Skip to content

TEL : 081-841-5075, 02-258-4050

Facebook Instagram YouTube
Privato Clinic – Innovation Of Beauty  |  Bangkok
  • หน้าหลัก
  • เกี่ยวกับพรีวาโต
  • บริการทั้งหมดExpand
    • ชะลอวัย
    • ยกกระชับผิวExpand
      • XERF
      • Potenza
      • Sofwave
      • Ulthera
      • Thermage-FLX
    • รักษาสิว
    • เลเซอร์
    • โปรแกรมฉีด
    • บำรุงผิว
  • บทความExpand
    • สิว
    • ยกกระชับ
    • ดูแลผิว
    • ทำเลเซอร์
  • ผลิตภัณฑ์ดูแลผิว
  • โปรโมชั่น
  • ผลลัพธ์การรักษา
  • วิดีโอรีวิวจากเคสจริง
  • สาขาของเรา
  • ไทยExpand
    • ไทย
    • English
    • 中文 (中国)
  • ปรึกษาแพทย์
Privato Clinic – Innovation Of Beauty  |  Bangkok
Consult a Doctor
Skincare

อยากมีผิวขาวขึ้น 7 ความเชื่อผิดๆ และวิธีที่เห็นผลจริง ปลอดภัย

Byadmin ตุลาคม 15, 2025
By แพทย์หญิงนัชชนก หุ่นวิจิตร Updated on ตุลาคม 15, 2025
✦ Medically reviewed by  นายแพทย์เลอพงษ์ กรุดเงิน
อยากผิวขาวจริงเหรอ? 7 ความเชื่อผิดๆ และวิธีที่เห็นผลจริง ปลอดภัย

หากคุณอยากขาวขึ้นอย่างปลอดภัยและเห็นผลจริง ควรเริ่มต้นจากการทำความเข้าใจว่ารังสี UVA สามารถทะลุผ่านกระจกได้ถึง 75% จึงจำเป็นต้องทาครีมกันแดดทุกวัน ควบคู่ไปกับการเลือกใช้หัตถการทางการแพทย์ที่เหมาะสม เช่น Picosecond Laser เพื่อจัดการเม็ดสีผิดปกติและฟื้นฟูให้ผิวกลับมากระจ่างใสสม่ำเสมอ

Table of Contents

Toggle
  • เข้าใจพื้นฐานสีผิว: เมลานินคืออะไรและทำงานอย่างไร
  • 7 ความเชื่อผิดๆ เกี่ยวกับการทำให้ผิวขาวที่ต้องรู้
    • ความเชื่อที่ 1: การกินคอลลาเจนช่วยให้ผิวขาวขึ้นโดยตรง
    • ความเชื่อที่ 2: ยิ่งขัดผิวแรงและบ่อย ยิ่งขาวเร็วขึ้น
    • ความเชื่อที่ 3: การฉีดผิวขาวให้ผลลัพธ์ถาวรและปลอดภัยเสมอ
    • ความเชื่อที่ 4: วิตามินซีปริมาณสูงคือคำตอบสุดท้ายของผิวขาว
    • ความเชื่อที่ 5: ไม่ทาครีมกันแดดเมื่ออยู่ในที่ร่มผิวก็ไม่คล้ำลง
    • ความเชื่อที่ 6: ผลิตภัณฑ์ที่ทำให้ขาวทันทีหลังใช้คือผลิตภัณฑ์ที่ดี
    • ความเชื่อที่ 7: สีผิวสามารถเปลี่ยนให้ขาวกว่าพื้นฐานเดิมได้มาก
  • วิธีทำให้ผิวขาวกระจ่างใสอย่างปลอดภัยและมีหลักการ
    • 1. การดูแลผิวขั้นพื้นฐาน
    • 2. การใช้ผลิตภัณฑ์ทาผิวที่มีส่วนผสมที่ออกฤทธิ์
    • 3. การรักษาโดยผู้เชี่ยวชาญ
    • การดูแลผิวพื้นฐาน: การป้องกันแสงแดดและเพิ่มความชุ่มชื้น
    • การเลือกใช้สกินแคร์กลุ่มไวท์เทนนิ่งอย่างเข้าใจ
    • โภชนาการและอาหารเสริมที่ช่วยบำรุงผิวจากภายใน
    • การผลัดเซลล์ผิวอย่างถูกวิธีเพื่อลดความหมองคล้ำ
  • หัตถการทางการแพทย์เพื่อผิวขาวใส: ทางเลือกและข้อควรรู้
    • กลุ่มทรีตเมนต์และเลเซอร์เพื่อปรับสีผิว
    • การฉีดวิตามินและสารบำรุงผิว (Drip Vitamin)
    • ใครที่เหมาะกับหัตถการเพื่อผิวขาวใส
  • ปัจจัยที่ต้องพิจารณาก่อนเลือกวิธีดูแลผิว
    • การประเมินสภาพผิวและเป้าหมายที่เป็นจริง
    • งบประมาณและระยะเวลาที่ต้องการเห็นผล
    • การเลือกผู้ให้บริการและสถานพยาบาลที่น่าเชื่อถือ
  • ความเสี่ยงและผลข้างเคียงที่อาจเกิดขึ้น
    • อันตรายจากผลิตภัณฑ์ที่ไม่ได้มาตรฐานและสารต้องห้าม
    • ผลข้างเคียงจากการทำหัตถการที่ไม่เหมาะสม
  • คำถามที่พบบ่อยเกี่ยวกับการทำให้ผิวขาว
    • กินคอลลาเจนช่วยให้ผิวขาวขึ้นจริงไหม?
    • ฉีดวิตามินผิวขาวอันตรายหรือไม่?
    • ต้องใช้เวลานานเท่าไรกว่าจะเห็นผลลัพธ์จากวิธีต่างๆ?
    • วิธีทำให้ผิวขาวแบบไหนที่ให้ผลลัพธ์ใกล้เคียงถาวรที่สุด?
    • การขัดผิวบ่อยๆ ทำให้ผิวบางลงใช่ไหม?
    • ควรทาครีมกันแดดแม้จะไม่ได้ออกจากบ้านหรือไม่?
  • References:

เข้าใจพื้นฐานสีผิว: เมลานินคืออะไรและทำงานอย่างไร

เมลานินคือเม็ดสีที่กำหนดสีผิวและสีผมของมนุษย์ โดยมีหน้าที่หลักในการปกป้องผิวจากรังสีอัลตราไวโอเลต (UV)

เมลานินมี 2 ชนิดหลัก ซึ่งสัดส่วนของเมลานินทั้งสองชนิดนี้จะเป็นตัวกำหนดโทนสีผิว:

  • ยูเมลานิน (Eumelanin): ให้เม็ดสีน้ำตาล-ดำ พบมากในคนผิวเข้ม มีคุณสมบัติดูดซับและสลายรังสียูวีได้ดีเยี่ยม
  • ฟีโอเมลานิน (Pheomelanin): ให้เม็ดสีแดง-เหลือง พบมากในคนผิวขาว ผมสีอ่อน ซึ่งมีความสามารถในการป้องกันรังสียูวีได้น้อยกว่า

ความแตกต่างของสีผิวไม่ได้เกิดจากจำนวนเซลล์สร้างเม็ดสี (melanocytes) ซึ่งทุกคนมีในปริมาณใกล้เคียงกัน แต่เกิดจากชนิดและปริมาณของเมลานินที่เซลล์เหล่านั้นผลิตขึ้นตามพันธุกรรม

7 ความเชื่อผิดๆ เกี่ยวกับการทำให้ผิวขาวที่ต้องรู้

ความเชื่อที่ 1: การกินคอลลาเจนช่วยให้ผิวขาวขึ้นโดยตรง

ไม่มีหลักฐานทางวิทยาศาสตร์ที่บ่งชี้ว่าการกินคอลลาเจนสามารถยับยั้งการผลิตเม็ดสีหรือทำให้ผิวขาวขึ้นได้โดยตรง ร่างกายจะย่อยสลายคอลลาเจนให้เป็นกรดอะมิโนเพื่อใช้ในการบำรุงผิว แม้ว่าการใช้คอลลาเจนในระยะยาวอาจทำให้ผิวดู “สว่าง” ขึ้นเล็กน้อย แต่ผลลัพธ์ดังกล่าวน่าจะมาจากการที่ผิวมีความชุ่มชื้นและอิ่มฟูขึ้น ไม่ใช่การลดลงของเม็ดสีเมลานินโดยตรง กล่าวคือ คอลลาเจนช่วยเสริมสร้างความแข็งแรงให้แก่ชั้นหนังแท้ แต่ไม่ได้ช่วยฟอกสีผิวในชั้นหนังกำพร้า

