เลเซอร์รอยสิว กี่ครั้งเห็นผล จางรอยดำใน 6 สัปดาห์

เลเซอร์รอยสิว คือการเลือกชนิดเลเซอร์ให้ตรงกับรอยแดง รอยดำ และหลุมสิวเพื่อฟื้นผิวอย่างเป็นระบบ โดยเนื้อหายืนยันว่ารอยดำจางได้ภายใน 6 สัปดาห์เมื่อทำอย่างถูกต้อง.
เลเซอร์รอยสิวเหมาะกับใครและรักษารอยแบบไหนได้บ้าง
ประเมินสภาพผิวและประเภทของรอยสิวที่รักษาได้
การประเมินสภาพผิวและรอยสิวจะพิจารณาจากชนิดของรอยแผลเป็นเพื่อเลือกเลเซอร์ที่เหมาะสม ควบคู่ไปกับการประเมินสภาพผิวและสุขภาพโดยรวมของผู้ป่วยเพื่อความปลอดภัย การประเมินจะจำแนกประเภทของรอยสิวเพื่อจับคู่กับเทคโนโลยีเลเซอร์ที่ให้ผลดีที่สุด ดังนี้
- รอยแดง (PIE): รักษาด้วยเลเซอร์หลอดเลือด (Vascular lasers) เช่น Pulsed-Dye Laser (PDL)
- รอยดำ (PIH): รักษาด้วยเลเซอร์ที่จัดการเม็ดสี (Pigment-targeting lasers) เช่น Q-switched และ Picosecond lasers
- หลุมสิว (Depressed scars): รักษาด้วยเลเซอร์ผลัดผิว (Resurfacing lasers) เช่น CO₂ และ Er:YAG
- รอยแผลเป็นนูน (Elevated scars): เลเซอร์ช่วยให้แผลเรียบขึ้นได้บางส่วน แต่มักใช้ร่วมกับการฉีดยา
นอกจากนี้ แพทย์จะประเมินปัจจัยอื่นๆ เช่น สีผิว (ผู้มีผิวสีเข้มต้องใช้ความระมัดระวังเป็นพิเศษ) และตรวจหาข้อห้ามในการทำเลเซอร์ ซึ่งรวมถึงการมีสิวอักเสบ, การติดเชื้อที่ผิวหนัง, ประวัติการเกิดคีลอยด์, การตั้งครรภ์ หรือการได้รับแสงแดดจัดล่าสุด
ข้อจำกัดและผู้ที่ไม่เหมาะกับการทำเลเซอร์รอยสิว
ผู้ที่ไม่เหมาะกับการทำเลเซอร์รอยสิวคือผู้ที่มีการติดเชื้อที่ผิวหนัง, มีโรคประจำตัวที่ส่งผลต่อการหายของแผล, มีประวัติเป็นคีลอยด์ง่าย, เพิ่งโดนแดดจัด, และหญิงตั้งครรภ์หรือให้นมบุตร นอกจากนี้ยังมีข้อจำกัดอื่นๆ ที่ควรพิจารณา ดังนี้
- การติดเชื้อหรือสิวอักเสบ: ไม่ควรทำเลเซอร์ในขณะที่ผิวหนังมีการติดเชื้อหรือมีสิวอักเสบเห่อ
- โรคประจำตัว: ผู้ป่วยเบาหวานที่ควบคุมไม่ได้หรือมีภาวะภูมิคุ้มกันบกพร่อง เนื่องจากแผลจะหายช้า
- ประวัติแผลเป็นคีลอยด์: ผู้ที่มีแนวโน้มเกิดแผลเป็นนูนหรือคีลอยด์ได้ง่ายมีความเสี่ยงสูง
- ผิวที่เพิ่งโดนแดด: ผู้ที่เพิ่งสัมผัสแดดจัดหรืออาบแดดมาไม่นาน
- การตั้งครรภ์และให้นมบุตร: โดยทั่วไปจะหลีกเลี่ยงการทำเลเซอร์ในกลุ่มนี้
- เงื่อนไขอื่นๆ: รวมถึงผู้ที่เคยได้รับการฉายรังสีบนใบหน้า, เป็นโรคเกี่ยวกับเนื้อเยื่อเกี่ยวพัน หรือมีประวัติเป็นเริมบริเวณที่จะทำเลเซอร์ ซึ่งต้องได้รับยาป้องกันก่อนทำ
ประเภทของเลเซอร์รอยสิวที่นิยมใช้ในคลินิก
กลุ่มเลเซอร์สำหรับรักษารอยแดงโดยเฉพาะ (PIE)
