Skip to content

TEL : 081-841-5075, 02-258-4050

Facebook Instagram YouTube
Privato Clinic – Innovation Of Beauty  |  Bangkok
  • หน้าหลัก
  • เกี่ยวกับพรีวาโต
  • บริการทั้งหมดExpand
    • ชะลอวัย
    • ยกกระชับผิวExpand
      • XERF
      • Potenza
      • Sofwave
      • Ulthera
      • Thermage-FLX
    • รักษาสิว
    • เลเซอร์
    • โปรแกรมฉีด
    • บำรุงผิว
  • บทความExpand
    • สิว
    • ยกกระชับ
    • ดูแลผิว
    • ทำเลเซอร์
  • ผลิตภัณฑ์ดูแลผิว
  • โปรโมชั่น
  • ผลลัพธ์การรักษา
  • วิดีโอรีวิวจากเคสจริง
  • สาขาของเรา
  • ไทยExpand
    • ไทย
    • English
    • 中文 (中国)
  • ปรึกษาแพทย์
Privato Clinic – Innovation Of Beauty  |  Bangkok
Consult a Doctor
Skincare

หน้าแห้งใช้อะไรดี? 3 สเต็ปบูสต์ผิวชุ่มชื้นด้วยไฮยาและเซราไมด์

Byadmin ตุลาคม 14, 2025
By แพทย์หญิงนัชชนก หุ่นวิจิตร Updated on ตุลาคม 14, 2025
✦ Medically reviewed by  นายแพทย์เลอพงษ์ กรุดเงิน
หน้าแห้งใช้อะไรดี? 3 สเต็ปบูสต์ผิวชุ่มชื้นด้วยไฮยาและเซราไมด์

สำหรับคำถามที่ว่าหน้าแห้งใช้อะไรดี คำตอบคือการดูแลผิว 3 ขั้นตอนที่เน้นการฟื้นฟูเกราะป้องกันผิว โดยเริ่มจากการใช้เซรั่มไฮยาลูรอนเพื่อดึงน้ำเข้าสู่ผิว และตามด้วยมอยส์เจอไรเซอร์ที่มีเซราไมด์ซึ่งเป็นไขมันสำคัญถึง 40-50% ของชั้นผิว เพื่อล็อกความชุ่มชื้นและลดการสูญเสียน้ำอย่างมีประสิทธิภาพ

Table of Contents

Toggle
  • เข้าใจสาเหตุของผิวหน้าแห้ง: ปัจจัยภายในและภายนอก
    • ลักษณะของผิวแห้งโดยกำเนิดและภาวะผิวขาดน้ำ
    • ปัจจัยกระตุ้นจากสิ่งแวดล้อมและพฤติกรรมการใช้ชีวิต
  • 3 ขั้นตอนฟื้นฟูผิวแห้งตามหลักการแพทย์ผิวหนัง
    • ขั้นตอนที่ 1: ทำความสะอาดอย่างอ่อนโยนเพื่อรักษาเกราะป้องกันผิว
    • ขั้นตอนที่ 2: เติมความชุ่มชื้นล้ำลึกด้วยเซรั่มไฮยาลูรอน
    • ขั้นตอนที่ 3: ล็อกความชุ่มชื้นและเสริมชั้นผิวด้วยเซราไมด์
  • ส่วนผสมสำคัญในสกินแคร์ที่คนหน้าแห้งควรมองหา
    • กลุ่มสารเติมน้ำให้ผิว (Humectants)
    • กลุ่มสารเคลือบผิวป้องกันการสูญเสียน้ำ (Occlusives)
    • กลุ่มสารฟื้นฟูเกราะป้องกันผิว (Barrier Repair Ingredients)
  • ทางเลือกการรักษาในคลินิกเมื่อสกินแคร์ให้ผลไม่เพียงพอ
    • ทรีตเมนต์ผลักวิตามินและเมโสเทอราพีเพื่อผิวชุ่มชื้น
    • หัตถการกลุ่มเลเซอร์เพื่อปรับปรุงคุณภาพผิวระยะยาว
  • ปัจจัยสำคัญก่อนตัดสินใจเลือกวิธีดูแลผิวแห้ง
    • การประเมินระดับความรุนแรงและอาการร่วม
    • การเลือกผลิตภัณฑ์ให้เหมาะกับสภาพผิวเฉพาะบุคคล
    • สัญญาณเตือนที่ควรปรึกษาแพทย์ผู้เชี่ยวชาญ
  • ข้อผิดพลาดที่ควรเลี่ยงซึ่งอาจทำให้ผิวแห้งกว่าเดิม
  • คำถามที่พบบ่อยเกี่ยวกับการดูแลผิวหน้าแห้ง
    • หน้าแห้งกับผิวขาดน้ำต่างกันอย่างไร?
    • คนหน้าแห้งควรล้างหน้าด้วยน้ำอุ่นหรือไม่?
    • สกินแคร์อะไรที่คนหน้าแห้งควรหลีกเลี่ยง?
    • หน้าแห้งเป็นขุยบ่อยๆ ควรไปพบแพทย์เมื่อไหร่?
    • การทำทรีตเมนต์ในคลินิกช่วยแก้ปัญหาหน้าแห้งได้จริงไหม?
    • ต้องใช้เวลานานแค่ไหนถึงจะเห็นผลว่าผิวชุ่มชื้นขึ้น?
  • References:

เข้าใจสาเหตุของผิวหน้าแห้ง: ปัจจัยภายในและภายนอก

ลักษณะของผิวแห้งโดยกำเนิดและภาวะผิวขาดน้ำ

ผิวแห้งโดยกำเนิดคือสภาพผิวที่ขาดน้ำมัน (ไขมัน) ตามธรรมชาติ ในขณะที่ภาวะผิวขาดน้ำคือภาวะชั่วคราวที่ผิวมีปริมาณน้ำลดลง ซึ่งสามารถเกิดขึ้นได้กับทุกสภาพผิว

  • ผิวแห้ง (Dry Skin): เป็นประเภทของผิวที่ขาดน้ำมัน ทำให้ผิวมีลักษณะเป็นขุยและหยาบกร้าน
  • ผิวขาดน้ำ (Dehydrated Skin): เป็นภาวะที่ผิวขาดน้ำ ทำให้เกิดริ้วรอยเล็กๆ และสูญเสียความยืดหยุ่น

ปัจจัยกระตุ้นจากสิ่งแวดล้อมและพฤติกรรมการใช้ชีวิต

ปัจจัยกระตุ้นจากสิ่งแวดล้อมและพฤติกรรมการใช้ชีวิตที่ทำให้ผิวแห้ง ได้แก่ สภาพอากาศ การสัมผัสแสงแดด พฤติกรรมการทำความสะอาดที่ไม่เหมาะสม การสูบบุหรี่ และความเครียด

ปัจจัยเหล่านี้ส่งผลกระทบต่อเกราะป้องกันผิวโดยตรง ทำให้ผิวสูญเสียความชุ่มชื้นได้ง่ายขึ้น

  • สภาพอากาศและความชื้น: การอยู่ในสภาพแวดล้อมที่มีความชื้นต่ำเป็นเวลานาน เช่น ในห้องปรับอากาศหรือในช่วงฤดูหนาวที่มีการใช้เครื่องทำความร้อน จะเร่งให้ผิวสูญเสียน้ำ
  • การสัมผัสแสงแดด: รังสียูวี (UV) ทำลายไขมันที่จำเป็นในผิวและทำให้ผิวสูญเสียน้ำ ส่งผลให้ผิวที่โดนแดดสะสมมักจะแห้งกว่าปกติ
  • พฤติกรรมการอาบน้ำ: การอาบน้ำร้อนหรือล้างหน้าด้วยน้ำร้อนบ่อยเกินไปจะชะล้างน้ำมันตามธรรมชาติของผิวออกไป ทำให้ผิวรู้สึกตึงและแห้ง
  • การใช้ผลิตภัณฑ์ทำความสะอาดที่รุนแรง: สบู่ที่มีค่าความเป็นด่างสูง (high pH) หรือผลิตภัณฑ์ที่มีสารทำความสะอาดรุนแรงสามารถทำลายเกราะป้องกันไขมันของผิวได้
  • การขัดถูผิวมากเกินไป: การทำความสะอาดหรือขัดผิวบ่อยและแรงเกินไปสามารถรบกวนเกราะป้องกันผิวและทำให้ผิวขาดน้ำ
  • การสูบบุหรี่และความเครียด: สารพิษในควันบุหรี่ทำลายคอลลาเจนและไขมันในผิว ในขณะที่ความเครียดเรื้อรังจะหลั่งฮอร์โมนคอร์ติซอลซึ่งชะลอการฟื้นฟูเกราะป้องกันผิว
  • โภชนาการ: การขาดสารอาหารบางชนิด เช่น วิตามิน A และ D หรือแร่ธาตุอย่างสังกะสีและธาตุเหล็ก มีความเชื่อมโยงกับภาวะผิวแห้งและเป็นขุย

3 ขั้นตอนฟื้นฟูผิวแห้งตามหลักการแพทย์ผิวหนัง

ขั้นตอนที่ 1: ทำความสะอาดอย่างอ่อนโยนเพื่อรักษาเกราะป้องกันผิว

ขั้นตอนแรกในการดูแลผิวแห้งคือ การทำความสะอาดผิวโดยไม่ทำลายเกราะป้องกันผิวหรือขจัดน้ำมันตามธรรมชาติออกไป ซึ่งทำได้โดยการเลือกใช้ผลิตภัณฑ์ที่เหมาะสมและปรับเปลี่ยนพฤติกรรมการล้างหน้า

  • เลือกผลิตภัณฑ์ทำความสะอาดที่อ่อนโยน: ควรใช้ผลิตภัณฑ์ที่ปราศจากสบู่ (soap-free) มีค่า pH เป็นกลางหรือกรดอ่อนๆ (ประมาณ 5.5) และหลีกเลี่ยงสารทำความสะอาดที่รุนแรง เช่น โซเดียมลอริลซัลเฟต (sodium lauryl sulfate)
  • ใช้น้ำอุณหภูมิปกติ: หลีกเลี่ยงการใช้น้ำร้อนจัด เพราะจะชะล้างน้ำมันตามธรรมชาติของผิวออกไป
  • จำกัดเวลาและความถี่: ควรล้างหน้าหรืออาบน้ำโดยใช้เวลาสั้นๆ เพียง 5-10 นาที และไม่ควรล้างหน้าเกินวันละ 2 ครั้ง
  • ซับผิวเบาๆ: หลังล้างหน้า ให้ใช้ผ้าขนหนูนุ่มๆ ซับเบาๆ แทนการถูแรงๆ
  • ทามอยส์เจอไรเซอร์ทันที: ควรทามอยส์เจอไรเซอร์ในขณะที่ผิวยังหมาดๆ เพื่อช่วยกักเก็บความชุ่มชื้นไว้ในผิว

