Skip to content

TEL : 081-841-5075, 02-258-4050

Facebook Instagram YouTube
Privato Clinic – Innovation Of Beauty  |  Bangkok
  • หน้าหลัก
  • เกี่ยวกับพรีวาโต
  • บริการทั้งหมดExpand
    • ชะลอวัย
    • ยกกระชับผิวExpand
      • XERF
      • Potenza
      • Sofwave
      • Ulthera
      • Thermage-FLX
    • รักษาสิว
    • เลเซอร์
    • โปรแกรมฉีด
    • บำรุงผิว
  • บทความExpand
    • สิว
    • ยกกระชับ
    • ดูแลผิว
    • ทำเลเซอร์
  • ผลิตภัณฑ์ดูแลผิว
  • โปรโมชั่น
  • ผลลัพธ์การรักษา
  • วิดีโอรีวิวจากเคสจริง
  • สาขาของเรา
  • ไทยExpand
    • ไทย
    • English
    • 中文 (中国)
  • ปรึกษาแพทย์
Privato Clinic – Innovation Of Beauty  |  Bangkok
Consult a Doctor
Lifting

ริ้วรอยใต้ตา เลือกฟิลเลอร์ โบท็อกซ์ หรือ Ulthera ดี? 2025

Byadmin ตุลาคม 9, 2025ตุลาคม 9, 2025
By แพทย์หญิงนัชชนก หุ่นวิจิตร Updated on ตุลาคม 9, 2025
✦ Medically reviewed by  นายแพทย์เลอพงษ์ กรุดเงิน
ริ้วรอยใต้ตา เลือกฟิลเลอร์ โบท็อกซ์ หรือ Ulthera ดี? 2025

ริ้วรอยใต้ตา คือเส้นริ้วรอยที่เกิดจากการสูญเสียคอลลาเจนซึ่งจะลดลงประมาณ 1% ต่อปีหลังอายุ 25 ปี โดยสามารถจัดการได้ด้วยวิธีต่างๆ เช่น โบท็อกซ์สำหรับริ้วรอยจากการแสดงอารมณ์ หรือฟิลเลอร์เพื่อเติมเต็มร่องลึกให้เรียบเนียน

Table of Contents

Toggle
  • ริ้วรอยใต้ตาเกิดจากอะไรและมีกี่ประเภท
    • ประเภทของริ้วรอย: ริ้วรอยตื้นจากการแสดงอารมณ์และร่องลึกจากวัย
    • สาเหตุหลัก: การสูญเสียคอลลาเจนและผลกระทบจากไลฟ์สไตล์
  • เปรียบเทียบ 3 วิธีรักษาริ้วรอยใต้ตา: ฟิลเลอร์ โบท็อกซ์ และ Ulthera
    • การฉีดฟิลเลอร์เพื่อเติมเต็มร่องลึกใต้ตา
    • การฉีดโบท็อกซ์เพื่อคลายกล้ามเนื้อ ลดริ้วรอยตื้น
    • การใช้ Ulthera เพื่อยกกระชับผิวรอบดวงตา
    • ตารางเปรียบเทียบ: กลไก ผลลัพธ์ และระยะเวลาพักฟื้น
  • ใครเหมาะกับการรักษาริ้วรอยใต้ตาด้วยหัตถการทางการแพทย์
    • การประเมินสภาพผิวและความลึกของริ้วรอย
    • ข้อจำกัดและผู้ที่ไม่เหมาะกับการรักษาแต่ละวิธี
  • ปัจจัยสำคัญในการเลือกวิธีรักษาที่เหมาะสมกับคุณ
    • ลักษณะของปัญหาริ้วรอย: แบบเส้นบางหรือร่องลึก
    • ผลลัพธ์ที่คาดหวังและระยะเวลาคงผล
    • งบประมาณและแผนการรักษาต่อเนื่อง
  • ข้อควรระวังและความเสี่ยงที่อาจเกิดขึ้นจากการรักษา
    • ผลข้างเคียงที่พบได้ทั่วไปและวิธีดูแลเบื้องต้น
    • สัญญาณอันตรายที่ควรปรึกษาแพทย์ทันที
  • วิธีดูแลและชะลอริ้วรอยใต้ตาด้วยตัวเอง
    • การเลือกใช้สกินแคร์ที่มีส่วนผสมช่วยลดเลือนริ้วรอย
    • การปรับพฤติกรรมเพื่อปกป้องผิวรอบดวงตา
  • คำถามที่พบบ่อยเกี่ยวกับริ้วรอยใต้ตา
    • ทำอย่างไรให้ริ้วรอยใต้ตาหายไปอย่างถาวร
    • ริ้วรอยใต้ตาเกิดจากอะไรและป้องกันได้หรือไม่
    • ฉีดฟิลเลอร์ใต้ตาช่วยเรื่องริ้วรอยได้จริงไหม
    • โบท็อกซ์กับฟิลเลอร์ใต้ตาต่างกันอย่างไร
    • การรักษาต้องทำกี่ครั้งถึงจะเห็นผลชัดเจน
    • ดูแลตัวเองอย่างไรหลังรักษาริ้วรอยใต้ตา
  • References:

ริ้วรอยใต้ตาเกิดจากอะไรและมีกี่ประเภท

ประเภทของริ้วรอย: ริ้วรอยตื้นจากการแสดงอารมณ์และร่องลึกจากวัย

ริ้วรอยจากการแสดงอารมณ์ (Dynamic Wrinkles) เกิดขึ้นเมื่อมีการเคลื่อนไหวของใบหน้าและจะหายไปเมื่อใบหน้าผ่อนคลาย ในขณะที่ริ้วรอยตามวัย (Static Wrinkles) จะมองเห็นได้ตลอดเวลาแม้ไม่ได้แสดงอารมณ์ก็ตาม