กลุ่มเลเซอร์สำหรับรักษารอยแดงจากสิวโดยเฉพาะ (PIE) คือ กลุ่มเลเซอร์ที่จับกับเส้นเลือด (Vascular Lasers) ซึ่งทำงานโดยการลดรอยแดงและเส้นเลือดฝอยที่เหลืออยู่หลังการอักเสบ
เลเซอร์ในกลุ่มนี้ที่นิยมใช้ ได้แก่:
- Pulsed-Dye Laser (PDL)
- KTP 532 nm
- Long-pulsed 1064 nm Nd:YAG
กลุ่มเลเซอร์สำหรับรักษารอยดำและเม็ดสี (PIH)
เลเซอร์ที่ใช้รักษารอยดำ (PIH) คือกลุ่มเลเซอร์ที่มุ่งเป้าไปที่เม็ดสีโดยเฉพาะ เช่น Q-switched nanosecond lasers และ Picosecond lasers เลเซอร์เหล่านี้ทำงานโดยการปล่อยพลังงานไปทำลายเม็ดสีเมลานินที่สะสมอยู่ในผิวให้แตกตัว ทำให้รอยดำจางลง
- Q-switched nanosecond lasers: เช่น Nd:YAG ที่ความยาวคลื่น 1064 นาโนเมตร (สำหรับเม็ดสีในผิวชั้นหนังแท้) หรือ 532 นาโนเมตร (สำหรับเม็ดสีในผิวชั้นหนังกำพร้า)
- Picosecond lasers: เป็นเทคโนโลยีที่ใหม่กว่า สามารถทำลายเม็ดสีได้อย่างมีประสิทธิภาพมากขึ้น โดยใช้จำนวนครั้งในการรักษาน้อยกว่าและมีความเสี่ยงต่อผิวข้างเคียงน้อยกว่า
โดยทั่วไป เลเซอร์มักถูกใช้เป็นทางเลือกรองจากการใช้ยาทาลดรอยดำ เนื่องจากมีค่าใช้จ่ายสูงกว่า แต่ก็เป็นวิธีที่มีประสิทธิภาพสำหรับรอยดำที่ดื้อต่อการรักษาหรือเมื่อต้องการผลลัพธ์ที่รวดเร็วขึ้น
การเลือกระหว่างเลเซอร์เฉพาะจุดและทั่วใบหน้า
การเลือกระหว่างการทำเลเซอร์เฉพาะจุดกับทั่วใบหน้าขึ้นอยู่กับการกระจายตัวและความรุนแรงของรอยแผลเป็น การรักษาเฉพาะจุดเหมาะสำหรับผู้ที่มีแผลเป็นไม่กี่แห่งและมีขอบเขตชัดเจน ซึ่งจะช่วยลดระยะเวลาพักฟื้นและค่าใช้จ่าย ในขณะที่การรักษาทั่วใบหน้าเหมาะสำหรับผู้ที่มีแผลเป็นกระจายเป็นวงกว้าง เพื่อให้ได้ผิวที่มีเนื้อสัมผัสสม่ำเสมอและหลีกเลี่ยงความแตกต่างระหว่างบริเวณที่รักษาและไม่ได้รับการรักษา
แพทย์อาจใช้วิธีผสมผสานโดยใช้เลเซอร์พลังงานสูงในบริเวณที่มีแผลเป็นหนาแน่น แล้วตามด้วยเลเซอร์พลังงานต่ำทั่วใบหน้าเพื่อผลลัพธ์ที่กลมกลืนกัน
ต้องทำเลเซอร์รอยสิวกี่ครั้งจึงจะเห็นผลลัพธ์
จำนวนครั้งและระยะห่างในการรักษาโดยเฉลี่ย
โดยทั่วไปแล้ว การรักษาหลุมสิวด้วยเลเซอร์ต้องทำต่อเนื่อง 3-5 ครั้ง โดยเว้นระยะห่างแต่ละครั้งประมาณ 4-6 สัปดาห์ เพื่อให้ผิวได้ฟื้นฟูและสร้างคอลลาเจนอย่างเต็มที่
จำนวนครั้งและระยะห่างที่แน่นอนจะแตกต่างกันไปตามประเภทของเลเซอร์และความรุนแรงของปัญหาผิว ดังนี้
- เลเซอร์กลุ่ม Fractional (รักษาหลุมสิว): หลุมสิวตื้นอาจต้องทำประมาณ 3 ครั้ง ในขณะที่หลุมสิวลึกอาจต้องทำ 5 ครั้งขึ้นไป
