ขูดฟิลเลอร์เจ็บไหม? อันตรายหรือเปล่า? รู้ก่อนตัดสินใจ

ขูดฟิลเลอร์เจ็บไหม? และอันตรายหรือไม่?
โดยทั่วไปแล้ว การขูดหรือสลายฟิลเลอร์ มีความเจ็บเล็กน้อยถึงปานกลางและถือว่าปลอดภัยเมื่อทำโดยแพทย์ผู้เชี่ยวชาญ
ระดับความเจ็บขึ้นอยู่กับวิธีการนำฟิลเลอร์ออก:
- การฉีดสลาย (สำหรับฟิลเลอร์ HA): ผู้ป่วยอาจรู้สึกเจ็บหรือแสบเล็กน้อยคล้ายกับการฉีดฟิลเลอร์ ซึ่งเป็นความเจ็บที่ทนได้และเกิดขึ้นเพียงชั่วคราว
- การผ่าตัดขูด (สำหรับฟิลเลอร์ถาวร): จะทำภายใต้การใช้ยาชา ทำให้ไม่รู้สึกเจ็บระหว่างทำ แต่อาจมีอาการปวดระบมหลังผ่าตัดซึ่งสามารถควบคุมได้ด้วยยาแก้ปวด
ในด้านความปลอดภัย การนำฟิลเลอร์ออกมีความเสี่ยงต่ำเมื่อทำโดยแพทย์ที่มีประสบการณ์ในสถานพยาบาลที่ได้มาตรฐาน การฉีดสลายมีความเสี่ยงน้อยมากที่จะเกิดอาการแพ้ ส่วนการผ่าตัดมีความเสี่ยงทั่วไป เช่น การติดเชื้อหรือแผลเป็น แต่พบได้น้อยเมื่อใช้เทคนิคที่เหมาะสม
ความรู้สึกระหว่างทำและหลังทำ
ความรู้สึกระหว่างการเอาฟิลเลอร์ออกจะแตกต่างกันไปตามวิธีที่ใช้ โดยการฉีดสลายจะรู้สึกเจ็บเล็กน้อยคล้ายแสบๆ ชั่วคราว ส่วนการผ่าตัดจะทำภายใต้การใช้ยาชาจึงไม่รู้สึกเจ็บระหว่างทำ
ระหว่างทำ:
- การฉีดสลาย: ผู้ป่วยอาจรู้สึกเจ็บเล็กน้อยหรือไม่สบายตัว คล้ายอาการแสบเบาๆ บริเวณที่ฉีด แต่ความรู้สึกนี้จะหายไปอย่างรวดเร็ว แพทย์อาจใช้ยาชาเพื่อช่วยลดความเจ็บปวด
- การผ่าตัด: จะทำภายใต้การใช้ยาชาหรือยาสลบ ทำให้ผู้ป่วยไม่รู้สึกเจ็บปวดในระหว่างขั้นตอน
- หลังทำ:
- การฉีดสลาย: อาจมีอาการบวมหรือช้ำเล็กน้อย ซึ่งโดยทั่วไปจะหายไปเองภายใน 2-3 วัน
- การผ่าตัด: อาจมีอาการปวดเล็กน้อยถึงปานกลางบริเวณแผล ซึ่งสามารถควบคุมได้ด้วยยาแก้ปวด และจะมีอาการบวมช้ำที่อาจใช้เวลา 2-3 สัปดาห์กว่าจะจางลง
ความเสี่ยงและผลข้างเคียงที่อาจเกิดขึ้น
ความเสี่ยงและผลข้างเคียงของการสลายฟิลเลอร์นั้นมีน้อย โดยมักพบอาการบวม ช้ำ หรือเจ็บเล็กน้อยชั่วคราว ในขณะที่การผ่าตัดนำฟิลเลอร์ออกมีความเสี่ยงเหมือนการผ่าตัดทั่วไป เช่น การติดเชื้อ เลือดออก หรือแผลเป็น
ความเสี่ยงและผลข้างเคียงจะแตกต่างกันไปตามวิธีการ ดังนี้
- การฉีดสลายด้วยเอนไซม์ (Hyaluronidase):
- ผลข้างเคียงทั่วไป: อาการเจ็บหรือแสบเล็กน้อยขณะฉีด, บวม, ช้ำ ซึ่งมักจะหายไปเองภายใน 2-3 วัน
- ความเสี่ยงที่พบได้น้อย: อาการแพ้เอนไซม์ ซึ่งพบได้ยาก (โดยเฉพาะในผู้ที่แพ้พิษผึ้ง) และสามารถทดสอบการแพ้ก่อนทำได้
- การผ่าตัดนำฟิลเลอร์ออก:
- ผลข้างเคียงทั่วไป: อาการปวด บวม และรอยช้ำหลังผ่าตัด ซึ่งจะค่อยๆ ดีขึ้นในเวลา 2-3 สัปดาห์
- ความเสี่ยง: มีความเสี่ยงมาตรฐานของการผ่าตัด เช่น เลือดออก, การติดเชื้อ, แผลเป็น (ซึ่งแพทย์จะพยายามซ่อนรอยแผล) และการบาดเจ็บของเส้นประสาทในบางกรณี