ขั้นตอนที่ 2: เติมความชุ่มชื้นล้ำลึกด้วยเซรั่มไฮยาลูรอน

ขั้นตอนที่ 2 คือ การใช้เซรั่มกรดไฮยาลูรอนิก (Hyaluronic Acid หรือ HA) เพื่อดึงน้ำเข้าสู่ผิวชั้นนอก ทำให้ผิวดูอิ่มฟูและรู้สึกตึงน้อยลง

เซรั่มไฮยาลูรอนทำหน้าที่เป็นสารดูดความชุ่มชื้น (humectant) โดยดึงน้ำมาเก็บไว้ในผิว เซรั่มสมัยใหม่มักใช้ไฮยาลูรอนหลายขนาดโมเลกุลเพื่อให้ความชุ่มชื้นทั้งบนผิวชั้นบนและซึมลึกลงไปเพื่อเพิ่มความยืดหยุ่น

วิธีใช้ที่ถูกต้อง:

  • ทาเซรั่มลงบนผิวที่ยังหมาดๆ หลังล้างหน้า
  • ทามอยส์เจอไรเซอร์ทับทันทีเพื่อ “ล็อค” ความชุ่มชื้นไว้ หากปล่อยให้เซรั่มแห้งเองในสภาพอากาศที่แห้ง อาจดึงความชื้นออกจากผิวแทนได้
  • สามารถใช้ได้ทั้งในตอนเช้าและเย็น

ขั้นตอนที่ 3: ล็อกความชุ่มชื้นและเสริมชั้นผิวด้วยเซราไมด์

ขั้นตอนที่ 3 คือ การใช้มอยส์เจอไรเซอร์ที่มีส่วนผสมของเซราไมด์เพื่อล็อกความชุ่มชื้นและฟื้นฟูไขมันที่จำเป็นในชั้นผิว ซึ่งจะช่วยซ่อมแซมเกราะป้องกันผิวที่อ่อนแออันเป็นสาเหตุหลักของผิวแห้ง

เซราไมด์ (Ceramides) เป็นไขมันที่คิดเป็นสัดส่วนประมาณ 40-50% ของเกราะป้องกันผิว การทามอยส์เจอไรเซอร์ที่ประกอบด้วยเซราไมด์, คอเลสเตอรอล และกรดไขมัน จะช่วยเติมเต็มไขมันที่ขาดหายไป ทำให้เกราะป้องกันผิวแข็งแรงขึ้นและลดการสูญเสียน้ำ (TEWL) ได้อย่างมีนัยสำคัญ นอกจากนี้ มอยส์เจอไรเซอร์สำหรับผิวแห้งมักมีส่วนผสมของสารประเภท Occlusives เช่น ปิโตรเลียมเจลลี่ (Petrolatum) หรือไดเมทิโคน (Dimethicone) ซึ่งทำหน้าที่สร้างฟิล์มเคลือบผิวเพื่อป้องกันไม่ให้น้ำระเหยออกไป

เพื่อให้ได้ผลลัพธ์ที่ดีที่สุด ควรทามอยส์เจอไรเซอร์ที่มีเซราไมด์อย่างน้อยวันละ 2 ครั้ง โดยทาหลังจากเซรั่มไฮยาลูรอนิก แอซิดเสมอ เพื่อกักเก็บความชุ่มชื้นไว้ในผิว การทำเช่นนี้อย่างสม่ำเสมอไม่เพียงแต่ช่วยให้ผิวรู้สึกสบายขึ้นในทันที แต่ยังช่วยฟื้นฟูให้ผิวแข็งแรงและสามารถเก็บความชุ่มชื้นได้ดีขึ้นในระยะยาว

ส่วนผสมสำคัญในสกินแคร์ที่คนหน้าแห้งควรมองหา

กลุ่มสารเติมน้ำให้ผิว (Humectants)

Humectants คือสารที่ช่วยดึงดูดและกักเก็บน้ำไว้ในผิว ทำหน้าที่เติมความชุ่มชื้นให้ผิวชั้นนอก (Stratum Corneum) โดยตรง ทำให้ผิวที่ขาดน้ำกลับมาอิ่มฟูและรู้สึกสบายขึ้น

สารในกลุ่ม Humectants ที่สำคัญมีดังนี้:

  • Glycerin: เป็นโมเลกุลขนาดเล็กที่ซึมเข้าสู่ผิวชั้นนอกและจับน้ำไว้ได้อย่างมีประสิทธิภาพ
  • Hyaluronic Acid (HA): สามารถอุ้มน้ำได้ปริมาณมาก ช่วยสร้างแหล่งเก็บความชุ่มชื้นสำรองในผิว ทำให้ผิวดูอิ่มฟูขึ้น
  • Urea: นอกจากจะให้ความชุ่มชื้นแล้ว ยังมีคุณสมบัติช่วยผลัดเซลล์ผิว (Keratolytic) ทำให้ผิวที่หยาบกร้านและเป็นขุยเรียบเนียนขึ้น
  • Panthenol (โปรวิตามินบี 5): ช่วยเติมความชุ่มชื้น ปลอบประโลมผิว และเร่งการซ่อมแซมเกราะป้องกันผิว
  • Polyglutamic Acid (PGA): เป็นสารให้ความชุ่มชื้นรุ่นใหม่ที่สามารถอุ้มน้ำได้มากกว่า Hyaluronic Acid และช่วยสร้างฟิล์มกักเก็บความชุ่มชื้นบนผิว

เพื่อให้ได้ผลดีที่สุด ควรใช้ผลิตภัณฑ์ที่มี Humectants บนผิวที่ยังหมาดๆ แล้วทามอยส์เจอไรเซอร์ที่มีส่วนผสมของสารเคลือบผิว (Occlusives) ทับ เพื่อป้องกันไม่ให้ความชุ่มชื้นที่ดึงมานั้นระเหยออกจากผิวไป