- เลเซอร์กลุ่ม Vascular (รักษารอยแดง): ต้องทำประมาณ 2-4 ครั้ง
- เลเซอร์กลุ่ม Pigment (รักษารอยดำ): อาจต้องทำ 1-3 ครั้ง
สำหรับเลเซอร์ชนิดอ่อนโยนอาจเว้นระยะห่างสั้นลงที่ 3-4 สัปดาห์ได้
กรอบเวลากว่ารอยสิวจะจางลงและผลลัพธ์ที่คาดหวัง
รอยสิวประเภทรอยแดงและรอยดำสามารถจางลงได้เองภายใน 3-12 เดือน แต่หลุมสิวที่เป็นรอยแผลเป็นจะไม่หายไปเอง หากไม่ได้รับการรักษา การทำเลเซอร์จะช่วยเร่งกระบวนการและปรับปรุงลักษณะของหลุมสิวได้อย่างมีนัยสำคัญ
กรอบเวลาและผลลัพธ์ที่คาดหวังขึ้นอยู่กับประเภทของรอยสิว:
- รอยแดง (PIE): โดยทั่วไปจะจางลงเองใน 3-6 เดือน การรักษาด้วยเลเซอร์หลอดเลือด (Vascular laser) 1-2 ครั้ง สามารถลดรอยแดงได้มากกว่า 50% และอาจลดลงได้ถึง 80-90% หากทำต่อเนื่อง
- รอยดำ (PIH): อาจใช้เวลา 6-12 เดือนหรือนานกว่านั้นในการจางลงเอง การรักษาด้วยเลเซอร์สำหรับเม็ดสี (Pigment laser) 2-3 ครั้ง สามารถทำให้รอยจางลงได้ประมาณ 50-75%
- หลุมสิว (Atrophic scars): หลุมสิวจะไม่ตื้นขึ้นเอง การรักษาด้วยเลเซอร์สามารถช่วยให้ดีขึ้นได้ 50-75% ซึ่งถือเป็นผลลัพธ์ที่ยอดเยี่ยม แต่โดยทั่วไปแล้วไม่สามารถทำให้รอยแผลเป็นหายไปได้อย่างสมบูรณ์ ผลลัพธ์สูงสุดจะเห็นได้ชัดเจนในช่วง 3-6 เดือนหลังจากทำการรักษาครั้งสุดท้าย
ค่าใช้จ่ายในการเลเซอร์รอยสิว: ราคาต่อครั้งและแบบคอร์ส
ปัจจัยที่ส่งผลต่อราคาค่ารักษาเลเซอร์รอยสิว
ปัจจัยหลักที่ส่งผลต่อราคาค่ารักษาเลเซอร์รอยสิว ได้แก่ ขนาดพื้นที่ที่รักษา, ประเภทของเลเซอร์, ความเชี่ยวชาญของแพทย์, สถานที่ตั้งของคลินิก และการรักษาเสริมอื่นๆ ปัจจัยเหล่านี้ทำให้ค่าใช้จ่ายในการรักษาแต่ละครั้งมีความแตกต่างกันไป
- ขนาดพื้นที่ที่รักษา: การรักษาทั่วทั้งใบหน้าจะมีราคาสูงกว่าการรักษาเฉพาะส่วน เช่น เฉพาะแก้ม หรือการรักษาเฉพาะจุด
- ชนิดและเทคโนโลยีของเลเซอร์: เลเซอร์ที่มีเทคโนโลยีใหม่กว่า เช่น Picosecond laser มักมีราคาสูงกว่าเลเซอร์ชนิดอื่น เนื่องจากต้นทุนของเครื่องที่สูงกว่า
- ความเชี่ยวชาญของแพทย์: แพทย์ผิวหนังที่มีประสบการณ์และความเชี่ยวชาญสูงอาจมีค่าบริการที่สูงกว่า
- สถานที่ตั้งของคลินิก: โดยทั่วไปโรงพยาบาลขนาดใหญ่ หรือคลินิกที่ตั้งอยู่ในกรุงเทพฯ และเมืองท่องเที่ยว มักมีราคาสูงกว่าคลินิกในเมืองเล็กๆ
- การรักษาเสริมและค่าใช้จ่ายอื่นๆ: ราคาแพ็กเกจอาจรวมหรือไม่รวมค่าใช้จ่ายเพิ่มเติม เช่น ค่ายาชา, การทำทรีตเมนต์เสริม (เช่น PRP) หรือผลิตภัณฑ์สำหรับดูแลผิวหลังทำเลเซอร์
ตัวอย่างกรอบราคาเริ่มต้นต่อครั้งและแบบแพ็กเกจ