ความเสี่ยงเหล่านี้จะลดลงอย่างมากหากทำโดยแพทย์ผู้เชี่ยวชาญและปฏิบัติตามคำแนะนำอย่างเคร่งครัด
ความปลอดภัยเมื่อทำโดยแพทย์ผู้เชี่ยวชาญ
การสลายฟิลเลอร์ถือเป็นหัตถการที่ปลอดภัยเมื่อทำโดยแพทย์ผู้เชี่ยวชาญ เช่น แพทย์ผิวหนังและศัลยแพทย์ตกแต่งที่ได้รับการรับรอง เนื่องจากแพทย์จะปฏิบัติตามระเบียบการที่เข้มงวดเพื่อลดความเสี่ยงให้เหลือน้อยที่สุด
- การฉีดสลายด้วยเอนไซม์ (Hyaluronidase): มีประวัติด้านความปลอดภัยที่ดีมาก ความเสี่ยงส่วนใหญ่คืออาการบวมหรือช้ำชั่วคราว และมีโอกาสเกิดอาการแพ้ได้น้อยมาก ซึ่งแพทย์สามารถป้องกันได้โดยการทดสอบอาการแพ้ก่อนทำ
- การผ่าตัดนำฟิลเลอร์ออก: มีความเสี่ยงตามมาตรฐานการผ่าตัดทั่วไป เช่น การติดเชื้อ เลือดออก หรือแผลเป็น แต่ความเสี่ยงเหล่านี้จะลดลงอย่างมากเมื่อทำด้วยเทคนิคที่เหมาะสมและปลอดเชื้อโดยศัลยแพทย์ที่มีประสบการณ์
ขั้นตอนการขูดฟิลเลอร์
การประเมินและเตรียมตัวก่อนทำ
การประเมินและเตรียมตัวก่อนการสลายหรือผ่าตัดฟิลเลอร์เกี่ยวข้องกับการตรวจสภาพร่างกายและชนิดของฟิลเลอร์อย่างละเอียด เพื่อวางแผนการรักษาที่ปลอดภัยและมีประสิทธิภาพที่สุด โดยมีขั้นตอนสำคัญดังนี้
- การตรวจสอบประวัติ: แพทย์จะซักประวัติและตรวจสอบข้อมูลเกี่ยวกับชนิดของฟิลเลอร์ที่เคยฉีด
- การตรวจด้วยภาพถ่ายทางการแพทย์: อาจมีการใช้อัลตราซาวด์ความละเอียดสูงหรือ MRI เพื่อระบุตำแหน่งและขอบเขตของฟิลเลอร์ โดยเฉพาะในกรณีที่ไม่ทราบชนิด
- การประเมินสภาพร่างกายและจิตใจ: แพทย์จะประเมินสุขภาพโดยรวม, ปัญหาการใช้งานของอวัยวะในบริเวณที่ฉีด (เช่น ขยับปากลำบาก) และความพร้อมทางจิตใจของผู้ป่วย
- การทดสอบการแพ้: ในกรณีที่ต้องสลายฟิลเลอร์ชนิด Hyaluronic Acid (HA) อาจมีการทดสอบการแพ้เอนไซม์ไฮยาลูโรนิเดส (Hyaluronidase) ก่อนทำการรักษา
- การให้ยาเตรียมความพร้อม: หากสงสัยว่ามีการติดเชื้อหรืออักเสบรุนแรง แพทย์อาจให้ยาปฏิชีวนะหรือยาลดการอักเสบก่อนทำหัตถการ
- การให้ข้อมูลและถ่ายภาพ: ผู้ป่วยจะได้รับข้อมูลเกี่ยวกับขั้นตอน ความเสี่ยง และผลลัพธ์ที่เป็นไปได้ พร้อมทั้งมีการถ่ายภาพก่อนทำเพื่อใช้เปรียบเทียบผลการรักษา
เทคนิคและวิธีการขูดฟิลเลอร์
เทคนิคการนำฟิลเลอร์ออกมี 2 วิธีหลัก คือ การฉีดสลายด้วยเอนไซม์สำหรับฟิลเลอร์ชนิดไฮยาลูโรนิก แอซิด (HA) และการผ่าตัดนำออกสำหรับฟิลเลอร์ชนิดถาวร การเลือกใช้วิธีใดขึ้นอยู่กับชนิดของฟิลเลอร์และลักษณะของปัญหา
- การฉีดสลายด้วยเอนไซม์ (Enzymatic Dissolution): เป็นวิธีที่ไม่ต้องผ่าตัด โดยแพทย์จะฉีดเอนไซม์ไฮยาลูโรนิเดส (Hyaluronidase) เข้าไปในบริเวณที่มีฟิลเลอร์ HA เพื่อสลายฟิลเลอร์ให้กลายเป็นสารที่ร่างกายสามารถดูดซึมและกำจัดออกไปได้เอง ผลลัพธ์จะเริ่มเห็นภายใน 24-48 ชั่วโมง วิธีนี้เหมาะสำหรับฟิลเลอร์ HA เท่านั้น และมีข้อดีคือใช้เวลาไม่นานและพักฟื้นน้อย
