดติดตามผลทุก 6-12 เดือนเพื่อคงสภาพผิวที่ดีไว้

สิวประจำเดือนและสิวฮอร์โมนช่วงพิเศษ

สิวประจำเดือนเป็นแบบไหนและขึ้นกี่วันก่อนเมนส์

สิวประจำเดือนมักเป็น สิวอักเสบหรือสิวซีสต์ที่เจ็บและอยู่ลึกใต้ผิวหนังบริเวณคางและแนวกราม ซึ่งจะเริ่มเห่อขึ้นประมาณ 7-10 วันก่อนมีประจำเดือน

สิวประเภทนี้เกิดจากการเปลี่ยนแปลงของฮอร์โมนในช่วงท้ายของรอบเดือน (Luteal phase) ซึ่งเป็นช่วงที่ฮอร์โมนโปรเจสเตอโรนสูงขึ้น ทำให้ผิวผลิตน้ำมันออกมามากกว่าปกติ สิวที่เห่อขึ้นมามักจะค่อยๆ ดีขึ้นเมื่อประจำเดือนเริ่มมา

การดูแลสิวฮอร์โมนช่วงตั้งครรภ์และหลังคลอด

หลักการสำคัญในการดูแลสิวฮอร์โมนช่วงตั้งครรภ์และหลังคลอดคือการเลือกใช้ยาที่ปลอดภัยต่อทารกเป็นอันดับแรก โดยเน้นการรักษาเฉพาะที่และหลีกเลี่ยงยาชนิดรับประทานส่วนใหญ่

การดูแลช่วงตั้งครรภ์:

  • ยาที่ปลอดภัย: สามารถใช้ยาทาเฉพาะที่ เช่น กรดอะซีลาอิก (Azelaic acid) ซึ่งมักเป็นตัวเลือกแรก, เบนโซอิลเพอร์ออกไซด์ (Benzoyl peroxide), และยาปฏิชีวนะชนิดทา เช่น คลินดามัยซิน (Clindamycin)
  • ยาที่ต้องห้าม: ควรหลีกเลี่ยงยาชนิดรับประทานกลุ่มกรดวิตามินเอ (Retinoids), ยาปฏิชีวนะกลุ่มเตตราไซคลีน (Tetracyclines), และยาคุมกำเนิดหรือยาปรับฮอร์โมนทุกชนิด

การดูแลช่วงหลังคลอดและให้นมบุตร:

  • สิวอาจเห่อขึ้นได้หลังคลอดเนื่องจากการเปลี่ยนแปลงของฮอร์โมนอย่างรวดเร็ว
  • การรักษาสำหรับคุณแม่ที่ให้นมบุตรจะคล้ายกับช่วงตั้งครรภ์ คือเน้นใช้ยาที่ปลอดภัยและหลีกเลี่ยงยาที่สามารถผ่านทางน้ำนมได้
  • หลังจากหยุดให้นมบุตรแล้ว สามารถกลับไปใช้ยารักษาสิวที่มีประสิทธิภาพ เช่น ยากลุ่มกรดวิตามินเอ หรือยาปรับฮอร์โมนได้ตามคำแนะนำของแพทย์

สิวฮอร์โมนในวัยทองและการปรับตัว

สิวฮอร์โมนในวัยทอง เกิดจากการที่ระดับฮอร์โมนเอสโตรเจนลดลงอย่างรวดเร็ว ทำให้ผลของฮอร์โมนแอนโดรเจน (ฮอร์โมนเพศชาย) ที่มีอยู่เดิมเด่นชัดขึ้น ซึ่งกระตุ้นให้เกิดสิวและขนบนใบหน้าได้

การปรับตัวและแนวทางการรักษาสามารถทำได้ดังนี้:

  • การรักษาคล้ายกับวัยสาว: การรักษาสิวในวัยหมดประจำเดือนคล้ายกับการรักษาสิวฮอร์โมนในผู้หญิงที่อายุน้อยกว่า
  • ยาต้านแอนโดรเจน: ยาในกลุ่มต้านแอนโดรเจน เช่น สไปโรโนแลคโตน (Spironolactone) ยังคงมีประสิทธิภาพดีในคนกลุ่มวัยนี้
  • ยาทากลุ่มเรตินอยด์: ยาทากลุ่มเรตินอยด์ (Retinoids) เป็นทางเลือกที่ดี เนื่องจากช่วยรักษาสิวและลดเลือนริ้วรอยไปพร้อมกัน
  • ฮอร์โมนทดแทน (HRT): หากใช้ฮอร์โมนทดแทน ควรเลือกชนิดอย่างระมัดระวังเพื่อหลีกเลี่ยงฮอร์โมนที่อาจกระตุ้นให้เกิดสิวมากขึ้น