  • ริ้วรอยจากการแสดงอารมณ์ (Dynamic Wrinkles): เกิดจากการหดตัวซ้ำๆ ของกล้ามเนื้อ เช่น การยิ้มหรือการหยีตา เมื่อเวลาผ่านไปและผิวสูญเสียความยืดหยุ่น ริ้วรอยประเภทนี้สามารถเปลี่ยนเป็นริ้วรอยแบบถาวรได้
  • ริ้วรอยตามวัย (Static Wrinkles): เป็นผลมาจากการสลายตัวของคอลลาเจนและอีลาสติน ผิวหนังชั้นแท้ที่บางลง และความหย่อนคล้อยของเนื้อเยื่อ ทำให้เกิดเป็นร่องลึกที่มองเห็นได้ชัดเจนแม้ใบหน้าจะอยู่ในภาวะปกติ

สาเหตุหลัก: การสูญเสียคอลลาเจนและผลกระทบจากไลฟ์สไตล์

การสูญเสียคอลลาเจนตามวัยและผลกระทบจากปัจจัยภายนอกและไลฟ์สไตล์ คือสองสาเหตุหลักที่ทำให้เกิดริ้วรอยรอบดวงตา

โดยปกติแล้ว ผิวจะเริ่มสูญเสียคอลลาเจนประมาณ 1% ต่อปีหลังอายุ 25 ปี ทำให้ผิวบางลง ขาดความกระชับและความยืดหยุ่น จนเกิดเป็นริ้วรอยถาวร (Static Wrinkles) ที่มองเห็นได้ชัดแม้ใบหน้าไม่แสดงอารมณ์

นอกจากนี้ ปัจจัยภายนอกและไลฟ์สไตล์ยังเป็นตัวเร่งให้เกิดริ้วรอยได้เร็วขึ้น ได้แก่:

  • แสงแดด เป็นสาเหตุสำคัญที่สุด (อาจมากถึง 80%) ที่ทำลายคอลลาเจนและอีลาสติน ทำให้เกิดริ้วรอยก่อนวัย
  • การแสดงสีหน้าซ้ำๆ การยิ้ม หยีตา หรือขมวดคิ้วบ่อยๆ ทำให้เกิดริ้วรอยจากการแสดงอารมณ์ (Dynamic Wrinkles) ซึ่งจะค่อยๆ กลายเป็นริ้วรอยถาวรเมื่อผิวสูญเสียความยืดหยุ่น
  • ไลฟ์สไตล์อื่นๆ การสูบบุหรี่ การพักผ่อนไม่เพียงพอ ความเครียด และภาวะขาดน้ำ ล้วนส่งผลให้คอลลาเจนเสื่อมสภาพและเกิดริ้วรอยได้ง่ายขึ้น
  • เปรียบเทียบ 3 วิธีรักษาริ้วรอยใต้ตา: ฟิลเลอร์ โบท็อกซ์ และ Ulthera

    การฉีดฟิลเลอร์เพื่อเติมเต็มร่องลึกใต้ตา

    การฉีดฟิลเลอร์เป็นวิธีการรักษาหลักสำหรับร่องลึกใต้ตาหรือร่องน้ำตาที่เห็นได้ชัด โดยเป็นการเพิ่มปริมาตรลึกลงไปตามขอบเบ้าตาเพื่อยกบริเวณที่ยุบตัวขึ้น ลดเงา และทำให้ริ้วรอยตื้นขึ้น

    สารที่ใช้มักเป็นฟิลเลอร์กลุ่มกรดไฮยาลูรอนิก (Hyaluronic Acid) ที่มีความนิ่มและยืดหยุ่น เช่น Restylane Lyft, Juvéderm Volbella หรือ Belotero Balance เพื่อให้ผลลัพธ์เรียบเนียนและลดความเสี่ยงที่จะเห็นเป็นก้อนหรือมีสีฟ้า (Tyndall effect)

    • ผลลัพธ์: เห็นผลทันทีหลังทำ สามารถลดความลึกของร่องน้ำตาได้ประมาณ 60-80% และอยู่ได้นานประมาณ 9-12 เดือน
    • ข้อจำกัด: ฟิลเลอร์ไม่สามารถแก้ไขปัญหาผิวที่หย่อนคล้อยมากหรือริ้วรอยเล็กๆ แบบตื้นๆ (crepey lines) ได้ และไม่เหมาะกับผู้ที่มีถุงใต้ตาหรือก้อนไขมันนูนชัดเจน เพราะอาจทำให้ดูบวมมากขึ้น

    การฉีดโบท็อกซ์เพื่อคลายกล้ามเนื้อ ลดริ้วรอยตื้น

    การฉีดโบท็อกซ์เป็นการคลายกล้ามเนื้อที่ก่อให้เกิดริ้วรอยจากการแสดงอารมณ์ (Dynamic Wrinkles) เช่น รอยตีนกาที่เกิดจากการยิ้มหรือหยีตา

    โบท็อกซ์ทำงานโดยการทำให้กล้ามเนื้อเป็นอัมพาตบางส่วน เพื่อป้องกันการพับย้ำๆ ของผิวหนังซึ่งเป็นสาเหตุของการเกิดริ้วรอยถาวรในอนาคต การรักษานี้เหมาะอย่างยิ่งสำหรับริ้วรอยที่ปรากฏขึ้นเมื่อแสดงสีหน้าและจะจางหายไปเมื่อใบหน้าผ่อนคลาย

    • ผลลัพธ์: จะเริ่มเห็นผลใน 3-5 วัน และเห็นผลเต็มที่ใน 1-2 สัปดาห์ โดยผลจะคงอยู่ประมาณ 3-4 เดือน
    • ประสิทธิภาพ: เหมาะสำหรับริ้วรอยตีนกาและริ้วรอยจากการขมวดคิ้ว แต่มีประสิทธิภาพน้อยกว่าสำหรับริ้วรอยร่องลึกที่เกิดจากการสูญเสียปริมาตรหรือความหย่อนคล้อยของผิว

    การใช้ Ulthera เพื่อยกกระชับผิวรอบดวงตา

    Ulthera คือเทคโนโลยีการยกกระชับผิวรอบดวงตาโดยไม่ต้องผ่าตัด ซึ่งใช้คลื่นอัลตราซาวด์ความเข้มข้นสูง (Microfocused Ultrasound) เพื่อกระตุ้นการสร้างคอลลาเจนใหม่ใต้ชั้นผิว ทำให้ผิวที่หย่อนคล้อยตึงขึ้น ริ้วรอยเล็กๆ เรียบเนียนขึ้น และช่วยยกคิ้วได้เล็กน้อย

