Skip to content

TEL : 081-841-5075, 02-258-4050

Facebook Instagram YouTube
Privato Clinic – Innovation Of Beauty  |  Bangkok
  • หน้าหลัก
  • เกี่ยวกับพรีวาโต
  • บริการทั้งหมดExpand
    • ชะลอวัย
    • ยกกระชับผิวExpand
      • XERF
      • Potenza
      • Sofwave
      • Ulthera
      • Thermage-FLX
    • รักษาสิว
    • เลเซอร์
    • โปรแกรมฉีด
    • บำรุงผิว
  • บทความExpand
    • สิว
    • ยกกระชับ
    • ดูแลผิว
    • ทำเลเซอร์
  • ผลิตภัณฑ์ดูแลผิว
  • โปรโมชั่น
  • ผลลัพธ์การรักษา
  • วิดีโอรีวิวจากเคสจริง
  • สาขาของเรา
  • ไทยExpand
    • ไทย
    • English
    • 中文 (中国)
  • ปรึกษาแพทย์
Privato Clinic – Innovation Of Beauty  |  Bangkok
Consult a Doctor
Acne

สิวในจมูก วิธีดูแลตัวเองขั้นพื้นฐาน ลดเสี่ยงกำเริบ

Byadmin กันยายน 27, 2025
By แพทย์หญิงนัชชนก หุ่นวิจิตร Updated on กันยายน 27, 2025
✦ Medically reviewed by  นายแพทย์เลอพงษ์ กรุดเงิน
สิวในจมูก วิธีดูแลตัวเองขั้นพื้นฐาน ลดเสี่ยงกำเริบ

สิวในจมูก คือการอักเสบจากการอุดตันและการติดเชื้อในโพรงจมูก โดยเชื้อ Staphylococcus aureus พบเป็นผู้ครอบครองปกติในประชากรราว 25–30% จึงต้องดูแลอย่างถูกวิธี; แพทย์แนะนำแนวทางลดปวดและป้องกันกำเริบที่บ้าน

Table of Contents

Toggle
  • สาเหตุหลักของสิวในจมูก เกิดจากอะไรได้บ้าง
    • การอุดตันของรูขุมขนและต่อมไขมัน
    • การติดเชื้อแบคทีเรียในโพรงจมูก
    • พฤติกรรมเสี่ยงที่กระตุ้นให้เกิดสิวซ้ำ
  • วิธีดูแลสิวในจมูกเบื้องต้นด้วยตัวเองที่บ้าน
    • คุณสามารถปฏิบัติตามขั้นตอนต่อไปนี้:
    • การประคบอุ่นเพื่อลดการอักเสบและอาการปวด
    • การทำความสะอาดอย่างถูกวิธีและอ่อนโยน
    • การเลือกใช้ยาหรือผลิตภัณฑ์ทาเฉพาะที่
    • ระยะเวลาฟื้นตัว: สิวในจมูกกี่วันถึงจะหาย
  • ข้อควรระวังและสิ่งที่ไม่ควรทำเมื่อเป็นสิวในจมูก
    • ทำไมถึงห้ามบีบ แคะ หรือแกะสิวในจมูกเด็ดขาด
    • สัญญาณอันตรายที่บ่งชี้ว่าควรพบแพทย์ทันที
  • จากวิธีดูแลสู่การตัดสินใจ: เมื่อไหร่ที่ควรปรึกษาแพทย์
    • ลักษณะสิวที่การดูแลตัวเองอาจไม่เพียงพอ
    • การประเมินความเสี่ยงและการเลือกแนวทางการรักษา
    • การเตรียมตัวก่อนเข้าพบแพทย์ผิวหนัง
  • ทางเลือกการรักษาโดยแพทย์สำหรับสิวในจมูกที่รุนแรง
    • การใช้ยาปฏิชีวนะชนิดรับประทานหรือชนิดทา
    • การระบายหนองโดยผู้เชี่ยวชาญอย่างปลอดภัย
  • คำถามที่พบบ่อยเกี่ยวกับสิวในจมูก
    • ทำอย่างไรให้สิวในจมูกหายเร็วขึ้น?
    • ตุ่มในจมูกที่ไม่ใช่สิวอาจเป็นอะไรได้บ้าง?
    • สิวในจมูกแบบไม่มีหัวและเจ็บมาก ควรทำอย่างไร?
    • การเป็นสิวในจมูกบ่อยๆ เกี่ยวข้องกับโรคอื่นหรือไม่?
    • สิวในจมูกอันตรายถึงชีวิตตามที่กล่าวอ้างจริงหรือไม่?
    • จำเป็นต้องใช้ยาฆ่าเชื้อทุกครั้งที่เป็นสิวในจมูกหรือไม่?
  • References:

สาเหตุหลักของสิวในจมูก เกิดจากอะไรได้บ้าง

การอุดตันของรูขุมขนและต่อมไขมัน

การอุดตันของรูขุมขนและต่อมไขมันทำให้เกิดสภาพแวดล้อมที่อุดมด้วยไขมันซึ่งเอื้อต่อการเจริญเติบโตของแบคทีเรีย ซึ่งจะกระตุ้นให้เกิดการอักเสบ นำไปสู่รอยแดงและการเกิดตุ่มหนองคล้ายกับสิวบนใบหน้า โครงสร้างภายในโพรงจมูกซึ่งมีรูขุมขนและต่อมไขมันอยู่แล้ว ทำให้บริเวณนี้มีแนวโน้มที่จะเกิดการอุดตันและการติดเชื้อได้ง่ายเมื่อมีการระคายเคือง

การติดเชื้อแบคทีเรียในโพรงจมูก

การติดเชื้อแบคทีเรียในโพรงจมูก ส่วนใหญ่มักเกิดจากเชื้อ *Staphylococcus aureus* (*S. aureus*) ซึ่งเป็นเชื้อที่พบได้ปกติในโพรงจมูกของประชากรประมาณ 25–30% โดยไม่ก่อให้เกิดอาการ การติดเชื้อจะเกิดขึ้นเมื่อผิวหนังด้านในจมูกมีบาดแผลหรือรอยถลอก เช่น จากการแคะจมูกหรือถอนขนจมูก ทำให้เชื้อโรคบุกรุกเข้าไปได้

การติดเชื้อแบคทีเรียในจมูกแบ่งได้เป็น 2 ลักษณะหลัก:

  • โพรงจมูกอักเสบ (Nasal Vestibulitis): เป็นการติดเชื้อตื้นๆ บริเวณเยื่อบุโพรงจมูก มักมีลักษณะเป็นตุ่มหนองเล็กๆ หลายตุ่มและมีสะเก็ด
  • ฝีในโพรงจมูก (Nasal Furunculosis): เป็นการติดเชื้อที่ลึกกว่าในรูขุมขน มีลักษณะเป็นฝีหรือตุ่มบวมแดงขนาดใหญ่ และเจ็บปวดมาก

พฤติกรรมเสี่ยงที่กระตุ้นให้เกิดสิวซ้ำ

พฤติกรรมเสี่ยงหลักที่กระตุ้นให้เกิดสิวในจมูกซ้ำคือ การแคะจมูก การถอนขนจมูก และการสั่งน้ำมูกแรงๆ เนื่องจากพฤติกรรมเหล่านี้สามารถสร้างบาดแผลหรือรอยถลอกเล็กๆ ที่เยื่อบุโพรงจมูก ซึ่งเป็นช่องทางให้แบคทีเรียเข้าไปก่อให้เกิดการอักเสบและติดเชื้อได้ง่ายขึ้น

พฤติกรรมเสี่ยงอื่นๆ ที่เกี่ยวข้อง ได้แก่:

  • การถอนขนจมูก: การถอนจะสร้างบาดแผลเปิดที่รูขุมขน ทำให้เสี่ยงต่อการติดเชื้อโดยตรง แพทย์จึงแนะนำให้ใช้วิธีเล็มแทน
  • การเจาะจมูก: การเจาะหรือใส่เครื่องประดับอาจทำให้ผิวหนังเกิดการระคายเคืองและเป็นช่องทางให้เชื้อโรคเข้าสู่ผิวหนัง
  • ภาวะภูมิคุ้มกันอ่อนแอ: ผู้ที่มีภาวะภูมิคุ้มกันบกพร่อง เช่น ผู้ป่วยเบาหวาน มีความเสี่ยงสูงที่การติดเชื้อเล็กน้อยจะลุกลามรุนแรงขึ้น
  • อาการน้ำมูกไหลเรื้อรัง: ความชื้นและการระคายเคืองอย่างต่อเนื่องจากโรคภูมิแพ้ ทำให้ผิวหนังในโพรงจมูกอ่อนแอและติดเชื้อได้ง่าย

วิธีดูแลสิวในจมูกเบื้องต้นด้วยตัวเองที่บ้าน

การดูแลสิวในจมูกเบื้องต้นที่บ้านสามารถทำได้โดย การประคบอุ่น ทำความสะอาดอย่างอ่อนโยน และใช้ยาปฏิชีวนะชนิดทา ซึ่งจะช่วยลดอาการปวดและส่งเสริมการรักษา

คุณสามารถปฏิบัติตามขั้นตอนต่อไปนี้:

  • ประคบอุ่น: ใช้ผ้าสะอาดชุบน้ำอุ่นประคบบริเวณที่เป็นสิวครั้งละ 10-15 นาที วันละ 3-4 ครั้ง ความร้อนจะช่วยลดอาการปวดและช่วยให้หัวสิวระบายหนองออกมาได้ง่ายขึ้น
  • ทำความสะอาดอย่างอ่อนโยน: ใช้น้ำเกลือล้างจมูก (Saline) เพื่อทำความสะอาดภายในโพรงจมูกอย่างเบามือ ซึ่งจะช่วยลดการอักเสบและทำให้เยื่อบุจมูกชุ่มชื้น
  • ใช้ยาปฏิชีวนะชนิดทา: ทายาปฏิชีวนะชนิดขี้ผึ้งที่หาซื้อได้ทั่วไป (เช่น Bacitracin) บางๆ บริเวณที่เป็นสิว 2-3 ครั้งต่อวัน โดยใช้คอตตอนบัดที่สะอาด

สิ่งสำคัญที่สุดคือห้ามบีบหรือเจาะสิวด้วยตัวเอง และหลีกเลี่ยงการใช้ยารักษาสิวสำหรับผิวหน้าทาภายในจมูก เพราะอาจทำให้การติดเชื้อลุกลามหรือเกิดการระคายเคืองรุนแรงได้

การประคบอุ่นเพื่อลดการอักเสบและอาการปวด

การประคบอุ่นช่วยลดอาการปวดและเร่งให้สิวสุกหรือระบายหนองออกมาได้ง่ายขึ้น โดยความร้อนจะช่วยให้หัวสิวอ่อนตัวลงและกระตุ้นการไหลเวียนของเลือดเพื่อให้เซลล์ภูมิคุ้มกันเข้าถึงบริเวณนั้นได้ดีขึ้น นอกจากนี้ยังช่วยลดแรงกดดันซึ่งบรรเทาอาการปวดได้เป็นอย่างดี

ผู้เชี่ยวชาญแนะนำให้ประคบอุ่นครั้งละ 10-15 นาที วันละ 3-4 ครั้ง

การทำความสะอาดอย่างถูกวิธีและอ่อนโยน

การทำความสะอาดสิวในจมูกอย่างอ่อนโยนคือการใช้น้ำเกลือล้างด้านในและใช้สบู่อ่อนๆ ทำความสะอาดบริเวณรอบนอก โดยควรหลีกเลี่ยงการใช้สบู่ที่รุนแรงเข้าไปในโพรงจมูกโดยตรง

  • การทำความสะอาดภายใน: ใช้น้ำเกลือล้างจมูกเพื่อช่วยขจัดสะเก็ดและสิ่งสกปรกโดยไม่ทำให้เนื้อเยื่อระคายเคือง น้ำเกลือยังมีคุณสมบัติต้านการอักเสบเล็กน้อยและช่วยบรรเทาอาการได้
  • การทำความสะอาดภายนอก: ใช้สบู่อ่อนๆ ที่มีค่า pH เป็นกลางหรือเป็นกรดเล็กน้อย ตีฟองเบาๆ ด้วยปลายนิ้วบริเวณรอบรูจมูก แล้วล้างออกให้สะอาด หลีกเลี่ยงการขัดถูอย่างรุนแรง
  • การรักษาความชุ่มชื้น: หากรู้สึกว่าจมูกแห้งเกินไปหลังทำความสะอาด สามารถทาวาสลีนหรือเจลน้ำเกลือบางๆ เพื่อรักษาความชุ่มชื้นของเนื้อเยื่อได้ แต่ไม่ควรทาหนาเกินไปเพราะอาจอุดตันและดักจับแบคทีเรียได้

การเลือกใช้ยาหรือผลิตภัณฑ์ทาเฉพาะที่

ยาปฏิชีวนะชนิดทาเฉพาะที่ เช่น บาซิทราซิน (Bacitracin) หรือ มิวพิโรซิน (Mupirocin) เป็นยาที่แนะนำให้ใช้สำหรับสิวในจมูก โดยยาเหล่านี้มีประสิทธิภาพในการกำจัดเชื้อแบคทีเรียที่เป็นสาเหตุของการติดเชื้อ

  • ยาปฏิชีวนะที่หาซื้อได้เอง: ขี้ผึ้งปฏิชีวนะ เช่น บาซิทราซิน (Bacitracin) สามารถใช้ทาบางๆ บริเวณที่เป็นสิว 2-3 ครั้งต่อวัน เป็นเวลาประมาณหนึ่งสัปดาห์
  • ยาปฏิชีวนะตามใบสั่งแพทย์: มิวพิโรซิน (Mupirocin) เป็นยาที่แพทย์มักสั่งจ่าย มีประสิทธิภาพสูงในการกำจัดเชื้อสแตฟิโลค็อกคัส ออเรียส (S. aureus) รวมถึงสายพันธุ์ที่ดื้อยา (MRSA) และมักใช้ในกรณีที่เป็นซ้ำบ่อยๆ
  • ผลิตภัณฑ์ที่ไม่ควรใช้: ห้ามใช้ครีมรักษาสิวทั่วไปที่มีส่วนผสม เช่น เบนโซอิลเพอร์ออกไซด์ (Benzoyl Peroxide) หรือน้ำมันหอมระเหยที่ไม่เจือจางทาภายในจมูกเด็ดขาด เนื่องจากผลิตภัณฑ์เหล่านี้รุนแรงเกินไปสำหรับเยื่อบุโพรงจมูกที่บอบบางและอาจทำให้เกิดการระคายเคืองอย่างรุนแรงได้