ข้อควรระวังและความเข้าใจผิดเกี่ยวกับสิวฮอร์โมน

สิ่งที่ไม่ควรทำเมื่อเป็นสิวฮอร์โมน

สิ่งที่ไม่ควรทำเมื่อเป็นสิวฮอร์โมนคือ การล้างหน้าบ่อยหรือขัดถูผิวแรงเกินไป การบีบแกะสิว และการใช้ผลิตภัณฑ์รักษาสิวหลายชนิดพร้อมกันมากเกินความจำเป็น

พฤติกรรมเหล่านี้สามารถทำให้อาการสิวแย่ลงได้ โดยมีรายละเอียดดังนี้:

  • ล้างหน้าหรือขัดผิวรุนแรงเกินไป: การทำความสะอาดผิวบ่อยเกินวันละ 2 ครั้ง หรือใช้สครับที่รุนแรง จะทำลายเกราะป้องกันผิว ทำให้ผิวระคายเคือง และกระตุ้นให้ผลิตน้ำมันออกมามากขึ้น
  • บีบหรือแกะสิว: การพยายามกดหรือบีบสิว โดยเฉพาะสิวซีสต์ที่อยู่ลึกใต้ผิวหนัง จะยิ่งทำให้การอักเสบรุนแรงขึ้น เพิ่มความเสี่ยงในการเกิดรอยแผลเป็น และทำให้สิวหายช้าลง
  • ใช้ผลิตภัณฑ์รักษาสิวมากเกินไป: การใช้ผลิตภัณฑ์ที่มีส่วนผสมออกฤทธิ์หลายชนิดพร้อมกัน เช่น การใช้ทั้งกรดซาลิไซลิก, เบนโซอิลเพอร์ออกไซด์ และเรตินอยด์ในเวลาเดียวกัน อาจทำให้ผิวระคายเคืองอย่างรุนแรง แห้งลอก และอักเสบ ซึ่งจะทำให้เกราะป้องกันผิวอ่อนแอลงและสิวเห่อหนักขึ้นได้
  • หยุดการรักษาเร็วเกินไป: การรักษาสิวฮอร์โมนต้องใช้เวลา โดยทั่วไปจะเห็นผลชัดเจนหลังใช้ยาอย่างสม่ำเสมอประมาณ 2-3 เดือน การหยุดการรักษาก่อนเวลาอันควรอาจทำให้ไม่เห็นผลลัพธ์ที่ต้องการ

ผลข้างเคียงจากการรักษาที่อาจเกิดขึ้น

ผลข้างเคียงจากการรักษาสิวฮอร์โมนจะแตกต่างกันไปตามวิธีการรักษา ซึ่งอาจรวมถึงผลกระทบจากการใช้ยาเฉพาะที่ ยารับประทาน และการทำหัตถการต่างๆ

  • ยาทา: อาจทำให้เกิดการระคายเคือง ผิวแห้ง และลอก โดยเฉพาะในช่วงแรกของการใช้ยาในกลุ่มเรตินอยด์
  • ยาปฏิชีวนะชนิดรับประทาน: อาจทำให้ไวต่อแสงแดดและปวดท้อง
  • ยาฮอร์โมน (เช่น Spironolactone, ยาคุมกำเนิด): อาจทำให้ปัสสาวะบ่อยขึ้น เจ็บเต้านม คลื่นไส้ และมีความเสี่ยงที่พบได้ยากคือลิ่มเลือดอุดตัน
  • ยา Isotretinoin: ทำให้ผิวและริมฝีปากแห้งอย่างรุนแรง ปวดข้อ และมีความเสี่ยงสูงที่จะทำให้ทารกในครรภ์พิการ
  • หัตถการ: อาจเกิดรอยแดง การลอก หรือผิวหนังยุบตัว (จากการฉีดสเตียรอยด์)

ความเชื่อผิดๆ เกี่ยวกับการรักษาสิวฮอร์โมน

ความเชื่อผิดๆ ที่พบบ่อยเกี่ยวกับการรักษาสิวฮอร์โมนคือ สิวเกิดจากความสกปรก การกินอาหารบางชนิด และการบีบสิวหรือใช้ผลิตภัณฑ์มากเกินไปจะช่วยให้สิวหายเร็วขึ้น