    • หลักการทำงาน: พลังงานอัลตราซาวด์จะถูกส่งลงไปใต้ผิวหนังเพื่อกระตุ้นให้เกิดการสร้างคอลลาเจนและอีลาสตินขึ้นมาใหม่ ซึ่งจะช่วยฟื้นฟูโครงสร้างผิวให้แข็งแรงและกระชับขึ้นจากภายใน
    • ผลลัพธ์: ผลลัพธ์จะค่อยๆ ปรากฏให้เห็นในช่วง 2-3 เดือนหลังทำ และจะเห็นผลเต็มที่เมื่อคอลลาเจนสร้างตัวสมบูรณ์ โดยผิวจะดูเรียบเนียนและตึงขึ้นอย่างเป็นธรรมชาติ ผลลัพธ์คงอยู่ได้นานประมาณ 12-18 เดือน
    • เหมาะสำหรับ: ผู้ที่มีปัญหาผิวรอบดวงตาหย่อนคล้อยเล็กน้อยถึงปานกลาง มีริ้วรอยตื้นๆ หรือหนังตาเริ่มตก แต่ยังไม่ต้องการผ่าตัด
    • ราคา: สำหรับการทำบริเวณรอบดวงตาในประเทศไทย ราคาจะอยู่ที่ประมาณ 15,000–25,000 บาท ขึ้นอยู่กับจำนวนไลน์ (shots) ที่ใช้

    ตารางเปรียบเทียบ: กลไก ผลลัพธ์ และระยะเวลาพักฟื้น

    โบท็อกซ์ ฟิลเลอร์ และอัลเทอร่ามีกลไกการทำงาน ผลลัพธ์ และระยะเวลาพักฟื้นที่แตกต่างกัน โดยโบท็อกซ์เน้นลดริ้วรอยจากการแสดงอารมณ์ ฟิลเลอร์เน้นเติมเต็มร่องลึก และอัลเทอร่าเน้นการยกกระชับผิว

    ตารางเปรียบเทียบการรักษาแต่ละประเภท:

    คุณสมบัติ โบท็อกซ์ (Botox) ฟิลเลอร์ (Filler) อัลเทอร่า (Ultherapy)
    กลไกการทำงาน คลายกล้ามเนื้อเพื่อลดริ้วรอยที่เกิดจากการแสดงอารมณ์ (Dynamic Wrinkles) เช่น รอยตีนกา เติมสารไฮยาลูรอนิก แอซิด (HA) เพื่อเพิ่มปริมาตร ลดร่องลึกและรอยพับใต้ตา (Static Wrinkles) ใช้คลื่นอัลตราซาวด์กระตุ้นการสร้างคอลลาเจนใหม่ในชั้นผิวลึก เพื่อยกกระชับผิวที่หย่อนคล้อย
    ผลลัพธ์ ริ้วรอยตื้นขึ้นใน 3-5 วัน เห็นผลเต็มที่ใน 1-2 สัปดาห์ และคงอยู่ประมาณ 3-4 เดือน เห็นผลทันทีหลังทำ ช่วยให้ร่องลึกดูตื้นขึ้นและใต้ตาดูเต็มขึ้น ผลลัพธ์คงอยู่ประมาณ 9-12 เดือน ผิวจะค่อยๆ ตึงและเรียบเนียนขึ้นใน 2-3 เดือน ผลลัพธ์คงอยู่ประมาณ 12-18 เดือน
    ระยะเวลาพักฟื้น ไม่ต้องพักฟื้น อาจมีรอยเข็มเล็กน้อยซึ่งหายได้เองในไม่กี่ชั่วโมง อาจมีอาการบวมหรือรอยช้ำเล็กน้อย 1-3 วัน และจะค่อยๆ หายไปใน 1-2 สัปดาห์ ไม่ต้องพักฟื้น หลังทำอาจมีอาการบวมหรือแดงเล็กน้อยซึ่งจะหายไปในไม่กี่ชั่วโมง

    ใครเหมาะกับการรักษาริ้วรอยใต้ตาด้วยหัตถการทางการแพทย์

    การประเมินสภาพผิวและความลึกของริ้วรอย

    การประเมินสภาพผิวและความลึกของริ้วรอยทำได้โดย การตรวจพินิจด้วยสายตา การทดสอบความยืดหยุ่นของผิว และการใช้มาตรวัดที่เป็นมาตรฐาน แพทย์จะประเมินริ้วรอยในขณะที่ใบหน้าอยู่นิ่ง (Static Wrinkles) และขณะแสดงสีหน้า (Dynamic Wrinkles) เพื่อแยกลักษณะของริ้วรอย

    วิธีการประเมินที่สำคัญ ได้แก่:

    • การทดสอบความหย่อนคล้อย (Pinch Test): เพื่อประเมินความยืดหยุ่นของผิว โดยการดึงผิวหนังบริเวณใต้ตาเบาๆ
  • มาตรวัด Fitzpatrick (Fitzpatrick Wrinkle Scale): ใช้จัดระดับความรุนแรงของรอยตีนกา แบ่งเป็น 3 ระดับ ตั้งแต่ริ้วรอยบางๆ (Class I) ไปจนถึงริ้วรอยลึกและมีจำนวนมาก (Class III)
  • มาตรวัด Glogau (Glogau’s Photoaging Scale): ใช้อธิบายริ้วรอยบนใบหน้าโดยรวม แบ่งเป็น 4 ระดับ ตั้งแต่เล็กน้อย (Mild) ไปจนถึงรุนแรง (Severe)
  • นอกจากนี้ แพทย์ยังประเมินปัจจัยอื่นๆ เช่น ประเภทสีผิว (Fitzpatrick skin type) และความหนาของผิว เพื่อวางแผนการรักษาที่เหมาะสมและปลอดภัย

    ข้อจำกัดและผู้ที่ไม่เหมาะกับการรักษาแต่ละวิธี

    ข้อจำกัดและผู้ที่ไม่เหมาะกับการรักษาแต่ละวิธีจะแตกต่างกันไป โดยขึ้นอยู่กับสาเหตุของริ้วรอย สภาพผิว และโรคประจำตัวของผู้ป่วย