ระยะเวลาฟื้นตัว: สิวในจมูกกี่วันถึงจะหาย

โดยทั่วไปสิวในจมูกจะหายได้เองภายใน 1-2 สัปดาห์ แต่หากได้รับการดูแลที่เหมาะสม เช่น การประคบอุ่นและใช้ยาปฏิชีวนะเฉพาะที่ อาจหายได้เร็วขึ้นภายในหนึ่งสัปดาห์ โดยอาการมักจะดีขึ้นอย่างเห็นได้ชัดหลังจากดูแลต่อเนื่อง 3-4 วัน

ข้อควรระวังและสิ่งที่ไม่ควรทำเมื่อเป็นสิวในจมูก

ทำไมถึงห้ามบีบ แคะ หรือแกะสิวในจมูกเด็ดขาด

ห้ามบีบ แคะ หรือแกะสิวในจมูกเด็ดขาด เพราะอาจผลักเชื้อแบคทีเรียเข้าสู่หลอดเลือดที่เชื่อมต่อโดยตรงกับสมอง ซึ่งอาจนำไปสู่การติดเชื้อที่รุนแรงและเป็นอันตรายถึงชีวิตได้

บริเวณจมูกเป็นส่วนหนึ่งของ “สามเหลี่ยมอันตราย” (Danger Triangle) บนใบหน้า ซึ่งมีหลอดเลือดดำที่ไม่มีลิ้นกั้นเชื่อมต่อไปยังโพรงหลอดเลือดดำในสมอง (Cavernous Sinus) การบีบสิวในบริเวณนี้จึงมีความเสี่ยงที่เชื้อแบคทีเรียจะถูกดันเข้าสู่กระแสเลือดและเดินทางไปยังสมองโดยตรง ทำให้เกิดภาวะลิ่มเลือดอุดตันในโพรงหลอดเลือดดำ ซึ่งเป็นภาวะที่อันตรายอย่างยิ่ง นอกจากนี้ การบีบสิวยังอาจทำให้การติดเชื้อลุกลามไปยังเนื้อเยื่อข้างเคียง (Cellulitis) หรือทำให้เกิดฝีหนองขนาดใหญ่ขึ้นได้

สัญญาณอันตรายที่บ่งชี้ว่าควรพบแพทย์ทันที

ไข้, อาการบวมแดงที่ลุกลาม, ปวดศีรษะรุนแรง, หรือการมองเห็นที่เปลี่ยนแปลงไป เป็นสัญญาณอันตรายที่บ่งชี้ว่าควรไปพบแพทย์ทันทีเมื่อมีสิวในจมูก

สัญญาณเตือนอื่นๆ ที่ต้องไปพบแพทย์โดยด่วน ได้แก่:

  • อาการติดเชื้อทั่วร่างกาย: มีไข้ หนาวสั่น รู้สึกไม่สบายตัว สับสน หรือชีพจรเต้นเร็ว
  • การติดเชื้อลุกลามเฉพาะที่: รอยแดงหรืออาการบวมที่ขยายวงกว้างออกจากบริเวณจมูก หรือมีรอยแดงเป็นทางยาวบนใบหน้า
  • อาการทางระบบประสาท: ปวดศีรษะอย่างรุนแรง คอแข็ง หรือมีปัญหาเกี่ยวกับการมองเห็น เช่น มองเห็นภาพซ้อน ตาพร่ามัว หรือปวดตา
  • อาการบวมรุนแรง: ใบหน้าหรือจมูกบวมมาก โดยเฉพาะหากบวมไม่สมมาตร หรือหายใจลำบากเนื่องจากอาการบวม

จากวิธีดูแลสู่การตัดสินใจ: เมื่อไหร่ที่ควรปรึกษาแพทย์

ลักษณะสิวที่การดูแลตัวเองอาจไม่เพียงพอ

การดูแลตัวเองอาจไม่เพียงพอสำหรับ สิวในจมูกที่ไม่ดีขึ้น แย่ลง หรือมีอาการอื่น ๆ ร่วมด้วย ซึ่งเป็นสัญญาณว่าควรไปพบแพทย์ โดยลักษณะที่ควรสังเกตมีดังนี้