  • สิวเกิดจากความสกปรก: ความจริงแล้วสิวฮอร์โมนเกิดจากปัจจัยภายใน (ฮอร์โมนและพันธุกรรม) ไม่ใช่สิ่งสกปรกภายนอก การล้างหน้าบ่อยหรือขัดผิวแรงเกินไปอาจทำให้ผิวระคายเคืองและผลิตน้ำมันมากขึ้น ซึ่งทำให้อาการแย่ลงได้
  • อาหารบางชนิดเป็นสาเหตุของสิว: ความเชื่อที่ว่าช็อกโกแลตหรือของทอดทำให้เกิดสิวนั้นไม่มีหลักฐานชัดเจน แต่การศึกษาพบว่าอาหารที่มีน้ำตาลสูง (High-Glycemic) และผลิตภัณฑ์จากนมบางชนิดอาจกระตุ้นให้เกิดสิวได้ในบางคน
  • การบีบสิวหรือใช้ผลิตภัณฑ์หลายตัวจะช่วยให้สิวหายเร็ว: การบีบหรือแกะสิวจะยิ่งทำให้อักเสบและเสี่ยงต่อการเกิดรอยแผลเป็น นอกจากนี้ การใช้ผลิตภัณฑ์รักษาสิวหลายชนิดพร้อมกันหรือใช้ในปริมาณที่มากเกินไปอาจทำให้ผิวระคายเคืองอย่างรุนแรง แห้งลอก และทำให้เกราะป้องกันผิวอ่อนแอลง

คำถามที่พบบ่อยเกี่ยวกับสิวฮอร์โมนในผู้หญิง

สิวฮอร์โมนหายเองได้ไหม

โดยทั่วไปแล้ว สิวฮอร์โมนมักไม่หายไปเอง เนื่องจากมีลักษณะเป็นๆ หายๆ และเรื้อรัง สิวชนิดนี้อาจเกิดขึ้นต่อเนื่องเป็นเวลาหลายปี และมักจะดีขึ้นหรือหายไปเมื่อเข้าสู่ช่วงวัยหมดประจำเดือน ซึ่งเป็นช่วงที่ต่อมไขมันทำงานลดลงอย่างมาก

สิวฮอร์โมนหายตอนไหน

สิวฮอร์โมนมักจะบรรเทาและหายไปเองในช่วงประมาณ 10 ปีหลังวัยหมดประจำเดือน เนื่องจากต่อมไขมันจะทำงานช้าลงอย่างมาก

ก่อนถึงวัยหมดประจำเดือน สิวฮอร์โมนมักมีลักษณะเป็นเรื้อรังหรือเป็นๆ หายๆ โดยพบได้บ่อยในผู้หญิงตั้งแต่วัย 20 ปีไปจนถึงวัย 40 ปี อย่างไรก็ตาม สิวฮอร์โมนสามารถควบคุมได้ด้วยการรักษาอย่างต่อเนื่องจนกว่าจะหายไปตามธรรมชาติ

สิวฮอร์โมนใช้อะไรดีที่สุด

การรักษาสิวฮอร์โมนที่ดีที่สุดคือการใช้หลายวิธีร่วมกัน โดยขึ้นอยู่กับความรุนแรงของสิว ซึ่งมักประกอบด้วยยาทาเฉพาะที่ ยารับประทาน และการดูแลผิวที่เหมาะสม การรักษาที่มีประสิทธิภาพสูงสุด ได้แก่