- การผ่าตัดนำฟิลเลอร์ออก (Surgical Removal): เป็นวิธีสำหรับฟิลเลอร์ชนิดถาวร (เช่น ซิลิโคน) ที่ไม่สามารถสลายได้ด้วยเอนไซม์ ศัลยแพทย์จะเปิดแผลเพื่อเข้าไปนำก้อนฟิลเลอร์และพังผืดโดยรอบออกโดยตรง โดยมักจะซ่อนรอยแผลไว้ในตำแหน่งที่สังเกตเห็นได้ยาก เช่น ในช่องปาก หรือตามรอยพับของผิวหนัง วิธีนี้เป็นการผ่าตัดจึงต้องใช้ยาชาและมีระยะเวลาพักฟื้นนานกว่า
การดูแลหลังการขูดฟิลเลอร์
การดูแลตัวเองหลังการผ่าตัดขูดฟิลเลอร์ ประกอบด้วยการรักษาความสะอาดของแผล การประคบเย็นเพื่อลดบวม การหลีกเลี่ยงกิจกรรมที่ต้องออกแรง และการปฏิบัติตามคำแนะนำของแพทย์อย่างเคร่งครัด
เพื่อให้การฟื้นตัวเป็นไปอย่างราบรื่น ควรปฏิบัติตามขั้นตอนต่อไปนี้:
- การดูแลแผล: รักษาความสะอาดบริเวณที่ผ่าตัดตามคำแนะนำของศัลยแพทย์ เช่น การเช็ดด้วยน้ำเกลือ และทายาปฏิชีวนะหากได้รับ
- ลดอาการบวม: ในช่วง 48 ชั่วโมงแรก ควรประคบเย็นและนอนหนุนศีรษะให้สูงเพื่อช่วยลดอาการบวม
- หลีกเลี่ยงกิจกรรม: งดการออกกำลังกายหนักๆ หรือการออกแรงอย่างน้อย 2-3 สัปดาห์ และงดสูบบุหรี่เนื่องจากจะขัดขวางกระบวนการหายของแผล
- สังเกตอาการผิดปกติ: หากมีอาการติดเชื้อ เช่น แผลแดงขึ้น ร้อน มีหนอง หรือมีอาการบวมและปวดอย่างรวดเร็ว ให้รีบแจ้งแพทย์ทันที
- การดูแลแผลเป็น: เมื่อแผลหายดีแล้ว อาจใช้เจลหรือแผ่นซิลิโคนตามคำแนะนำของแพทย์เพื่อช่วยให้รอยแผลเป็นจางลง
- การนัดหมาย: ไปพบแพทย์ตามนัดเพื่อติดตามผลการรักษา
ขูดฟิลเลอร์บริเวณไหนได้บ้าง? และราคาเท่าไหร่?
การขูดหรือสลายฟิลเลอร์สามารถทำได้ในหลายบริเวณบนใบหน้า เช่น คาง จมูก ริมฝีปาก ใต้ตา และหน้าผาก โดยราคาจะขึ้นอยู่กับวิธีการรักษาและตำแหน่งที่ทำ
ราคาสำหรับการสลายหรือขูดฟิลเลอร์แบ่งตามวิธีได้ดังนี้:
- การฉีดสลายด้วยเอนไซม์ (สำหรับฟิลเลอร์ไฮยาลูรอนิก แอซิด): มีค่าใช้จ่ายประมาณ 2,500–5,000 บาทต่อครั้งต่อบริเวณ
- การผ่าตัดขูดฟิลเลอร์ (สำหรับฟิลเลอร์ชนิดถาวร): เป็นหัตถการที่มีความซับซ้อนและค่าใช้จ่ายสูงกว่ามาก ซึ่งอาจมีราคาตั้งแต่หลักหมื่นไปจนถึงหลายหมื่นบาท ขึ้นอยู่กับความยากง่ายของเคส
ขูดฟิลเลอร์คาง
การขูดหรือผ่าตัดนำฟิลเลอร์คางออกเป็นการผ่าตัดเพื่อนำฟิลเลอร์ชนิดถาวร (เช่น ซิลิโคน) ออก โดยมักทำผ่านแผลในช่องปากเพื่อซ่อนรอยแผลเป็น ส่วนฟิลเลอร์ชนิดไฮยาลูรอนิก (HA) สามารถฉีดสลายได้โดยไม่ต้องผ่าตัด
การนำฟิลเลอร์คางออกมี 2 วิธีหลัก ขึ้นอยู่กับชนิดของฟิลเลอร์