    • ฟิลเลอร์ (Filler)
    • ข้อจำกัด: ไม่เหมาะกับผิวที่หย่อนคล้อยมาก, ริ้วรอยตื้นๆ แบบเครป (crêpey lines) หรือผู้ที่มีถุงใต้ตาเด่นชัด เพราะอาจทำให้ดูบวมขึ้น
    • ผู้ที่ไม่เหมาะ: ผู้ที่มีการติดเชื้อบริเวณใบหน้า, เคยฉีดฟิลเลอร์ถาวร, มีผิวใต้ตาที่บางมาก (เสี่ยงต่อการเห็นฟิลเลอร์เป็นสีฟ้า) หรือมีความคาดหวังที่ไม่สมจริง
    • โบท็อกซ์ (Botox)
    • ข้อจำกัด: ไม่สามารถเติมเต็มร่องลึก, แก้ปัญหาผิวหย่อนคล้อย หรือลดถุงใต้ตาได้ และมีประสิทธิภาพน้อยสำหรับริ้วรอยที่เห็นชัดแม้ไม่ได้แสดงสีหน้า (Static Wrinkles)
    • ผู้ที่ไม่เหมาะ: ผู้ที่เป็นโรคเกี่ยวกับระบบประสาทและกล้ามเนื้อ (เช่น Myasthenia Gravis), แพ้โบทูลินั่ม ท็อกซิน, กำลังตั้งครรภ์หรือให้นมบุตร และมีการติดเชื้อที่ผิวหนังบริเวณที่จะฉีด
    • อัลเทอราปี (Ultherapy)
    • ข้อจำกัด: ไม่ได้ช่วยผลัดผิวชั้นบน จึงไม่สามารถกำจัดเม็ดสีหรือริ้วรอยที่ตื้นมากๆ ได้ และผลลัพธ์ที่ได้จะมีความเปลี่ยนแปลงเล็กน้อย ไม่ได้ชัดเจนเท่าฟิลเลอร์หรือโบท็อกซ์
    • ผู้ที่ไม่เหมาะ: ผู้ที่มีผิวหย่อนคล้อยรุนแรงจนต้องผ่าตัด, มีการติดเชื้อหรือแผลเปิดในบริเวณที่ทำ, มีไขมันบนใบหน้ามากเกินไป (ลดทอนประสิทธิภาพ), เป็นโรคเกี่ยวกับเนื้อเยื่อเกี่ยวพัน (เช่น ลูปัส) หรือมีความคาดหวังสูงเทียบเท่าการผ่าตัด

    ปัจจัยสำคัญในการเลือกวิธีรักษาที่เหมาะสมกับคุณ

    ลักษณะของปัญหาริ้วรอย: แบบเส้นบางหรือร่องลึก

    ริ้วรอยแบบเส้นบาง (Fine lines) เป็นรอยตื้นๆ ที่มีความลึกน้อยกว่า 1 มม. ในขณะที่ริ้วรอยแบบร่องลึก (Deep furrows) เป็นรอยพับที่ลึกกว่า 2 มม. ริ้วรอยเส้นบางมักเกิดจากการสูญเสียคอลลาเจนในระยะเริ่มต้นและการขาดความชุ่มชื้นของผิวชั้นนอก ส่วนร่องลึกบ่งชี้ถึงความเสียหายของผิวที่รุนแรงขึ้น ซึ่งเกี่ยวข้องกับการสูญเสียปริมาตรของโครงสร้างใต้ผิว (เช่น ไขมันและกระดูก) และความหย่อนคล้อยของผิว

    ผลลัพธ์ที่คาดหวังและระยะเวลาคงผล

    ผลลัพธ์และความคงทนของแต่ละวิธีแตกต่างกัน โดยโบท็อกซ์จะลดริ้วรอยจากการแสดงอารมณ์ได้นาน 3-4 เดือน ฟิลเลอร์ช่วยเติมเต็มร่องลึกได้ทันทีและอยู่ได้นาน 9-12 เดือน ส่วน Ultherapy จะค่อยๆ ยกกระชับผิวและเห็นผลนานประมาณ 12-18 เดือน

    • โบท็อกซ์ (Botox):
    • ผลลัพธ์: ลดความรุนแรงของริ้วรอยตีนกาได้ประมาณ 30-50% เมื่อยิ้มเต็มที่ และเห็นผลเต็มที่ใน 1-2 สัปดาห์ เหมาะสำหรับริ้วรอยที่เกิดจากการแสดงอารมณ์
    • ระยะเวลา: ผลลัพธ์คงอยู่ประมาณ 3-4 เดือน
    • ฟิลเลอร์ (Dermal Fillers):
    • ผลลัพธ์: เห็นผลทันทีในการเติมเต็มร่องลึกใต้ตา สามารถแก้ไขร่องลึกได้ประมาณ 60-80% และอาจลดความลึกของร่องได้ถึง 70-90%
    • ระยะเวลา: ผลลัพธ์คงอยู่เฉลี่ย 9-12 เดือน และอาจนานถึง 18 เดือนในฟิลเลอร์บางชนิด
    • Ultherapy:
    • ผลลัพธ์: ผลลัพธ์จะค่อยๆ ปรากฏในช่วง 2-3 เดือน โดยเป็นการยกกระชับผิวที่หย่อนคล้อยและลดริ้วรอยเล็กๆ อาจเห็นการยกกระชับขึ้นประมาณ 20-30%
    • ระยะเวลา: ผลลัพธ์จะดีที่สุดในช่วง 2-3 เดือนหลังทำ และคงอยู่ได้ประมาณ 12-18 เดือน

    งบประมาณและแผนการรักษาต่อเนื่อง

    ค่าใช้จ่ายในการรักษาริ้วรอยใต้ตาในประเทศไทยแตกต่างกันไปตามประเภทการรักษา โดยโบท็อกซ์สำหรับริ้วรอยหางตาเริ่มต้นที่ประมาณ 2,500–8,000 บาท, ฟิลเลอร์ใต้ตาอยู่ที่ 10,000–18,000 บาทต่อซีซี และ Ultherapy รอบดวงตาเริ่มต้นที่ประมาณ 15,000–25,000 บาท