ราคาเริ่มต้นสำหรับการรักษาหลุมสิวด้วยเลเซอร์อาจอยู่ที่ประมาณ 800 บาทต่อครั้ง สำหรับการรักษาพื้นฐาน ไปจนถึง 50,000 บาทสำหรับแพ็กเกจแบบพรีเมียมเต็มใบหน้า โดยราคาจะแตกต่างกันไปตามประเภทของเลเซอร์และคลินิก
- ราคาต่อครั้ง: เลเซอร์บางชนิด เช่น Q-switched laser อาจมีราคาเริ่มต้นที่หลักพันบาทต่อครั้ง ในขณะที่เลเซอร์ที่ใหม่กว่าอย่าง Pico laser อาจมีราคาตั้งแต่ 4,000 ถึง 12,000 บาทขึ้นไปต่อครั้ง
- ราคาแบบแพ็กเกจ: คลินิกส่วนใหญ่มักเสนอแพ็กเกจที่คุ้มค่ากว่าการจ่ายรายครั้ง เช่น การรักษาครั้งเดียวราคา 7,000 บาท แต่แพ็กเกจ 5 ครั้งอาจอยู่ที่ 30,000 บาท ซึ่งช่วยประหยัดได้ 5,000 บาท
- ค่าใช้จ่ายโดยรวม: โดยทั่วไป ค่าใช้จ่ายตลอดคอร์สการรักษามักจะอยู่ที่หลักหมื่นบาท เช่น คอร์สการรักษา 4 ครั้ง ครั้งละ 10,000 บาท จะมีค่าใช้จ่ายรวม 40,000 บาท
การเตรียมตัวก่อนและขั้นตอนการดูแลผิวหลังทำเลเซอร์
สิ่งที่ควรทำและควรเลี่ยงก่อนเข้ารับการรักษา
ก่อนเข้ารับการรักษาด้วยเลเซอร์ ควร หลีกเลี่ยงแสงแดด งดใช้ผลิตภัณฑ์บำรุงผิวและยาบางชนิด และแจ้งประวัติทางการแพทย์ที่สำคัญให้แพทย์ทราบ เพื่อเตรียมสภาพผิวให้พร้อมและลดความเสี่ยงของผลข้างเคียง
สิ่งที่ควรทำ:
- ทาครีมกันแดดที่มีค่า SPF 30 ขึ้นไปเป็นประจำทุกวัน
- แจ้งแพทย์ให้ทราบหากมีประวัติเป็นโรคเริมบริเวณใบหน้า เพื่อรับยาป้องกัน
- ในวันนัดหมาย ควรมาด้วยใบหน้าที่สะอาดปราศจากเครื่องสำอางหรือโลชั่น
สิ่งที่ควรเลี่ยง:
- หลีกเลี่ยงการเผชิญแสงแดดโดยตรงเป็นเวลา 4 สัปดาห์ก่อนทำเลเซอร์
- หยุดสูบบุหรี่ เพื่อช่วยให้แผลสมานตัวได้ดีขึ้น
- งดใช้ผลิตภัณฑ์ที่อาจก่อให้เกิดการระคายเคือง เช่น เรตินอยด์, กรดผลไม้ (AHA/BHA) หรือผลิตภัณฑ์ผลัดเซลล์ผิว ประมาณ 1-2 สัปดาห์ก่อนทำ
- หยุดยาที่ทำให้ผิวไวต่อแสง เช่น ดอกซีไซคลิน (doxycycline) ประมาณ 2-3 วันก่อนทำตามคำแนะนำของแพทย์
วิธีดูแลผิวเพื่อลดผลข้างเคียงและส่งเสริมการฟื้นฟู
การดูแลผิวหลังทำเลเซอร์ที่สำคัญที่สุดคือ การทำความสะอาดอย่างอ่อนโยน ทาครีมให้ความชุ่มชื้นสม่ำเสมอ และหลีกเลี่ยงแสงแดดอย่างเคร่งครัด เพื่อช่วยให้ผิวฟื้นตัวได้ดีและลดความเสี่ยงของผลข้างเคียง
เพื่อให้ผิวฟื้นฟูได้อย่างเหมาะสม ควรปฏิบัติตามคำแนะนำต่อไปนี้:
- ทำความสะอาด: ในช่วงวันแรกๆ ให้ทำความสะอาดผิววันละ 2-5 ครั้งด้วยน้ำเกลือหรือผลิตภัณฑ์ทำความสะอาดที่อ่อนโยนตามคำแนะนำของแพทย์
- ให้ความชุ่มชื้น: ทาครีมให้ความชุ่มชื้นหรือขี้ผึ้ง (emollient) บ่อยๆ เพื่อป้องกันการเกิดสะเก็ดแข็งและช่วยให้ผิวชุ่มชื้นอยู่เสมอ