- การผ่าตัด: ใช้สำหรับฟิลเลอร์ชนิดถาวรที่ไม่สามารถสลายได้ ศัลยแพทย์จะเปิดแผลซึ่งส่วนใหญ่มักทำจากด้านในของริมฝีปากล่างเพื่อไม่ให้เกิดแผลเป็นภายนอก จากนั้นจะค่อยๆ เลาะเพื่อนำฟิลเลอร์และพังผืดโดยรอบออกอย่างระมัดระวัง เพื่อไม่ให้กระทบกระเทือนเส้นประสาทที่ให้ความรู้สึกบริเวณคาง วิธีนี้สามารถแก้ไขปัญหาคางที่เป็นก้อนแข็งหรือผิดรูปได้
- การฉีดสลาย: ใช้สำหรับฟิลเลอร์ชนิดไฮยาลูรอนิก (HA) เท่านั้น โดยแพทย์จะฉีดเอนไซม์ไฮยาลูโรนิเดส (Hyaluronidase) เข้าไปเพื่อสลายฟิลเลอร์ให้หมดไป ซึ่งเป็นวิธีที่รวดเร็ว ไม่ต้องผ่าตัด และมีแผลน้อย
ขูดฟิลเลอร์จมูก
การขูดฟิลเลอร์จมูกคือการผ่าตัดเพื่อนำฟิลเลอร์ชนิดถาวรออก ซึ่งเป็นวิธีที่จำเป็นสำหรับฟิลเลอร์ที่ไม่สามารถสลายได้ เช่น ซิลิโคน ที่อาจทำให้เกิดการอักเสบเรื้อรังหรือผิดรูป
โดยทั่วไป ศัลยแพทย์จะใช้วิธีผ่าตัดแบบเปิด (Open Rhinoplasty) เพื่อให้สามารถมองเห็นและนำฟิลเลอร์ออกได้อย่างระมัดระวัง โดยไม่กระทบต่อโครงสร้างของจมูก ในทางตรงกันข้าม หากเป็นฟิลเลอร์ชนิดไฮยาลูรอนิก แอซิด (HA) แพทย์จะใช้วิธีฉีดเอนไซม์เพื่อสลายฟิลเลอร์แทนการผ่าตัด
ขูดฟิลเลอร์ปาก
การขูดฟิลเลอร์ปากคือการผ่าตัดเพื่อนำฟิลเลอร์ชนิดถาวร (เช่น ซิลิโคน) ออก โดยศัลยแพทย์จะสร้างแผลขนาดเล็กบริเวณริมฝีปากด้านในเพื่อซ่อนรอยแผลเป็น จากนั้นจึงค่อยๆ เลาะและนำก้อนฟิลเลอร์ออกมา
การผ่าตัดนี้สงวนไว้สำหรับฟิลเลอร์ที่ไม่สามารถสลายได้เองหรือฉีดสลายได้เท่านั้น เนื่องจากเป็นกระบวนการที่ซับซ้อนและมีความเสี่ยงที่จะเกิดแผลเป็นหรือความเสียหายต่อเนื้อเยื่อริมฝีปากได้ สำหรับฟิลเลอร์ชนิดไฮยาลูรอนิกแอซิด (Hyaluronic Acid: HA) ที่ใช้กันโดยทั่วไป สามารถนำออกได้ด้วยการฉีดเอนไซม์ไฮยาลูโรนิเดส (Hyaluronidase) เพื่อสลายฟิลเลอร์โดยไม่ต้องผ่าตัด
ขูดฟิลเลอร์ใต้ตา
การนำฟิลเลอร์ใต้ตาออกส่วนใหญ่มักใช้วิธีฉีดสลายด้วยเอนไซม์ไฮยาลูโรนิเดส (Hyaluronidase) เนื่องจากฟิลเลอร์ที่ใช้บริเวณนี้มักเป็นชนิดไฮยาลูรอนิกแอซิด (HA) ซึ่งสามารถสลายได้
วิธีนี้มีประสิทธิภาพในการแก้ไขปัญหาฟิลเลอร์เป็นก้อน, บวมผิดปกติ, หรือเกิดเงาสีฟ้าอมเทา (Tyndall effect) โดยหลังฉีดสลายแล้วผิวบริเวณใต้ตาจะกลับคืนสู่สภาพเดิมก่อนฉีด
ส่วนการผ่าตัดขูดฟิลเลอร์ออกนั้นจำเป็นเฉพาะในกรณีที่เป็นฟิลเลอร์ชนิดอื่นที่ไม่สามารถสลายได้ หรือเกิดภาวะแทรกซ้อน เช่น ก้อนแกรนูโลมา (Granuloma) ซึ่งเป็นวิธีที่พบได้ไม่บ่อยนักสำหรับบริเวณใต้ตา
ขูดฟิลเลอร์หน้าผาก
การเอาฟิลเลอร์หน้าผากออกสามารถทำได้โดยการฉีดเอนไซม์สลายสำหรับฟิลเลอร์ชนิดไฮยาลูรอนิกแอซิด (HA) หรือการผ่าตัดสำหรับฟิลเลอร์ชนิดถาวร ซึ่งการเลือกวิธีจะขึ้นอยู่กับชนิดของฟิลเลอร์และปัญหาที่เกิดขึ้น