กลุ่มสารเคลือบผิวป้องกันการสูญเสียน้ำ (Occlusives)

สารกลุ่ม Occlusives คือ ส่วนผสมที่สร้างฟิล์มเคลือบป้องกันผิวเพื่อป้องกันไม่ให้น้ำระเหยออกไป ซึ่งช่วยกักเก็บความชุ่มชื้นไว้ในผิวได้อย่างมีประสิทธิภาพ

สารในกลุ่มนี้ที่รู้จักกันดีและมีประสิทธิภาพสูงคือ ปิโตรเลียมเจลลี่ (Petrolatum) ซึ่งสามารถลดการสูญเสียน้ำจากผิวได้เกือบ 99% ตัวอย่างอื่นๆ ของสารกลุ่ม Occlusives ได้แก่:

  • มิเนอรัลออยล์ (Mineral oil)
  • ไดเมทิโคน (Dimethicone) และซิลิโคนอื่นๆ
  • สควาเลน (Squalane)
  • ลาโนลิน (Lanolin)
  • น้ำมันและบัตเตอร์จากพืช เช่น เชียบัตเตอร์ (Shea butter) และโกโก้บัตเตอร์ (Cocoa butter)

กลุ่มสารฟื้นฟูเกราะป้องกันผิว (Barrier Repair Ingredients)

กลุ่มสารฟื้นฟูเกราะป้องกันผิว (Barrier Repair Ingredients) คือ ส่วนผสมที่ช่วยแก้ปัญหาผิวแห้งเรื้อรังที่ต้นเหตุ โดยการเข้าไปเสริมสร้างและซ่อมแซมโครงสร้างไขมันที่จำเป็นในชั้นผิว ทำให้ผิวสามารถกักเก็บความชุ่มชื้นได้ดีขึ้นด้วยตัวเองในระยะยาว

ส่วนผสมสำคัญในกลุ่มนี้ ได้แก่:

  • เซราไมด์ (Ceramides): เป็นไขมันหลักที่คิดเป็น 40-50% ของเกราะป้องกันผิว การทาเซราไมด์จะช่วยเติมเต็มส่วนที่ขาดหายไปในเกราะป้องกันผิว ลดการสูญเสียน้ำ และทำให้ผิวแข็งแรงขึ้น
  • ไนอะซินาไมด์ (Niacinamide): หรือวิตามินบี 3 ช่วยกระตุ้นให้ผิวสร้างเซราไมด์และกรดไขมันได้เองตามธรรมชาติ ทำให้เกราะป้องกันผิวแข็งแรงขึ้นจากภายใน ทั้งยังมีคุณสมบัติต้านการอักเสบและลดรอยแดง
  • แพนทีนอล (Panthenol): หรือโปรวิตามินบี 5 ทำหน้าที่ให้ความชุ่มชื้นและช่วยกระตุ้นการสังเคราะห์ไขมันในเกราะป้องกันผิว จึงช่วยเร่งการซ่อมแซมผิวที่เสียหาย
  • กรดไขมันจำเป็น (Essential Fatty Acids): เช่น กรดไลโนเลอิก (Linoleic Acid) ที่พบในน้ำมันเมล็ดทานตะวัน เป็นส่วนประกอบสำคัญในการสร้างเซราไมด์ ช่วยฟื้นฟูเกราะป้องกันผิวได้ดี
  • ส่วนผสมอื่นๆ: เช่น คอเลสเตอรอล (Cholesterol) ซึ่งทำงานร่วมกับเซราไมด์, ไฟโตสฟิงโกซีน (Phytosphingosine) ที่เป็นสารตั้งต้นของเซราไมด์ และโพสต์ไบโอติก (Postbiotics) ที่ช่วยกระตุ้นกลไกการป้องกันของผิว

ทางเลือกการรักษาในคลินิกเมื่อสกินแคร์ให้ผลไม่เพียงพอ

ทรีตเมนต์ผลักวิตามินและเมโสเทอราพีเพื่อผิวชุ่มชื้น

เมโสเทอราพี (Mesotherapy) หรือทรีตเมนต์ผลักวิตามิน คือการฉีดสารไฮยาลูรอนิกแอซิด (HA) วิตามิน และกรดอะมิโนเข้าสู่ผิวหนังชั้นกลางโดยตรง เพื่อเพิ่มความชุ่มชื้นและฟื้นฟูผิวจากภายใน ทำให้ผิวดูอิ่มน้ำและมีสุขภาพดีขึ้น

ทรีตเมนต์นี้เหมาะสำหรับผู้ที่มีผิวแห้งและหมองคล้ำที่ต้องการการบำรุงที่ล้ำลึกกว่าสกินแคร์ทั่วไป โดยมีรายละเอียดดังนี้

  • หลักการทำงาน: การฉีดสารไฮยาลูรอนิกแอซิดชนิดที่ไม่เชื่อมขวาง (non-crosslinked HA) จะช่วยให้สารกระจายตัวในชั้นผิวหนังแท้ได้อย่างสม่ำเสมอ เพื่อเพิ่มระดับความชุ่มชื้นของผิว ซึ่งผลลัพธ์สามารถคงอยู่ได้นานประมาณ 3–6 เดือน
  • ขั้นตอนการทำ: โดยทั่วไปจะทำเป็นคอร์ส 3 ครั้ง ห่างกัน 2–4 สัปดาห์ ในแต่ละครั้งจะมีการฉีดขนาดเล็กๆ หลายสิบจุดทั่วใบหน้า
  • การดูแลต่อเนื่อง: แนะนำให้กลับมาทำซ้ำทุก 4–6 เดือนเพื่อรักษาผลลัพธ์
  • ความปลอดภัย: หากทำโดยผู้เชี่ยวชาญจะมีความปลอดภัยสูง ผลข้างเคียงที่พบได้ส่วนใหญ่เป็นอาการชั่วคราว เช่น รอยแดง รอยช้ำเล็กน้อย หรืออาการบวมบริเวณที่ฉีด ซึ่งจะหายไปเองภายใน 2–3 วัน