  • ยารับประทาน:
  • Spironolactone: เป็นยาต้านฮอร์โมนแอนโดรเจนที่ได้ผลดีมากในการรักษาสิวฮอร์โมนในผู้หญิง
  • ยาคุมกำเนิดชนิดฮอร์โมนรวม: ช่วยปรับสมดุลฮอร์โมนและลดการเกิดสิว โดยเฉพาะชนิดที่มีโปรเจสตินที่ต้านแอนโดรเจน
  • Isotretinoin: ใช้ในกรณีที่เป็นสิวรุนแรงและไม่ตอบสนองต่อการรักษาอื่น ถือเป็นการรักษาที่ใกล้เคียงกับการ “รักษาให้หายขาด”
  • ยาทาเฉพาะที่:
  • กลุ่มเรตินอยด์ (Retinoids): เช่น Tretinoin หรือ Adapalene เป็นพื้นฐานสำคัญในการรักษาระยะยาว ช่วยป้องกันการอุดตันและลดการเกิดสิวใหม่
  • Clascoterone: เป็นยาทาที่ออกฤทธิ์ต้านฮอร์โมนที่ผิวหนังโดยตรง ช่วยลดการผลิตไขมันและการอักเสบ
  • Azelaic Acid: ช่วยลดการอักเสบและรอยสิว ทั้งยังปลอดภัยสำหรับใช้ในระหว่างตั้งครรภ์
  • ผลิตภัณฑ์ดูแลผิว:
  • Benzoyl Peroxide: มีประสิทธิภาพในการฆ่าเชื้อแบคทีเรียที่ก่อให้เกิดสิวและลดการอักเสบ
  • Salicylic Acid (BHA): ช่วยผลัดเซลล์ผิวและละลายไขมันที่อุดตันในรูขุมขน

กินยาคุมรักษาสิวฮอร์โมนได้ผลจริงหรือไม่

ยาคุมกำเนิดชนิดฮอร์โมนรวม (COCs) เป็นวิธีที่ได้ผลจริงในการรักษาสิวฮอร์โมน เนื่องจากยาจะช่วยลดการผลิตฮอร์โมนแอนโดรเจน (androgen) จากรังไข่ ซึ่งเป็นสาเหตุหลักของการเกิดสิว

โดยทั่วไปจะเห็นผลการรักษาอย่างเต็มที่หลังจากรับประทานยาต่อเนื่อง 3-6 เดือน ซึ่งจากการศึกษาพบว่าสามารถลดจำนวนสิวอักเสบได้ถึง 40-70% ยาคุมกำเนิดที่ได้รับการรับรองให้ใช้รักษาสิวมักมีส่วนประกอบของโปรเจสตินที่มีฤทธิ์ต้านแอนโดรเจน เช่น ดรอสไพรีโนน (drospirenone)

สิวฮอร์โมนกับสิววัยรุ่นต่างกันอย่างไร

สิวฮอร์โมนมักขึ้นบริเวณกรอบหน้าและคาง เป็นสิวอักเสบเม็ดใหญ่ใต้ผิวหนัง และเห่อตามรอบเดือน ในขณะที่สิววัยรุ่นมักขึ้นบริเวณ T-zone และเป็นสิวอุดตันหรือสิวหนองมากกว่า

ความแตกต่างที่สำคัญระหว่างสิวฮอร์โมนและสิววัยรุ่นมีดังนี้:

  • ตำแหน่ง: สิวฮอร์โมนมักเกิดในบริเวณ “U-Zone” (กรอบหน้า คาง และแก้มส่วนล่าง) ส่วนสิววัยรุ่นมักเกิดในบริเวณ “T-Zone” (หน้าผาก จมูก และแก้มส่วนบน)
  • ลักษณะสิว: สิวฮอร์โมนมักเป็นสิวซีสต์หรือสิวอักเสบเม็ดใหญ่ที่อยู่ลึกใต้ผิวหนัง ทำให้รู้สึกเจ็บและหายช้า ในขณะที่สิววัยรุ่นมักเป็นสิวอุดตัน (สิวหัวดำ สิวหัวขาว) และสิวหนองที่อยู่บนผิวชั้นบน
  • ช่วงเวลาที่เกิด: สิวฮอร์โมนมักเห่อขึ้นเป็นช่วงๆ สัมพันธ์กับรอบเดือน โดยเฉพาะช่วงก่อนมีประจำเดือน แต่สิววัยรุ่นสามารถเกิดขึ้นได้ตลอดเวลาโดยไม่มีรูปแบบที่ชัดเจน
  • การตอบสนองต่อการรักษา: ยาทาสิวทั่วไปที่หาซื้อได้เองมักไม่ค่อยได้ผลกับสิวฮอร์โมนซึ่งมีลักษณะเป็นซีสต์และอยู่ลึก แต่จะได้ผลดีกว่ากับสิววัยรุ่น

ควรไปพบแพทย์เมื่อไหร่

ควรไปพบแพทย์เมื่อ สิวมีความรุนแรง เป็นซีสต์หรือเกิดแผลเป็น, เกิดขึ้นอย่างฉับพลัน, มีอาการอื่นร่วมด้วย, หรือไม่ดีขึ้นหลังการรักษาด้วยตนเอง สัญญาณเตือนที่บ่งชี้ว่าควรปรึกษาแพทย์ ได้แก่