ความเชื่อที่ 2: ยิ่งขัดผิวแรงและบ่อย ยิ่งขาวเร็วขึ้น

การขัดผิวแรงและบ่อยเกินไปไม่ช่วยให้ผิวขาวขึ้น แต่กลับทำให้ผิวคล้ำลงได้ เนื่องจากเป็นการทำลายเกราะป้องกันผิว ทำให้เกิดการระคายเคืองและอักเสบ ซึ่งจะไปกระตุ้นเซลล์สร้างเม็ดสี (Melanocytes) ให้ผลิตเม็ดสีออกมามากขึ้น จนเกิดเป็นรอยดำใหม่ที่เรียกว่า Post-Inflammatory Hyperpigmentation (PIH)

แพทย์ผิวหนังแนะนำว่าการผลัดเซลล์ผิวที่เหมาะสมควรทำอย่างสมดุล เช่น ใช้ผลิตภัณฑ์ที่มี AHA/BHA อย่างอ่อนโยนเพียงไม่กี่ครั้งต่อสัปดาห์ ควบคู่ไปกับการใช้ผลิตภัณฑ์ที่ช่วยปลอบประโลมผิวและทาครีมกันแดดเป็นประจำ

ความเชื่อที่ 3: การฉีดผิวขาวให้ผลลัพธ์ถาวรและปลอดภัยเสมอ

ความเชื่อนี้ไม่เป็นความจริง เนื่องจากการฉีดผิวขาวไม่ได้ให้ผลลัพธ์ที่ถาวรและมีความเสี่ยงต่อสุขภาพ

ผลลัพธ์ที่ได้จากการฉีดผิวขาวนั้นเป็นเพียงชั่วคราวและต้องฉีดอย่างต่อเนื่องเพื่อรักษาสภาพผิวไว้ เมื่อหยุดฉีด สีผิวจะค่อยๆ กลับคืนสู่สภาพเดิมตามธรรมชาติ นอกจากนี้ การฉีดกลูตาไธโอนยังมีความเสี่ยงร้ายแรง เช่น การทำงานของไต ต่อมหมวกไต และต่อมไทรอยด์ผิดปกติ ไปจนถึงปฏิกิริยาทางผิวหนังที่รุนแรง โดยองค์การอาหารและยา (อย.) ในหลายประเทศยังไม่เคยอนุมัติการฉีดเพื่อผิวขาวโดยเฉพาะ เนื่องจากขาดหลักฐานยืนยันประสิทธิภาพและความปลอดภัยที่ชัดเจน

ความเชื่อที่ 4: วิตามินซีปริมาณสูงคือคำตอบสุดท้ายของผิวขาว

การรับประทานวิตามินซีในปริมาณสูง ไม่ได้ช่วยให้ผิวขาวขึ้นอย่างถาวร เนื่องจากวิตามินซีเป็นวิตามินที่ละลายในน้ำ ร่างกายจึงมีขีดจำกัดในการดูดซึมและจะขับส่วนเกินออกทางปัสสาวะ การบริโภคเกินขนาดอาจทำให้เกิดผลข้างเคียง เช่น ท้องเสีย ปวดท้อง และเพิ่มความเสี่ยงในการเป็นนิ่วในไตได้

ความเชื่อที่ 5: ไม่ทาครีมกันแดดเมื่ออยู่ในที่ร่มผิวก็ไม่คล้ำลง

ความเชื่อนี้ไม่ถูกต้อง เนื่องจากรังสี UVA ซึ่งเป็นสาเหตุหลักของผิวคล้ำและริ้วรอย สามารถทะลุผ่านกระจกหน้าต่างเข้ามาได้ถึง 75%

การนั่งทำงานใกล้หน้าต่างหรือขับรถจึงยังคงเสี่ยงต่อการที่ผิวจะคล้ำลงหรือฝ้ากระที่เป็นอยู่เข้มขึ้นได้ นอกจากนี้ แสงจากหลอดไฟฟลูออเรสเซนต์หรือหลอดไฟ LED บางชนิดก็สามารถปล่อยรังสี UV และแสงสีฟ้าที่กระตุ้นการสร้างเม็ดสีได้เมื่อสัมผัสเป็นเวลานาน ด้วยเหตุนี้ ผู้เชี่ยวชาญจึงแนะนำให้ทาครีมกันแดดเป็นประจำทุกวันแม้จะอยู่ในที่ร่มก็ตาม