- การฉีดสลาย (Enzymatic Dissolution): เป็นวิธีที่ใช้สำหรับฟิลเลอร์ชนิด HA ที่ไม่เรียบเนียนหรือเป็นก้อน แพทย์จะฉีดเอนไซม์ไฮยาลูโรนิเดส (Hyaluronidase) เพื่อสลายฟิลเลอร์ให้ร่างกายดูดซึมไปตามธรรมชาติ เป็นวิธีที่ไม่ต้องผ่าตัดและเห็นผลในไม่กี่วัน
- การผ่าตัด (Surgical Removal): หากเป็นฟิลเลอร์ชนิดถาวร เช่น ซิลิโคน จำเป็นต้องใช้วิธีผ่าตัดเพื่อนำสารฟิลเลอร์ออก โดยศัลยแพทย์จะเปิดแผลขนาดเล็กในบริเวณที่สามารถซ่อนได้ เช่น ตามไรผมหรือรอยพับหน้าผาก เพื่อหลีกเลี่ยงความเสียหายต่อเส้นประสาท
ค่าใช้จ่ายโดยประมาณของการขูดฟิลเลอร์
ค่าใช้จ่ายในการผ่าตัดนำฟิลเลอร์ออก มีราคาแตกต่างกันอย่างมากตั้งแต่หลักร้อยไปจนถึงหลายพันดอลลาร์สหรัฐ ขึ้นอยู่กับความซับซ้อนของเคส
ค่าใช้จ่ายจะครอบคลุมค่าธรรมเนียมศัลยแพทย์ ค่าสถานพยาบาล และค่ายาสลบ โดยการผ่าตัดเล็กน้อยที่ใช้ยาชาเฉพาะที่จะมีราคาถูกกว่า ในขณะที่เคสที่ต้องผ่าตัดในวงกว้างและใช้ยาสลบจะมีค่าใช้จ่ายสูงกว่ามาก ซึ่งอาจเทียบเท่ากับการผ่าตัดเสริมสร้างได้
ก่อนตัดสินใจขูดฟิลเลอร์: สิ่งที่ควรรู้
การเลือกคลินิกและแพทย์ผู้มีประสบการณ์
การเลือกคลินิกและแพทย์ผู้มีประสบการณ์ ควรพิจารณาจากแพทย์ที่ได้รับการรับรองและสถานพยาบาลที่น่าเชื่อถือซึ่งให้ความสำคัญกับความปลอดภัยและมีประสบการณ์ในการแก้ไขภาวะแทรกซ้อน
คุณสมบัติของคลินิกและแพทย์ที่น่าเชื่อถือ มีดังนี้:
- มีความพร้อมรับมือภาวะแทรกซ้อน: คลินิกที่มีชื่อเสียงจะมีเอนไซม์ไฮยาลูโรนิเดส (Hyaluronidase) เตรียมพร้อมไว้เสมอเมื่อมีการฉีดฟิลเลอร์ HA
- มีมาตรฐานความปลอดภัย: มีการทดสอบการแพ้เอนไซม์หากจำเป็น และให้คำแนะนำการดูแลตัวเองทั้งก่อนและหลังทำหัตถการอย่างชัดเจน
- สามารถให้การรักษาที่ครอบคลุม: ควรเลือกแพทย์ที่สามารถให้การรักษาได้หลากหลายวิธี ไม่ใช่แค่การฉีดสลายด้วยเอนไซม์ แต่รวมถึงการผ่าตัดนำฟิลเลอร์ออกในกรณีที่เป็นฟิลเลอร์ชนิดถาวร
- มีประสบการณ์และโปร่งใส: ผู้ป่วยควรถามแพทย์เกี่ยวกับประสบการณ์ในการแก้ไขเคสที่คล้ายคลึงกัน ซึ่งแพทย์ที่ดีจะให้ข้อมูลตามจริงเกี่ยวกับผลลัพธ์ที่คาดหวังได้
- หลีกเลี่ยงผู้ให้บริการที่ไม่ใช่แพทย์: ภาวะแทรกซ้อนรุนแรงมักเกิดจากการฉีดโดยบุคคลที่ไม่มีคุณสมบัติเหมาะสม ดังนั้นจึงไม่ควรกลับไปแก้ไขกับผู้ฉีดที่ไม่มีประสบการณ์คนเดิม
ความคาดหวังที่เป็นจริงและระยะเวลาพักฟื้น
ระยะเวลาพักฟื้นหลังการสลายฟิลเลอร์ด้วยเอนไซม์จะใช้เวลาไม่กี่วัน ในขณะที่การผ่าตัดนำฟิลเลอร์ออกอาจใช้เวลาหลายสัปดาห์ถึงหลายเดือนกว่าจะเข้าที่ โดยความคาดหวังที่เป็นจริงคือใบหน้าจะกลับคืนสู่สภาพเดิมก่อนการฉีดฟิลเลอร์
- การสลายด้วยเอนไซม์ (สำหรับฟิลเลอร์ HA):
- ระยะเวลาพักฟื้น: ผลลัพธ์จะเริ่มเห็นภายใน 24-48 ชั่วโมง และจะเห็นผลเต็มที่ในเวลาประมาณ 1 สัปดาห์ อาจมีอาการบวมเล็กน้อยหลังฉีดซึ่งจะหายไปเอง