หัตถการกลุ่มเลเซอร์เพื่อปรับปรุงคุณภาพผิวระยะยาว

หัตถการกลุ่มเลเซอร์ช่วยปรับปรุงคุณภาพผิวในระยะยาวโดยการกระตุ้นการสร้างคอลลาเจนใหม่และผลัดเซลล์ผิวเก่าที่เสียหาย ซึ่งส่งผลให้ผิวเรียบเนียน เต่งตึง และสามารถกักเก็บความชุ่มชื้นได้ดีขึ้น

เลเซอร์ที่ใช้ในการปรับปรุงคุณภาพผิวแบ่งได้เป็น 2 ประเภทหลัก ดังนี้

  • Non-Ablative Lasers: เลเซอร์กลุ่มนี้จะส่งพลังงานความร้อนลงไปใต้ผิวเพื่อกระตุ้นการสร้างคอลลาเจนโดยไม่ทำลายผิวชั้นบน ทำให้มีจุดเด่นคือไม่ต้องพักฟื้นนาน เหมาะสำหรับผู้ที่มีปัญหาริ้วรอยตื้นๆ และผิวที่หยาบกร้านไม่มากนัก
  • Ablative Lasers: เป็นเลเซอร์ที่ลอกผิวชั้นบนออกเป็นส่วนๆ (Fractional) เพื่อกระตุ้นให้เกิดการสร้างผิวใหม่ที่แข็งแรงและเรียบเนียนกว่าเดิม เหมาะสำหรับผู้ที่มีปัญหาริ้วรอยลึก ผิวหยาบกร้านอย่างรุนแรง หรือมีร่องรอยความเสียหายจากแสงแดดสะสมมานาน แต่ต้องใช้เวลาพักฟื้นนานกว่า

ปัจจัยสำคัญก่อนตัดสินใจเลือกวิธีดูแลผิวแห้ง

การประเมินระดับความรุนแรงและอาการร่วม

การประเมินความรุนแรงของผิวแห้งทำได้โดยการสังเกตสัญญาณเตือนที่บ่งชี้ว่าอาการอาจรุนแรงกว่าผิวแห้งทั่วไปและจำเป็นต้องพบแพทย์ สัญญาณเตือนเหล่านี้บ่งบอกว่าควรปรึกษาผู้เชี่ยวชาญเพื่อรับการวินิจฉัยและการรักษาที่เหมาะสม

สัญญาณเตือนที่ควรสังเกต ได้แก่:

  • ผิวหนังแตกเป็นร่องและเจ็บปวด: โดยเฉพาะบริเวณมุมปากหรือรอบจมูก ซึ่งอาจนำไปสู่การติดเชื้อได้
  • สัญญาณของการติดเชื้อ: เช่น ผิวหนังแดง บวม รู้สึกอุ่น มีสะเก็ดสีเหลือง หรือมีหนอง
  • อาการคันรุนแรงและมีผื่นร่วมด้วย: อาจเป็นสัญญาณของโรคผิวหนังอักเสบ (eczema) ไม่ใช่แค่ผิวแห้งธรรมดา
  • อาการไม่ดีขึ้น: แม้จะใช้มอยส์เจอไรเซอร์อย่างสม่ำเสมอเป็นเวลาหลายสัปดาห์
  • มีอาการทางร่างกายอื่นๆ ร่วมด้วย: เช่น ผมร่วง อ่อนเพลีย หรือปัสสาวะบ่อย ซึ่งอาจเป็นสัญญาณของภาวะไทรอยด์ต่ำหรือเบาหวาน
  • รบกวนการใช้ชีวิตประจำวัน: เช่น อาการคันที่รุนแรงจนรบกวนการนอนหลับหรือกิจกรรมต่างๆ

การเลือกผลิตภัณฑ์ให้เหมาะกับสภาพผิวเฉพาะบุคคล

การเลือกผลิตภัณฑ์ให้เหมาะกับสภาพผิวเฉพาะบุคคล จำเป็นต้องพิจารณาจากสาเหตุของผิวแห้ง, ปัจจัยกระตุ้น และเลือกเนื้อผลิตภัณฑ์ให้ตรงกับสภาพผิวของแต่ละคน

เพื่อการดูแลที่เหมาะสม ควรปฏิบัติดังนี้:

  • ระบุสาเหตุและปัจจัยกระตุ้น: สังเกตว่าผิวแห้งเกิดจากอะไร เช่น พันธุกรรม, สภาพอากาศหนาว, การทำงานในห้องแอร์ หรือการใช้ผลิตภัณฑ์ที่รุนแรง เพื่อจะได้หลีกเลี่ยงปัจจัยเหล่านั้น
  • เลือกเนื้อผลิตภัณฑ์ให้เหมาะสม:
  • ผิวแห้งโดยธรรมชาติ (ขาดน้ำมัน): ควรใช้ผลิตภัณฑ์เนื้อครีมหรือขี้ผึ้ง (Ointment) ที่มีความเข้มข้นสูง
  • ผิวขาดน้ำแต่ผิวมัน: ควรใช้เซรั่มที่ให้ความชุ่มชื้น (เช่น ไฮยาลูรอนิก) ควบคู่กับโลชั่นเนื้อบางเบาเพื่อไม่ให้อุดตัน
  • เริ่มต้นด้วยผลิตภัณฑ์พื้นฐาน: ลองใช้ผลิตภัณฑ์ทำความสะอาดที่อ่อนโยนและมอยส์เจอไรเซอร์เนื้อเข้มข้นที่ไม่มีน้ำหอมเป็นเวลา 1–2 สัปดาห์ หากยังไม่ดีขึ้นจึงค่อยเพิ่มผลิตภัณฑ์อื่น ๆ
  • ทดสอบผลิตภัณฑ์ใหม่เสมอ: ก่อนใช้ผลิตภัณฑ์ใหม่กับใบหน้า ควรทดสอบบริเวณเล็ก ๆ เช่น หลังใบหู เพื่อป้องกันการระคายเคือง
  • ปรับเปลี่ยนตามปัจจัยอื่น: ควรปรับการดูแลผิวตามอายุและไลฟ์สไตล์ เช่น ผู้สูงอายุอาจต้องการการดูแลที่เรียบง่ายและเน้นความชุ่มชื้นเป็นพิเศษ หรือการปรับพฤติกรรม เช่น อาบน้ำอุ่นแทนน้ำร้อน

สัญญาณเตือนที่ควรปรึกษาแพทย์ผู้เชี่ยวชาญ

ควรปรึกษาแพทย์เมื่อผิวแห้งมีอาการรุนแรง เจ็บปวด มีสัญญาณของการติดเชื้อ หรือไม่ดีขึ้นหลังจากการดูแลเบื้องต้น สัญญาณเตือนที่บ่งชี้ว่าควรไปพบแพทย์ผู้เชี่ยวชาญ ได้แก่

  • ผิวแห้งแตกจนเจ็บปวด: โดยเฉพาะบริเวณมุมปากหรือรอบจมูก เพราะอาจนำไปสู่การติดเชื้อได้
  • สัญญาณของการติดเชื้อ: ผิวมีอาการแดง บวม อุ่น มีหนอง หรือตกสะเก็ดสีเหลือง
  • อาการคันรุนแรงและมีผื่น: หากผิวแห้งมาพร้อมกับอาการคันอย่างรุนแรง มีผื่นแดง และผิวหนังหนาตัวขึ้น อาจเป็นสัญญาณของโรคผิวหนังอักเสบ (Eczema)
  • อาการไม่ดีขึ้น: หากดูแลและทามอยส์เจอไรเซอร์อย่างสม่ำเสมอแล้วอาการยังไม่ดีขึ้นภายใน 2-3 สัปดาห์ หรือมีอาการอื่นร่วมด้วย เช่น ผมร่วง อ่อนเพลีย อาจเป็นสัญญาณของโรคอื่น
  • อาการรบกวนชีวิตประจำวัน: เมื่อผิวแห้งรุนแรงจนรบกวนการนอนหลับหรือการทำกิจกรรมต่างๆ ในชีวิตประจำวัน

ข้อผิดพลาดที่ควรเลี่ยงซึ่งอาจทำให้ผิวแห้งกว่าเดิม

ข้อผิดพลาดที่ควรเลี่ยงซึ่งอาจทำให้ผิวแห้งกว่าเดิม ได้แก่ การอาบน้ำร้อนเป็นเวลานาน การใช้ผลิตภัณฑ์ที่ไม่ถูกต้อง และการละเลยการป้องกันผิว

พฤติกรรมทั่วไปที่ควรหลีกเลี่ยงมีดังนี้:

  • อาบน้ำร้อนหรืออาบน้ำนานเกินไป: ความร้อนจะดึงเอาน้ำมันตามธรรมชาติของผิวออกไป ทำให้ผิวแห้งและคัน
  • ทามอยส์เจอไรเซอร์ช้าเกินไป: ควรทามอยส์เจอไรเซอร์ภายใน 2-3 นาทีหลังล้างหน้าในขณะที่ผิวยังชื้นอยู่ เพื่อช่วยกักเก็บความชุ่มชื้น
  • ใช้ผลิตภัณฑ์ผิดลำดับ: ควรทาผลิตภัณฑ์เนื้อเบาที่ให้ความชุ่มชื้น (เช่น เซรั่มไฮยาลูรอนิก) ก่อน แล้วจึงตามด้วยผลิตภัณฑ์เนื้อหนักที่ช่วยเคลือบผิว (เช่น ครีมหรือออยล์) เพื่อล็อกความชุ่มชื้น
  • ใช้ผลิตภัณฑ์ที่มีฤทธิ์แรงบ่อยเกินไป: การใช้เรตินอยด์หรือผลิตภัณฑ์ผลัดเซลล์ผิวที่รุนแรงบ่อยเกินไปอาจทำลายเกราะป้องกันผิวและทำให้ผิวแห้งได้
  • ละเลยครีมกันแดด: รังสียูวีทำลายเกราะป้องกันผิวและทำให้ผิวสูญเสียความชุ่มชื้น ควรใช้ครีมกันแดดเป็นประจำทุกวัน
  • ใช้ผลิตภัณฑ์ที่มีสารระคายเคือง: ควรหลีกเลี่ยงผลิตภัณฑ์ที่มีส่วนผสมของน้ำหอม แอลกอฮอล์ หรือสารที่ก่อให้เกิดการระคายเคือง
  • ไม่ปรับเปลี่ยนสกินแคร์ตามฤดูกาล: ผิวต้องการมอยส์เจอไรเซอร์ที่เข้มข้นขึ้นในฤดูหนาวที่อากาศแห้ง เมื่อเทียบกับฤดูร้อนที่อากาศชื้น

คำถามที่พบบ่อยเกี่ยวกับการดูแลผิวหน้าแห้ง

หน้าแห้งกับผิวขาดน้ำต่างกันอย่างไร?