  • อาการแย่ลง: สิวมีขนาดใหญ่ขึ้น เจ็บปวดมากขึ้น หรือไม่ดีขึ้นเลยหลังจากดูแลตัวเองที่บ้านเป็นเวลา 2-3 วัน
  • การติดเชื้อลุกลาม: มีรอยแดงหรืออาการบวมแผ่ขยายไปยังส่วนอื่นของจมูกหรือใบหน้า
  • อาการทางร่างกาย: มีไข้ หนาวสั่น หรือรู้สึกไม่สบายโดยทั่วไป
  • อาการปวดรุนแรง: มีอาการปวดมากผิดปกติเมื่อเทียบกับขนาดของสิว
  • อาการทางระบบประสาท: ปวดศีรษะรุนแรง มีปัญหาการมองเห็น (เช่น ภาพเบลอหรือภาพซ้อน) หรือมีอาการบวมรอบดวงตา
  • การเป็นซ้ำ: สิวกลับมาเป็นซ้ำบ่อยครั้งในบริเวณเดิม

การประเมินความเสี่ยงและการเลือกแนวทางการรักษา

การประเมินความเสี่ยงของสิวในจมูกและการเลือกแนวทางการรักษา ขึ้นอยู่กับความรุนแรงของอาการและตำแหน่งของสิว โดยสิวที่ไม่รุนแรงสามารถดูแลเองได้ที่บ้าน แต่หากมีสัญญาณอันตรายหรืออาการไม่ดีขึ้นควรไปพบแพทย์ทันที

การประเมินความเสี่ยง: เมื่อใดควรไปพบแพทย์

ควรไปพบแพทย์หากสิวในจมูกมีลักษณะดังต่อไปนี้:

  • อาการไม่ดีขึ้น: สิวไม่ดีขึ้นหรือแย่ลงหลังจากดูแลตัวเองที่บ้านเป็นเวลา 1 สัปดาห์
  • อาการรุนแรง: มีอาการปวดรุนแรง บวมมาก หรือสิวมีขนาดใหญ่ขึ้นเรื่อยๆ
  • เป็นซ้ำบ่อยครั้ง: มีสิวอักเสบในจมูกเกิดขึ้นซ้ำๆ ซึ่งอาจบ่งชี้ถึงการเป็นพาหะของเชื้อแบคทีเรีย
  • มีสัญญาณอันตราย (Red Flags): หากมีอาการเหล่านี้ร่วมด้วย ควรรีบไปพบแพทย์ฉุกเฉิน เพราะอาจเป็นสัญญาณของการติดเชื้อที่กำลังลุกลาม
  • มีไข้ หนาวสั่น หรือรู้สึกไม่สบาย
  • อาการบวมแดงลามไปยังส่วนอื่นของใบหน้าหรือรอบดวงตา
  • ปวดศีรษะรุนแรง คอแข็ง หรือมีปัญหาการมองเห็น เช่น มองเห็นภาพซ้อน

แนวทางการรักษา

  1. การดูแลเบื้องต้นที่บ้าน (สำหรับสิวที่ไม่รุนแรง):
  • ประคบอุ่น: ใช้ผ้าสะอาดชุบน้ำอุ่นประคบบริเวณที่เป็นสิว 3-4 ครั้งต่อวัน เพื่อลดอาการปวดและช่วยให้สิวยุบเร็วขึ้น
  • ใช้ยาปฏิชีวนะชนิดทา: ใช้ยาปฏิชีวนะชนิดขี้ผึ้ง เช่น บาซิทราซิน (Bacitracin) หรือ มิวพิโรซิน (Mupirocin) ทาบางๆ บริเวณที่เป็นสิว
  • หลีกเลี่ยงการบีบ: ห้ามบีบหรือแกะสิวเด็ดขาด โดยเฉพาะสิวที่อยู่ในบริเวณ “สามเหลี่ยมอันตราย” (Danger Triangle) ซึ่งครอบคลุมจมูกและริมฝีปากบน เพราะอาจทำให้เชื้อโรคแพร่กระจายเข้าสู่สมองได้
  • การรักษาโดยแพทย์ (สำหรับสิวที่รุนแรงหรือเรื้อรัง):
  • ยาปฏิชีวนะชนิดรับประทาน: แพทย์อาจสั่งยาปฏิชีวนะเพื่อกำจัดเชื้อแบคทีเรียที่เป็นสาเหตุ
  • การเจาะระบายหนอง: หากสิวกลายเป็นฝีขนาดใหญ่ แพทย์จะทำการเจาะเพื่อระบายหนองออกอย่างปลอดภัยและถูกวิธี
  • การตรวจเพาะเชื้อ: ในกรณีที่เป็นซ้ำบ่อยๆ แพทย์อาจเก็บตัวอย่างหนองไปตรวจเพื่อระบุชนิดของเชื้อและเลือกยาปฏิชีวนะที่เหมาะสมที่สุด

การเตรียมตัวก่อนเข้าพบแพทย์ผิวหนัง

ข้อมูลเกี่ยวกับการเตรียมตัวก่อนเข้าพบแพทย์ผิวหนังไม่มีอยู่ในเนื้อหาที่ให้มา โดยเนื้อหาดังกล่าวเน้นอธิบายสาเหตุ การรักษา และภาวะแทรกซ้อนของสิวในจมูก รวมถึงเกณฑ์ในการไปพบแพทย์ แต่ไม่ได้ระบุถึงขั้นตอนการเตรียมตัวของผู้ป่วยก่อนการนัดหมาย