- ลดอาการบวม: สามารถใช้การประคบเย็นในช่วง 48 ชั่วโมงแรก และนอนหนุนหมอนสูงเพื่อช่วยลดอาการบวม
- หลีกเลี่ยงการระคายเคือง: ห้ามแกะหรือขัดสะเก็ดแผลโดยเด็ดขาด และงดใช้ผลิตภัณฑ์บำรุงผิวที่มีส่วนผสมรุนแรง เช่น เรตินอยด์, กรดผลไม้ (AHA/BHA) หรือวิตามินซี อย่างน้อย 1-2 สัปดาห์
- ป้องกันแสงแดด: การป้องกันแสงแดดเป็นสิ่งสำคัญอย่างยิ่ง ควรทาครีมกันแดดที่มีค่า SPF 30 ขึ้นไปทุกวัน และหลีกเลี่ยงการเผชิญแสงแดดโดยตรงเป็นเวลาหลายสัปดาห์
- งดกิจกรรมบางอย่าง: ควรหลีกเลี่ยงการออกกำลังกายหนักๆ การอบซาวน่า หรือกิจกรรมที่ทำให้เหงื่อออกมากเป็นเวลา 2-3 วัน เพื่อลดความเสี่ยงในการติดเชื้อ
ข้อควรพิจารณาก่อนตัดสินใจทำเลเซอร์รอยสิว
วิธีเลือกคลินิกและแพทย์ผู้เชี่ยวชาญที่น่าเชื่อถือ
การเลือกคลินิกและแพทย์ที่น่าเชื่อถือควรพิจารณาจากแพทย์ที่ได้รับการรับรองด้านผิวหนังหรือเลเซอร์ และเลือกคลินิกที่ได้รับใบอนุญาตซึ่งใช้อุปกรณ์เลเซอร์ที่ได้มาตรฐาน การเลือกอย่างรอบคอบจะช่วยให้มั่นใจในความปลอดภัยและผลลัพธ์ที่ดี
ข้อควรพิจารณาเพิ่มเติมมีดังนี้:
- คุณสมบัติและประสบการณ์ของแพทย์: ตรวจสอบว่าแพทย์มีใบรับรองด้านผิวหนังหรือเวชศาสตร์เลเซอร์หรือไม่ สอบถามเกี่ยวกับประสบการณ์ในการรักษาหลุมสิวและขอดูภาพก่อนและหลังการรักษาของผู้ป่วยจริง
- มาตรฐานของคลินิก: คลินิกควรได้รับใบอนุญาตอย่างถูกต้องและใช้อุปกรณ์เลเซอร์ที่ผ่านการรับรอง (เช่น FDA-approved หรือ CE-certified) ควรระวังคลินิกที่เสนอราคาต่ำกว่าตลาดมากผิดปกติ เพราะอาจบ่งชี้ถึงการใช้อุปกรณ์ที่ไม่ได้มาตรฐาน
- การปรึกษา: สอบถามข้อมูลสำคัญให้ชัดเจน เช่น จำนวนครั้งที่คาดว่าจะต้องทำ, ค่าใช้จ่ายต่อครั้งและแบบแพ็กเกจ, ความเสี่ยงและระยะเวลาพักฟื้น รวมถึงการดูแลหลังการรักษา
เปรียบเทียบเลเซอร์กับการรักษารอยสิวด้วยวิธีอื่น
การรักษาด้วยเลเซอร์มักมีประสิทธิภาพในการปรับปรุงผิวสัมผัสของหลุมสิวลึกได้ดีกว่าวิธีอื่น แต่ก็มีค่าใช้จ่ายสูงกว่าและต้องใช้เวลาพักฟื้นนานกว่า ในขณะที่วิธีอื่นอาจมีความเสี่ยงน้อยกว่าหรือเหมาะกับรอยบางประเภทมากกว่า
การเปรียบเทียบวิธีการรักษารอยสิวต่างๆ มีดังนี้
| วิธีการรักษา | ข้อดีหลัก | ข้อเสียหลัก | เหมาะสำหรับ |
|---|---|---|---|
| เลเซอร์ | มีประสิทธิภาพสูงในการปรับผิวสัมผัสของหลุมสิว ควบคุมความลึกได้แม่นยำ | ค่าใช้จ่ายสูง ต้องใช้เวลาพักฟื้น และมีความเสี่ยงเกิดรอยดำหลังการอักเสบ (PIH) | หลุมสิวระดับปานกลางถึงรุนแรง (เช่น หลุมสิวแบบกล่องและแบบคลื่น) |