    แผนการรักษาต่อเนื่องเพื่อคงผลลัพธ์มีดังนี้:

    • โบท็อกซ์ (Botox): ผลลัพธ์คงอยู่ประมาณ 3-4 เดือน แนะนำให้ทำซ้ำ 2-3 ครั้งต่อปี
  • ฟิลเลอร์ (Fillers): ผลลัพธ์คงอยู่ประมาณ 9-12 เดือน แนะนำให้เติมซ้ำประมาณปีละครั้ง
  • อัลเทอราพี (Ultherapy): ผลลัพธ์คงอยู่ประมาณ 12-18 เดือน แนะนำให้ทำซ้ำปีละครั้งหรือตามความจำเป็น
  • ข้อควรระวังและความเสี่ยงที่อาจเกิดขึ้นจากการรักษา

    ผลข้างเคียงที่พบได้ทั่วไปและวิธีดูแลเบื้องต้น

    ผลข้างเคียงที่พบได้ทั่วไปมักไม่รุนแรงและเกิดขึ้นชั่วคราว เช่น รอยช้ำ บวม แดง หรืออาการเจ็บเล็กน้อยบริเวณที่ทำ ซึ่งจะแตกต่างกันไปตามแต่ละหัตถการ

    • ฟิลเลอร์ (Filler)
    • ผลข้างเคียง: อาการที่พบบ่อยที่สุดคือรอยช้ำ บวม แดง และเจ็บเล็กน้อยบริเวณที่ฉีด ซึ่งจะหายไปเองใน 2-3 วัน อาจรู้สึกเป็นก้อนใต้ผิวหนังในช่วงแรก แต่จะค่อยๆ นิ่มลงและเข้าที่ใน 1-2 สัปดาห์
    • การดูแล: ประคบเย็นเพื่อลดอาการบวมและช้ำ หลีกเลี่ยงการออกกำลังกายหนัก การดื่มแอลกอฮอล์ และการสัมผัสความร้อนสูงเป็นเวลา 24 ชั่วโมง และงดการนวดหน้าแรงๆ ประมาณ 1-2 สัปดาห์
    • โบท็อกซ์ (Botox)
    • ผลข้างเคียง: อาจมีรอยช้ำ บวม หรือแดงเล็กน้อยบริเวณรอยเข็ม และบางรายอาจมีอาการปวดศีรษะเล็กน้อย ซึ่งทั้งหมดเป็นอาการชั่วคราว
    • การดูแล: งดการนวดหรือถูบริเวณที่ฉีดเป็นเวลา 24 ชั่วโมง งดนอนราบเป็นเวลา 4 ชั่วโมงหลังฉีด และหลีกเลี่ยงการออกกำลังกายหนัก 1 วัน
    • อัลเทอร่า (Ultherapy)
    • ผลข้างเคียง: อาการที่พบบ่อยคือความเจ็บระหว่างทำ หลังทำอาจมีอาการบวม แดง หรือรู้สึกปวดระบมลึกๆ ใต้ผิวได้เล็กน้อย ซึ่งจะคงอยู่เพียงไม่กี่วัน
    • การดูแล: ไม่จำเป็นต้องพักฟื้น สามารถกลับไปใช้ชีวิตประจำวันได้ตามปกติ หากมีอาการปวดสามารถรับประทานยาแก้ปวดทั่วไปได้

    สัญญาณอันตรายที่ควรปรึกษาแพทย์ทันที

    สัญญาณอันตรายที่ต้องปรึกษาแพทย์ทันทีคืออาการที่บ่งชี้ว่าเส้นเลือดอาจอุดตันจากการฉีดฟิลเลอร์ ซึ่งเป็นภาวะแทรกซ้อนที่รุนแรงและต้องได้รับการรักษาอย่างเร่งด่วน

    อาการที่ควรสังเกตและรีบแจ้งแพทย์ทันที ได้แก่:

    • อาการปวดรุนแรงเฉียบพลันระหว่างหรือหลังการฉีด
  • ผิวหนังบริเวณที่ฉีดเปลี่ยนสีทันที เช่น ซีดขาว หรือมีสีคล้ำเทาคล้ายลายหินอ่อน
  • การมองเห็นผิดปกติ เช่น ตาพร่ามัว มองไม่เห็นบางส่วนหรือทั้งหมด หรือเห็นจุดลอยไปมา
  • วิธีดูแลและชะลอริ้วรอยใต้ตาด้วยตัวเอง

    วิธีที่ดีที่สุดในการดูแลและชะลอริ้วรอยใต้ตาด้วยตัวเองคือ การป้องกันผิวจากแสงแดดอย่างสม่ำเสมอ ใช้ผลิตภัณฑ์บำรุงผิวที่เหมาะสม และปรับเปลี่ยนพฤติกรรมการใช้ชีวิต การดูแลเหล่านี้สามารถช่วยชะลอการเกิดริ้วรอยใหม่และลดเลือนริ้วรอยเดิมได้

    คุณสามารถดูแลผิวรอบดวงตาได้ด้วยวิธีต่างๆ ดังนี้

    • การป้องกันแสงแดด: ทาครีมกันแดดที่มีค่า SPF 30 ขึ้นไปรอบดวงตาทุกวัน สวมแว่นกันแดดที่ป้องกันรังสียูวี และใส่หมวกปีกกว้าง เนื่องจากรังสียูวีเป็นสาเหตุหลักของการเกิดริ้วรอยก่อนวัยถึง 80%
    • การใช้สกินแคร์: เลือกใช้ผลิตภัณฑ์ที่มีส่วนผสมที่ช่วยลดเลือนริ้วรอย เช่น เรตินอยด์ (Retinoids), วิตามินซี (Vitamin C), เปปไทด์ (Peptides) และไนอะซินาไมด์ (Niacinamide) พร้อมทั้งให้ความชุ่มชื้นแก่ผิวรอบดวงตาเป็นประจำ
    • การปรับเปลี่ยนไลฟ์สไตล์:
    • นอนหลับให้เพียงพอ: พักผ่อนอย่างน้อย 6-8 ชั่วโมง เพื่อให้ผิวได้ซ่อมแซมตัวเอง
    • รับประทานอาหารที่มีประโยชน์: เน้นผัก ผลไม้ และอาหารที่มีสารต้านอนุมูลอิสระสูง และดื่มน้ำให้เพียงพอ
    • หลีกเลี่ยงปัจจัยทำร้ายผิว: งดสูบบุหรี่และลดการดื่มแอลกอฮอล์ ซึ่งเป็นตัวการทำลายคอลลาเจน
    • ลดพฤติกรรมที่ทำให้เกิดริ้วรอย: หลีกเลี่ยงการขยี้ตาแรงๆ และการแสดงสีหน้าซ้ำๆ เช่น การหยีตาหรือขมวดคิ้วโดยไม่จำเป็น

