Skip to content

TEL : 081-841-5075, 02-258-4050

Facebook Instagram YouTube
Privato Clinic – Innovation Of Beauty  |  Bangkok
  • หน้าหลัก
  • เกี่ยวกับพรีวาโต
  • บริการทั้งหมดExpand
    • ชะลอวัย
    • ยกกระชับผิวExpand
      • XERF
      • Potenza
      • Sofwave
      • Ulthera
      • Thermage-FLX
    • รักษาสิว
    • เลเซอร์
    • โปรแกรมฉีด
    • บำรุงผิว
  • บทความExpand
    • สิว
    • ยกกระชับ
    • ดูแลผิว
    • ทำเลเซอร์
  • ผลิตภัณฑ์ดูแลผิว
  • โปรโมชั่น
  • ผลลัพธ์การรักษา
  • วิดีโอรีวิวจากเคสจริง
  • สาขาของเรา
  • ไทยExpand
    • ไทย
    • English
    • 中文 (中国)
  • ปรึกษาแพทย์
Privato Clinic – Innovation Of Beauty  |  Bangkok
Consult a Doctor
Acne

8 สาเหตุสิวที่หน้าผากไม่หายสักที เกิดจากอะไร แก้อย่างไรให้ตรงจุด

Byadmin กันยายน 28, 2025
By แพทย์หญิงนัชชนก หุ่นวิจิตร Updated on กันยายน 28, 2025
✦ Medically reviewed by  นายแพทย์เลอพงษ์ กรุดเงิน
สิวที่หน้าผากไม่หายสักที เกิดจากอะไร แก้อย่างไรให้ตรงจุด

เป็นสิวที่หน้าผาก ไม่หายสักที คือภาวะสิวเรื้อรังที่ต้องแก้ให้ตรงจุดด้วยการคุมการอุดตันจากผลิตภัณฑ์ผมและเหงื่อ ปรับพฤติกรรมการสัมผัสหน้าผาก และใช้ยาทาหรือยารับประทานตามแพทย์แนะนำ เพื่อควบคุมการเกิดสิวใหม่และลดรอย โดยทั่วไปเริ่มเห็นผลชัดเจนใน 8–12 สัปดาห์ เมื่อทำอย่างต่อเนื่อง

Table of Contents

Toggle
  • ทำความเข้าใจสิวที่หน้าผาก: ประเภทและลักษณะที่พบบ่อย
    • สิวอุดตัน (Comedones)
    • สิวอักเสบ (Inflammatory Acne)
    • สิวผด หรือสิวเชื้อรา (Acne Aestivalis / Fungal Acne)
  • 8 สาเหตุหลักที่ทำให้สิวที่หน้าผากเป็นเรื้อรัง ไม่หายขาด
    • 1. การอุดตันจากผลิตภัณฑ์ดูแลเส้นผมและเครื่องสำอาง
    • 2. ฮอร์โมนแปรปรวนในช่วงวัยรุ่นหรือรอบเดือน
    • 3. ความมันส่วนเกินและการสะสมของเซลล์ผิวเก่า
    • 4. การเสียดสีหรือระคายเคืองจากหมวกและเส้นผม
    • 5. ความเครียดและการพักผ่อนไม่เพียงพอ
    • 6. สุขอนามัยที่ไม่เหมาะสมและการสัมผัสใบหน้าบ่อยครั้ง
    • 7. การแพ้หรือระคายเคืองจากสกินแชร์
    • 8. ปัจจัยภายในอื่นๆ เช่น อาหารและพันธุกรรม
  • แนวทางการรักษา: จากการดูแลตัวเองสู่การรักษาโดยแพทย์
    • การปรับพฤติกรรมและการดูแลผิวเบื้องต้นที่บ้าน
    • การรักษาโดยแพทย์: ยาทา ยารับประทาน และหัตถการ
  • การเลือกแนวทางการรักษา: ปัจจัยที่ต้องพิจารณา
    • ความรุนแรงและประเภทของสิวที่เป็นอยู่
    • ประวัติการรักษาและสภาพผิวโดยรวม
    • การประเมินผลลัพธ์และระยะเวลาในการรักษา
  • ข้อผิดพลาดที่ควรเลี่ยงเพื่อไม่ให้สิวที่หน้าผากแย่ลง
    • การกดหรือบีบสิวด้วยตัวเอง
    • การใช้ผลิตภัณฑ์หลายชนิดพร้อมกันโดยไม่จำเป็น
    • การละเลยความสะอาดของสิ่งของที่สัมผัสใบหน้า
  • คำถามที่พบบ่อยเกี่ยวกับสิวที่หน้าผาก
    • สิวที่หน้าผากบ่งบอกถึงปัญหาสุขภาพภายในหรือไม่?
    • สิวที่หน้าผากเกี่ยวกับฮอร์โมนโดยตรงใช่ไหม?
    • สิวผดกับสิวอุดตันที่หน้าผากต่างกันอย่างไร?
    • ควรไปพบแพทย์เมื่อใดสำหรับปัญหาสิวที่หน้าผาก?
    • การกดสิวที่หน้าผากในคลินิกปลอดภัยหรือไม่?
    • สิวที่หน้าผากใช้เวลารักษานานแค่ไหนถึงจะเห็นผล?
  • References:

ทำความเข้าใจสิวที่หน้าผาก: ประเภทและลักษณะที่พบบ่อย

สิวอุดตัน (Comedones)

สิวอุดตัน (Comedonal acne) คือสิวที่เกิดจากการอุดตันของรูขุมขนด้วยซีบัม (ไขมัน) และเคราติน (เซลล์ผิวที่ตายแล้ว) สิวชนิดนี้มีลักษณะเป็นสิวหัวเปิด (สิวหัวดำ) หรือสิวหัวปิด (สิวหัวขาว) ซึ่งมักพบบริเวณหน้าผากและคาง

สิวอักเสบ (Inflammatory Acne)

สิวอักเสบคือสิวที่มีลักษณะเป็นตุ่มนูนแดง (Papules) หรือตุ่มหนอง (Pustules) ซึ่งสังเกตเห็นได้ชัดเจนกว่าสิวอุดตัน

สิวประเภทนี้จะมีอาการบวมแดงหรือมีหนองอยู่รอบๆ ในกรณีที่รุนแรงอาจพัฒนากลายเป็นสิวอักเสบขนาดใหญ่ที่เรียกว่าสิวหัวช้าง (Nodules) หรือซีสต์ (Cysts) ซึ่งมีความเสี่ยงสูงที่จะทิ้งรอยแผลเป็นไว้

สิวผด หรือสิวเชื้อรา (Acne Aestivalis / Fungal Acne)

สิวเชื้อรา (Fungal Acne) และสิวผด (Acne Aestivalis) เป็นภาวะที่ทำให้เกิดตุ่มคล้ายสิว แต่มีสาเหตุและการรักษาที่แตกต่างจากสิวทั่วไป โดยทั้งสองชนิดนี้ไม่มีสิวหัวดำหรือสิวหัวขาว และไม่ตอบสนองต่อยารักษาสิวปกติ

  • สิวเชื้อรา (Malassezia Folliculitis): เกิดจากการติดเชื้อยีสต์ในรูขุมขน ทำให้เกิดตุ่มแดงเล็กๆ ขนาดเท่ากันเป็นกลุ่ม มักมีอาการคัน และจะกำเริบเมื่อเหงื่อออกหรืออยู่ในที่อากาศร้อนชื้น
  • สิวผด (Acne Aestivalis): เป็นผดที่เกิดจากความร้อนและแสงแดด มักปรากฏเป็นตุ่มเล็กๆ คล้ายผื่นหลังสัมผัสรังสียูวีจัด โดยจะเกิดขึ้นในฤดูร้อนและดีขึ้นในฤดูหนาว

8 สาเหตุหลักที่ทำให้สิวที่หน้าผากเป็นเรื้อรัง ไม่หายขาด

1. การอุดตันจากผลิตภัณฑ์ดูแลเส้นผมและเครื่องสำอาง

การอุดตันจากผลิตภัณฑ์ดูแลเส้นผมและเครื่องสำอางเป็นสาเหตุสำคัญของการเกิดสิวที่หน้าผาก โดยเฉพาะผลิตภัณฑ์ที่มีส่วนผสมของน้ำมัน เช่น โพเมดหรือแว็กซ์จัดแต่งทรงผม ซึ่งสามารถไหลซึมลงมาที่ผิวหน้าผากและกระตุ้นให้เกิดสิวอุดตันและสิวอักเสบเม็ดเล็กๆ ได้

ในทำนองเดียวกัน การใช้เครื่องสำอางที่ไม่เหมาะสม เช่น รองพื้นเนื้อหนา หรือการไม่ล้างเครื่องสำอางออกก่อนนอน ก็เป็นสาเหตุที่ทำให้เกิดการอุดตันของซีบัมและเซลล์ผิวที่ตายแล้ว ส่งผลให้เกิดสิวตามมาได้เช่นกัน

วิธีป้องกัน:

  • เลือกใช้ผลิตภัณฑ์สำหรับเส้นผมและเครื่องสำอางที่ระบุว่า “non-comedogenic” (ไม่ก่อให้เกิดการอุดตัน)
  • หลีกเลี่ยงการไว้ผมหน้าม้าหรือปรกหน้าผาก
  • ทำความสะอาดเครื่องสำอางออกให้หมดจดทุกคืน