ความเชื่อที่ 6: ผลิตภัณฑ์ที่ทำให้ขาวทันทีหลังใช้คือผลิตภัณฑ์ที่ดี

ผลิตภัณฑ์ที่ทำให้ผิวขาวขึ้นทันทีหลังใช้เป็นเพียงผลชั่วคราวและไม่ใช่การเปลี่ยนแปลงสีผิวที่แท้จริง

ผลิตภัณฑ์เหล่านี้มักเรียกว่า “โทนอัพครีม” (tone-up cream) ซึ่งทำงานโดยการเคลือบผิวด้วยเม็ดสีหรือสารสะท้อนแสง ทำให้ผิวดูสว่างขึ้นทันทีหลังทา คล้ายกับการทาบีบีครีมหรือไฮไลท์เตอร์ แต่ผลลัพธ์จะหายไปเมื่อล้างออก ครีมเหล่านี้ไม่ได้ส่งผลต่อการผลิตเม็ดสีเมลานินในระยะยาว

ความเชื่อที่ 7: สีผิวสามารถเปลี่ยนให้ขาวกว่าพื้นฐานเดิมได้มาก

การพยายามเปลี่ยนสีผิวให้ขาวกว่าพื้นฐานทางพันธุกรรมเดิมหลายเฉดสีนั้น เป็นสิ่งที่ไม่สมจริงและไม่ปลอดภัย การรักษาต่างๆ เช่น เลเซอร์หรือครีมทาผิว สามารถจัดการกับเม็ดสีส่วนเกินที่เกิดจากแสงแดดหรือฝ้า เพื่อฟื้นฟูผิวให้กลับสู่โทนสีตามธรรมชาติที่กระจ่างใสและสม่ำเสมอขึ้นได้ แต่ไม่สามารถเปลี่ยนประเภทสีผิวตามพันธุกรรมให้ขาวขึ้นได้อย่างถาวรโดยไม่ก่อให้เกิดความเสียหายต่อผิวหนัง

วิธีทำให้ผิวขาวกระจ่างใสอย่างปลอดภัยและมีหลักการ

การทำให้ผิวขาวกระจ่างใสอย่างปลอดภัยทำได้โดยการปกป้องผิวจากแสงแดดอย่างสม่ำเสมอ ใช้ผลิตภัณฑ์ทาผิวที่มีส่วนผสมที่ได้รับการพิสูจน์แล้ว และพิจารณาการรักษาโดยผู้เชี่ยวชาญ ซึ่งแต่ละวิธีมีหลักการสำคัญดังนี้

1. การดูแลผิวขั้นพื้นฐาน

  • ทาครีมกันแดด: เป็นขั้นตอนที่สำคัญที่สุด เพราะรังสียูวีคือสาเหตุหลักของความหมองคล้ำและจุดด่างดำ ควรทาครีมกันแดดที่มีค่า SPF สูงทุกวัน แม้จะอยู่ในที่ร่ม เพราะรังสี UVA สามารถทะลุผ่านกระจกได้
  • ใช้มอยส์เจอไรเซอร์: ผิวที่ชุ่มชื้นและแข็งแรงจะสะท้อนแสงได้ดีขึ้น ทำให้ดูเปล่งปลั่ง และยังช่วยลดการระคายเคืองซึ่งเป็นสาเหตุหนึ่งของการเกิดจุดด่างดำ
  • หลีกเลี่ยงการระคายเคือง: การขัดผิวรุนแรงเกินไปหรือการรบกวนผิวอักเสบ (เช่น สิว) สามารถกระตุ้นให้เกิดรอยดำหลังการอักเสบ (PIH) ได้

2. การใช้ผลิตภัณฑ์ทาผิวที่มีส่วนผสมที่ออกฤทธิ์

เลือกใช้ผลิตภัณฑ์ที่มีส่วนผสมซึ่งมีงานวิจัยรองรับว่าช่วยลดการสร้างเม็ดสีและทำให้ผิวกระจ่างใสขึ้นได้