ทางเลือกการรักษาโดยแพทย์สำหรับสิวในจมูกที่รุนแรง

การใช้ยาปฏิชีวนะชนิดรับประทานหรือชนิดทา

การรักษาสิวในจมูก สามารถใช้ยาปฏิชีวนะได้ทั้งชนิดทาและชนิดรับประทาน โดยขึ้นอยู่กับความรุนแรงของการติดเชื้อ

  • ยาปฏิชีวนะชนิดทา: เหมาะสำหรับการติดเชื้อที่ไม่รุนแรง เช่น ขี้ผึ้งบาซิทราซิน (bacitracin) หรือมิวพิโรซิน (mupirocin) ซึ่งมีประสิทธิภาพสูงในการกำจัดเชื้อแบคทีเรีย
  • ยาปฏิชีวนะชนิดรับประทาน: แพทย์อาจสั่งยา เช่น ไดคลอกซาซิลลิน (dicloxacillin) หรือเซฟาเลกซิน (cephalexin) ในกรณีที่การติดเชื้อรุนแรงขึ้น โดยทั่วไปจะรับประทานเป็นเวลา 7-10 วัน

การระบายหนองโดยผู้เชี่ยวชาญอย่างปลอดภัย

การระบายหนองโดยผู้เชี่ยวชาญ หรือที่เรียกว่าการกรีดและระบายหนอง (Incision and Drainage – I&D) จะทำเมื่อสิวในจมูกกลายเป็นฝีหรือฝีฝักบัวที่มีหนองสะสมอยู่ภายในอย่างชัดเจน แพทย์จะใช้เครื่องมือที่ปลอดเชื้อกรีดเปิดแผลเล็กๆ เพื่อให้หนองระบายออกมา ซึ่งจะช่วยบรรเทาอาการปวดได้ทันทีและทำให้แผลเริ่มหายดีขึ้น การทำหัตถการนี้ปลอดภัยกว่าการบีบสิวเองที่บ้านอย่างมาก เพราะช่วยป้องกันไม่ให้การติดเชื้อแย่ลงและลุกลาม หลังจากระบายหนองออกแล้ว แพทย์อาจใส่ผ้าก๊อซชิ้นเล็กๆ ไว้ในแผลเพื่อช่วยให้หนองระบายออกได้หมดเป็นเวลา 1-2 วัน

คำถามที่พบบ่อยเกี่ยวกับสิวในจมูก

ทำอย่างไรให้สิวในจมูกหายเร็วขึ้น?

วิธีที่เร็วที่สุดในการรักษาสิวในจมูกคือ การประคบอุ่น ใช้ยาปฏิชีวนะเฉพาะที่ และหลีกเลี่ยงการบีบหรือแกะสิว การปฏิบัติตามหลักการดูแลพื้นฐานเหล่านี้จะช่วยให้สิวหายเร็วขึ้นและลดความเสี่ยงของภาวะแทรกซ้อน

  • ประคบอุ่น: ใช้ผ้าสะอาดชุบน้ำอุ่นประคบบริเวณที่เป็นสิวครั้งละ 10-15 นาที วันละ 3-4 ครั้ง ความร้อนจะช่วยลดอาการปวดและทำให้หัวสิวนุ่มลงเพื่อระบายหนองออกได้ง่ายขึ้น
  • ใช้ยาปฏิชีวนะเฉพาะที่: ทายาปฏิชีวนะชนิดขี้ผึ้ง เช่น บาซิทราซิน (bacitracin) หรือ มิวพิโรซิน (mupirocin) บางๆ บริเวณที่เป็นสิว 2-3 ครั้งต่อวัน เพื่อช่วยกำจัดเชื้อแบคทีเรีย
  • หลีกเลี่ยงการสัมผัส: ห้ามบีบ แคะ หรือแกะสิวในจมูกโดยเด็ดขาด เพราะอาจทำให้การติดเชื้อลุกลามและรุนแรงขึ้น
  • ดูแลสุขภาพโดยรวม: การรับประทานอาหารที่มีประโยชน์ซึ่งอุดมไปด้วยวิตามิน A, C, E และสังกะสี การดื่มน้ำให้เพียงพอ และการจัดการความเครียด จะช่วยสนับสนุนระบบภูมิคุ้มกันของร่างกายให้ฟื้นตัวได้ดีขึ้น

ตุ่มในจมูกที่ไม่ใช่สิวอาจเป็นอะไรได้บ้าง?