2. ฮอร์โมนแปรปรวนในช่วงวัยรุ่นหรือรอบเดือน

ฮอร์โมนที่แปรปรวนเป็นสาเหตุสำคัญของการเกิดสิว โดยเฉพาะในช่วงวัยรุ่นและช่วงมีรอบเดือน การเปลี่ยนแปลงของฮอร์โมนแอนโดรเจน (Androgen) เช่น เทสโทสเตอโรน (Testosterone) จะกระตุ้นให้ต่อมไขมันขยายใหญ่ขึ้นและผลิตซีบัม (Sebum) หรือน้ำมันออกมามากเกินไป ซึ่งเป็นสาเหตุหลักที่ทำให้รูขุมขนอุดตันและเกิดสิวตามมาได้ง่าย โดยเฉพาะบริเวณหน้าผากซึ่งเป็นส่วนหนึ่งของ T-zone ที่มีความมันสูง

3. ความมันส่วนเกินและการสะสมของเซลล์ผิวเก่า

ความมันส่วนเกิน (ซีบัม) และการสะสมของเซลล์ผิวเก่าเป็นสาเหตุหลักที่ทำให้รูขุมขนอุดตัน และก่อให้เกิดสิวอุดตัน (comedonal acne) โดยเฉพาะบริเวณหน้าผากและคาง

เมื่อน้ำมันและเซลล์ผิวที่ตายแล้วรวมตัวกัน จะเกิดเป็นปลั๊ก (plug) อุดตันรูขุมขน ซึ่งเป็นจุดเริ่มต้นของสิว ปัจจัยอย่างฮอร์โมนที่เพิ่มการผลิตน้ำมันและการผลัดเซลล์ผิวที่ผิดปกติจะยิ่งกระตุ้นให้เกิดการอุดตันนี้ได้ง่ายขึ้น

4. การเสียดสีหรือระคายเคืองจากหมวกและเส้นผม

การเสียดสีหรือการระคายเคืองจากหมวกและเส้นผมสามารถทำให้เกิดสิวได้ ซึ่งเรียกว่า “สิวผดจากแรงเสียดสี” (acne mechanica)

สิวประเภทนี้เกิดจากแรงกด การเสียดสี และเหงื่อที่เกิดซ้ำๆ บริเวณหน้าผาก เช่น จากการสวมหมวกกันน็อกหรือหมวกแก๊ปที่รัดแน่น นอกจากนี้ ผลิตภัณฑ์จัดแต่งทรงผมที่มีน้ำมันเป็นส่วนประกอบอาจไหลลงมาที่หน้าผากและอุดตันรูขุมขนได้ การรักษาความสะอาดของผมและหมวก รวมถึงการพยายามไม่ให้ผมปรกหน้าผากจะช่วยลดปัญหานี้ได้

5. ความเครียดและการพักผ่อนไม่เพียงพอ

ความเครียดและการพักผ่อนไม่เพียงพอเป็นปัจจัยที่กระตุ้นให้สิวที่หน้าผากแย่ลง โดยความเครียดจะทำให้สิวรุนแรงขึ้น ในขณะที่การนอนหลับไม่เพียงพอจะรบกวนสมดุลของฮอร์โมนและทำให้การฟื้นตัวของผิวช้าลง เนื่องจากร่างกายมีระดับฮอร์โมนคอร์ติซอล (ฮอร์โมนความเครียด) และการอักเสบสูงเป็นเวลานานขึ้น การจัดการความเครียดและการนอนหลับให้เพียงพอจึงมีความสำคัญ เพราะความเหนื่อยล้าสามารถเพิ่มความมันบนหน้าผากและทำให้สิวหายช้าลงได้

6. สุขอนามัยที่ไม่เหมาะสมและการสัมผัสใบหน้าบ่อยครั้ง

สุขอนามัยที่ไม่เหมาะสมและการสัมผัสใบหน้าบ่อยครั้งเป็นสาเหตุสำคัญของการเกิดสิวที่หน้าผาก เนื่องจากการกระทำเหล่านี้ทำให้เกิดการสะสมของสิ่งสกปรกและความมันบนผิวหนัง

พฤติกรรมที่ไม่เหมาะสมซึ่งนำไปสู่การเกิดสิว ได้แก่:

  • การทำความสะอาดไม่เพียงพอ: การไม่ล้างหน้าในตอนกลางคืนหรือหลังออกกำลังกายจะทำให้สิ่งสกปรกและเซลล์ผิวที่ตายแล้วตกค้างจนเกิดเป็นสิวอุดตัน
  • การทำความสะอาดมากเกินไป: การล้างหน้าบ่อยเกินไปหรือขัดผิวรุนแรงอาจทำลายน้ำมันตามธรรมชาติของผิวและกระตุ้นให้ผลิตน้ำมันออกมามากขึ้น ซึ่งอาจทำให้สิวแย่ลงได้
  • การสัมผัสใบหน้า: การนำมือไปสัมผัสใบหน้าบ่อยๆ เช่น การเท้าคางหรือปัดผม เป็นการนำแบคทีเรียและน้ำมันจากมือไปสู่ผิวหน้าผาก ทำให้เกิดสิวใหม่ได้

