Skip to content

TEL : 081-841-5075, 02-258-4050

Facebook Instagram YouTube
Privato Clinic – Innovation Of Beauty  |  Bangkok
  • หน้าหลัก
  • เกี่ยวกับพรีวาโต
  • บริการทั้งหมดExpand
    • ชะลอวัย
    • ยกกระชับผิวExpand
      • XERF
      • Potenza
      • Sofwave
      • Ulthera
      • Thermage-FLX
    • รักษาสิว
    • เลเซอร์
    • โปรแกรมฉีด
    • บำรุงผิว
  • บทความExpand
    • สิว
    • ยกกระชับ
    • ดูแลผิว
    • ทำเลเซอร์
  • ผลิตภัณฑ์ดูแลผิว
  • โปรโมชั่น
  • ผลลัพธ์การรักษา
  • วิดีโอรีวิวจากเคสจริง
  • สาขาของเรา
  • ไทยExpand
    • ไทย
    • English
    • 中文 (中国)
  • ปรึกษาแพทย์
Privato Clinic – Innovation Of Beauty  |  Bangkok
Consult a Doctor
Lifting

ฉีดฟิลเลอร์ปาก ราคาเท่าไหร่ ใช้กี่ CC อยู่ได้นานแค่ไหน | คู่มือเริ่มต้น

Byadmin ตุลาคม 9, 2025
By แพทย์หญิงนัชชนก หุ่นวิจิตร Updated on ตุลาคม 9, 2025
✦ Medically reviewed by  นายแพทย์เลอพงษ์ กรุดเงิน
ฉีดฟิลเลอร์ปาก ราคาเท่าไหร่ ใช้กี่ CC อยู่ได้นานแค่ไหน | คู่มือเริ่มต้น

ฟิลเลอร์ปาก คือการฉีดสารเติมเต็มประเภทกรดไฮยาลูรอนิกเพื่อเพิ่มปริมาตรและปรับรูปทรงริมฝีปากให้อวบอิ่มขึ้น โดยผลลัพธ์สามารถคงอยู่ได้นาน 6 ถึง 18 เดือน และสามารถสร้างสรรค์ทรงปากยอดนิยมอย่างทรงเกาหลีได้

Table of Contents

Toggle
  • ฟิลเลอร์ปากคืออะไร และเหมาะกับใครบ้าง
    • ลักษณะปัญหาปากที่สามารถแก้ไขได้ด้วยฟิลเลอร์
    • ใครที่ไม่เหมาะกับการฉีดฟิลเลอร์ปาก: ข้อห้ามและข้อควรระวัง
  • เลือกฟิลเลอร์ยี่ห้อไหนดีให้เหมาะกับทรงปากที่ต้องการ
    • เปรียบเทียบฟิลเลอร์ปาก 3 ยี่ห้อชั้นนำที่คลินิกเลือกใช้
    • ทรงปากยอดนิยม: ทรงเกาหลี ปากกระจับ และสายฝอ
    • หลักเกณฑ์การเลือกยี่ห้อและรุ่นฟิลเลอร์โดยแพทย์
  • ราคาฟิลเลอร์ปาก: ต้องใช้กี่ CC และผลลัพธ์อยู่ได้นานแค่ไหน
    • ปัจจัยกำหนดราคา: ยี่ห้อ ปริมาณ และประสบการณ์ของแพทย์
    • ปริมาณฟิลเลอร์ (CC) ที่แนะนำสำหรับแต่ละทรงปาก
    • ความคงทนของผลลัพธ์และการฉีดเติมเพื่อรักษาทรง
  • ขั้นตอนการฉีดฟิลเลอร์ปากและการดูแลตัวเองหลังทำ
    • การเตรียมตัวก่อนเข้ารับบริการฉีดฟิลเลอร์ปาก
    • สิ่งที่เกิดขึ้นระหว่างการฉีด: ใช้เวลาเท่าไหร่ เจ็บไหม
    • การดูแลหลังฉีดทันทีและในช่วง 1-2 สัปดาห์แรก
  • ปัจจัยสำคัญที่ต้องพิจารณาก่อนตัดสินใจฉีดฟิลเลอร์ปาก
    • วิธีเลือกคลินิกและแพทย์ผู้เชี่ยวชาญที่น่าเชื่อถือ
    • การประเมินความคาดหวังที่เป็นจริงกับผลลัพธ์
    • การฉีดสลายฟิลเลอร์: ทางเลือกเมื่อผลลัพธ์ไม่เป็นที่พอใจ
  • ผลข้างเคียงที่อาจเกิดขึ้นและวิธีรับมือเบื้องต้น
    • อาการบวม ช้ำ และเป็นก้อน: แบบไหนปกติหรือไม่ปกติ
    • สัญญาณอันตรายที่ควรรีบปรึกษาแพทย์ทันที
  • คำถามที่พบบ่อยเกี่ยวกับการฉีดฟิลเลอร์ปาก
    • ฟิลเลอร์ปาก 1 cc ราคาประมาณเท่าไหร่?
    • ฉีดฟิลเลอร์ปาก อยู่ได้นานแค่ไหน?
    • ต้องใช้ฟิลเลอร์กี่ CC ถึงจะเห็นผล?
    • ฉีดฟิลเลอร์ปากเจ็บไหม?
    • ฟิลเลอร์ปากเป็นก้อนอันตรายหรือไม่?
    • หลังฉีดฟิลเลอร์ปาก สามารถแปรงฟันได้ตามปกติหรือไม่?
  • References:

ฟิลเลอร์ปากคืออะไร และเหมาะกับใครบ้าง

ฟิลเลอร์ปากคือสารเติมเต็มประเภทกรดไฮยาลูรอนิก (Hyaluronic Acid หรือ HA) ที่ฉีดเข้าไปในริมฝีปาก เพื่อเพิ่มปริมาตร ความอวบอิ่ม และปรับรูปทรงให้สวยงาม โดยสาร HA จะช่วยกักเก็บน้ำ ทำให้ริมฝีปากดูชุ่มชื้นและเต่งตึงขึ้น