  • สิวมีความรุนแรง เป็นซีสต์ หรือเริ่มทำให้เกิดแผลเป็น
  • สิวเกิดขึ้นอย่างฉับพลันและรุนแรงในวัยผู้ใหญ่ ซึ่งอาจเป็นสัญญาณของภาวะผิดปกติภายใน
  • มีอาการอื่น ๆ ของภาวะฮอร์โมนเพศชายเกินร่วมด้วย เช่น ขนดกผิดปกติ ผมร่วง หรือประจำเดือนมาไม่ปกติ
  • สิวส่งผลกระทบอย่างรุนแรงต่อสภาพจิตใจ เช่น ทำให้เกิดภาวะซึมเศร้าหรือหลีกเลี่ยงการเข้าสังคม
  • เมื่อลองรักษาด้วยตนเองแล้วอาการไม่ดีขึ้นภายใน 2-3 เดือน

References:

  1. Cleveland Clinic. (n.d.). Hormonal Acne: What Is It, Treatment, Causes & Prevention. Cleveland Clinic. clevelandclinic.org
  2. Schweiger Dermatology Group. (n.d.). Hormonal Acne vs. Regular Acne: How to Tell the Difference. Schweiger Dermatology Group. schweigerderm.com
  3. Practical Dermatology. (n.d.). Across the Lifespan: Understanding the Cutaneous Impact of Hormonal Fluctuations on Women’s Skincare. Practical Dermatology. practicaldermatology.com
  4. Mayo Clinic. (n.d.). Pregnancy acne: What’s the best treatment? Mayo Clinic. mayoclinic.org
  5. Amuzescu, A., et al. (n.d.). Adult female acne: Recent advances in pathophysiology and therapeutic approaches. Cosmetics, 11, 74. MDPI. mdpi.com
  6. Meixiong, J., et al. (n.d.). Diet and acne: A systematic review. JAAD International, 7, 95–112. jaadinternational.org
  7. Khunger, N. (n.d.). Hormone therapy in acne. Indian J. Dermatol. Venereol. Leprol., 87, 1–12. ijdvl.com
  8. National Center for Biotechnology Information. (n.d.). Various research articles on hormonal acne pathophysiology. PubMed. pubmed.ncbi.nlm.nih.gov

แนะแนวเรื่อง

Previous Previous
เป็นตุ่มแข็งๆ เหมือนสิว คืออะไร? สาเหตุและการรักษา
NextContinue
วิธีรักษาสิวผดแบบเร่งด่วนให้ได้ผล เพื่อให้หน้ากลับมาเนียนใส

สาขาพรีวาโต คลินิก

    สาขาอโศก ตั้งอยู่ที่ ชั้น 2 อาคารมิดทาวน์
    Phone: 02-258-4050 , 081-841-5075
    สาขาสีลม ตั้งอยู่ที่ ชั้น 1 อาคารซี.พี.ทาวเวอร์
    Phone: 02-780-2011 , 098-272-5244
    สาขาราชพฤกษ์ ตั้งอยู่ที่ ชั้น 2 ศูนย์การค้า เดอะคริสตัล เอสบี (ด้านบนร้านสตาร์บัคส์)
    Phone: 02-102-2778 , 098-272-5244

ติดต่อเรา

    Facebook: Privato Clinic
    Messenger: Privato Clinic
    Instagram: privatoclinic
    Email: privatoclinic@gmail.com
    Line: @privatoclinic

Copyright© 2022-2024. All Rights Reserved

Scroll to top
  • หน้าหลัก
  • เกี่ยวกับพรีวาโต
  • บริการทั้งหมด
    • ชะลอวัย
    • ยกกระชับผิว
      • XERF
      • Potenza
      • Sofwave
      • Ulthera
      • Thermage-FLX
    • รักษาสิว
    • เลเซอร์
    • โปรแกรมฉีด
    • บำรุงผิว
  • บทความ
    • สิว
    • ยกกระชับ
    • ดูแลผิว
    • ทำเลเซอร์
  • ผลิตภัณฑ์ดูแลผิว
  • โปรโมชั่น
  • ผลลัพธ์การรักษา
  • วิดีโอรีวิวจากเคสจริง
  • สาขาของเรา
  • ไทย
    • ไทย
    • English
    • 中文 (中国)
  • ปรึกษาแพทย์
Facebook Instagram YouTube