7. การแพ้หรือระคายเคืองจากสกินแชร์

การแพ้หรือระคายเคืองจากผลิตภัณฑ์ดูแลผิวและเส้นผมสามารถทำให้เกิดตุ่มแดงคล้ายสิวบนหน้าผากได้ เพื่อป้องกันปัญหานี้ ควรเลือกใช้ผลิตภัณฑ์ที่อ่อนโยน ไม่ก่อให้เกิดการแพ้ (hypoallergenic) และทำการทดสอบผลิตภัณฑ์ใหม่บนผิวหนัง (patch test) ก่อนใช้จริง โดยเฉพาะบริเวณหน้าผากที่บอบบาง

8. ปัจจัยภายในอื่นๆ เช่น อาหารและพันธุกรรม

อาหารและพันธุกรรมเป็นปัจจัยภายในที่สำคัญที่ส่งผลต่อการเกิดสิว โดยงานวิจัยบางชิ้นพบว่าอาหารบางชนิดอาจกระตุ้นให้เกิดสิวได้ ในขณะที่พันธุกรรมมีบทบาทในการกำหนดลักษณะผิวและความเสี่ยงในการเกิดสิว

  • อาหาร: การบริโภคเครื่องดื่มที่มีน้ำตาล ขนมปังขาว หรือนมบ่อยๆ มีความเชื่อมโยงกับอัตราการเกิดสิวที่สูงขึ้น
  • พันธุกรรม: หากคนในครอบครัวมีประวัติเป็นสิวรุนแรง ความเสี่ยงในการเกิดสิวก็จะสูงขึ้น เนื่องจากพันธุกรรมมีผลต่อปริมาณการผลิตน้ำมันของต่อมไขมัน แนวโน้มการอุดตันของรูขุมขน และการตอบสนองของระบบภูมิคุ้มกันต่อแบคทีเรีย

แนวทางการรักษา: จากการดูแลตัวเองสู่การรักษาโดยแพทย์

การปรับพฤติกรรมและการดูแลผิวเบื้องต้นที่บ้าน

การปรับพฤติกรรมและการดูแลผิวเบื้องต้นที่บ้านสามารถทำได้โดยการรักษาความสะอาด หลีกเลี่ยงการระคายเคือง และใช้ผลิตภัณฑ์ที่หาซื้อได้ทั่วไปอย่างเหมาะสม ซึ่งมีแนวทางปฏิบัติดังนี้

  • รักษาความสะอาด: ควรดูแลเส้นผมให้สะอาดและหลีกเลี่ยงการไว้ผมหน้าม้าที่สัมผัสหน้าผาก ไม่ใช้มือสัมผัสใบหน้าบ่อยๆ และทำความสะอาดสิ่งของที่สัมผัสกับใบหน้าเป็นประจำ เช่น ปลอกหมอน หมวก และโทรศัพท์
  • หลีกเลี่ยงการระคายเคือง: ห้ามบีบหรือแกะสิวเด็ดขาด เพราะอาจทำให้เกิดการติดเชื้อและรอยแผลเป็นได้ นอกจากนี้ควรหลีกเลี่ยงการล้างหน้าบ่อยเกินไปหรือใช้ผลิตภัณฑ์รักษาสิวหลายชนิดพร้อมกัน เพราะจะทำให้ผิวระคายเคืองและอาจทำให้อาการแย่ลง
  • ใช้ผลิตภัณฑ์ที่เหมาะสม: สามารถใช้ผลิตภัณฑ์ที่หาซื้อได้เอง (OTC) ที่มีส่วนผสมของกรดซาลิไซลิก (Salicylic Acid) เพื่อช่วยผลัดเซลล์ผิวและลดการอุดตัน หรืออะแดพาลีน (Adapalene) ซึ่งเป็นเรตินอยด์ชนิดอ่อนโยนเพื่อช่วยให้การผลัดเซลล์ผิวเป็นปกติ

การรักษาโดยแพทย์: ยาทา ยารับประทาน และหัตถการ

การรักษาโดยแพทย์สำหรับสิวที่หน้าผากมีทั้งยาทา ยารับประทาน และหัตถการต่างๆ ซึ่งแพทย์จะเลือกใช้ตามความรุนแรงและชนิดของสิว

ยาทา (Topical Medications):