ฟิลเลอร์ปากเหมาะสำหรับผู้ที่ต้องการแก้ไขปัญหาริมฝีปากหรือเสริมความงาม โดยผู้ที่เหมาะสมควรมีคุณสมบัติดังนี้

  • ผู้ที่ต้องการฟื้นฟูริมฝีปากที่สูญเสียปริมาตรไปตามวัย หรือผู้ที่ต้องการเสริมรูปทรงริมฝีปากให้สวยงามยิ่งขึ้น
  • ผู้ที่มีสุขภาพโดยรวมดี ไม่มีโรคประจำตัวที่ควบคุมไม่ได้ และไม่มีการติดเชื้อบริเวณริมฝีปาก เช่น เริม
  • ผู้ที่มีอายุ 18 ปีขึ้นไป ซึ่งโครงสร้างใบหน้าและริมฝีปากเจริญเติบโตเต็มที่แล้ว
  • ผู้ที่มีความคาดหวังต่อผลลัพธ์ที่สมจริง และเข้าใจว่าผลลัพธ์ไม่ถาวร

ลักษณะปัญหาปากที่สามารถแก้ไขได้ด้วยฟิลเลอร์

ฟิลเลอร์ปากสามารถแก้ไขปัญหาต่างๆ ที่เกี่ยวข้องกับวัยและความงามได้หลากหลาย ตั้งแต่การคืนความอวบอิ่มที่หายไป เพิ่มความคมชัดให้ขอบปาก เติมเต็มริ้วรอยเล็กๆ และยกมุมปากที่ตก

นอกจากนี้ ฟิลเลอร์ยังสามารถแก้ไขลักษณะปัญหาอื่นๆ ได้ดังนี้:

  • การสูญเสียความอวบอิ่ม: ฟิลเลอร์ช่วยฟื้นฟูริมฝีปากที่บางลงตามวัยให้กลับมาเต็มอิ่ม
  • มุมปากตก: ช่วยพยุงและยกมุมปากขึ้น ทำให้ใบหน้าดูสดใสขึ้น
  • ริ้วรอยรอบริมฝีปาก: สามารถเติมเต็มร่องลึกและริ้วรอยเล็กๆ (smoker’s lines) ให้เรียบเนียน
  • ขอบปากไม่ชัด: ช่วยสร้างขอบปากให้คมชัดและได้รูปทรงมากขึ้น
  • รูปทรงปากเปลี่ยนไป: แก้ไขรูปทรงปากกระจับ (Cupid’s bow) ที่แบนลง และปัญหาริมฝีปากที่ม้วนเข้าด้านในเนื่องจากการสูญเสียโครงสร้างกระดูกรองรับ

ใครที่ไม่เหมาะกับการฉีดฟิลเลอร์ปาก: ข้อห้ามและข้อควรระวัง

ผู้ที่ไม่เหมาะกับการฉีดฟิลเลอร์ปากคือ ผู้ที่มีการติดเชื้อบริเวณริมฝีปาก, สตรีมีครรภ์หรือให้นมบุตร, ผู้ที่แพ้ส่วนประกอบของฟิลเลอร์, และผู้ที่มีความคาดหวังไม่สมจริง

นอกจากนี้ ยังมีข้อห้ามและข้อควรระวังสำหรับกลุ่มอื่นๆ ดังนี้:

  • ผู้ที่มีการติดเชื้อ: หากมีเริม สิวอักเสบ แผล หรือการติดเชื้อในช่องปาก ควรรักษาให้หายก่อน
  • สตรีมีครรภ์และให้นมบุตร: เป็นข้อห้ามทั่วไปเนื่องจากยังไม่มีการศึกษาด้านความปลอดภัยที่เพียงพอ
  • ผู้ที่มีประวัติการแพ้: ผู้ที่แพ้ส่วนประกอบในฟิลเลอร์ เช่น กรดไฮยาลูรอนิก (HA) หรือยาชา (Lidocaine) รวมถึงผู้ที่มีประวัติแพ้อย่างรุนแรง (Anaphylaxis) ควรหลีกเลี่ยง
  • ผู้ที่มีโรคประจำตัวบางชนิด: ผู้ป่วยโรคแพ้ภูมิตัวเองที่ควบคุมอาการไม่ได้, ผู้ที่มีภาวะเลือดออกผิดปกติ หรือผู้ที่ทานยากดภูมิคุ้มกัน ควรปรึกษาแพทย์อย่างละเอียดก่อนทำ
  • ผู้ที่มีสภาพจิตใจไม่พร้อม: ผู้ที่มีภาวะไม่พอใจในรูปลักษณ์ของตนเอง (Body Dysmorphic Disorder – BDD) หรือมีความคาดหวังต่อผลลัพธ์ที่ไม่สมจริง อาจไม่เหมาะกับการฉีดฟิลเลอร์

เลือกฟิลเลอร์ยี่ห้อไหนดีให้เหมาะกับทรงปากที่ต้องการ

เปรียบเทียบฟิลเลอร์ปาก 3 ยี่ห้อชั้นนำที่คลินิกเลือกใช้

ฟิลเลอร์ปาก 3 ยี่ห้อชั้นนำที่นิยมใช้ในคลินิกคือ Juvéderm, Restylane และ Belotero ซึ่งแต่ละยี่ห้อมีเทคโนโลยีและคุณสมบัติที่แตกต่างกัน ทำให้เหมาะกับความต้องการในการปรับรูปทรงริมฝีปากที่หลากหลาย