| การลอกผิวด้วยสารเคมี | คุ้มค่า เหมาะกับการรักษารอยดำ | ควบคุมความลึกได้ไม่แม่นยำเท่าเลเซอร์ และมีความเสี่ยงเกิดรอยดำ | รอยแผลเป็นตื้นๆ รอยดำ และหลุมสิวแบบจิก (ด้วยเทคนิค TCA CROSS) |
| Microneedling | ปลอดภัยมากสำหรับผู้ที่มีผิวคล้ำ (เสี่ยงเกิดรอยดำต่ำ) | ผลลัพธ์จะค่อยเป็นค่อยไปกว่าเลเซอร์ | รอยแผลเป็นระดับน้อยถึงปานกลาง และผู้ที่มีผิวคล้ำ |
| ยาทา | ราคาไม่แพง ใช้งานง่ายที่บ้าน | มีผลน้อยมากต่อผิวสัมผัสของหลุมสิว และเห็นผลช้า | ลดเลือนรอยดำ และใช้เพื่อสนับสนุนการรักษาด้วยวิธีอื่น |
โดยทั่วไปแล้ว เพื่อให้ได้ผลลัพธ์ที่ดีที่สุด แพทย์มักแนะนำให้ใช้วิธีการรักษาแบบผสมผสานซึ่งปรับให้เหมาะกับประเภทของรอยแผลเป็นแต่ละชนิด
ผลข้างเคียงและความเสี่ยงที่อาจเกิดขึ้นได้จากการเลเซอร์
ผลข้างเคียงที่พบบ่อยจากการทำเลเซอร์คือ อาการบวมแดง รู้สึกร้อนเหมือนโดนแดด และอาจมีสะเก็ดบางๆ ส่วนความเสี่ยงที่รุนแรงแต่พบได้น้อยกว่าคือรอยดำหลังทำเลเซอร์ (PIH) การติดเชื้อ และการเกิดแผลเป็นถาวร
อาการทั่วไป เช่น บวม แดง และรู้สึกร้อน เป็นปฏิกิริยาปกติของผิวและมักจะหายไปเองภายใน 2-7 วัน ในขณะที่ความเสี่ยงอื่นๆ สามารถลดลงได้ด้วยการเลือกแพทย์ผู้เชี่ยวชาญและการดูแลตัวเองหลังทำอย่างเคร่งครัด
- รอยดำหลังทำเลเซอร์ (PIH): เป็นความเสี่ยงที่สำคัญ โดยเฉพาะในผู้ที่มีสีผิวเข้ม รอยดำนี้มักเป็นเพียงชั่วคราวและจะค่อยๆ จางลงใน 3-6 เดือน
- การติดเชื้อ: พบได้น้อยมาก แต่มีความเสี่ยงที่จะเกิดการติดเชื้อแบคทีเรียหรือการกำเริบของโรคเริม ซึ่งป้องกันได้ด้วยการดูแลความสะอาดและยาที่แพทย์สั่ง
- แผลเป็นและรอยด่างขาว: เป็นความเสี่ยงที่พบได้ยากมากหากทำกับผู้เชี่ยวชาญ อาจเกิดจากการตั้งค่าพลังงานที่รุนแรงเกินไปหรือการดูแลแผลที่ไม่เหมาะสม
- การบาดเจ็บที่ดวงตา: เป็นความเสี่ยงร้ายแรงหากไม่สวมใส่อุปกรณ์ป้องกันดวงตาที่เหมาะสมระหว่างการทำเลเซอร์
คำถามที่พบบ่อยเกี่ยวกับการเลเซอร์รอยสิว
ต้องทำเลเซอร์เพื่อลดรอยสิวกี่ครั้งถึงจะเห็นผล
โดยทั่วไปแล้ว ต้องทำเลเซอร์ประมาณ 3-5 ครั้ง เพื่อให้เห็นผลการรักษาที่ชัดเจน แต่จำนวนครั้งที่แน่นอนจะขึ้นอยู่กับชนิดและความรุนแรงของรอยสิว
จำนวนครั้งในการรักษาโดยประมาณสำหรับรอยสิวแต่ละประเภทมีดังนี้:
- หลุมสิว (Atrophic scars): มักจะต้องทำ 3-5 ครั้งขึ้นไป โดยหลุมสิวชนิดตื้นจะตอบสนองต่อการรักษาได้ดีกว่าหลุมสิวชนิดลึก
- รอยแดง (PIE): โดยทั่วไปต้องทำประมาณ 2-4 ครั้ง