  • เรตินอยด์ (Retinoids): มีประสิทธิภาพสูงในการรักษาสิวอุดตัน ช่วยปรับการผลัดเซลล์ผิวให้เป็นปกติ
  • ยาปฏิชีวนะชนิดทา (Topical Antibiotics): เช่น คลินดามัยซิน (Clindamycin) เพื่อยับยั้งเชื้อแบคทีเรีย C. acnes มักใช้ร่วมกับเบนโซอิลเพอร์ออกไซด์ (Benzoyl Peroxide) เพื่อป้องกันการดื้อยา
  • แดพโซน (Dapsone): เป็นยาต้านการอักเสบ มักใช้ในสิวของผู้หญิงวัยผู้ใหญ่
  • กรดอะซีลาอิก (Azelaic Acid): ช่วยลดสิวอุดตันและรอยสิว
  • ยารับประทาน (Oral Medications):
  • ยาปฏิชีวนะ (Antibiotics): ใช้สำหรับสิวอักเสบระดับปานกลางถึงรุนแรง โดยทั่วไปจะใช้เป็นเวลา 3-4 เดือน
  • ยาปรับฮอร์โมน (Hormonal Therapies): เช่น ยาคุมกำเนิดชนิดฮอร์โมนรวม หรือยาต้านแอนโดรเจน (Spironolactone) มีประสิทธิภาพสำหรับผู้หญิงที่มีสิวจากฮอร์โมน
  • ไอโสเตรติโนอิน (Isotretinoin): เป็นอนุพันธ์ของวิตามินเอ ใช้ในกรณีสิวรุนแรงที่ไม่ตอบสนองต่อการรักษาอื่น ช่วยลดการทำงานของต่อมไขมันได้อย่างมีนัยสำคัญ
  • หัตถการ (Procedures):
  • การฉีดสเตียรอยด์เข้าที่สิว (Intralesional Corticosteroid Injection): ช่วยลดการอักเสบและขนาดของสิวหัวช้างหรือสิวซีสต์ได้อย่างรวดเร็ว
  • การผลัดเซลล์ผิวด้วยสารเคมี (Chemical Peels): ใช้กรดซาลิไซลิกหรือกรดไกลโคลิกเพื่อช่วยผลัดเซลล์ผิวและทำความสะอาดรูขุมขน
  • การบำบัดด้วยแสงและเลเซอร์ (Light and Laser Therapies): เช่น แสงสีฟ้าเพื่อฆ่าเชื้อแบคทีเรีย หรือเลเซอร์เพื่อรักษารอยแผลเป็นจากสิว

การเลือกแนวทางการรักษา: ปัจจัยที่ต้องพิจารณา

ความรุนแรงและประเภทของสิวที่เป็นอยู่

ความรุนแรงของสิวแบ่งออกเป็นระดับไม่รุนแรง ปานกลาง และรุนแรง โดยพิจารณาจากประเภทของสิว ซึ่งมีทั้งสิวอุดตัน สิวอักเสบ และภาวะที่คล้ายสิว

  • สิวอุดตัน (Comedonal Acne): เป็นสิวที่ไม่รุนแรง เกิดจากการอุดตันของรูขุมขน มีลักษณะเป็นสิวหัวดำและสิวหัวขาว
  • สิวอักเสบ (Inflammatory Acne): มีความรุนแรงกว่า ประกอบด้วยตุ่มแดง (Papules) ตุ่มหนอง (Pustules) และในกรณีที่รุนแรงอาจเป็นสิวหัวช้าง (Nodules) หรือสิวซีสต์ (Cysts) ซึ่งมีความเสี่ยงสูงที่จะเกิดแผลเป็น
  • ภาวะที่คล้ายสิว (Acne-like Eruptions): ควรแยกออกจากสิวทั่วไป เช่น สิวเชื้อรา (Fungal Acne) ที่เกิดจากการติดเชื้อยีสต์ มีลักษณะเป็นตุ่มแดงเล็กๆ คัน และผดร้อน (Heat Rash) ที่เกิดจากความร้อนและเหงื่อ เนื่องจากต้องใช้วิธีการรักษาที่แตกต่างกัน

ประวัติการรักษาและสภาพผิวโดยรวม

การพิจารณาเลือกวิธีการรักษาสิวที่หน้าผากจะขึ้นอยู่กับความรุนแรงและชนิดของสิวเป็นหลัก โดยแพทย์จะประเมินจากจำนวน ขนาด และความลึกของสิว เพื่อเลือกระดับการรักษาที่เหมาะสม