  • Juvéderm (สหรัฐอเมริกา): มีชื่อเสียงด้านเนื้อเจลที่เรียบเนียนและยืดหยุ่นสูงด้วยเทคโนโลยี Vycross เหมาะสำหรับผู้ที่ต้องการเพิ่มความอวบอิ่มให้ริมฝีปากดูเป็นธรรมชาติและนุ่มฟู
  • Restylane (สวีเดน): เป็นแบรนด์ที่มีผลิตภัณฑ์หลากหลาย โดยเฉพาะรุ่น Kysse ที่ใช้เทคโนโลยี XpresHAn (OBT) ซึ่งออกแบบมาเพื่อให้ฟิลเลอร์เคลื่อนไหวไปพร้อมกับริมฝีปากได้อย่างเป็นธรรมชาติ ทำให้ผลลัพธ์ดูไม่แข็งและเป็นที่นิยมอย่างสูง
  • Belotero (เยอรมนี): โดดเด่นด้วยเทคโนโลยี CPM ที่ทำให้เนื้อเจลมีความเรียบเนียนและผสานเข้ากับเนื้อเยื่อได้ดีเป็นพิเศษ ช่วยลดโอกาสการเกิดก้อนหรือเป็นลำ เหมาะสำหรับการเติมเต็มเพื่อเพิ่มปริมาตรและให้ผลลัพธ์ที่ดูสม่ำเสมอ

ทรงปากยอดนิยม: ทรงเกาหลี ปากกระจับ และสายฝอ

ทรงปากยอดนิยมมี 3 สไตล์หลัก ได้แก่ ทรงเกาหลี (Cherry Lips) ที่เน้นความอวบอิ่มตรงกลาง, ปากกระจับ (Russian Doll Lips) ที่เน้นขอบปากบนให้คมชัด และทรงสายฝอที่เน้นความอวบอิ่มทั่วทั้งริมฝีปาก

แต่ละสไตล์มีลักษณะเด่นดังนี้:

  • ทรงเกาหลี (Cherry Lips): เป็นเทรนด์ที่เน้นการเติมฟิลเลอร์เฉพาะส่วนกลางของริมฝีปากบนและล่างให้ดูอวบอิ่มคล้ายผลเชอร์รี่ 2 คู่ โดยจะปล่อยให้มุมปากดูเรียวเล็กตามธรรมชาติ ทำให้ได้ลุคที่ดูอ่อนเยาว์ น่ารัก และเป็นธรรมชาติ
  • ปากกระจับ (Russian Doll Lips): เป็นเทคนิคที่เน้นการสร้างขอบปากบนให้มีความโค้งและแหลมคมชัดเจนเหมือนรูปตัว M หรือปีกนก คล้ายกับปากของตุ๊กตารัสเซีย เทคนิคนี้จะช่วยยกริมฝีปากให้ดูสูงและเป็นทรงมากขึ้น ทำให้ใบหน้าดูมีมิติและสวยหวาน
  • ทรงสายฝอ (Western Style): สไตล์นี้จะเน้นการเติมฟิลเลอร์ให้ริมฝีปากดูอวบอิ่มและเต็มทั่วทั้งริมฝีปากบนและล่าง เพื่อให้ได้ลุคที่ดูเซ็กซี่ มีความคมชัด และโดดเด่น มักจะให้ความสำคัญกับปริมาณและความอิ่มฟูของริมฝีปากโดยรวม

หลักเกณฑ์การเลือกยี่ห้อและรุ่นฟิลเลอร์โดยแพทย์

แพทย์จะเลือกยี่ห้อและรุ่นของฟิลเลอร์โดยพิจารณาจากลักษณะทางกายวิภาคของริมฝีปากผู้ป่วยและผลลัพธ์ที่ต้องการเป็นหลัก โดยมีเกณฑ์การพิจารณาที่สำคัญดังนี้

  • ลักษณะริมฝีปาก: สำหรับริมฝีปากบาง แพทย์มักเลือกใช้ฟิลเลอร์เนื้อนิ่มและเบาเพื่อความเป็นธรรมชาติและลดการเกิดก้อน ในขณะที่ริมฝีปากหนาสามารถใช้ฟิลเลอร์ที่เนื้อแน่นขึ้นเพื่อสร้างทรงที่ชัดเจนได้
  • ผลลัพธ์ที่ต้องการ: หากผู้ป่วยต้องการริมฝีปากที่ดูนุ่มฟู แพทย์จะเลือกฟิลเลอร์ที่มีความยืดหยุ่นสูง แต่หากต้องการขอบปากที่คมชัด อาจเลือกใช้ฟิลเลอร์ที่เนื้อแน่นขึ้นเล็กน้อยเพื่อคงรูปทรงได้ดี
  • คุณสมบัติของฟิลเลอร์: แพทย์จะพิจารณาคุณสมบัติทางเทคนิค เช่น ค่า G’ (ความแน่น) และ Cohesivity (การเกาะตัวของเนื้อฟิลเลอร์) เพื่อให้เหมาะกับบริเวณที่ฉีดและเป้าหมายที่ต้องการ
  • เทคนิคการฉีด: ในบางกรณี แพทย์อาจใช้ฟิลเลอร์มากกว่าหนึ่งชนิดในบริเวณต่างๆ ของริมฝีปาก เช่น ใช้ฟิลเลอร์เนื้อยืดหยุ่นสำหรับเติมเต็ม และใช้ฟิลเลอร์เนื้อแน่นเพื่อยกมุมปาก

ราคาฟิลเลอร์ปาก: ต้องใช้กี่ CC และผลลัพธ์อยู่ได้นานแค่ไหน

ปัจจัยกำหนดราคา: ยี่ห้อ ปริมาณ และประสบการณ์ของแพทย์

ราคาของการฉีดฟิลเลอร์ปากขึ้นอยู่กับหลายปัจจัย ได้แก่ ยี่ห้อของฟิลเลอร์ ประสบการณ์ของแพทย์ สถานที่ตั้งของคลินิก และโปรโมชั่นต่างๆ

ปัจจัยหลักที่ส่งผลต่อราคามีดังนี้:

  • ยี่ห้อฟิลเลอร์: แบรนด์พรีเมียมที่นำเข้า เช่น Restylane หรือ Juvéderm มักมีราคาสูงกว่า (ประมาณ 9,000–14,000 บาทต่อซีซี) ในขณะที่แบรนด์ที่ไม่เป็นที่รู้จักอาจมีราคาถูกกว่า
  • ประสบการณ์ของแพทย์และชื่อเสียงของคลินิก: แพทย์ที่มีประสบการณ์สูงและคลินิกที่มีชื่อเสียงอาจคิดค่าบริการสูงกว่าสำหรับทักษะและความเชี่ยวชาญ
  • สถานที่ตั้ง: คลินิกในกรุงเทพฯ และเมืองท่องเที่ยวมักมีราคาสูงกว่าคลินิกในจังหวัดอื่นๆ เนื่องจากความต้องการและค่าใช้จ่ายที่สูงกว่า
  • โปรโมชั่นและแพ็กเกจ: หลายคลินิกเสนอโปรโมชั่นหรือแพ็กเกจส่วนลดเมื่อซื้อฟิลเลอร์หลายซีซีพร้อมกัน

ปริมาณฟิลเลอร์ (CC) ที่แนะนำสำหรับแต่ละทรงปาก

ปริมาณฟิลเลอร์ที่แนะนำจะแตกต่างกันไปตามทรงปากที่ต้องการ โดยทั่วไปจะอยู่ที่ประมาณ 0.5-2 CC

  • ปากทรงเชอร์รี่ (Cherry Lips): ใช้ฟิลเลอร์ประมาณ 1 CC หรือน้อยกว่า เพื่อสร้างความอวบอิ่มบริเวณกลางริมฝีปาก
  • ปากทรงธรรมชาติ (Natural Look): ใช้ฟิลเลอร์ประมาณ 0.5 – 1.5 CC เพื่อเพิ่มความอวบอิ่มเล็กน้อยและปรับรูปทรงให้สมดุล
  • ปากทรงรัสเซียนดอลล์ (Russian Doll Pout): อาจต้องใช้ฟิลเลอร์ 1.5 – 2 CC ซึ่งมักจะแบ่งทำ 2 ครั้ง เพื่อยกริมฝีปากให้สูงและมีขอบที่คมชัด

ความคงทนของผลลัพธ์และการฉีดเติมเพื่อรักษาทรง

โดยทั่วไป ผลลัพธ์ของฟิลเลอร์ปากจะคงอยู่ได้นานประมาณ 6 ถึง 18 เดือน แต่ผู้ป่วยส่วนใหญ่มักจะกลับมาฉีดเติมเพื่อรักษาผลลัพธ์ไว้ที่ประมาณ 9 ถึง 12 เดือน

ปัจจัยหลายอย่างมีผลต่อระยะเวลาที่ฟิลเลอร์จะคงอยู่ ได้แก่

  • ชนิดของฟิลเลอร์: ผลิตภัณฑ์รุ่นใหม่ๆ เช่น Juvéderm Volbella และ Restylane Kysse มักจะอยู่ได้นานถึง 12 เดือน ในขณะที่ฟิลเลอร์ที่นิ่มกว่าอาจอยู่ได้ประมาณ 6 เดือน
  • อัตราการเผาผลาญของแต่ละบุคคล: ผู้ที่มีอัตราการเผาผลาญสูง เช่น นักกีฬาหรือผู้ที่สูบบุหรี่ ฟิลเลอร์อาจสลายตัวเร็วกว่า
  • ปริมาณที่ฉีด: การฉีดในปริมาณที่มากกว่าอาจใช้เวลาสลายตัวนานกว่าเล็กน้อย
  • การทำทรีตเมนต์ซ้ำ: ผลลัพธ์อาจอยู่ได้นานขึ้นหลังจากการฉีดหลายครั้ง เนื่องจากฟิลเลอร์สามารถกระตุ้นการสร้างคอลลาเจนของร่างกายได้

ขั้นตอนการฉีดฟิลเลอร์ปากและการดูแลตัวเองหลังทำ

การเตรียมตัวก่อนเข้ารับบริการฉีดฟิลเลอร์ปาก

การเตรียมตัวก่อนฉีดฟิลเลอร์ปากที่สำคัญคือการปรึกษาแพทย์เพื่อประเมินความพร้อม งดยาและอาหารเสริมบางชนิดที่อาจเพิ่มความเสี่ยงในการเกิดรอยช้ำ และเตรียมผิวให้สะอาดในวันนัด

เพื่อให้การฉีดฟิลเลอร์เป็นไปอย่างราบรื่นและปลอดภัย ควรปฏิบัติตามคำแนะนำต่อไปนี้:

  • ปรึกษาแพทย์: แจ้งประวัติสุขภาพและโรคประจำตัว โดยเฉพาะประวัติการเป็นโรคเริม (cold sores) เพื่อให้แพทย์พิจารณาให้ยาป้องกันก่อนทำหัตถการ
  • งดยาและอาหารเสริม: หยุดใช้ยาต้านการแข็งตัวของเลือด เช่น แอสไพรินและไอบูโพรเฟน รวมถึงอาหารเสริมที่มีผลต่อการแข็งตัวของเลือด เช่น น้ำมันปลา วิตามินอี แปะก๊วย และกระเทียม เป็นเวลาประมาณ 5-7 วันก่อนฉีด
  • งดเครื่องดื่มแอลกอฮอล์: หลีกเลี่ยงการดื่มแอลกอฮอล์อย่างน้อย 24-48 ชั่วโมงก่อนการฉีด เพื่อลดความเสี่ยงของอาการบวมและรอยช้ำ
  • เตรียมตัวในวันฉีด: มาถึงคลินิกด้วยใบหน้าที่สะอาดปราศจากเครื่องสำอาง ซึ่งทางคลินิกจะทำความสะอาดฆ่าเชื้อบริเวณริมฝีปากและทายาชาเฉพาะที่ให้ก่อนเริ่มขั้นตอนการฉีด

