Skip to content

TEL : 081-841-5075, 02-258-4050

Facebook Instagram YouTube
Privato Clinic – Innovation Of Beauty  |  Bangkok
  • หน้าหลัก
  • เกี่ยวกับพรีวาโต
  • บริการทั้งหมดExpand
    • ชะลอวัย
    • ยกกระชับผิวExpand
      • XERF
      • Potenza
      • Sofwave
      • Ulthera
      • Thermage-FLX
    • รักษาสิว
    • เลเซอร์
    • โปรแกรมฉีด
    • บำรุงผิว
  • บทความExpand
    • สิว
    • ยกกระชับ
    • ดูแลผิว
    • ทำเลเซอร์
  • ผลิตภัณฑ์ดูแลผิว
  • โปรโมชั่น
  • ผลลัพธ์การรักษา
  • วิดีโอรีวิวจากเคสจริง
  • สาขาของเรา
  • ไทยExpand
    • ไทย
    • English
    • 中文 (中国)
  • ปรึกษาแพทย์
Privato Clinic – Innovation Of Beauty  |  Bangkok
Consult a Doctor
Acne

สิวที่แก้มไม่หายสักที เกิดจากอะไร รักษาอย่างไรดี

Byadmin กันยายน 28, 2025
By แพทย์หญิงนัชชนก หุ่นวิจิตร Updated on กันยายน 28, 2025
✦ Medically reviewed by  นายแพทย์เลอพงษ์ กรุดเงิน
สิวที่แก้มไม่หายสักที เกิดจากอะไร รักษาอย่างไรดี

เป็นสิวที่แก้ม ไม่หายสักที คือภาวะสิวเรื้อรังที่ต้องจัดการทั้งสาเหตุภายในและพฤติกรรมภายนอก โดยปรับความสะอาด การสัมผัสหน้า และใช้ยาทากลุ่มเบนโซอิลเพอร์ออกไซด์หรือเรตินอยด์ภายใต้คำแนะนำแพทย์ เพื่อควบคุมการอักเสบและลดรอย โดยทั่วไปจะเห็นผลชัดเจนใน 8–12 สัปดาห์ เมื่อทำอย่างสม่ำเสมอ

Table of Contents

Toggle
  • เช็กลักษณะสิวที่แก้ม: สิวเรื้อรังมีกี่ประเภท
    • สิวอุดตัน (Comedones)
    • สิวอักเสบ (Inflammatory Acne)
    • สิวไม่มีหัว หรือสิวไต (Nodules and Cysts)
  • สาเหตุหลักที่ทำให้สิวขึ้นแก้มไม่หายขาด
    • ปัจจัยภายใน: ฮอร์โมน พันธุกรรม และความเครียด
    • ปัจจัยภายนอก: การเสียดสี สัมผัส และผลิตภัณฑ์ที่ไม่เหมาะสม
    • สิวที่แก้มข้างเดียว สัญญาณเตือนพฤติกรรมเฉพาะบุคคล
  • วิธีรักษาสิวที่แก้ม: จากการดูแลตัวเองสู่การรักษาโดยแพทย์
    • การปรับพฤติกรรมและเลือกใช้สกินแคร์ที่ถูกต้อง
    • การใช้ยาทาเฉพาะที่และยารับประทานโดยแพทย์
    • หัตถการทางการแพทย์เพื่อรักษาสิวและรอยสิวที่แก้ม
  • ข้อควรรู้ก่อนตัดสินใจเลือกวิธีรักษาสิวที่แก้ม
    • การประเมินความรุนแรงและประเภทสิวเพื่อเลือกการรักษา
    • ระยะเวลาเห็นผลและโอกาสการกลับมาเป็นซ้ำ
    • แนวทางการป้องกันสิวที่แก้มในระยะยาว
  • ข้อที่ควรเลี่ยงซึ่งทำให้สิวที่แก้มแย่ลง
    • 1. การบีบ เค้น แกะสิวด้วยตัวเอง
    • 2. การใช้ผลิตภัณฑ์หลายชนิดเกินความจำเป็น
    • 3. การละเลยความสะอาดของใช้ส่วนตัวที่สัมผัสใบหน้า
  • คำถามที่พบบ่อยเกี่ยวกับสิวที่แก้ม
    • สิวที่แก้มเกิดจากฮอร์โมนใช่ไหม?
    • การใส่หน้ากากอนามัยทำให้เป็นสิวที่แก้มเพิ่มขึ้นจริงหรือไม่?
    • ควรบีบสิวที่แก้มหรือไม่?
    • สิวที่แก้มข้างเดียวเกิดจากสาเหตุพิเศษอะไร?
    • สิวที่แก้มแบบไหนที่ควรไปพบแพทย์?
    • รักษาสิวที่แก้มด้วยตัวเองใช้เวลานานเท่าไร
  • References:

เช็กลักษณะสิวที่แก้ม: สิวเรื้อรังมีกี่ประเภท

สิวอุดตัน (Comedones)

สิวอุดตันคือตุ่มเล็กๆ ที่ไม่มีรอยแดงหรืออาการเจ็บปวดอย่างชัดเจน และโดยทั่วไปไม่ทำให้เกิดอาการบวมหรือรู้สึกไม่สบาย สิวประเภทนี้มักจะหายได้เองโดยไม่ทิ้งรอยแผลเป็น แต่อาจเป็นเรื้อรังได้หากไม่ได้รับการรักษาที่เหมาะสม เนื่องจากน้ำมันส่วนเกินและเซลล์ผิวที่ตายแล้วยังคงอุดตันรูขุมขนต่อไป

สิวอักเสบ (Inflammatory Acne)

สิวอักเสบคือสิวที่เกิดจากการติดเชื้อแบคทีเรียในรูขุมขนที่อุดตัน ซึ่งทำให้เกิดรอยแดง ความเจ็บปวด และอาจทิ้งรอยดำหรือรอยแดงไว้ชั่วคราวหลังจากสิวหาย ในกรณีที่เป็นสิวระดับปานกลาง สิวอักเสบอาจขึ้นเป็นกลุ่ม และจำเป็นต้องได้รับการรักษาที่เหมาะสมเพื่อป้องกันการเกิดแผลเป็น

สิวไม่มีหัว หรือสิวไต (Nodules and Cysts)

สิวไม่มีหัวหรือสิวไต (Nodules and Cysts) คือสิวอักเสบชนิดรุนแรงที่มีลักษณะเป็นก้อนแข็ง (Nodules) หรือเป็นถุงหนอง (Cysts) อยู่ใต้ผิวหนัง สิวชนิดนี้มักมีอาการเจ็บปวดและอาจมีขนาดใหญ่หลายเซนติเมตร สามารถคงอยู่ได้นานหลายสัปดาห์และมักจะทิ้งรอยแผลเป็นไว้หากไม่ได้รับการรักษาอย่างเหมาะสม แพทย์ผิวหนังจัดให้สิวชนิดนี้เป็นสิวที่มีความรุนแรงที่สุดและจำเป็นต้องได้รับการรักษาอย่างจริงจังเพื่อป้องกันแผลเป็นถาวร

สาเหตุหลักที่ทำให้สิวขึ้นแก้มไม่หายขาด

ปัจจัยภายใน: ฮอร์โมน พันธุกรรม และความเครียด

ปัจจัยภายในที่ทำให้เกิดสิวที่แก้มอย่างต่อเนื่อง ได้แก่ ฮอร์โมน พันธุกรรม และความเครียด ซึ่งแต่ละปัจจัยมีส่วนกระตุ้นให้เกิดสิวในลักษณะที่แตกต่างกัน

  • ฮอร์โมน: การเปลี่ยนแปลงของฮอร์โมน เช่น ในช่วงวัยแรกรุ่นหรือรอบเดือน เป็นสาเหตุหลัก นอกจากนี้ ภาวะที่เกี่ยวข้องกับฮอร์โมน เช่น โรคถุงน้ำรังไข่หลายใบ (PCOS) ก็สามารถทำให้เกิดสิวเรื้อรังได้
  • พันธุกรรม: หากคนในครอบครัวมีประวัติเป็นสิวรุนแรงหรือเป็นสิวระยะยาว ก็มีแนวโน้มที่จะเป็นสิวเรื้อรังที่แก้มได้เช่นกัน เนื่องจากลักษณะทางพันธุกรรมมีผลต่อการเกิดสิว
  • ความเครียด: ความเครียดที่รุนแรงมีความสัมพันธ์กับความรุนแรงของสิว โดยความเครียดสามารถทำให้เกิดการอักเสบของผิวหนังและทำให้การรักษาสิวช้าลง ซึ่งนำไปสู่วงจรการเกิดสิวที่แก้มอย่างต่อเนื่อง