ผิวแห้งคือสภาพผิวที่ขาดน้ำมันตามธรรมชาติ ส่วนผิวขาดน้ำคือภาวะชั่วคราวที่ผิวขาดน้ำ ซึ่งสามารถเกิดขึ้นได้กับทุกสภาพผิว

  • ผิวแห้ง (Dry Skin) เป็นสภาพผิวประเภทหนึ่งที่ต่อมไขมันผลิตน้ำมัน (Lipids) ออกมาน้อย ทำให้ผิวมีลักษณะหยาบกร้านและเป็นขุยได้ง่าย
  • ผิวขาดน้ำ (Dehydrated Skin) เป็นภาวะที่ผิวสูญเสียน้ำไปจากปัจจัยภายนอก ทำให้ผิวดูหมองคล้ำ รู้สึกตึง และเกิดริ้วรอยเล็กๆ ได้ชั่วคราว แม้แต่คนผิวมันก็สามารถมีภาวะผิวขาดน้ำได้

คนหน้าแห้งควรล้างหน้าด้วยน้ำอุ่นหรือไม่?

ไม่ควรล้างหน้าด้วยน้ำที่ร้อนเกินไป แต่ควรใช้น้ำอุ่น (lukewarm water) เนื่องจากน้ำร้อนจะชะล้างน้ำมันตามธรรมชาติของผิวออกไปและทำให้ผิวสูญเสียความชุ่มชื้นมากขึ้น ส่งผลให้ผิวรู้สึกแห้งตึงและคันได้ง่าย

คำแนะนำสำหรับคนผิวแห้งคือให้ใช้น้ำอุ่นในการล้างหน้า และจำกัดเวลาในการล้างหน้าหรืออาบน้ำให้สั้นลงเหลือเพียง 5–10 นาที

สกินแคร์อะไรที่คนหน้าแห้งควรหลีกเลี่ยง?

คนที่มีผิวหน้าแห้งควรหลีกเลี่ยง ผลิตภัณฑ์ทำความสะอาดที่รุนแรง สกินแคร์ที่มีส่วนผสมก่อความระคายเคือง และการใช้น้ำร้อน เนื่องจากสิ่งเหล่านี้จะทำลายเกราะป้องกันผิวและชะล้างน้ำมันตามธรรมชาติออกไป ทำให้ผิวแห้งกร้านและระคายเคืองมากขึ้น

ผลิตภัณฑ์และพฤติกรรมที่ควรหลีกเลี่ยง ได้แก่:

  • ผลิตภัณฑ์ทำความสะอาดที่รุนแรง: เช่น สบู่ก้อนที่มีค่า pH สูง (เป็นด่าง) หรือผลิตภัณฑ์ที่มีสารทำความสะอาดรุนแรงอย่างโซเดียมลอริลซัลเฟต (SLS)
  • การล้างหน้าด้วยน้ำร้อน: ความร้อนจะชะล้างน้ำมันตามธรรมชาติของผิวและเพิ่มการสูญเสียน้ำ ควรใช้น้ำอุ่นแทน
  • ส่วนผสมที่ก่อให้เกิดการระคายเคือง: เช่น น้ำหอม น้ำมันหอมระเหยบางชนิด เมนทอล หรือการบูร
  • การขัดถูผิวหรือสครับบ่อยเกินไป: การกระทำเหล่านี้สามารถทำลายเกราะป้องกันผิวและทำให้ผิวแห้งมากขึ้น
  • การใช้สกินแคร์กลุ่ม Active ที่แรงเกินไป: การใช้เรตินอยด์หรือวิตามินซีที่มีความเข้มข้นสูงหรือบ่อยเกินไปอาจทำให้ผิวแห้งและลอกได้

หน้าแห้งเป็นขุยบ่อยๆ ควรไปพบแพทย์เมื่อไหร่?

ควรไปพบแพทย์ เมื่อการดูแลผิวด้วยตนเองไม่ดีขึ้น หรือมีอาการรุนแรงอื่นๆ ร่วมด้วย เช่น มีอาการคันมาก ผิวแตกจนเจ็บ หรือมีสัญญาณของการติดเชื้อ

คุณควรปรึกษาแพทย์หากผิวแห้งของคุณมีลักษณะดังต่อไปนี้:

  • ผิวแห้งแตกจนเจ็บ มีรอยแดง บวม ร้อน หรือมีหนอง ซึ่งเป็นสัญญาณของการติดเชื้อ
  • มีอาการคันรุนแรง มีผื่นแดงหนา หรือเป็นขุยวงแดง ซึ่งอาจเป็นโรคผิวหนังอักเสบ (Eczema) หรือการติดเชื้อรา
  • ลองใช้มอยส์เจอไรเซอร์และปรับพฤติกรรมการดูแลผิวแล้ว แต่อาการไม่ดีขึ้นภายใน 2-3 สัปดาห์
  • อาการคันหรือความแห้งกร้านรบกวนการนอนหลับหรือการใช้ชีวิตประจำวัน
  • มีอาการอื่นร่วมด้วย เช่น ผมร่วง อ่อนเพลีย หรือปัสสาวะบ่อย ซึ่งอาจเป็นสัญญาณของโรคอื่นที่ซ่อนอยู่

การทำทรีตเมนต์ในคลินิกช่วยแก้ปัญหาหน้าแห้งได้จริงไหม?