    การเลือกใช้สกินแคร์ที่มีส่วนผสมช่วยลดเลือนริ้วรอย

    ส่วนผสมในสกินแคร์ที่ได้รับการพิสูจน์แล้วว่ามีประสิทธิภาพในการลดเลือนริ้วรอย ได้แก่ เรตินอยด์, เปปไทด์, และวิตามินซี ส่วนผสมเหล่านี้ทำงานโดยการกระตุ้นการสร้างคอลลาเจนและปกป้องผิวจากความเสียหาย

    ส่วนผสมสำคัญอื่นๆ ที่มีประโยชน์ ได้แก่:

    • เรตินอยด์ (Retinoids): ถือเป็นมาตรฐานสูงสุด (gold standard) ในการลดริ้วรอย ช่วยเพิ่มการสร้างคอลลาเจนและปรับโครงสร้างอีลาสตินให้เป็นปกติ
  • เปปไทด์ (Peptides): ทำหน้าที่ส่งสัญญาณให้เซลล์ผิวสร้างคอลลาเจนและอีลาสตินเพิ่มขึ้น
  • วิตามินซี (Vitamin C): เป็นสารต้านอนุมูลอิสระที่จำเป็นต่อการสร้างคอลลาเจน ช่วยลดความเสียหายจากรังสียูวีและทำให้ผิวกระจ่างใส
  • ส่วนผสมอื่นๆ: ไนอะซินาไมด์ (Niacinamide) ช่วยเสริมเกราะป้องกันผิว, คาเฟอีน (Caffeine) ช่วยลดอาการบวม, และกรดไฮยาลูรอนิก (Hyaluronic Acid) ช่วยเติมความชุ่มชื้นให้ผิวดูอิ่มฟูขึ้นชั่วคราว ทำให้ริ้วรอยตื้นๆ ดูจางลง
  • การปรับพฤติกรรมเพื่อปกป้องผิวรอบดวงตา

    การปรับพฤติกรรมเพื่อปกป้องผิวรอบดวงตาสามารถทำได้โดยการป้องกันผิวจากแสงแดดอย่างสม่ำเสมอ, การปรับเปลี่ยนไลฟ์สไตล์ให้ดีต่อสุขภาพ, และการหลีกเลี่ยงพฤติกรรมที่ทำร้ายผิวโดยตรง ซึ่งการปรับเปลี่ยนเหล่านี้จะช่วยชะลอการเกิดริ้วรอยได้อย่างมีนัยสำคัญ

    พฤติกรรมที่แนะนำเพื่อปกป้องผิวรอบดวงตา ได้แก่:

    • การป้องกันแสงแดด: ทาครีมกันแดด (SPF 30+) รอบดวงตาทุกวัน และสวมแว่นกันแดดหรือหมวกปีกกว้างเมื่ออยู่กลางแจ้ง
    • การนอนหลับและพักสายตา: นอนหลับให้เพียงพอ และพักสายตาจากหน้าจอเป็นประจำเพื่อลดการหยีตา
    • อาหารและการดื่มน้ำ: รับประทานอาหารที่มีสารต้านอนุมูลอิสระสูง เช่น ผักและผลไม้ และดื่มน้ำให้เพียงพอเพื่อให้ผิวชุ่มชื้น
    • งดสูบบุหรี่และลดแอลกอฮอล์: การสูบบุหรี่และการดื่มแอลกอฮอล์ในปริมาณมากเป็นปัจจัยสำคัญที่เร่งการเกิดริ้วรอย
    • หลีกเลี่ยงการสัมผัสรุนแรง: ไม่ขยี้หรือดึงผิวหนังบริเวณรอบดวงตา เพราะจะทำลายเส้นใยคอลลาเจนและอีลาสติน
    • การจัดการความเครียด: ความเครียดเรื้อรังจะเพิ่มฮอร์โมนคอร์ติซอล ซึ่งสามารถทำลายคอลลาเจนและเร่งการเกิดริ้วรอยได้

    คำถามที่พบบ่อยเกี่ยวกับริ้วรอยใต้ตา

    ทำอย่างไรให้ริ้วรอยใต้ตาหายไปอย่างถาวร

    จากข้อมูลที่ให้มา ไม่มีวิธีใดที่สามารถกำจัดริ้วรอยใต้ตาได้อย่างถาวร เนื่องจากริ้วรอยเป็นส่วนหนึ่งของกระบวนการชราตามธรรมชาติ การรักษาที่มีอยู่เป็นการจัดการและชะลอการเกิดริ้วรอย แต่ไม่สามารถหยุดยั้งได้อย่างถาวร

    การรักษาต่างๆ ให้ผลลัพธ์เพียงชั่วคราวและต้องทำซ้ำเพื่อคงสภาพผลลัพธ์ไว้ ดังนี้:

    • โบท็อกซ์ (Botox): ลดเลือนริ้วรอยจากการแสดงอารมณ์ ผลลัพธ์อยู่ได้ประมาณ 3-4 เดือน
  • ฟิลเลอร์ (Fillers): เติมเต็มร่องลึกและริ้วรอยที่เกิดจากการสูญเสียปริมาตร ผลลัพธ์คงอยู่ประมาณ 9-12 เดือน
  • อัลเทอราพี (Ultherapy): ยกกระชับผิวและลดความหย่อนคล้อย ผลลัพธ์อยู่ได้ประมาณ 1-1.5 ปี
  • ดังนั้น การรักษาริ้วรอยใต้ตาจึงเน้นไปที่การดูแลอย่างต่อเนื่องเพื่อชะลอความเสื่อมของผิวและคงความอ่อนเยาว์ไว้ให้นานที่สุด