สิ่งที่เกิดขึ้นระหว่างการฉีด: ใช้เวลาเท่าไหร่ เจ็บไหม

ขั้นตอนการฉีดฟิลเลอร์ปากใช้เวลาประมาณ 15–30 นาที และความเจ็บปวดอยู่ในระดับที่ทนได้ โดยผู้ป่วยส่วนใหญ่ให้คะแนนความเจ็บปวดประมาณ 3-5 จาก 10 เมื่อใช้ยาชาเฉพาะที่

ก่อนการฉีดจะมีการทายาชาเพื่อลดความรู้สึก และฟิลเลอร์หลายยี่ห้อก็มีส่วนผสมของยาชาอยู่แล้ว ความรู้สึกระหว่างฉีดมักถูกอธิบายว่าเหมือนการหยิกหรือมีแรงกดเบาๆ สำหรับผู้ที่กังวลเรื่องความเจ็บมากเป็นพิเศษ สามารถเลือกใช้การฉีดยาชาแบบบล็อกเส้นประสาท (Dental Block) เพื่อให้ริมฝีปากชาสนิทและไม่รู้สึกเจ็บเลยก็ได้

การดูแลหลังฉีดทันทีและในช่วง 1-2 สัปดาห์แรก

การดูแลหลังฉีดฟิลเลอร์ปากทันทีคือ การประคบเย็นเพื่อลดบวม หลีกเลี่ยงการสัมผัสรุนแรง ความร้อน แอลกอฮอล์ และการออกกำลังกายหนักเป็นเวลา 24 ชั่วโมง

การดูแลทันที (24-48 ชั่วโมงแรก):

  • ประคบเย็น: ใช้เจลเย็นหรือน้ำแข็งประคบเบาๆ เพื่อลดอาการบวมและช้ำ
  • หลีกเลี่ยงการสัมผัส: งดการกด นวด หรือถูบริเวณริมฝีปากแรงๆ รวมถึงการจูบอย่างหนัก
  • งดกิจกรรมบางอย่าง: หลีกเลี่ยงการออกกำลังกายหนัก, การดื่มแอลกอฮอล์, และการสัมผัสความร้อนสูง เช่น ซาวน่า หรืออาบน้ำร้อนจัด
  • งดแต่งหน้า: ไม่ควรทาลิปสติกหรือเครื่องสำอางบริเวณริมฝีปากอย่างน้อย 24 ชั่วโมง เพื่อลดความเสี่ยงในการติดเชื้อ
  • อาหารและเครื่องดื่ม: หลีกเลี่ยงอาหารและเครื่องดื่มที่ร้อนจัดหรือเผ็ดจัด และงดใช้หลอดดูดในวันแรก

การฟื้นตัวในช่วง 1-2 สัปดาห์:

  • 1-3 วันแรก: เป็นช่วงที่ริมฝีปากจะบวมมากที่สุด อาจรู้สึกตึงหรือเป็นก้อนเล็กน้อย ซึ่งเป็นเรื่องปกติ
  • 3-5 วัน: อาการบวมจะเริ่มลดลงอย่างเห็นได้ชัด
  • 1 สัปดาห์: อาการบวมและรอยช้ำส่วนใหญ่จะหายไป ริมฝีปากจะเริ่มนุ่มขึ้น
  • 2 สัปดาห์: ฟิลเลอร์จะเข้าที่และเห็นผลลัพธ์สุดท้าย อาการบวมและก้อนเล็กๆ จะหายไปหมด สามารถกลับไปทำกิจกรรมทุกอย่างได้ตามปกติ และเป็นช่วงเวลาที่เหมาะสำหรับการนัดติดตามผลกับแพทย์

ปัจจัยสำคัญที่ต้องพิจารณาก่อนตัดสินใจฉีดฟิลเลอร์ปาก

วิธีเลือกคลินิกและแพทย์ผู้เชี่ยวชาญที่น่าเชื่อถือ

การเลือกคลินิกและแพทย์ที่น่าเชื่อถือควร เลือกแพทย์ที่มีใบประกอบวิชาชีพและมีความเชี่ยวชาญเฉพาะทาง เช่น แพทย์ผิวหนังหรือศัลยแพทย์ตกแต่ง ซึ่งปฏิบัติงานในสถานพยาบาลที่สะอาดและได้มาตรฐาน

ปัจจัยสำคัญในการพิจารณาเพิ่มเติม ได้แก่:

  • ประสบการณ์ของแพทย์: ควรสอบถามเกี่ยวกับประสบการณ์ของแพทย์โดยตรงว่าทำการฉีดฟิลเลอร์ปากบ่อยเพียงใด
  • ความพร้อมในการจัดการภาวะแทรกซ้อน: คลินิกที่น่าเชื่อถือควรมีเอนไซม์ไฮยาลูโรนิเดส (Hyaluronidase) เตรียมพร้อมไว้เสมอสำหรับใช้ในกรณีฉุกเฉิน
  • ผลิตภัณฑ์ที่ใช้: ต้องมั่นใจว่าคลินิกใช้ฟิลเลอร์ของแท้ที่ผ่านการรับรองจากอย.
  • หลีกเลี่ยงผู้ที่ไม่ใช่แพทย์: ห้ามฉีดฟิลเลอร์กับผู้ที่ไม่ใช่บุคลากรทางการแพทย์ หรือในสถานที่ที่ไม่ใช่คลินิกที่ถูกสุขลักษณะโดยเด็ดขาด

การประเมินความคาดหวังที่เป็นจริงกับผลลัพธ์

การประเมินความคาดหวังที่เป็นจริงเป็นส่วนสำคัญของกระบวนการให้คำปรึกษา เพื่อให้แน่ใจว่าผู้ป่วยจะพึงพอใจกับผลลัพธ์