ตุ่มในจมูกที่ไม่ใช่สิวอาจเป็นได้หลายอย่าง เช่น ริดสีดวงจมูก, เริม, ซีสต์, ต่อมไขมันโต หรือในบางกรณีอาจเป็นเนื้องอก

ลักษณะที่แตกต่างกันของตุ่มเหล่านี้ ได้แก่

  • ริดสีดวงจมูก (Nasal Polyps): เป็นติ่งเนื้อนิ่มๆ ไม่เจ็บ มักทำให้คัดจมูกหรือการรับกลิ่นลดลง
  • เริม (Herpes Simplex): มักเป็นกลุ่มตุ่มน้ำใสหรือแผลตื้นๆ ที่ทำให้รู้สึกเจ็บปวดมาก
  • ซีสต์ (Cysts): เช่น ซีสต์ไขมัน (sebaceous cyst) ซึ่งอาจเกิดการอักเสบติดเชื้อได้
  • ต่อมไขมันโต (Sebaceous Hyperplasia): เป็นตุ่มเล็กๆ สีเหลืองซึ่งเป็นต่อมไขมันที่ขยายใหญ่ขึ้น ไม่ใช่สิวและไม่มีหนอง
  • เนื้องอกหรือมะเร็งผิวหนัง (Tumors or Skin Cancer): อาจมีลักษณะคล้ายสิวที่ไม่หาย มีเลือดออกเป็นครั้งคราว และคงอยู่นานหลายเดือน

สิวในจมูกแบบไม่มีหัวและเจ็บมาก ควรทำอย่างไร?

สำหรับสิวในจมูกที่ไม่มีหัวและเจ็บมาก ควรใช้การประคบอุ่นเพื่อลดอาการปวดและช่วยให้สิวยุบหรือมีหัวเร็วขึ้น และหลีกเลี่ยงการบีบหรือแคะโดยเด็ดขาด

คุณสามารถดูแลตัวเองเบื้องต้นได้ดังนี้:

  • ประคบอุ่น: ใช้ผ้าสะอาดชุบน้ำอุ่นประคบบริเวณจมูกด้านนอก ครั้งละ 10-15 นาที วันละ 3-4 ครั้ง ความร้อนจะช่วยลดอาการปวดและทำให้หนองระบายออกมาได้ง่ายขึ้น
  • บรรเทาอาการปวด: สามารถรับประทานยาแก้ปวดกลุ่ม NSAIDs เช่น ไอบูโพรเฟน เพื่อช่วยลดอาการปวดและอักเสบได้
  • ห้ามบีบหรือเจาะ: การพยายามบีบสิวที่ไม่มีหัวอาจทำให้อักเสบมากขึ้นและเสี่ยงต่อการติดเชื้อลุกลามไปยังบริเวณอื่นได้
  • พบแพทย์หากอาการไม่ดีขึ้น: หากอาการปวดรุนแรงขึ้น, สิวมีขนาดใหญ่ขึ้น, มีไข้, หรืออาการไม่ดีขึ้นภายใน 2-3 วัน ควรไปพบแพทย์เพื่อรับการรักษาที่เหมาะสม เช่น ยาปฏิชีวนะ

การเป็นสิวในจมูกบ่อยๆ เกี่ยวข้องกับโรคอื่นหรือไม่?

การเป็นสิวในจมูกบ่อยครั้งอาจเกี่ยวข้องกับภาวะสุขภาพอื่น ๆ เช่น การเป็นพาหะของเชื้อสแตฟิโลค็อกคัส ออเรียส (Staphylococcus aureus), โรคเบาหวานที่ไม่เคยถูกวินิจฉัย หรือระบบภูมิคุ้มกันที่อ่อนแอ

ภาวะเหล่านี้ทำให้เกิดการติดเชื้อได้ง่ายขึ้น โดยเฉพาะอย่างยิ่งในผู้ป่วยเบาหวานที่มีระดับน้ำตาลในเลือดสูงซึ่งเอื้อต่อการเจริญเติบโตของแบคทีเรีย หรือในผู้ที่มีภาวะภูมิคุ้มกันบกพร่องจากโรคภูมิต้านตนเองหรือการรักษามะเร็ง

สิวในจมูกอันตรายถึงชีวิตตามที่กล่าวอ้างจริงหรือไม่?

ความเสี่ยงที่สิวในจมูกจะอันตรายถึงชีวิตนั้นมีอยู่จริง แต่เกิดขึ้นได้น้อยมากในยุคปัจจุบัน เนื่องจากบริเวณจมูกเป็นส่วนหนึ่งของ “สามเหลี่ยมอันตราย” (danger triangle) บนใบหน้า ซึ่งมีเส้นเลือดเชื่อมต่อโดยตรงไปยังสมอง ในอดีตก่อนที่จะมียาปฏิชีวนะ การติดเชื้อในบริเวณนี้สามารถแพร่กระจายและทำให้เกิดภาวะลิ่มเลือดอุดตันในโพรงไซนัส (Cavernous Sinus Thrombosis) ซึ่งเป็นอันตรายถึงชีวิตได้