    ริ้วรอยใต้ตาเกิดจากอะไรและป้องกันได้หรือไม่

    ริ้วรอยใต้ตาเกิดจาก การสูญเสียคอลลาเจนและอีลาสตินตามวัย การถูกทำลายจากแสงแดด และพฤติกรรมการใช้ชีวิต ซึ่งสามารถป้องกันและชะลอการเกิดได้

    สาเหตุหลักของริ้วรอยใต้ตา ได้แก่:

    • อายุที่เพิ่มขึ้น: หลังอายุ 25 ปี การผลิตคอลลาเจนจะลดลงประมาณ 1% ต่อปี ทำให้ผิวบางลง ขาดความกระชับ และเกิดริ้วรอยได้ง่าย
  • แสงแดด: รังสียูวีเป็นสาเหตุสำคัญที่สุด (อาจมากถึง 80%) ของการเกิดริ้วรอยก่อนวัย เพราะมันทำลายคอลลาเจนและอีลาสตินในผิว
  • การแสดงสีหน้าซ้ำๆ: การยิ้ม หยีตา หรือขมวดคิ้วบ่อยๆ ทำให้กล้ามเนื้อหดตัวซ้ำๆ จนเกิดเป็นริ้วรอยแบบเคลื่อนไหว (Dynamic Wrinkles) ซึ่งจะกลายเป็นริ้วรอยถาวรในที่สุด
  • พฤติกรรมการใช้ชีวิต: การสูบบุหรี่ การพักผ่อนไม่เพียงพอ ความเครียด และการดื่มน้ำน้อย ล้วนเป็นปัจจัยที่เร่งให้ผิวเสื่อมสภาพและเกิดริ้วรอยเร็วขึ้น
  • เราสามารถป้องกันและชะลอการเกิดริ้วรอยใต้ตาได้ด้วยวิธีต่อไปนี้:

    • ป้องกันแสงแดด: ทาครีมกันแดดที่มีค่า SPF 30 ขึ้นไปบริเวณรอบดวงตาทุกวัน และสวมแว่นกันแดดเป็นประจำ
  • ใช้สกินแคร์ที่เหมาะสม: เลือกใช้ผลิตภัณฑ์บำรุงรอบดวงตาที่มีส่วนผสมของเรตินอยด์ (Retinoids) เพื่อกระตุ้นการสร้างคอลลาเจน หรือสารต้านอนุมูลอิสระอย่างวิตามินซี
  • ปรับเปลี่ยนไลฟ์สไตล์: นอนหลับให้เพียงพอ ดื่มน้ำให้มาก ทานอาหารที่มีประโยชน์ งดสูบบุหรี่ และจัดการความเครียด
  • หลีกเลี่ยงการขยี้ตา: การขยี้ตาแรงๆ สามารถทำลายเส้นใยอีลาสตินที่บอบบางและทำให้เกิดริ้วรอยได้
  • ฉีดฟิลเลอร์ใต้ตาช่วยเรื่องริ้วรอยได้จริงไหม

    การฉีดฟิลเลอร์ใต้ตาสามารถช่วยลดเลือนริ้วรอยได้จริง โดยเฉพาะริ้วรอยร่องลึกที่เกิดจากการสูญเสียปริมาตร เช่น การยุบตัวของไขมันและกระดูกใต้ตา

    ฟิลเลอร์จะเข้าไปเติมเต็มร่องลึกและบริเวณที่ยุบตัว ทำให้ผิวใต้ตาดูอิ่มฟูและเรียบเนียนขึ้น ซึ่งส่งผลให้ริ้วรอยเล็กๆ ที่อยู่บนผิวชั้นบนดูจางลงไปด้วย วิธีนี้เหมาะสำหรับริ้วรอยที่มองเห็นได้ชัดแม้ไม่ได้แสดงสีหน้า (Static Wrinkles) แต่ไม่เหมาะกับริ้วรอยเหี่ยวย่นที่เกิดจากผิวที่หย่อนคล้อยมากๆ หรือริ้วรอยจากการแสดงอารมณ์ (Dynamic Wrinkles) ซึ่งตอบสนองต่อโบท็อกซ์ได้ดีกว่า

    โบท็อกซ์กับฟิลเลอร์ใต้ตาต่างกันอย่างไร

    โบท็อกซ์และฟิลเลอร์ใต้ตาทำงานแตกต่างกัน โดยโบท็อกซ์จะใช้เพื่อคลายกล้ามเนื้อที่ทำให้เกิดริ้วรอยจากการแสดงอารมณ์ เช่น รอยตีนกา ในขณะที่ฟิลเลอร์จะใช้เพื่อเติมเต็มปริมาตรในบริเวณที่เป็นร่องลึกหรือเบ้าตาโหลซึ่งเกิดจากการสูญเสียคอลลาเจนและไขมัน

    ตารางเปรียบเทียบความแตกต่างระหว่างโบท็อกซ์และฟิลเลอร์ใต้ตา:

    คุณสมบัติ โบท็อกซ์ (Botox) ฟิลเลอร์ (Filler)
    กลไกการทำงาน คลายการทำงานของกล้ามเนื้อ เติมเต็มปริมาตรและเพิ่มความชุ่มชื้น
    เหมาะสำหรับ ริ้วรอยที่เกิดจากการแสดงอารมณ์ (Dynamic Wrinkles) เช่น รอยตีนกา ร่องลึกใต้ตา เบ้าตาโหล หรือริ้วรอยที่มองเห็นแม้ไม่แสดงอารมณ์ (Static Wrinkles)
    ระยะเวลาเห็นผล เริ่มเห็นผลใน 3-5 วัน และเห็นผลเต็มที่ใน 2 สัปดาห์ เห็นผลทันทีหลังทำ
    ผลลัพธ์อยู่ได้นาน ประมาณ 3-4 เดือน ประมาณ 9-12 เดือน