ปัจจัยภายนอก: การเสียดสี สัมผัส และผลิตภัณฑ์ที่ไม่เหมาะสม

การเสียดสี การสัมผัส และผลิตภัณฑ์ที่ไม่เหมาะสมเป็นปัจจัยภายนอกที่ทำให้เกิดสิวที่แก้ม โดยการถ่ายเทแบคทีเรีย น้ำมัน และสร้างแรงกดทับที่ผิวหนัง ซึ่งนำไปสู่การอุดตันของรูขุมขน

ปัจจัยเหล่านี้รวมถึง:

  • การเสียดสีและแรงกด: การกระทำต่างๆ เช่น การถือโทรศัพท์แนบแก้มเป็นเวลานาน, การเสียดสีจากสายรัดคางของเครื่องดนตรีหรือหมวกกันน็อก และการสวมหน้ากากอนามัยเป็นเวลานาน (Maskne) ล้วนทำให้เกิดการสะสมของความร้อน ความชื้น และแบคทีเรียบนผิวแก้ม
  • สุขอนามัยที่ไม่ดี: การไม่ทำความสะอาดสิ่งของที่สัมผัสกับใบหน้าเป็นประจำ เช่น ปลอกหมอน, หน้าจอโทรศัพท์ หรือแปรงแต่งหน้า ทำให้สิ่งสกปรกและแบคทีเรียถูกถ่ายเทมายังผิวหนังและก่อให้เกิดสิว
  • ผลิตภัณฑ์ที่ไม่เหมาะสม: การใช้ผลิตภัณฑ์บำรุงผิวหรือเครื่องสำอางที่ไม่อ่อนโยน มีส่วนผสมของน้ำมัน หรือมีคุณสมบัติอุดตันรูขุมขน (Comedogenic) จะยิ่งกระตุ้นให้เกิดสิวที่แก้มได้ง่ายขึ้น

สิวที่แก้มข้างเดียว สัญญาณเตือนพฤติกรรมเฉพาะบุคคล

สิวที่ขึ้นบนแก้มข้างเดียว มักเกิดจากปัจจัยภายนอกและพฤติกรรมส่วนตัว มากกว่าสาเหตุจากภายในร่างกาย

พฤติกรรมที่มักเป็นสาเหตุ ได้แก่:

  • การใช้โทรศัพท์: การถือโทรศัพท์แนบแก้มข้างใดข้างหนึ่งเป็นประจำ ทำให้แบคทีเรียและสิ่งสกปรกจากหน้าจอสัมผัสกับผิว
  • การนอน: การนอนตะแคงข้างเดิมเป็นประจำ ทำให้แก้มสัมผัสกับเหงื่อและแบคทีเรียที่สะสมอยู่บนปลอกหมอน
  • การสัมผัสใบหน้า: การเท้าคางหรือใช้มือสัมผัสใบหน้าข้างใดข้างหนึ่งบ่อยๆ สามารถถ่ายเทน้ำมันและเชื้อโรคมาสู่ผิวได้

วิธีรักษาสิวที่แก้ม: จากการดูแลตัวเองสู่การรักษาโดยแพทย์

การรักษาสิวที่แก้มมีหลายวิธี ตั้งแต่การดูแลสุขอนามัยและปรับเปลี่ยนพฤติกรรมในชีวิตประจำวัน การใช้ยาทาและยารับประทาน ไปจนถึงการทำหัตถการทางการแพทย์ ซึ่งแพทย์จะเลือกแนวทางที่เหมาะสมตามความรุนแรงของสิว

1. การดูแลตัวเองและปรับเปลี่ยนพฤติกรรม

  • สุขอนามัย: ล้างหน้าอย่างอ่อนโยน โดยเฉพาะหลังออกกำลังกาย และใช้ผลิตภัณฑ์ดูแลผิวที่ไม่มีส่วนผสมของน้ำมันและไม่ก่อให้เกิดการอุดตัน (non-comedogenic)
  • พฤติกรรม: หลีกเลี่ยงการสัมผัสหรือบีบสิวที่แก้ม และหมั่นทำความสะอาดสิ่งของที่สัมผัสใบหน้าเป็นประจำ เช่น โทรศัพท์มือถือ ปลอกหมอน และหน้ากากอนามัย