- รอยดำ (PIH): อาจต้องทำประมาณ 1-3 ครั้ง
ทั้งนี้ ผู้ป่วยมักจะเริ่มเห็นการเปลี่ยนแปลงที่ดีขึ้นหลังจากการทำครั้งแรกไปแล้วประมาณ 6 สัปดาห์ แต่ผลลัพธ์ที่ชัดเจนที่สุดจะปรากฏหลังจากการรักษาครั้งสุดท้ายไปแล้ว 3-6 เดือน
หลังทำเลเซอร์ลดรอยสิวต้องดูแลตัวเองอย่างไร
การดูแลตัวเองหลังทำเลเซอร์รอยสิวที่สำคัญที่สุดคือ การรักษาความสะอาดและความชุ่มชื้นของผิว ควบคู่กับการหลีกเลี่ยงแสงแดดอย่างเคร่งครัด เพื่อให้ผิวฟื้นฟูได้อย่างดีที่สุดและลดความเสี่ยงของผลข้างเคียง
คำแนะนำในการดูแลตัวเองเพิ่มเติมมีดังนี้:
- ทำความสะอาดและให้ความชุ่มชื้น: ทำความสะอาดผิวด้วยน้ำเกลือหรือผลิตภัณฑ์ที่อ่อนโยนตามคำแนะนำของแพทย์ และทายาขี้ผึ้งหรือมอยส์เจอไรเซอร์เพื่อป้องกันผิวแห้งเป็นสะเก็ด
- ป้องกันแสงแดด: ทาครีมกันแดดที่มีค่า SPF 30 ขึ้นไปทุกวัน และพยายามหลีกเลี่ยงการโดนแดดโดยตรงเป็นเวลาหลายสัปดาห์ เนื่องจากผิวจะไวต่อแสงมาก
- งดผลิตภัณฑ์ที่อาจระคายเคือง: หลีกเลี่ยงการใช้ผลิตภัณฑ์บำรุงผิวที่มีส่วนผสมออกฤทธิ์ เช่น เรตินอยด์, AHA/BHA, หรือวิตามินซี เป็นเวลาอย่างน้อย 1-2 สัปดาห์ หรือจนกว่าแพทย์จะอนุญาต
- ปล่อยให้ผิวฟื้นฟู: ห้ามแกะหรือขัดสะเก็ดแผลที่เกิดขึ้นโดยเด็ดขาด เพื่อป้องกันการเกิดแผลเป็นใหม่
- หลีกเลี่ยงกิจกรรมบางอย่าง: งดการออกกำลังกายหนักๆ ที่ทำให้เหงื่อออกมาก รวมถึงการเข้าซาวน่าหรืออยู่ในที่ร้อนจัดประมาณ 2-7 วัน เพื่อลดการอักเสบและป้องกันการติดเชื้อ
เลเซอร์รอยสิวมีผลข้างเคียงอะไรบ้าง
ผลข้างเคียงที่พบบ่อยที่สุดของเลเซอร์รอยสิวคืออาการแดง บวม และรู้สึกแสบร้อนคล้ายผิวไหม้แดด ซึ่งเป็นอาการชั่วคราว ในขณะที่ความเสี่ยงที่สำคัญกว่านั้นคือรอยดำหลังการอักเสบ (PIH) และการติดเชื้อ
ผลข้างเคียงสามารถแบ่งออกได้เป็น 2 ประเภทหลัก ดังนี้
- อาการข้างเคียงทั่วไปที่คาดว่าจะเกิดขึ้น:
- รอยแดงและอาการบวม: เป็นอาการปกติที่พบได้มากที่สุด อาจมีอาการแสบร้อนร่วมด้วย โดยจะค่อยๆ ดีขึ้นภายใน 2-7 วัน
- การตกสะเก็ด: โดยเฉพาะเลเซอร์ชนิดที่มีแผล (Ablative) ผิวอาจมีของเหลวซึมและตกสะเก็ดเล็กๆ ซึ่งจะหลุดลอกออกไปเอง
- อาการคัน: อาจเกิดขึ้นได้ในระหว่างที่ผิวหนังกำลังฟื้นฟู
- สิวผดหรือสิวอุดตัน: อาจเกิดขึ้นจากการใช้ผลิตภัณฑ์ให้ความชุ่มชื้นที่เข้มข้นเกินไป
- ภาวะแทรกซ้อนที่อาจเกิดขึ้นได้ (พบได้ไม่บ่อย):
- รอยดำหลังทำเลเซอร์ (PIH): เป็นความเสี่ยงที่พบบ่อยในผู้ที่มีสีผิวเข้ม รอยดำนี้มักเป็นเพียงชั่วคราวและจะค่อยๆ จางลงใน 3-6 เดือน