ได้ การทำทรีตเมนต์ในคลินิกสามารถช่วยแก้ปัญหาผิวหน้าแห้งได้ โดยเฉพาะในกรณีที่การดูแลผิวด้วยตนเองที่บ้านยังไม่ให้ผลลัพธ์ที่น่าพอใจ

ทรีตเมนต์ในคลินิกที่นิยมใช้สำหรับแก้ปัญหาผิวแห้งมี 2 ประเภทหลัก ได้แก่

  • เมโสเทอราปี (Mesotherapy): เป็นการฉีดสารให้ความชุ่มชื้น เช่น กรดไฮยาลูรอนิก (Hyaluronic Acid) วิตามิน และกรดอะมิโนเข้าสู่ผิวโดยตรง เพื่อเพิ่มความชุ่มชื้นจากภายใน ทำให้ผิวดูอิ่มน้ำและสุขภาพดีขึ้นเป็นเวลาหลายเดือน
  • การทำเลเซอร์ (Laser Therapy): การทำเลเซอร์กลุ่มฟื้นฟูสภาพผิว (Fractional Laser) จะช่วยกระตุ้นการสร้างคอลลาเจนและผลัดเซลล์ผิวเก่าที่แห้งกร้านออกไป ทำให้โครงสร้างผิวแข็งแรงขึ้นและสามารถกักเก็บความชุ่มชื้นได้ดีขึ้นในระยะยาว

ต้องใช้เวลานานแค่ไหนถึงจะเห็นผลว่าผิวชุ่มชื้นขึ้น?

โดยทั่วไปแล้วจะรู้สึกได้ว่าผิวชุ่มชื้นขึ้น ทันทีหลังใช้ผลิตภัณฑ์ แต่การฟื้นฟูเกราะป้องกันผิวให้แข็งแรงอย่างเห็นได้ชัดจะใช้เวลาประมาณ 4-8 สัปดาห์

ผลิตภัณฑ์ที่มีส่วนผสมอย่างไฮยาลูรอนิก แอซิด (Hyaluronic Acid) สามารถให้ความรู้สึกชุ่มชื้นและอิ่มฟูได้ทันที แต่สำหรับการแก้ปัญหาระยะยาว การใช้ส่วนผสมที่ช่วยซ่อมแซมเกราะป้องกันผิว เช่น เซราไมด์ (Ceramides) และไนอะซินาไมด์ (Niacinamide) จะเริ่มเห็นผลลัพธ์ที่ชัดเจนว่าผิวแข็งแรงและกักเก็บความชุ่มชื้นได้ดีขึ้นในเวลาประมาณ 4-8 สัปดาห์เมื่อใช้อย่างต่อเนื่อง

References:

  1. Mayo Clinic. (n.d.). Dry Skin Care and Moisturizer Selection. Mayo Clinic. mayoclinic.org
  2. National Institute of Health. (n.d.). Skin Hydration and Barrier Function. NIH. nih.gov
  3. Healthline. (n.d.). Best Products for Dry Skin. Healthline. healthline.com
  4. MDPI. (n.d.). Skincare Ingredients for Dry Skin Management. MDPI. mdpi.com
  5. Wiley. (n.d.). Moisturizers and Skin Barrier Repair. Wiley. wiley.com
  6. Frontiers in Medicine. (n.d.). Dermatological Approaches to Dry Skin. Frontiers. frontiersin.org

แนะแนวเรื่อง

Previous Previous
ฉีดเมโสหน้าใสช่วยอะไร? เรื่องสิว จุดด่างดำ หรือความกระจ่างใส
NextContinue
ผิวแห้งขาดวิตามินอะไร? รวม 5 สารอาหารจำเป็นที่ผิวต้องการ

สาขาพรีวาโต คลินิก

    สาขาอโศก ตั้งอยู่ที่ ชั้น 2 อาคารมิดทาวน์
    Phone: 02-258-4050 , 081-841-5075
    สาขาสีลม ตั้งอยู่ที่ ชั้น 1 อาคารซี.พี.ทาวเวอร์
    Phone: 02-780-2011 , 098-272-5244
    สาขาราชพฤกษ์ ตั้งอยู่ที่ ชั้น 2 ศูนย์การค้า เดอะคริสตัล เอสบี (ด้านบนร้านสตาร์บัคส์)
    Phone: 02-102-2778 , 098-272-5244

ติดต่อเรา

    Facebook: Privato Clinic
    Messenger: Privato Clinic
    Instagram: privatoclinic
    Email: privatoclinic@gmail.com
    Line: @privatoclinic

Copyright© 2022-2024. All Rights Reserved

Scroll to top
  • หน้าหลัก
  • เกี่ยวกับพรีวาโต
  • บริการทั้งหมด
    • ชะลอวัย
    • ยกกระชับผิว
      • XERF
      • Potenza
      • Sofwave
      • Ulthera
      • Thermage-FLX
    • รักษาสิว
    • เลเซอร์
    • โปรแกรมฉีด
    • บำรุงผิว
  • บทความ
    • สิว
    • ยกกระชับ
    • ดูแลผิว
    • ทำเลเซอร์
  • ผลิตภัณฑ์ดูแลผิว
  • โปรโมชั่น
  • ผลลัพธ์การรักษา
  • วิดีโอรีวิวจากเคสจริง
  • สาขาของเรา
  • ไทย
    • ไทย
    • English
    • 中文 (中国)
  • ปรึกษาแพทย์
Facebook Instagram YouTube