2. การรักษาโดยแพทย์

  • ยาทาเฉพาะที่: แพทย์อาจสั่งยา เช่น เบนโซอิลเพอร์ออกไซด์ (Benzoyl Peroxide), เรตินอยด์ (Retinoids) หรือยาปฏิชีวนะชนิดทาเพื่อลดการอักเสบและแบคทีเรีย โดยทั่วไปต้องใช้เวลา 8-12 สัปดาห์จึงจะเห็นผล
  • ยารับประทาน: สำหรับสิวที่เกิดจากฮอร์โมนในผู้หญิง อาจใช้ยาคุมกำเนิดหรือยาสไปโรโนแลคโตน (Spironolactone) ในกรณีที่เป็นสิวรุนแรงหรือไม่ตอบสนองต่อการรักษาอื่น แพทย์อาจพิจารณาให้ใช้ยาไอโสเตรติโนอิน (Isotretinoin)
  • หัตถการทางการแพทย์: เมื่อสิวอักเสบเริ่มควบคุมได้แล้ว อาจใช้วิธีอื่น ๆ เพื่อรักษาสิวและรอยแผลเป็น เช่น การผลัดเซลล์ผิวด้วยสารเคมี (Chemical Peels), การรักษาด้วยเลเซอร์และแสง (Laser and Light Therapies) หรือการกดสิวโดยผู้เชี่ยวชาญ

การปรับพฤติกรรมและเลือกใช้สกินแคร์ที่ถูกต้อง

การปรับพฤติกรรมและเลือกใช้สกินแคร์ที่ถูกต้องสำหรับสิวที่แก้ม คือการรักษาความสะอาดของใบหน้าและของใช้ส่วนตัว, เลือกใช้ผลิตภัณฑ์ที่ไม่ก่อให้เกิดการอุดตัน, และหลีกเลี่ยงการสัมผัสหรือรบกวนผิว

การปรับเปลี่ยนเหล่านี้ช่วยลดการเกิดสิวซ้ำซากและเพิ่มประสิทธิภาพของการรักษาทางการแพทย์ได้

  • การรักษาความสะอาด: ล้างหน้าทันทีหลังมีเหงื่อออก และทำความสะอาดของใช้ที่สัมผัสกับแก้มเป็นประจำ เช่น ปลอกหมอน, หน้าจอโทรศัพท์, หน้ากากอนามัย และแปรงแต่งหน้า
  • การเลือกใช้ผลิตภัณฑ์: ใช้ผลิตภัณฑ์บำรุงผิวและกันแดดที่ปราศจากน้ำมัน (oil-free) และไม่ก่อให้เกิดการอุดตัน (non-comedogenic) รวมถึงหลีกเลี่ยงการแต่งหน้าที่หนาเกินไป
  • การปรับพฤติกรรม: หลีกเลี่ยงการสัมผัส, แกะ, หรือบีบสิวบริเวณแก้ม เพราะจะเพิ่มความเสี่ยงในการเกิดรอยแผลเป็น นอกจากนี้ควรดูแลไม่ให้เส้นผมสัมผัสใบหน้า และไม่เท้าคาง

การใช้ยาทาเฉพาะที่และยารับประทานโดยแพทย์

การรักษาสิวที่แก้มโดยแพทย์จะใช้ยาทาเฉพาะที่และยารับประทาน ซึ่งจะพิจารณาตามความรุนแรงของสิว

  • ยาทาเฉพาะที่: มักใช้สำหรับสิวที่ไม่รุนแรงไปจนถึงปานกลาง และมักใช้ร่วมกันเพื่อเพิ่มประสิทธิภาพ
  • เบนโซอิลเปอร์ออกไซด์และเรตินอยด์: เป็นยาที่นิยมใช้ร่วมกันเพื่อรักษาสิวอุดตันและสิวอักเสบ
  • ยาปฏิชีวนะชนิดทา: เช่น คลินดามัยซิน (clindamycin) ใช้เพื่อลดแบคทีเรียและรอยแดง มักใช้คู่กับเบนโซอิลเปอร์ออกไซด์เพื่อป้องกันการดื้อยา
  • แดพโซน (dapsone): เป็นยาในรูปแบบเจลที่มีฤทธิ์ต้านการอักเสบและต้านเชื้อแบคทีเรีย เหมาะสำหรับสิวในผู้หญิงวัยผู้ใหญ่
  • ยารับประทาน: ใช้สำหรับสิวระดับปานกลางถึงรุนแรง หรือสิวที่ไม่ตอบสนองต่อยาทา
  • ยาฮอร์โมน: สำหรับผู้หญิงที่มีสิวจากฮอร์โมน เช่น ยาคุมกำเนิดบางชนิด หรือยา สไปโรโนแลคโตน (spironolactone) เพื่อช่วยควบคุมฮอร์โมนแอนโดรเจนและลดการผลิตน้ำมัน
  • ไอโซเตรติโนอิน (Isotretinoin) หรือ แอคคิวเทน (Accutane): เป็นยามาตรฐานสำหรับรักษาสิวชนิดรุนแรง เช่น สิวหัวช้าง หรือสิวที่ไม่ตอบสนองต่อการรักษาอื่น ๆ โดยยามีฤทธิ์ลดขนาดต่อมไขมันและมักช่วยให้สิวหายขาดได้ในระยะยาว