  • สิวที่ไม่รุนแรง: สิวอุดตันที่ไม่รุนแรงมักตอบสนองต่อยาทาเฉพาะที่
  • สิวระดับปานกลางถึงรุนแรง: สิวอักเสบที่มีตุ่มหนองหรือสิวหัวช้างจำนวนมาก อาจจำเป็นต้องใช้ยารับประทาน เช่น ยาปฏิชีวนะหรือไอโซเตรติโนอิน ควบคู่ไปกับยาทา
  • ชนิดของสิว: การวินิจฉัยชนิดของสิวให้ถูกต้องเป็นสิ่งสำคัญ เช่น หากเป็นสิวเชื้อรา (Fungal acne) จะต้องใช้ยาต้านเชื้อราแทนยารักษาสิวทั่วไป

การประเมินผลลัพธ์และระยะเวลาในการรักษา

โดยทั่วไปแล้ว ต้องใช้เวลารักษาอย่างสม่ำเสมอประมาณ 8–12 สัปดาห์ (2–3 เดือน) จึงจะเห็นผลว่าสิวที่หน้าผากลดลงอย่างมีนัยสำคัญ

การรักษาสิวส่วนใหญ่ต้องอาศัยความอดทนและความสม่ำเสมอ ในช่วง 2-3 สัปดาห์แรกอาจเกิดการระคายเคืองหรือมีสิวเห่อขึ้นเล็กน้อย แต่หลังจากสัปดาห์ที่ 6–8 จะเริ่มสังเกตเห็นสิวใหม่ลดลง หากปฏิบัติตามแผนการรักษาอย่างต่อเนื่องเป็นเวลา 3 เดือนแล้วยังไม่ดีขึ้น ควรกลับไปพบแพทย์เพื่อประเมินและปรับเปลี่ยนการรักษาต่อไป

ข้อผิดพลาดที่ควรเลี่ยงเพื่อไม่ให้สิวที่หน้าผากแย่ลง

การกดหรือบีบสิวด้วยตัวเอง

การกดหรือบีบสิวด้วยตัวเองมักจะทำให้สิวอักเสบแย่ลง และอาจทำให้เกิดแผลเป็นถาวรหรือรอยดำหลังการอักเสบได้

การกระทำดังกล่าวอาจเปลี่ยนสิวเม็ดเล็กๆ ให้กลายเป็นสิวอักเสบที่มีขนาดใหญ่และเจ็บปวดมากขึ้น นอกจากนี้ มือของเรายังมีแบคทีเรียซึ่งอาจทำให้เกิดการติดเชื้อเมื่อกดสิว หากสิวเป็นปัญหามาก ควรใช้ยาแต้มสิวเฉพาะจุดหรือปรึกษาแพทย์ผิวหนังเพื่อทำการรักษาอย่างถูกวิธี

การใช้ผลิตภัณฑ์หลายชนิดพร้อมกันโดยไม่จำเป็น

การใช้ผลิตภัณฑ์รักษาสิวหลายชนิดพร้อมกันอาจทำให้สิวแย่ลง เนื่องจากผิวอาจเกิดการระคายเคือง มีรอยแดง หรือกระตุ้นให้ผลิตน้ำมันออกมามากขึ้น

แพทย์ผิวหนังแนะนำว่าควรเริ่มใช้ผลิตภัณฑ์ทีละชนิดอย่างสม่ำเสมอเป็นเวลาหลายสัปดาห์ เพื่อประเมินประสิทธิภาพก่อนที่จะเพิ่มหรือเปลี่ยนผลิตภัณฑ์ใหม่ การใช้ผลิตภัณฑ์ที่เน้นการรักษาสิวเพียงหนึ่งหรือสองชนิดร่วมกับผลิตภัณฑ์ทำความสะอาดที่อ่อนโยนและมอยส์เจอไรเซอร์ที่ไม่ก่อให้เกิดการอุดตัน จะช่วยป้องกันการระคายเคืองที่ไม่จำเป็นได้

การละเลยความสะอาดของสิ่งของที่สัมผัสใบหน้า

การละเลยความสะอาดของสิ่งของที่สัมผัสใบหน้าเป็นสาเหตุของการเกิดสิว เนื่องจากเป็นการนำพาแบคทีเรีย น้ำมัน และสิ่งสกปรกมาสู่ผิวหนัง

สิ่งของต่างๆ เช่น โทรศัพท์มือถือ หมวก ปลอกหมอน และแปรงแต่งหน้า สามารถเป็นแหล่งสะสมของเชื้อแบคทีเรียที่ก่อให้เกิดสิวได้ การสัมผัสกับสิ่งของเหล่านี้จะทำให้เชื้อโรคและสิ่งสกปรกถูกส่งผ่านไปยังผิวหน้า ซึ่งนำไปสู่การอุดตันและการอักเสบของรูขุมขน

คำถามที่พบบ่อยเกี่ยวกับสิวที่หน้าผาก

สิวที่หน้าผากบ่งบอกถึงปัญหาสุขภาพภายในหรือไม่?