แพทย์ผู้เชี่ยวชาญจะอธิบายถึงผลลัพธ์ที่เป็นไปได้ตามโครงสร้างริมฝีปากเดิมของผู้ป่วย และพิจารณาสัดส่วนของใบหน้าโดยรวมเพื่อให้ผลลัพธ์ดูเป็นธรรมชาติและสมดุล ตัวอย่างเช่น ผู้ที่มีริมฝีปากบางมากจะได้รับการปรับปรุงให้ดีขึ้น แต่ไม่สามารถทำให้ดูอวบอิ่มมากเกินไปในครั้งเดียวได้ นอกจากนี้ แพทย์จะสื่อสารให้เข้าใจถึงผลข้างเคียงที่อาจเกิดขึ้น เช่น อาการบวมและระยะเวลาพักฟื้น เพื่อป้องกันความไม่พอใจที่เกิดจากความเข้าใจผิด

การฉีดสลายฟิลเลอร์: ทางเลือกเมื่อผลลัพธ์ไม่เป็นที่พอใจ

การฉีดสลายฟิลเลอร์จะใช้เอนไซม์ไฮยาลูโรนิเดส (Hyaluronidase) ซึ่งเป็นสารที่สามารถย่อยสลายฟิลเลอร์ประเภทกรดไฮยาลูรอนิก (Hyaluronic Acid: HA) ได้โดยเฉพาะ เอนไซม์นี้จะเข้าไปทำลายโครงสร้างของฟิลเลอร์ ทำให้ฟิลเลอร์เปลี่ยนสภาพจากเจลเป็นของเหลวเพื่อให้ร่างกายดูดซึมและกำจัดออกไป โดยจะเริ่มทำงานภายในไม่กี่นาทีและเห็นผลชัดเจนภายใน 24 ชั่วโมง

การฉีดสลายฟิลเลอร์มักทำในกรณีต่อไปนี้

  • ภาวะฉุกเฉินทางการแพทย์: เช่น การอุดตันของหลอดเลือด ซึ่งต้องได้รับการแก้ไขทันทีเพื่อป้องกันเนื้อเยื่อเสียหาย
  • ผลลัพธ์ไม่เป็นที่พอใจ: เช่น ฉีดฟิลเลอร์มากเกินไป, รูปทรงไม่สวยงาม, เป็นก้อน หรือไม่สมมาตร
  • ภาวะแทรกซ้อนระยะยาว: เช่น การเกิดก้อนแข็งหรือก้อนอักเสบ (Granulomas) ที่ไม่หายไปเอง

ผลข้างเคียงที่อาจเกิดขึ้นและวิธีรับมือเบื้องต้น

อาการบวม ช้ำ และเป็นก้อน: แบบไหนปกติหรือไม่ปกติ

อาการบวม รอยช้ำ และการคลำเจอก้อนเล็กๆ ที่จะนิ่มลงเองถือเป็นอาการปกติหลังฉีดฟิลเลอร์ปาก แต่หากมีอาการปวดรุนแรง สีผิวเปลี่ยนเป็นสีขาวซีดหรือม่วงคล้ำ ถือเป็นสัญญาณอันตรายที่ต้องรีบพบแพทย์ทันที

อาการที่พบได้ทั่วไปและถือว่า ปกติ ได้แก่:

  • อาการบวม: เป็นอาการที่พบได้บ่อยที่สุด โดยจะบวมมากในช่วง 2-3 วันแรก และจะค่อยๆ ยุบลงจนเข้าที่ในเวลาประมาณ 1-2 สัปดาห์
  • รอยช้ำ: สามารถเกิดขึ้นได้บริเวณที่ฉีดและจะค่อยๆ จางหายไปเองภายใน 7-10 วัน
  • ก้อนเล็กๆ: การคลำเจอก้อนเล็กๆ หรือรู้สึกว่าปากแข็งๆ ในช่วงสัปดาห์แรกเป็นเรื่องปกติ ซึ่งจะค่อยๆ นิ่มและเรียบเนียนไปเองเมื่อฟิลเลอร์เข้าที่

อาการที่ถือว่า ไม่ปกติ และเป็นสัญญาณเตือนที่ควรติดต่อแพทย์ทันที ได้แก่:

  • อาการปวดรุนแรง: ปวดมากผิดปกติและปวดขึ้นเรื่อยๆ ไม่ทุเลาลง
  • สีผิวเปลี่ยนไป: ริมฝีปากหรือผิวหนังบริเวณใกล้เคียงเปลี่ยนเป็นสีขาวซีด ม่วง หรือดำคล้ำ ซึ่งอาจเป็นสัญญาณของการอุดตันในหลอดเลือด
  • ก้อนที่อักเสบ: ก้อนที่มีลักษณะแดง ร้อน ปวด หรือขยายขนาดใหญ่ขึ้น อาจเป็นสัญญาณของการติดเชื้อ
  • อาการบวมผิดปกติ: บวมมากอย่างรวดเร็ว หรือมีอาการบวมร่วมกับหายใจลำบาก ซึ่งอาจเป็นอาการแพ้รุนแรง
  • การมองเห็นผิดปกติ: หากมีอาการตาพร่ามัวหรือการมองเห็นเปลี่ยนไปอย่างกะทันหัน

สัญญาณอันตรายที่ควรรีบปรึกษาแพทย์ทันที

สัญญาณอันตรายที่ต้องรีบปรึกษาแพทย์ทันที ได้แก่ อาการปวดรุนแรงผิดปกติ, ริมฝีปากหรือผิวหนังเปลี่ยนเป็นสีขาวซีดหรือคล้ำ, การมองเห็นผิดปกติ, และอาการบวมอย่างรุนแรงร่วมกับหายใจลำบาก

หากพบอาการเหล่านี้หลังฉีดฟิลเลอร์ปาก ควรรีบติดต่อคลินิกหรือพบแพทย์โดยด่วน:

  • อาการปวดรุนแรงเฉียบพลัน: ปวดมากเกินกว่าปกติ หรือปวดมากขึ้นเรื่อยๆ
  • การเปลี่ยนแปลงของสีผิว: ริมฝีปากหรือผิวหนังโดยรอบมีสีขาวซีด (Blanching) หรือเปลี่ยนเป็นสีม่วงคล้ำ ซึ่งอาจเป็นสัญญาณของหลอดเลือดอุดตัน
  • ปัญหาด้านการมองเห็น: ปวดตา, มองเห็นภาพเบลอ, หรือการมองเห็นเปลี่ยนแปลงกะทันหัน
  • อาการทางระบบประสาท: อ่อนแรง, ชาบริเวณใบหน้า แขน หรือขา, หรือพูดลำบาก
  • อาการแพ้อย่างรุนแรง: มีอาการบวมมากผิดปกติ, เป็นลมพิษทั่วตัว, หรือหายใจลำบาก
  • สัญญาณการติดเชื้อ: มีไข้, ผิวหนังแดงและร้อนลุกลาม

คำถามที่พบบ่อยเกี่ยวกับการฉีดฟิลเลอร์ปาก

ฟิลเลอร์ปาก 1 cc ราคาประมาณเท่าไหร่?