หัตถการทางการแพทย์เพื่อรักษาสิวและรอยสิวที่แก้ม

หัตถการทางการแพทย์ที่ใช้รักษาสิวและรอยสิวที่แก้ม ได้แก่ การผลัดเซลล์ผิวด้วยสารเคมี, การบำบัดด้วยเลเซอร์และแสง, การกดสิว, การทำไมโครนีดลิง และการกรอผิว โดยหัตถการเหล่านี้มักจะทำเมื่อสิวอักเสบอยู่ภายใต้การควบคุมแล้ว

  • การผลัดเซลล์ผิวด้วยสารเคมี (Chemical peels): ใช้กรด เช่น กรดไกลโคลิกหรือซาลิไซลิก เพื่อผลัดเซลล์ผิวชั้นบนสุด ช่วยลดการอุดตันของรูขุมขน และทำให้รอยแผลเป็นตื้นๆ นุ่มลง
  • การบำบัดด้วยเลเซอร์และแสง (Laser and light therapies): สามารถลดแบคทีเรียและลดการทำงานของต่อมไขมันได้ ส่วนเลเซอร์ชนิดแฟร็กชันนัล (Fractional laser) จะมุ่งเป้าไปที่เนื้อเยื่อแผลเป็นเพื่อช่วยปรับโครงสร้างของหลุมสิว
  • การกดสิว (Comedo extraction): เป็นการกำจัดสิวหัวดำและสิวหัวขาวโดยแพทย์ผิวหนังเพื่อทำให้รูขุมขนสะอาด
  • การทำไมโครนีดลิง (Microneedling) และการกรอผิว (Dermabrasion): ใช้สำหรับรักษารอยแผลเป็นจากสิวที่มีลักษณะเป็นหลุมหรือผิวไม่เรียบเนียน

แพทย์ผิวหนังจะปรับแผนการรักษาให้เหมาะสมกับแต่ละบุคคล โดยอาจผสมผสานวิธีการรักษาต่างๆ เข้าด้วยกันเพื่อให้ได้ผลลัพธ์ที่ดีที่สุด

ข้อควรรู้ก่อนตัดสินใจเลือกวิธีรักษาสิวที่แก้ม

การประเมินความรุนแรงและประเภทสิวเพื่อเลือกการรักษา

การประเมินความรุนแรงและประเภทของสิวเป็นสิ่งสำคัญในการเลือกวิธีการรักษาที่เหมาะสมที่สุด เนื่องจากแพทย์ผิวหนังจะปรับแนวทางการรักษาให้ตรงกับสภาพสิวของผู้ป่วยแต่ละราย

  • สิวที่ไม่รุนแรง: มักจะจัดการได้ด้วยยาทาเฉพาะที่ เช่น เรตินอยด์ (retinoids) หรือเบนโซอิลเพอร์ออกไซด์ (benzoyl peroxide)
  • สิวอักเสบระดับปานกลางถึงรุนแรง: อาจต้องใช้ยาปฏิชีวนะชนิดทาหรือรับประทานร่วมด้วย
  • สิวหัวช้าง (Nodulocystic acne): ซึ่งเป็นสิวชนิดรุนแรงที่สุด จำเป็นต้องได้รับการรักษาอย่างจริงจัง เช่น การใช้ยาไอโซเตรติโนอิน (isotretinoin) เพื่อป้องกันการเกิดแผลเป็นถาวร

ระยะเวลาเห็นผลและโอกาสการกลับมาเป็นซ้ำ

โดยทั่วไปจะเห็นผลการรักษาอย่างชัดเจนใน 8–12 สัปดาห์ แต่มีโอกาสกลับมาเป็นซ้ำได้สูงหากหยุดการรักษาเร็วเกินไป

การรักษาสิวที่แก้มต้องใช้เวลาและความสม่ำเสมอ โดยอาจเริ่มเห็นสิวใหม่ลดลงใน 4–6 สัปดาห์แรก แต่ต้องใช้ยาอย่างต่อเนื่อง 8–12 สัปดาห์จึงจะเห็นการเปลี่ยนแปลงที่ชัดเจน สิวเป็นภาวะเรื้อรังและสามารถกลับมาเป็นซ้ำได้ง่าย แพทย์ผิวหนังจึงมักแนะนำให้ใช้ยาบางชนิดต่อเนื่องเพื่อควบคุมอาการแม้ว่าสิวจะหายดีแล้วก็ตาม