- ผลลัพธ์ที่คาดหวัง: เนื้อเยื่อจะกลับสู่สภาพเดิมก่อนฉีดฟิลเลอร์โดยไม่มีความเสียหายถาวร ปัญหาเดิม เช่น ริ้วรอยหรือความลึกก็จะกลับมาปรากฏดังเดิม
- การผ่าตัดนำฟิลเลอร์ออก (สำหรับฟิลเลอร์ถาวร):
- ระยะเวลาพักฟื้น: จะมีอาการบวมและรอยช้ำอย่างเห็นได้ชัด ซึ่งอาจใช้เวลา 2-3 สัปดาห์จึงจะจางลง และอาจใช้เวลา 2-3 เดือนกว่าเนื้อเยื่อจะเข้าที่สมบูรณ์
- ผลลัพธ์ที่คาดหวัง: ในช่วงแรกผลลัพธ์จะยังไม่ชัดเจนเนื่องจากอาการบวม แต่รูปทรงที่ผิดปกติจะหายไป เมื่อเวลาผ่านไป 1 เดือนจะเริ่มเห็นรูปหน้าที่เป็นธรรมชาติมากขึ้น ในบางกรณีอาจไม่สามารถนำฟิลเลอร์ออกได้ทั้งหมด 100% เพื่อหลีกเลี่ยงความเสียหายต่อเส้นประสาท
ทางเลือกอื่นในการแก้ไขปัญหาฟิลเลอร์ (เช่น การฉีดสลายฟิลเลอร์)
ทางเลือกหลักในการแก้ไขปัญหาฟิลเลอร์ ได้แก่ การฉีดสลายด้วยเอนไซม์ การผ่าตัดนำออก และการรอให้สลายไปเอง ซึ่งจะเลือกใช้วิธีใดขึ้นอยู่กับชนิดของฟิลเลอร์และความรุนแรงของปัญหา
- การฉีดสลายด้วยเอนไซม์ (Hyaluronidase): เป็นทางเลือกแรกสำหรับฟิลเลอร์ชนิดไฮยาลูรอนิกแอซิด (HA) เนื่องจากไม่ต้องผ่าตัดและมีประสิทธิภาพสูง สามารถใช้เพื่อสลายฟิลเลอร์ออกทั้งหมด หรือสลายเพียงบางส่วนเพื่อปรับแก้เล็กน้อยได้
- การผ่าตัดนำออก: เหมาะสำหรับฟิลเลอร์ชนิดถาวร (เช่น ซิลิโคน, PMMA) ที่ไม่สามารถสลายด้วยเอนไซม์ได้ หรือในกรณีที่การฉีดสลายไม่ได้ผล
- การใช้ยา: ในกรณีที่เกิดก้อนจากฟิลเลอร์กลุ่มกระตุ้นคอลลาเจน (เช่น Sculptra, Radiesse) แพทย์อาจพิจารณาฉีดสเตียรอยด์เพื่อลดขนาดก้อนแทนการผ่าตัด
- การรอให้สลายไปเอง: หากไม่พอใจผลลัพธ์เพียงเล็กน้อยและเป็นฟิลเลอร์ชนิดชั่วคราว สามารถรอให้ฟิลเลอร์สลายไปเองตามธรรมชาติได้ ซึ่งอาจใช้เวลา 6-12 เดือนหรือนานกว่านั้น
ข้อควรระวังและสิ่งที่ควรหลีกเลี่ยง
การปล่อยปัญหาฟิลเลอร์ทิ้งไว้
การปล่อยปัญหาฟิลเลอร์ทิ้งไว้อาจนำไปสู่ความเสียหายต่อเนื้อเยื่อ การติดเชื้อ และการเสียโฉมอย่างถาวรได้ โดยเฉพาะอย่างยิ่งหากไม่ได้รับการรักษาอย่างทันท่วงที ผลที่ตามมาอาจรวมถึง:
- การตายของเนื้อเยื่อ: หากฟิลเลอร์อุดตันหลอดเลือดและไม่ได้รับการแก้ไขอย่างเร่งด่วน อาจทำให้ผิวหนังขาดเลือดและตายได้
- การอักเสบเรื้อรังและพังผืด: ฟิลเลอร์ชนิดถาวร เช่น ซิลิโคน สามารถทำให้เกิดก้อนแข็ง การบวมซ้ำๆ และพังผืด ซึ่งจะทำให้ใบหน้าผิดรูปและแข็งกระด้างเมื่อเวลาผ่านไป
- การติดเชื้อรุนแรง: การติดเชื้อที่ไม่ได้รับการรักษาอาจลุกลามกลายเป็นฝีหนอง หรือทำให้ผิวหนังเป็นแผลเปื่อยได้
- ผลกระทบทางจิตใจ: ลักษณะใบหน้าที่ผิดเพี้ยนไปจากฟิลเลอร์ที่มีปัญหา สามารถส่งผลกระทบต่อความมั่นใจและสุขภาพจิตได้อย่างมาก