ราคาฟิลเลอร์ปาก 1 cc โดยเฉลี่ยอยู่ที่ประมาณ 8,000–12,000 บาท สำหรับฟิลเลอร์กรดไฮยาลูรอนิก (HA) คุณภาพสูงที่ผ่านการรับรองจาก อย.

ราคาอาจแตกต่างกันไปขึ้นอยู่กับปัจจัยต่างๆ เช่น:

  • ยี่ห้อฟิลเลอร์: แบรนด์พรีเมียมนำเข้า เช่น Restylane หรือ Juvéderm อาจมีราคาสูงถึง 9,000–14,000 บาทต่อ cc
  • โปรโมชั่นและคลินิก: บางคลินิกอาจมีโปรโมชั่นเริ่มต้นที่ประมาณ 5,900 บาทต่อ cc
  • ชื่อเสียงของคลินิกและประสบการณ์ของแพทย์: คลินิกที่มีชื่อเสียงและแพทย์ผู้เชี่ยวชาญอาจมีราคาสูงกว่า

ควรระวังข้อเสนอราคาที่ถูกเกินไป เพราะอาจเป็นฟิลเลอร์ที่ไม่ได้มาตรฐานหรือของปลอมได้

ฉีดฟิลเลอร์ปาก อยู่ได้นานแค่ไหน?

โดยทั่วไปแล้วฟิลเลอร์ปากจะอยู่ได้นานประมาณ 6-12 เดือน แต่ฟิลเลอร์บางรุ่นอาจอยู่ได้นานถึง 18 เดือน ทั้งนี้ระยะเวลาจะขึ้นอยู่กับปัจจัยหลายอย่าง

ปัจจัยหลักที่ส่งผลต่อระยะเวลาของฟิลเลอร์ปาก ได้แก่:

  • ยี่ห้อและรุ่นของฟิลเลอร์: ฟิลเลอร์รุ่นใหม่ๆ ที่มีความหนาแน่นสูง เช่น Restylane Kysse หรือ Juvéderm Volbella มักจะอยู่ได้นานใกล้เคียง 12 เดือน ในขณะที่ฟิลเลอร์ที่นิ่มกว่าอาจอยู่ได้ประมาณ 6 เดือน
  • การเผาผลาญของแต่ละบุคคล: ผู้ที่มีอัตราการเผาผลาญสูง สูบบุหรี่ หรือออกกำลังกายหนัก ฟิลเลอร์อาจสลายตัวเร็วกว่า
  • ปริมาณที่ฉีด: การฉีดในปริมาณที่เหมาะสมจะช่วยให้ผลลัพธ์อยู่ได้นานขึ้น
  • การดูแลหลังฉีด: การปฏิบัติตามคำแนะนำของแพทย์จะช่วยรักษาสภาพฟิลเลอร์ได้ดีขึ้น

โดยส่วนใหญ่แล้ว ผู้ที่ฉีดฟิลเลอร์ปากมักจะกลับมาเติมเพื่อคงผลลัพธ์ไว้ที่ประมาณ 9-12 เดือน

ต้องใช้ฟิลเลอร์กี่ CC ถึงจะเห็นผล?

โดยทั่วไปแล้ว การฉีดฟิลเลอร์ปาก 1 CC ก็เพียงพอที่จะเห็นการเปลี่ยนแปลงที่ดูเป็นธรรมชาติ แต่ปริมาณที่เหมาะสมจะขึ้นอยู่กับรูปปากเดิมและผลลัพธ์ที่ต้องการ

  • เพื่อผลลัพธ์ที่เป็นธรรมชาติ: สำหรับผู้ที่มีริมฝีปากบาง การใช้ฟิลเลอร์ 1 CC จะช่วยเพิ่มความอวบอิ่มได้อย่างชัดเจนแต่ยังคงความเป็นธรรมชาติ สำหรับผู้ที่ต้องการเพียงแค่เติมเต็มเล็กน้อย อาจใช้เพียง 0.5 CC ก็เพียงพอ
  • สำหรับทรงปากเฉพาะ: การทำปากทรง “Cherry Lips” ซึ่งเน้นความอวบอิ่มตรงกลาง ก็มักจะใช้ฟิลเลอร์ประมาณ 1 CC
  • สำหรับผู้ที่ฉีดครั้งแรก: แพทย์มักจะแนะนำให้เริ่มต้นที่ 1 CC ก่อน เพื่อประเมินผลลัพธ์และป้องกันการเติมที่มากเกินไป แล้วจึงพิจารณาเติมเพิ่มในภายหลังหากต้องการ

ฉีดฟิลเลอร์ปากเจ็บไหม?