แนวทางการป้องกันสิวที่แก้มในระยะยาว

แนวทางการป้องกันสิวที่แก้มในระยะยาวคือ การใช้ยารักษาสิวอย่างต่อเนื่องเพื่อควบคุมอาการ ควบคู่ไปกับการปรับเปลี่ยนพฤติกรรมและสุขอนามัย

การป้องกันที่มีประสิทธิภาพประกอบด้วย:

  • การใช้ยาอย่างต่อเนื่อง (Maintenance Therapy): หลังจากสิวหายแล้ว แพทย์ผิวหนังมักแนะนำให้ใช้ยาทาเฉพาะที่ เช่น เรตินอยด์ (retinoid) ต่อไปเพื่อป้องกันการกลับมาเป็นซ้ำ สำหรับผู้หญิงที่มีปัญหาสิวจากฮอร์โมน อาจต้องใช้ยาคุมกำเนิดหรือสไปโรโนแลคโตน (spironolactone) เพื่อควบคุมอาการในระยะยาว
  • การปรับเปลี่ยนพฤติกรรมการใช้ชีวิต: การรับประทานอาหารที่สมดุล การนอนหลับให้เพียงพอ และการจัดการความเครียด สามารถช่วยควบคุมปัจจัยกระตุ้นจากฮอร์โมนได้
  • การรักษาสุขอนามัย: ทำความสะอาดของใช้ที่สัมผัสใบหน้าเป็นประจำ เช่น ปลอกหมอน โทรศัพท์ และแปรงแต่งหน้า เพื่อลดการสะสมของแบคทีเรียและสิ่งสกปรก

ข้อที่ควรเลี่ยงซึ่งทำให้สิวที่แก้มแย่ลง

1. การบีบ เค้น แกะสิวด้วยตัวเอง

การบีบ เค้น หรือแกะสิวด้วยตัวเอง เป็นสาเหตุหลักที่ทำให้สิวอักเสบแย่ลงและเพิ่มความเสี่ยงในการเกิดรอยแผลเป็นถาวร เนื่องจากการกระทำดังกล่าวสามารถผลักเชื้อโรคและสิ่งสกปรกลงไปในผิวหนังได้ลึกขึ้น ทำให้เกิดการอักเสบที่รุนแรงกว่าเดิม และอาจเปลี่ยนสิวเม็ดเล็กให้กลายเป็นก้อนที่ใหญ่และเจ็บปวดมากขึ้น นอกจากนี้ การบีบสิวยังเป็นการทำลายคอลลาเจนในผิวหนัง ซึ่งเป็นสาเหตุสำคัญของการเกิดรอยแผลเป็นหลุมหรือรอยดำที่รักษายากในภายหลัง

2. การใช้ผลิตภัณฑ์หลายชนิดเกินความจำเป็น

การใช้ผลิตภัณฑ์หลายชนิดเกินความจำเป็นหรือการทำความสะอาดผิวมากเกินไปจะทำให้สิวที่แก้มแย่ลง เนื่องจากมักจะนำไปสู่ภาวะผิวแห้งและการผลิตน้ำมันออกมาทดแทนมากยิ่งขึ้น

การกระทำต่างๆ เช่น การล้างหน้าหลายครั้งต่อวัน การขัดผิวอย่างรุนแรง หรือการทาครีมรักษาสิวหลายชั้นในหนึ่งวัน ล้วนแต่จะทำให้ผิวอักเสบมากขึ้น นอกจากนี้ การใช้เครื่องสำอางหลายขั้นตอน เช่น ไพรเมอร์ รองพื้น และคอนซีลเลอร์ ก็สามารถสร้างภาระให้ผิวและทำให้รูขุมขนอุดตันได้ การดูแลผิวอย่างเหมาะสมคือการใช้ผลิตภัณฑ์ทำความสะอาดที่อ่อนโยนและใช้ผลิตภัณฑ์ตามที่แพทย์สั่งเท่านั้น เพื่อให้ผิวได้ฟื้นฟูและตอบสนองต่อการรักษาได้ดีขึ้น