    การรักษาต้องทำกี่ครั้งถึงจะเห็นผลชัดเจน

    จำนวนครั้งในการรักษาเพื่อให้เห็นผลชัดเจนนั้นขึ้นอยู่กับประเภทของหัตถการ โดยส่วนใหญ่จะเห็นผลลัพธ์ที่ดีตั้งแต่ครั้งแรก แต่มีระยะเวลาการแสดงผลและระยะเวลาคงอยู่ของผลลัพธ์ที่แตกต่างกันไป

    • ฟิลเลอร์ (Filler): เห็นผลทันทีหลังทำ 1 ครั้ง และผลลัพธ์จะอยู่ได้นานประมาณ 9-12 เดือน
    • โบท็อกซ์ (Botox): เห็นผลชัดเจนใน 1-2 สัปดาห์หลังฉีด 1 ครั้ง แต่ผลลัพธ์จะอยู่ได้ประมาณ 3-4 เดือน จึงต้องทำซ้ำ 2-3 ครั้งต่อปีเพื่อคงผลลัพธ์
    • Ultherapy: ทำเพียง 1 ครั้ง แต่จะเห็นผลลัพธ์ชัดเจนขึ้นเรื่อยๆ ในช่วง 2-3 เดือนหลังทำ และผลลัพธ์อยู่ได้นานประมาณ 1 ปีขึ้นไป

    ดูแลตัวเองอย่างไรหลังรักษาริ้วรอยใต้ตา

    การดูแลตัวเองหลังรักษาริ้วรอยใต้ตาจะแตกต่างกันไปตามประเภทการรักษา แต่โดยทั่วไป ควรงดกิจกรรมที่ส่งผลกระทบต่อบริเวณที่ทำ เช่น การออกกำลังกายหนัก การนวดหน้า และการสัมผัสความร้อนสูงในช่วงแรก

    คำแนะนำการดูแลตัวเองหลังการรักษาแต่ละประเภทมีดังนี้

    • ฟิลเลอร์ (Filler):
    • หลีกเลี่ยงการออกกำลังกายหนัก แอลกอฮอล์ และความร้อนสูง (เช่น ซาวน่า) เป็นเวลา 24 ชั่วโมง
    • งดการนวดหรือกดแรงๆ บริเวณที่ฉีดเป็นเวลา 1-2 สัปดาห์
    • ใช้การประคบเย็นเพื่อช่วยลดอาการบวมหรือช้ำ
    • หากมีอาการปวดรุนแรง สีผิวเปลี่ยนไป หรือการมองเห็นผิดปกติ ให้รีบติดต่อคลินิกทันที
    • โบท็อกซ์ (Botox):
    • งดนอนราบหรือก้มศีรษะเป็นเวลา 4 ชั่วโมงหลังฉีด
    • ห้ามนวด คลึง หรือถูบริเวณที่ฉีด
    • หลีกเลี่ยงการออกกำลังกายหนักและแอลกอฮอล์เป็นเวลา 24 ชั่วโมง
    • อัลเทอร่า (Ultherapy):
    • ไม่มีระยะพักฟื้น สามารถกลับไปทำกิจกรรมต่างๆ ได้ตามปกติทันที
    • อาจมีอาการบวมแดงหรือเจ็บเล็กน้อย ซึ่งจะหายไปเองภายในไม่กี่วัน
    • สามารถรับประทานยาแก้ปวดเพื่อบรรเทาอาการได้หากจำเป็น

    References:

    1. Cleveland Clinic. Under-Eye Wrinkles: Causes and Treatment Options. clevelandclinic.org
    2. DermNet NZ. Periorbital Wrinkles and Aging. dermnetnz.org
    3. MDPI. Aesthetic treatments for periorbital rejuvenation. mdpi.com
    4. Oxford University Press (OUP). Age-related changes in periorbital skin. oup.com
    5. NIH. Wrinkles and aging skin: pathophysiology and treatment. nih.gov
    6. Cosmetic Injectables Center. Under-Eye Filler Treatment Guide. cosmeticinjectables.com
    7. Mirror Mirror Houston. Under-Eye Wrinkle Treatments. mirrormirrorhouston.com
    8. Naiss Clinic (Thailand). Under-Eye Treatment Options and Pricing. naissclinic.com

    แนะแนวเรื่อง

    Previous Previous
    ฉีดฟิลเลอร์ขมับ กี่ CC ถึงจะเหมาะ? อยู่ได้นานแค่ไหน | ข้อที่ควรรู้
    NextContinue
    ฉีดฟิลเลอร์ร่องแก้ม ราคาเท่าไหร่ ใช้กี่ CC กี่วันเข้าที่ อยู่นานแค่ไหน

    สาขาพรีวาโต คลินิก

      สาขาอโศก ตั้งอยู่ที่ ชั้น 2 อาคารมิดทาวน์
      Phone: 02-258-4050 , 081-841-5075
      สาขาสีลม ตั้งอยู่ที่ ชั้น 1 อาคารซี.พี.ทาวเวอร์
      Phone: 02-780-2011 , 098-272-5244
      สาขาราชพฤกษ์ ตั้งอยู่ที่ ชั้น 2 ศูนย์การค้า เดอะคริสตัล เอสบี (ด้านบนร้านสตาร์บัคส์)
      Phone: 02-102-2778 , 098-272-5244

    ติดต่อเรา

      Facebook: Privato Clinic
      Messenger: Privato Clinic
      Instagram: privatoclinic
      Email: privatoclinic@gmail.com
      Line: @privatoclinic

    Copyright© 2022-2024. All Rights Reserved

    Scroll to top
    • หน้าหลัก
    • เกี่ยวกับพรีวาโต
    • บริการทั้งหมด
      • ชะลอวัย
      • ยกกระชับผิว
        • XERF
        • Potenza
        • Sofwave
        • Ulthera
        • Thermage-FLX
      • รักษาสิว
      • เลเซอร์
      • โปรแกรมฉีด
      • บำรุงผิว
    • บทความ
      • สิว
      • ยกกระชับ
      • ดูแลผิว
      • ทำเลเซอร์
    • ผลิตภัณฑ์ดูแลผิว
    • โปรโมชั่น
    • ผลลัพธ์การรักษา
    • วิดีโอรีวิวจากเคสจริง
    • สาขาของเรา
    • ไทย
      • ไทย
      • English
      • 中文 (中国)
    • ปรึกษาแพทย์
    Facebook Instagram YouTube