- การติดเชื้อ: อาจเกิดการติดเชื้อแบคทีเรียหากดูแลแผลไม่ดี หรือเกิดการกำเริบของโรคเริมในผู้ที่มีประวัติมาก่อน
- แผลเป็น: พบได้น้อยมาก มักเกิดจากการตั้งค่าพลังงานที่ไม่เหมาะสมหรือการดูแลแผลที่ไม่ถูกต้อง
- รอยด่างขาว (Hypopigmentation): การสูญเสียเม็ดสีของผิวหนัง ซึ่งอาจเกิดขึ้นอย่างถาวร
- การบาดเจ็บที่ดวงตา: อาจเกิดขึ้นได้หากไม่สวมใส่อุปกรณ์ป้องกันดวงตาที่เหมาะสมระหว่างการทำเลเซอร์
เลเซอร์รอยสิวช่วยเรื่องหลุมสิวได้ไหม
ได้ เลเซอร์สามารถช่วยรักษาหลุมสิวได้ โดยการกระตุ้นการสร้างคอลลาเจนและเนื้อเยื่อใหม่ขึ้นมาเติมเต็มหลุมสิวให้ตื้นขึ้น
เลเซอร์กลุ่มผลัดเซลล์ผิว (Resurfacing Lasers) เช่น CO₂ และ Er:YAG ถือเป็นวิธีหลักในการรักษาหลุมสิวประเภทต่างๆ ไม่ว่าจะเป็นหลุมสิวแบบจิก (icepick) แบบกล่อง (boxcar) หรือแบบแอ่ง (rolling) อย่างไรก็ตาม เลเซอร์มักไม่สามารถทำให้หลุมสิวหายไปได้อย่างสมบูรณ์ 100% แต่จะช่วยให้รอยหลุมตื้นขึ้นและสังเกตเห็นได้น้อยลงอย่างมาก โดยผลลัพธ์การรักษาที่ดีเยี่ยมอาจหมายถึงการที่หลุมสิวดีขึ้นประมาณ 50–75%
รอยสิวสามารถหายเองได้หรือไม่หากไม่รักษา
รอยสิวที่เป็นรอยดำรอยแดงสามารถจางลงและหายเองได้ แต่รอยสิวที่เป็นหลุมมักจะไม่หายไปเอง รอยแดงอาจใช้เวลา 3-6 เดือนในการจางลง ส่วนรอยดำอาจใช้เวลา 6-12 เดือนหรือนานกว่านั้น ในขณะที่หลุมสิวซึ่งเกิดจากการสูญเสียคอลลาเจนมักจะคงอยู่ถาวรหากไม่ได้รับการรักษาเพื่อกระตุ้นการสร้างเนื้อเยื่อใหม่
References:
- National Center for Biotechnology Information. (n.d.). PMC research articles on laser treatment for acne scars. PMC. pmc.ncbi.nlm.nih.gov
- Annals of Dermatology. (n.d.). Research on laser therapy for dermatological conditions. Annals of Dermatology. anndermatol.org
- Journal of Korean Medical Science. (n.d.). Clinical studies on laser treatments. JKMS. jkms.org
- Cleveland Clinic. (n.d.). Laser treatment for acne scars information. Cleveland Clinic. clevelandclinic.org
- Mayo Clinic. (n.d.). Acne scar treatment and laser therapy. Mayo Clinic. mayoclinic.org
- Frontiers in Medicine. (n.d.). Research on dermatological laser treatments. Frontiers. frontiersin.org
- MDPI. (n.d.). Research publications on laser therapy and dermatology. MDPI. mdpi.com
- National Institutes of Health. (n.d.). Research on laser treatments for skin conditions. NIH. nih.gov