3. การละเลยความสะอาดของใช้ส่วนตัวที่สัมผัสใบหน้า

การละเลยความสะอาดของใช้ส่วนตัวที่สัมผัสใบหน้าเป็นสาเหตุหนึ่งที่ทำให้เกิดสิวที่แก้มเรื้อรัง เนื่องจากสิ่งของเหล่านี้สามารถสะสมสิ่งสกปรก แบคทีเรีย และน้ำมัน ซึ่งเมื่อสัมผัสกับผิวหน้าจะทำให้รูขุมขนอุดตันและเกิดการอักเสบได้

ตัวอย่างของใช้ที่ควรทำความสะอาดเป็นประจำ ได้แก่

  • ปลอกหมอน
  • หน้าจอโทรศัพท์
  • แปรงและฟองน้ำแต่งหน้า
  • หน้ากากอนามัย

คำถามที่พบบ่อยเกี่ยวกับสิวที่แก้ม

สิวที่แก้มเกิดจากฮอร์โมนใช่ไหม?

ใช่ ฮอร์โมนเป็นปัจจัยหลักอย่างหนึ่งที่ทำให้เกิดสิวที่แก้ม เนื่องจากฮอร์โมนแอนโดรเจน (ฮอร์โมนเพศชายที่พบได้ทั้งสองเพศ) จะกระตุ้นต่อมไขมันให้ผลิตน้ำมันออกมามากขึ้น ซึ่งอาจนำไปสู่การอุดตันของรูขุมขน โดยเฉพาะในช่วงที่ฮอร์โมนมีความผันผวน เช่น วัยแรกรุ่น หรือช่วงก่อนมีประจำเดือน

การใส่หน้ากากอนามัยทำให้เป็นสิวที่แก้มเพิ่มขึ้นจริงหรือไม่?

ใช่ การใส่หน้ากากอนามัยเป็นเวลานานสามารถทำให้เกิดสิวที่แก้มเพิ่มขึ้นได้ เนื่องจากจะสร้างสภาพแวดล้อมที่อุ่นและชื้น รวมถึงเกิดการเสียดสีกับผิว ซึ่งเป็นการกักเก็บเหงื่อ น้ำมัน และแบคทีเรียไว้ใต้หน้ากาก จนเกิดเป็นสิวที่เรียกว่า “maskne” (สิวจากหน้ากาก)

ควรบีบสิวที่แก้มหรือไม่?

ไม่ควร บีบสิวที่แก้ม เนื่องจากการบีบสิวอาจทำให้เชื้อโรคลงลึกสู่ผิวหนังมากขึ้นและทำให้สถานการณ์แย่ลง การกระทำดังกล่าวจะทำให้สิวอักเสบและเจ็บปวดมากขึ้น อีกทั้งยังเพิ่มความเสี่ยงสูงที่จะทิ้งรอยแผลเป็นหรือรอยดำถาวรไว้บนใบหน้า

สิวที่แก้มข้างเดียวเกิดจากสาเหตุพิเศษอะไร?

สิวที่แก้มข้างเดียวมักเกิดจากปัจจัยภายนอกและพฤติกรรมเฉพาะด้าน มากกว่าสาเหตุจากภายในร่างกาย

สาเหตุทั่วไปที่ทำให้เกิดสิวบนแก้มเพียงข้างเดียว ได้แก่:

  • การนอนตะแคง: การนอนตะแคงข้างเดิมเป็นประจำทำให้แก้มข้างนั้นสัมผัสกับสิ่งสกปรกและแบคทีเรียที่สะสมอยู่บนปลอกหมอน
  • การใช้โทรศัพท์: การถือโทรศัพท์แนบแก้มข้างใดข้างหนึ่งเป็นเวลานาน สามารถถ่ายเทแบคทีเรียและสิ่งสกปรกมาสู่ผิวหนังได้
  • พฤติกรรมที่ทำโดยไม่รู้ตัว: การเท้าคางหรือใช้มือสัมผัสใบหน้าด้านใดด้านหนึ่งบ่อยๆ สามารถกระตุ้นให้เกิดสิวในบริเวณนั้นได้

สิวที่แก้มแบบไหนที่ควรไปพบแพทย์?