การฉีดฟิลเลอร์ปาก มีความเจ็บปวดอยู่ในระดับที่ทนได้ โดยผู้ป่วยส่วนใหญ่มักให้คะแนนความเจ็บประมาณ 3-5 จาก 10 เมื่อใช้ยาชาเฉพาะที่

เพื่อจัดการกับความเจ็บปวด ก่อนการฉีดจะมีการใช้ยาชาแบบทา หรือในบางกรณีอาจใช้การฉีดยาชาเพื่อบล็อกเส้นประสาท (Dental Block) ซึ่งจะทำให้ริมฝีปากชาและไม่รู้สึกเจ็บ นอกจากนี้ ฟิลเลอร์หลายชนิดยังผสมยาชามาในตัว ซึ่งจะช่วยบรรเทาความเจ็บปวดระหว่างขั้นตอนการฉีดได้ดียิ่งขึ้น

ฟิลเลอร์ปากเป็นก้อนอันตรายหรือไม่?

โดยทั่วไปแล้ว ฟิลเลอร์ปากเป็นก้อนไม่ถือว่าเป็นอันตราย เนื่องจากมักเป็นผลข้างเคียงที่พบได้ปกติในช่วงแรกหลังการฉีด ซึ่งเกิดจากการบวมและตัวฟิลเลอร์ที่ยังไม่เข้าที่กับเนื้อเยื่อ

ก้อนลักษณะนี้มักจะนิ่มลงและหายไปเองภายใน 1-2 สัปดาห์ อย่างไรก็ตาม หากก้อนมีลักษณะแข็งขึ้น แดง เจ็บปวด หรือมีสีผิวเปลี่ยนไป (เช่น ซีดขาวหรือคล้ำ) ควรปรึกษาแพทย์ทันที เพราะอาจเป็นสัญญาณของภาวะแทรกซ้อนที่รุนแรงกว่าได้

หลังฉีดฟิลเลอร์ปาก สามารถแปรงฟันได้ตามปกติหรือไม่?

หลังฉีดฟิลเลอร์ปาก สามารถแปรงฟันได้ตามปกติ แต่ควรทำด้วยความระมัดระวังเป็นพิเศษ ในช่วง 24-48 ชั่วโมงแรกหลังการฉีด ควรแปรงฟันอย่างเบามือเพื่อหลีกเลี่ยงการกดทับหรือเสียดสีบริเวณริมฝีปากที่ยังบวมและบอบบาง ซึ่งอาจส่งผลต่อการเซ็ตตัวของฟิลเลอร์ได้

References:

  1. U.S. Food and Drug Administration (FDA). (n.d.). Dermal Fillers (Soft Tissue Fillers) – Guidance for Consumers. FDA. fda.gov
  2. Cooper, H., Gray, T., Fronek, L., et al. Lip augmentation with hyaluronic acid fillers: A review of considerations and techniques. Journal of Drugs in Dermatology. jddonline.com
  3. Lafaille, P., & Benedetto, A. Fillers: Contraindications, side effects and precautions. Journal of Cutaneous and Aesthetic Surgery. pmc.ncbi.nlm.nih.gov
  4. Coppini, M., Caponio, V.C.A., Mauceri, R., et al. Aesthetic lip filler augmentation is not free of adverse reactions: Lack of evidence-based practice from a systematic review. Frontiers in Oral Health. frontiersin.org
  5. Cosmetic Injectables Center. Restylane Kysse: Scientific Comparison, Clinical Performance, and How It Stacks Up Against Other Lip Fillers. cosmeticinjectables.com
  6. Infiniz Clinic. ฉีดฟิลเลอร์ปาก ราคาอัปเดต 2568 รวมยี่ห้อยอดฮิตในไทย [Lip filler injection price update 2025 – including popular brands in Thailand]. infinizclinic.com
  7. Aura Bangkok Clinic. ฟิลเลอร์ปาก ปากสวยทรงชัด รวมทรงปากยอดฮิต 2025 [Lip fillers for beautifully defined lips – top lip shapes of 2025]. aurabangkokclinic.com
  8. Gurucheck Thailand. รีวิว 10 คลินิกฟิลเลอร์ ราคาดี ในกรุงเทพ อันดับท็อป! [Review of 10 top-ranked filler clinics in Bangkok with good prices!]. gurucheck.co.th

แนะแนวเรื่อง

Previous Previous
ฉีดฟิลเลอร์ร่องแก้ม ราคาเท่าไหร่ ใช้กี่ CC กี่วันเข้าที่ อยู่นานแค่ไหน
NextContinue
หลังฉีดโบท็อก ออกกำลังกายได้ไหม? แบบไหนทำได้ แบบไหนต้องงด

สาขาพรีวาโต คลินิก

    สาขาอโศก ตั้งอยู่ที่ ชั้น 2 อาคารมิดทาวน์
    Phone: 02-258-4050 , 081-841-5075
    สาขาสีลม ตั้งอยู่ที่ ชั้น 1 อาคารซี.พี.ทาวเวอร์
    Phone: 02-780-2011 , 098-272-5244
    สาขาราชพฤกษ์ ตั้งอยู่ที่ ชั้น 2 ศูนย์การค้า เดอะคริสตัล เอสบี (ด้านบนร้านสตาร์บัคส์)
    Phone: 02-102-2778 , 098-272-5244

ติดต่อเรา

    Facebook: Privato Clinic
    Messenger: Privato Clinic
    Instagram: privatoclinic
    Email: privatoclinic@gmail.com
    Line: @privatoclinic

Copyright© 2022-2024. All Rights Reserved

Scroll to top
  • หน้าหลัก
  • เกี่ยวกับพรีวาโต
  • บริการทั้งหมด
    • ชะลอวัย
    • ยกกระชับผิว
      • XERF
      • Potenza
      • Sofwave
      • Ulthera
      • Thermage-FLX
    • รักษาสิว
    • เลเซอร์
    • โปรแกรมฉีด
    • บำรุงผิว
  • บทความ
    • สิว
    • ยกกระชับ
    • ดูแลผิว
    • ทำเลเซอร์
  • ผลิตภัณฑ์ดูแลผิว
  • โปรโมชั่น
  • ผลลัพธ์การรักษา
  • วิดีโอรีวิวจากเคสจริง
  • สาขาของเรา
  • ไทย
    • ไทย
    • English
    • 中文 (中国)
  • ปรึกษาแพทย์
Facebook Instagram YouTube