การเลือกสถานบริการที่ไม่น่าเชื่อถือ
การเลือกสถานบริการที่ไม่น่าเชื่อถืออาจนำไปสู่การรักษาที่ไม่เหมาะสมและเกิดภาวะแทรกซ้อนได้ เนื่องจากผู้ให้บริการที่ขาดคุณสมบัติมักจะก่อให้เกิดปัญหาได้ง่ายกว่า
ความเสี่ยงที่อาจเกิดขึ้น ได้แก่:
- การใช้สารที่ไม่ถูกต้อง: อาจมีการใช้สารอื่น เช่น น้ำเกลือหรือเอนไซม์ที่ไม่รู้จัก มาฉีดสลายฟิลเลอร์แทน ซึ่งอาจไม่ได้ผลหรือทำให้เกิดอาการแพ้
- การจัดการเหตุฉุกเฉินที่ไม่ดีพอ: สถานบริการอาจไม่มีความพร้อมในการรับมือกับอาการแพ้อย่างรุนแรง (Anaphylaxis) ที่อาจเกิดจากการฉีดสลายฟิลเลอร์
- การติดเชื้อ: การรักษาที่ไม่เป็นไปตามมาตรฐานความสะอาดอาจทำให้เกิดการติดเชื้อได้
- การรักษาที่ไม่สมบูรณ์: อาจไม่สามารถนำฟิลเลอร์ออกได้ทั้งหมด ทำให้ปัญหายังคงอยู่และยืดเยื้อต่อไป
การดูแลตัวเองที่ไม่ถูกต้องหลังทำ
การดูแลตัวเองที่ไม่ถูกต้องหลังการกำจัดฟิลเลอร์คือ การออกกำลังกายอย่างหนัก การดื่มแอลกอฮอล์ การสัมผัสหรือกดบริเวณที่ทำ และการใช้ยาบางชนิดที่เพิ่มความเสี่ยงต่อการเกิดรอยช้ำ ซึ่งการกระทำเหล่านี้อาจทำให้เกิดรอยช้ำ บวม หรือส่งผลกระทบต่อการฟื้นตัวได้
พฤติกรรมที่ควรหลีกเลี่ยงหลังการกำจัดฟิลเลอร์ ได้แก่
- หลังการฉีดสลายด้วยเอนไซม์:
- หลีกเลี่ยงการออกกำลังกายอย่างหนักหรือการกดทับบริเวณที่ทำเป็นเวลา 24-48 ชั่วโมง
- งดดื่มแอลกอฮอล์ 1-2 วัน เพื่อลดอาการบวมช้ำ
- ห้ามจับ สัมผัส หรือนวดคลึงบริเวณที่ฉีด เพราะอาจทำให้เอนไซม์กระจายตัวไม่สม่ำเสมอ
- หลีกเลี่ยงยาแก้ปวดกลุ่ม NSAIDs เช่น แอสไพริน หรือไอบูโพรเฟน เพราะจะเพิ่มความเสี่ยงในการเกิดรอยช้ำ
- หลังการผ่าตัดนำฟิลเลอร์ออก:
- หลีกเลี่ยงกิจกรรมที่ต้องใช้แรงมากหรือการยกของหนักเป็นเวลาประมาณ 3 สัปดาห์
- ห้ามสูบบุหรี่ เพราะจะขัดขวางกระบวนการสมานแผล
- หลีกเลี่ยงการรบกวนผ้าปิดแผลหรือเทปจนกว่าจะถึงวันนัดติดตามผล
คำถามที่พบบ่อยเกี่ยวกับการขูดฟิลเลอร์
ขูดฟิลเลอร์แล้วหน้าจะกลับมาเป็นปกติไหม?
โดยส่วนใหญ่แล้ว ใบหน้าสามารถกลับมาเป็นปกติเหมือนก่อนฉีดฟิลเลอร์ได้ แต่ผลลัพธ์จะขึ้นอยู่กับประเภทของฟิลเลอร์และวิธีการนำออก
- ฟิลเลอร์ไฮยาลูรอนิกแอซิด (HA): การฉีดสลายด้วยเอนไซม์จะทำให้เนื้อเยื่อกลับคืนสู่สภาพเดิมโดยไม่เกิดความเสียหายถาวร แต่ปัญหาผิวเดิมที่เคยมี เช่น ริ้วรอยหรือร่องลึก ก็จะกลับมาปรากฏดังเดิม
- ฟิลเลอร์ถาวร (เช่น ซิลิโคน): การผ่าตัดขูดออกมีเป้าหมายเพื่อฟื้นฟูให้ใบหน้ากลับมาเป็นปกติ แต่ผลลัพธ์สุดท้ายอาจขึ้นอยู่กับว่าฟิลเลอร์ได้สร้างความเสียหาย เช่น พังผืดหรือการสูญเสียเนื้อเยื่อไว้ก่อนหน้าหรือไม่
การฉีดสลายฟิลเลอร์กับการขูดฟิลเลอร์ต่างกันอย่างไร?