คุณควรไปพบแพทย์หรือแพทย์ผิวหนัง หากสิวที่แก้มมีความรุนแรงระดับปานกลางถึงรุนแรง เป็นสิวเรื้อรัง หรือทำให้เกิดรอยแผลเป็น สัญญาณที่บ่งชี้ว่าควรขอความช่วยเหลือจากผู้เชี่ยวชาญ ได้แก่

  • มีสิวอักเสบจำนวนมากที่ไม่ดีขึ้นหลังการใช้ยาที่หาซื้อได้เอง
  • มีสิวที่เป็นก้อนแข็งใต้ผิวหนัง (nodules) หรือสิวซีสต์ (cysts) ซึ่งอาจทำลายเนื้อเยื่อผิวหนังได้
  • สิวที่ทิ้งรอยแผลเป็นหลุมหรือรอยดำไว้
  • สิวที่ส่งผลกระทบต่อความมั่นใจหรือทำให้รู้สึกเจ็บปวด
  • เมื่อใช้ผลิตภัณฑ์ที่หาซื้อได้เองเป็นเวลา 2-3 เดือนแล้วอาการไม่ดีขึ้น

รักษาสิวที่แก้มด้วยตัวเองใช้เวลานานเท่าไร

โดยทั่วไปจะใช้เวลาหลายสัปดาห์ถึงสองสามเดือนจึงจะเห็นผลอย่างชัดเจน ซึ่งคุณอาจสังเกตเห็นสิวใหม่ลดลงหลังจากผ่านไปประมาณ 4-6 สัปดาห์ และจะดีขึ้นอย่างเห็นได้ชัดหลังจากใช้ผลิตภัณฑ์อย่างสม่ำเสมอเป็นเวลา 8-12 สัปดาห์ หากไม่เห็นผลดีขึ้นเลยหลังจากผ่านไปประมาณ 8-10 สัปดาห์ ควรปรึกษาแพทย์

References:

  1. American Academy of Dermatology. Acne: Diagnosis and treatment. AAD.
  2. Cleveland Clinic. Acne: Types, Causes, Treatment & Prevention. Cleveland Clinic Health Library.
  3. Kim, H. J., & Kim, Y. H. Exploring acne treatments: From pathophysiological mechanisms to emerging therapies. International Journal of Molecular Sciences (IJMS).
  4. PMC NCBI. Stress and acne: relationship and management. National Center for Biotechnology Information.
  5. Laser Clinics Canada. What causes acne breakouts on one side of the face? Laser Clinics Blog.
  6. Mayo Clinic Health System. Acne: Overview, symptoms, and causes. Mayo Clinic.
  7. NIHR Guy’s & St Thomas’ Biomedical Research Centre. Discovery of 29 new acne risk genes provides hope for new treatments. ScienceDaily.
  8. Penn Medicine. Adult acne: Why you get it and how to fight it. University of Pennsylvania Health System.

แนะแนวเรื่อง

Previous Previous
สิวหัวหนองหายเองได้ไหม กี่วันหาย และควรเริ่มรักษาเมื่อไร
NextContinue
สิวเสี้ยนตรงจมูกใช้อะไรดี แก้ไขอย่างไรให้ตรงจุด

สาขาพรีวาโต คลินิก

    สาขาอโศก ตั้งอยู่ที่ ชั้น 2 อาคารมิดทาวน์
    Phone: 02-258-4050 , 081-841-5075
    สาขาสีลม ตั้งอยู่ที่ ชั้น 1 อาคารซี.พี.ทาวเวอร์
    Phone: 02-780-2011 , 098-272-5244
    สาขาราชพฤกษ์ ตั้งอยู่ที่ ชั้น 2 ศูนย์การค้า เดอะคริสตัล เอสบี (ด้านบนร้านสตาร์บัคส์)
    Phone: 02-102-2778 , 098-272-5244

ติดต่อเรา

    Facebook: Privato Clinic
    Messenger: Privato Clinic
    Instagram: privatoclinic
    Email: privatoclinic@gmail.com
    Line: @privatoclinic

Copyright© 2022-2024. All Rights Reserved

Scroll to top
  • หน้าหลัก
  • เกี่ยวกับพรีวาโต
  • บริการทั้งหมด
    • ชะลอวัย
    • ยกกระชับผิว
      • XERF
      • Potenza
      • Sofwave
      • Ulthera
      • Thermage-FLX
    • รักษาสิว
    • เลเซอร์
    • โปรแกรมฉีด
    • บำรุงผิว
  • บทความ
    • สิว
    • ยกกระชับ
    • ดูแลผิว
    • ทำเลเซอร์
  • ผลิตภัณฑ์ดูแลผิว
  • โปรโมชั่น
  • ผลลัพธ์การรักษา
  • วิดีโอรีวิวจากเคสจริง
  • สาขาของเรา
  • ไทย
    • ไทย
    • English
    • 中文 (中国)
  • ปรึกษาแพทย์
Facebook Instagram YouTube