อย่างไรก็ตาม ด้วยยาปฏิชีวนะที่มีประสิทธิภาพในปัจจุบัน ภาวะแทรกซ้อนรุนแรงดังกล่าวเกิดขึ้นได้ยากมาก และอัตราการรอดชีวิตสูงถึงประมาณ 85-90% หากได้รับการรักษาอย่างทันท่วงที ดังนั้น คำกล่าวอ้างนี้จึงเป็นเรื่องจริงในทางทฤษฎี แต่ในทางปฏิบัติโอกาสที่จะเกิดขึ้นนั้นต่ำมาก

จำเป็นต้องใช้ยาฆ่าเชื้อทุกครั้งที่เป็นสิวในจมูกหรือไม่?

ไม่จำเป็นต้องใช้ยาฆ่าเชื้อทุกครั้งที่เป็นสิวในจมูก สำหรับสิวอักเสบเล็กน้อยที่ไม่รุนแรง การดูแลเบื้องต้นที่บ้านมักจะเพียงพอ เช่น การประคบอุ่นและการล้างจมูกด้วยน้ำเกลือเพื่อช่วยลดการอักเสบ

ยาฆ่าเชื้อ ทั้งในรูปแบบยาทาเฉพาะที่หรือยารับประทาน จะถูกใช้ในกรณีที่การติดเชื้อรุนแรงขึ้น ไม่ดีขึ้นหลังการดูแลตัวเอง เป็นซ้ำบ่อยครั้ง หรือมีสัญญาณของการแพร่กระจายของเชื้อ ซึ่งควรอยู่ภายใต้การดูแลของแพทย์

References:

  1. National Center for Biotechnology Information. (n.d.). PMC research articles on nasal infections and folliculitis. PMC. pmc.ncbi.nlm.nih.gov
  2. Sheik-Ali, S., et al. (n.d.). Nasal vestibular furunculosis: Summarised case series. World J. Otorhinolaryngology – Head & Neck Surgery. pmc.ncbi.nlm.nih.gov
  3. Cleveland Clinic. (n.d.). Nasal conditions and skin infections information. Cleveland Clinic. clevelandclinic.org
  4. Acne.org. (n.d.). Acne treatment and care information. Acne.org. acne.org
  5. Clinical Microbiology and Infection. (n.d.). Research on bacterial infections and treatment. Clinical Microbiology. clinicalmicrobiologyandinfection.org
  6. Healthline. (n.d.). Medical information on skin conditions and nasal health. Healthline. healthline.com
  7. MDPI. (n.d.). Research publications on dermatology and infectious diseases. MDPI. mdpi.com
  8. Mayo Clinic. (n.d.). Medical information on skin infections and nasal conditions. Mayo Clinic. mayoclinic.org

แนะแนวเรื่อง

Previous Previous
วิธีรักษาสิวผดแบบเร่งด่วนให้ได้ผล เพื่อให้หน้ากลับมาเนียนใส
NextContinue
8 สาเหตุสิวที่หน้าผากไม่หายสักที เกิดจากอะไร แก้อย่างไรให้ตรงจุด

สาขาพรีวาโต คลินิก

    สาขาอโศก ตั้งอยู่ที่ ชั้น 2 อาคารมิดทาวน์
    Phone: 02-258-4050 , 081-841-5075
    สาขาสีลม ตั้งอยู่ที่ ชั้น 1 อาคารซี.พี.ทาวเวอร์
    Phone: 02-780-2011 , 098-272-5244
    สาขาราชพฤกษ์ ตั้งอยู่ที่ ชั้น 2 ศูนย์การค้า เดอะคริสตัล เอสบี (ด้านบนร้านสตาร์บัคส์)
    Phone: 02-102-2778 , 098-272-5244

ติดต่อเรา

    Facebook: Privato Clinic
    Messenger: Privato Clinic
    Instagram: privatoclinic
    Email: privatoclinic@gmail.com
    Line: @privatoclinic

Copyright© 2022-2024. All Rights Reserved

Scroll to top
  • หน้าหลัก
  • เกี่ยวกับพรีวาโต
  • บริการทั้งหมด
    • ชะลอวัย
    • ยกกระชับผิว
      • XERF
      • Potenza
      • Sofwave
      • Ulthera
      • Thermage-FLX
    • รักษาสิว
    • เลเซอร์
    • โปรแกรมฉีด
    • บำรุงผิว
  • บทความ
    • สิว
    • ยกกระชับ
    • ดูแลผิว
    • ทำเลเซอร์
  • ผลิตภัณฑ์ดูแลผิว
  • โปรโมชั่น
  • ผลลัพธ์การรักษา
  • วิดีโอรีวิวจากเคสจริง
  • สาขาของเรา
  • ไทย
    • ไทย
    • English
    • 中文 (中国)
  • ปรึกษาแพทย์
Facebook Instagram YouTube