การฉีดสลายฟิลเลอร์เป็นการใช้เอนไซม์เพื่อสลายฟิลเลอร์ทางเคมี ในขณะที่การขูดฟิลเลอร์เป็นการผ่าตัดเพื่อนำฟิลเลอร์ออกทางกายภาพ ซึ่งแต่ละวิธีเหมาะกับชนิดของฟิลเลอร์และสถานการณ์ที่แตกต่างกัน
ข้อแตกต่างที่สำคัญระหว่างสองวิธีนี้ ได้แก่
| คุณสมบัติ | การฉีดสลายฟิลเลอร์ (Enzymatic Dissolution) | การขูดฟิลเลอร์ (Surgical Removal) |
|---|---|---|
| วิธีการ | ฉีดเอนไซม์ไฮยาลูโรนิเดส (Hyaluronidase) เพื่อสลายฟิลเลอร์ | ผ่าตัดเปิดแผลเพื่อนำก้อนฟิลเลอร์ออก |
| ชนิดฟิลเลอร์ | ใช้ได้กับฟิลเลอร์ชนิดกรดไฮยาลูรอนิก (HA) เท่านั้น | ใช้ได้กับฟิลเลอร์ทุกชนิด โดยเฉพาะฟิลเลอร์ถาวร เช่น ซิลิโคน |
| แผลเป็น | ไม่มีแผลเป็น | มีแผลเป็น ซึ่งศัลยแพทย์จะพยายามซ่อนไว้ในตำแหน่งที่เห็นได้ยาก |
| การพักฟื้น | น้อยมาก อาจมีอาการบวมเล็กน้อย 2-3 วัน | นานกว่า มีอาการบวมช้ำได้นานหลายสัปดาห์ และต้องดูแลแผลผ่าตัด |
| ความเสี่ยง | ความเสี่ยงต่ำ อาจเกิดอาการแพ้เอนไซม์ได้ (พบได้น้อย) | มีความเสี่ยงของการผ่าตัดทั่วไป เช่น การติดเชื้อ เลือดออก หรือกระทบกระเทือนเส้นประสาท |
ขูดฟิลเลอร์ใช้เวลานานเท่าไหร่?
ระยะเวลาในการขูดฟิลเลอร์ขึ้นอยู่กับวิธีการรักษา โดยอาจใช้เวลาตั้งแต่ 5-15 นาทีสำหรับการฉีดสลาย ไปจนถึงหลายชั่วโมงสำหรับการผ่าตัด
- การฉีดสลายฟิลเลอร์ (Enzymatic Dissolution): เป็นวิธีที่รวดเร็วมาก โดยทั่วไปใช้เวลาฉีดเพียง 5-15 นาที
- การผ่าตัดนำฟิลเลอร์ออก (Surgical Removal): ระยะเวลาจะแตกต่างกันไป ตั้งแต่ 20-30 นาทีสำหรับเคสที่ไม่ซับซ้อน ไปจนถึงหลายชั่วโมงสำหรับเคสที่มีความซับซ้อนสูงหรือต้องนำฟิลเลอร์ออกในหลายบริเวณ
สามารถฉีดฟิลเลอร์ใหม่ได้ทันทีหลังขูดไหม?
ไม่สามารถฉีดฟิลเลอร์ใหม่ได้ทันทีหลังการขูดฟิลเลอร์ โดยทั่วไปแนะนำให้รออย่างน้อย 3-6 เดือน เพื่อให้เนื้อเยื่อบริเวณนั้นได้ฟื้นตัวเต็มที่ แผลเป็นนิ่มลง และโครงสร้างมีความคงที่ก่อนที่จะทำการฉีดสารเติมเต็มชนิดใหม่เข้าไป
ขูดฟิลเลอร์แล้วเป็นแผลเป็นหรือไม่?
การขูดฟิลเลอร์ทำให้เกิดแผลเป็นได้ เนื่องจากการผ่าตัดเพื่อนำฟิลเลอร์ออกจำเป็นต้องมีการกรีดผิวหนัง อย่างไรก็ตาม ศัลยแพทย์จะพยายามซ่อนรอยแผลไว้ในบริเวณที่สังเกตเห็นได้ยาก เช่น ในช่องปาก หรือตามรอยพับของผิวหนัง ซึ่งเมื่อเวลาผ่านไปและได้รับการดูแลอย่างเหมาะสม แผลเป็นส่วนใหญ่จะจางลงจนแทบมองไม่เห็น
References:
- National Institutes of Health. nih.gov
- U.S. Food and Drug Administration. fda.gov
- Journal of Clinical and Aesthetic Dermatology. jcadonline.com
- MDPI. mdpi.com
- American Society of Plastic Surgeons. plasticsurgery.org
- London Facial Surgery. londonfacialsurgery.org