สิวที่หน้าผากไม่ได้เป็นตัวบ่งชี้ที่น่าเชื่อถือของปัญหาสุขภาพอวัยวะภายในที่ร้ายแรง ความเชื่อที่ว่าสิวในบริเวณต่างๆ ของใบหน้าสามารถสะท้อนถึงปัญหาของอวัยวะภายในได้นั้น (Face Mapping) ยังไม่มีหลักฐานทางวิทยาศาสตร์ที่ชัดเจนมารองรับ

แพทย์ผิวหนังส่วนใหญ่ระบุว่า สิวที่หน้าผากมักเกิดจากปัจจัยภายนอก เช่น ผิวมัน, การใช้ผลิตภัณฑ์สำหรับเส้นผม, ความเครียด หรือสาเหตุทั่วไปอื่นๆ ของการเกิดสิว มากกว่าที่จะเป็นสัญญาณของโรคภายในร่างกาย

สิวที่หน้าผากเกี่ยวกับฮอร์โมนโดยตรงใช่ไหม?

ฮอร์โมนเป็นปัจจัยหนึ่งที่ทำให้เกิดสิวที่หน้าผาก แต่ไม่ใช่สาเหตุเดียว โดยฮอร์โมนแอนโดรเจน (Androgen) จะกระตุ้นต่อมไขมันให้ผลิตน้ำมันออกมามากขึ้น ซึ่งเป็นสาเหตุของการอุดตันในรูขุมขน โดยเฉพาะในช่วงวัยรุ่นหรือช่วงที่มีการเปลี่ยนแปลงของฮอร์โมนในผู้หญิง เช่น รอบเดือน

อย่างไรก็ตาม สิวที่หน้าผากยังเกิดได้จากปัจจัยภายนอกอื่นๆ เช่น การใช้ผลิตภัณฑ์สำหรับเส้นผมที่มีส่วนผสมของน้ำมัน, ความเครียด หรือการสวมหมวกเป็นประจำ

สิวผดกับสิวอุดตันที่หน้าผากต่างกันอย่างไร?

สิวผด (ผดร้อน) เกิดจากการอุดตันของท่อเหงื่อ ในขณะที่สิวอุดตันเกิดจากการอุดตันของรูขุมขน ซึ่งทำให้ทั้งสองชนิดมีลักษณะและอาการที่แตกต่างกันอย่างชัดเจน

  • สิวผด (ผดร้อน): เกิดขึ้นเมื่อเหงื่อไม่สามารถระบายออกมาได้ในสภาพอากาศร้อนชื้น ทำให้เกิดเป็นตุ่มแดงเล็กๆ หรือตุ่มน้ำใสๆ ที่มักมีอาการคันมาก สิวผดจะไม่มีหัวสิว (สิวหัวดำหรือสิวหัวขาว) และมักจะหายไปเองเมื่อผิวหนังเย็นลง
  • สิวอุดตัน: เกิดจากน้ำมัน (ซีบัม) และเซลล์ผิวที่ตายแล้วไปอุดตันรูขุมขน ทำให้เกิดเป็นสิวหัวเปิด (สิวหัวดำ) หรือสิวหัวปิด (สิวหัวขาว) โดยทั่วไปจะไม่มีอาการคัน และต้องใช้เวลาในการรักษา ไม่สามารถหายไปเองได้เร็วเหมือนสิวผด

ควรไปพบแพทย์เมื่อใดสำหรับปัญหาสิวที่หน้าผาก?

ควรไปพบแพทย์ผิวหนัง หากสิวที่หน้าผากมีความรุนแรง เจ็บปวด ทิ้งรอยแผลเป็น หรือไม่ดีขึ้นหลังจากใช้ผลิตภัณฑ์ที่หาซื้อได้ทั่วไป

สัญญาณอื่นๆ ที่บ่งบอกว่าควรปรึกษาแพทย์ ได้แก่:

  • มีสิวอักเสบขนาดใหญ่ สิวหัวช้าง หรือสิวซีสต์ที่เจ็บปวด ซึ่งเสี่ยงต่อการเกิดรอยแผลเป็น
  • สิวส่งผลกระทบต่อสภาพจิตใจอย่างรุนแรง
  • สิวไม่ดีขึ้นหลังจากใช้ยาทาที่หาซื้อได้เองเป็นเวลา 2-3 เดือน
  • สงสัยว่าอาจมีภาวะอื่นร่วมด้วย เช่น ภาวะฮอร์โมนผิดปกติ (สังเกตจากประจำเดือนมาไม่ปกติ)

การกดสิวที่หน้าผากในคลินิกปลอดภัยหรือไม่?

การกดสิวที่หน้าผากโดยแพทย์ผิวหนังหรือผู้เชี่ยวชาญถือว่าปลอดภัย และสามารถช่วยกำจัดสิวอุดตันที่รักษายากได้

ผู้เชี่ยวชาญจะใช้เครื่องมือที่ผ่านการฆ่าเชื้อและเทคนิคที่เหมาะสมเพื่อลดการบาดเจ็บของผิวหนัง ซึ่งแตกต่างจากการบีบสิวด้วยตนเองที่มีความเสี่ยงสูงที่จะทำให้เกิดแผลเป็นหรือการติดเชื้อ การกดสิวโดยผู้เชี่ยวชาญมักใช้กับสิวหัวดำและสิวหัวขาวที่ไม่ตอบสนองต่อการรักษาด้วยยาทา

สิวที่หน้าผากใช้เวลารักษานานแค่ไหนถึงจะเห็นผล?

โดยทั่วไปแล้ว การรักษาสิวที่หน้าผากจะเริ่มเห็นผลอย่างชัดเจนในเวลาประมาณ 8–12 สัปดาห์ (2–3 เดือน) หากใช้วิธีการรักษาอย่างสม่ำเสมอ

ระยะเวลานี้ใช้ได้กับการรักษาเกือบทุกรูปแบบ ไม่ว่าจะเป็นยาทาหรือยารับประทาน ในช่วงสัปดาห์แรกๆ ของการรักษา โดยเฉพาะเมื่อใช้ยาในกลุ่มเรตินอยด์ อาจเกิดการระคายเคืองหรือมีสิวเห่อขึ้นมาชั่วคราวได้ แต่หลังจากสัปดาห์ที่ 6–8 จะเริ่มเห็นสิวใหม่ลดลง หากใช้ยาอย่างต่อเนื่องครบ 3 เดือนแล้วยังไม่ดีขึ้น ควรกลับไปพบแพทย์เพื่อประเมินและปรับเปลี่ยนแผนการรักษาต่อไป

References:

  1. Dorwart, L. Forehead acne: Causes and tips for clear skin. Verywell Health.
  2. Watson, S. Why is my forehead breaking out? Plus tips for treatment and prevention. Healthline.
  3. Cleveland Clinic. Acne face map: The cause of these breakouts. Cleveland Clinic – Health Essentials.
  4. American Academy of Dermatology. Pimple popping: Why only a dermatologist should do it. AAD.
  5. Oakley, A. Comedonal acne. DermNet New Zealand.
  6. Barbieri, J. S. Acne vulgaris – treatment & management. Medscape (WebMD).
  7. Richards, L. Is there a link between stress and acne? Medical News Today.
  8. Cleveland Clinic. Fungal acne (Malassezia folliculitis). Cleveland Clinic.

แนะแนวเรื่อง

Previous Previous
สิวในจมูก วิธีดูแลตัวเองขั้นพื้นฐาน ลดเสี่ยงกำเริบ
NextContinue
สิวหัวหนองหายเองได้ไหม กี่วันหาย และควรเริ่มรักษาเมื่อไร

สาขาพรีวาโต คลินิก

    สาขาอโศก ตั้งอยู่ที่ ชั้น 2 อาคารมิดทาวน์
    Phone: 02-258-4050 , 081-841-5075
    สาขาสีลม ตั้งอยู่ที่ ชั้น 1 อาคารซี.พี.ทาวเวอร์
    Phone: 02-780-2011 , 098-272-5244
    สาขาราชพฤกษ์ ตั้งอยู่ที่ ชั้น 2 ศูนย์การค้า เดอะคริสตัล เอสบี (ด้านบนร้านสตาร์บัคส์)
    Phone: 02-102-2778 , 098-272-5244

ติดต่อเรา

    Facebook: Privato Clinic
    Messenger: Privato Clinic
    Instagram: privatoclinic
    Email: privatoclinic@gmail.com
    Line: @privatoclinic

Copyright© 2022-2024. All Rights Reserved

Scroll to top
  • หน้าหลัก
  • เกี่ยวกับพรีวาโต
  • บริการทั้งหมด
    • ชะลอวัย
    • ยกกระชับผิว
      • XERF
      • Potenza
      • Sofwave
      • Ulthera
      • Thermage-FLX
    • รักษาสิว
    • เลเซอร์
    • โปรแกรมฉีด
    • บำรุงผิว
  • บทความ
    • สิว
    • ยกกระชับ
    • ดูแลผิว
    • ทำเลเซอร์
  • ผลิตภัณฑ์ดูแลผิว
  • โปรโมชั่น
  • ผลลัพธ์การรักษา
  • วิดีโอรีวิวจากเคสจริง
  • สาขาของเรา
  • ไทย
    • ไทย
    • English
    • 中文 (中国)
  • ปรึกษาแพทย์
Facebook Instagram YouTube