  • Niacinamide: ช่วยยับยั้งการส่งต่อเม็ดสีไปยังเซลล์ผิว ทำให้สีผิวสม่ำเสมอขึ้น
  • Vitamin C: เป็นสารต้านอนุมูลอิสระที่ช่วยยับยั้งเอนไซม์ไทโรซิเนสซึ่งใช้สร้างเม็ดสี และช่วยให้ผิวดูสว่างใส
  • Retinoids (เรตินอยด์): ช่วยเร่งการผลัดเซลล์ผิว ทำให้รอยดำและจุดด่างดำจางลง
  • Tranexamic Acid (กรดทรานเอกซามิก): มีประสิทธิภาพในการลดเลือนฝ้าและรอยดำที่เกิดจากการอักเสบ
  • สารผลัดเซลล์ผิว (Exfoliants): เช่น AHAs, BHAs และ PHAs ช่วยผลัดเซลล์ผิวชั้นนอกที่หมองคล้ำออกไปอย่างอ่อนโยน

3. การรักษาโดยผู้เชี่ยวชาญ

หากการดูแลผิวด้วยตนเองยังไม่ให้ผลลัพธ์ที่พอใจ สามารถปรึกษาแพทย์เพื่อรับการรักษาที่ตรงจุดมากขึ้น

  • เลเซอร์: เช่น Picosecond Laser หรือ Q-Switched Laser สามารถทำลายเม็ดสีที่ผิดปกติได้อย่างจำเพาะเจาะจง เหมาะสำหรับรักษาฝ้า กระ และจุดด่างดำ
  • IPL (Intense Pulsed Light): ใช้พลังงานแสงเพื่อลดรอยดำจากแสงแดดและทำให้สีผิวโดยรวมสม่ำเสมอขึ้น
  • การผลัดเซลล์ผิวด้วยสารเคมี (Chemical Peels): เป็นการใช้กรดความเข้มข้นสูงเพื่อผลัดเซลล์ผิวชั้นบน ทำให้ผิวใหม่ที่กระจ่างใสกว่าขึ้นมาแทนที่
  • ยารับประทาน: ในกรณีของฝ้าที่รักษายาก แพทย์อาจพิจารณาสั่งยารับประทาน เช่น Tranexamic Acid ซึ่งต้องอยู่ภายใต้การดูแลอย่างใกล้ชิด

การดูแลผิวพื้นฐาน: การป้องกันแสงแดดและเพิ่มความชุ่มชื้น

การป้องกันแสงแดดและการเพิ่มความชุ่มชื้นเป็นขั้นตอนพื้นฐานที่สำคัญที่สุดในการดูแลผิวให้กระจ่างใส เนื่องจากช่วยป้องกันสาเหตุหลักของความหมองคล้ำและเสริมสร้างสุขภาพผิวให้แข็งแรง

  • การป้องกันแสงแดด: รังสียูวีเป็นสาเหตุอันดับหนึ่งของจุดด่างดำและความหมองคล้ำ การทาครีมกันแดดอย่างสม่ำเสมอจะช่วยป้องกันการเกิดจุดด่างดำใหม่และช่วยให้รอยเดิมจางลงได้ ควรทาแม้จะอยู่ในที่ร่มเพราะรังสี UVA สามารถทะลุผ่านหน้าต่างเข้ามาได้
  • การเพิ่มความชุ่มชื้น: ผิวที่ชุ่มชื้นจะสะท้อนแสงได้ดีขึ้น ทำให้ผิวดูเปล่งปลั่งสุขภาพดี นอกจากนี้ยังช่วยให้เกราะป้องกันผิวแข็งแรงขึ้น ลดโอกาสการระคายเคืองซึ่งเป็นตัวกระตุ้นให้เกิดการผลิตเม็ดสีส่วนเกิน

การเลือกใช้สกินแคร์กลุ่มไวท์เทนนิ่งอย่างเข้าใจ

การเลือกใช้สกินแคร์กลุ่มไวท์เทนนิ่งอย่างเข้าใจคือ การให้ความสำคัญกับการป้องกันผิวจากแสงแดด การเสริมความแข็งแรงให้เกราะป้องกันผิว และการเลือกใช้ส่วนผสมออกฤทธิ์ที่เหมาะกับสภาพผิว ซึ่งเป็นแนวทางที่ปลอดภัยและมีประสิทธิภาพมากที่สุด

หลักการสำคัญในการเลือกใช้สกินแคร์กลุ่มไวท์เทนนิ่งประกอบด้วย:

  • ป้องกันผิวจากแสงแดด: ใช้ครีมกันแดดเป็นประจำทุกวัน เพราะเป็นขั้นตอนที่สำคัญที่สุดในการป้องกันและลดเลือนจุดด่างดำ
  • เสริมเกราะป้องกันผิว: ใช้มอยส์เจอไรเซอร์เพื่อผิวที่ชุ่มชื้นและแข็งแรง ซึ่งจะช่วยลดการระคายเคืองที่กระตุ้นการผลิตเม็ดสี
  • เลือกส่วนผสมที่ออกฤทธิ์: มองหาส่วนผสมที่มีงานวิจัยรองรับ เช่น Niacinamide, Vitamin C, Arbutin, Tranexamic Acid หรือกลุ่มเรตินอยด์
  • ผลัดเซลล์ผิวอย่างอ่อนโยน: ใช้ผลิตภัณฑ์ผลัดเซลล์ผิว เช่น AHA หรือ BHA 1-3 ครั้งต่อสัปดาห์ เพื่อช่วยขจัดเซลล์ผิวเก่าที่หมองคล้ำ
  • มีความสม่ำเสมอและอดทน: ผลลัพธ์ที่เห็นได้ชัดเจนต้องใช้เวลาและความสม่ำเสมอในการดูแลผิวอย่างน้อย 2-3 เดือน

โภชนาการและอาหารเสริมที่ช่วยบำรุงผิวจากภายใน

วิตามิน A, C, E, แคโรทีนอยด์, กลูตาไธโอน และสารสกัดต้านอนุมูลอิสระ เป็นสารอาหารและอาหารเสริมที่สามารถช่วยบำรุงให้ผิวสว่างใสขึ้นจากภายในได้

สารอาหารเหล่านี้ทำงานโดยการสนับสนุนกระบวนการซ่อมแซมผิวและป้องกันความเสียหายที่นำไปสู่ความหมองคล้ำ

  • วิตามิน A, C, E และแคโรทีนอยด์: วิตามินเหล่านี้ช่วยในกระบวนการซ่อมแซมผิว โดยเฉพาะวิตามิน C และ E ที่ทำงานร่วมกันเพื่อป้องกันการสร้างเม็ดสีที่เกิดจากรังสียูวี ส่วนแคโรทีนอยด์ (พบในแครอทและมะเขือเทศ) ช่วยให้สีผิวสม่ำเสมอขึ้น
  • กลูตาไธโอนชนิดรับประทาน: มีงานวิจัยบางชิ้นพบว่าการรับประทานกลูตาไธโอนอาจช่วยลดดัชนีเม็ดสีได้เล็กน้อยและให้ผลลัพธ์เพียงชั่วคราว ซึ่งผลลัพธ์จะกลับสู่สภาพเดิมเมื่อหยุดทาน
  • อาหารเสริมต้านอนุมูลอิสระอื่นๆ: สารสกัดบางชนิด เช่น สารสกัดจากเมล็ดองุ่น, สารสกัดจากเฟิร์น (Polypodium leucotomos) และซิงค์ สามารถช่วยเสริมความแข็งแรงของผิวจากภายในเพื่อต่อต้านความหมองคล้ำที่เกิดจากอนุมูลอิสระได้

การผลัดเซลล์ผิวอย่างถูกวิธีเพื่อลดความหมองคล้ำ

การผลัดเซลล์ผิวอย่างถูกวิธีคือการใช้สารเคมี เช่น AHA หรือ BHA สัปดาห์ละ 1-3 ครั้ง หรือการสครับผิวอย่างเบามือ เพื่อหลีกเลี่ยงการระคายเคืองซึ่งอาจทำให้เกิดจุดด่างดำใหม่ได้

วิธีการผลัดเซลล์ผิวที่ปลอดภัยและมีประสิทธิภาพมีดังนี้

  • การใช้สารเคมี (Chemical Exfoliants):
  • AHA (เช่น Glycolic Acid): เหมาะสำหรับลดเลือนจุดด่างดำและปรับผิวให้เรียบเนียน ควรใช้ 1-3 ครั้งต่อสัปดาห์ ขึ้นอยู่กับการทนรับของผิว
  • BHA (เช่น Salicylic Acid): เหมาะสำหรับผู้ที่มีผิวมันและมีรอยสิว เนื่องจากสามารถซึมเข้าสู่รูขุมขนได้ดี
  • PHA: เป็นทางเลือกที่อ่อนโยนกว่าสำหรับผิวแพ้ง่าย สามารถใช้ได้บ่อยกว่า AHA แต่ให้ผลลัพธ์ที่ช้ากว่า
  • การใช้สครับ (Physical Exfoliants):
  • ควรใช้แรงกดเบาๆ นวดเป็นวงกลมเล็กๆ ไม่เกิน 60 วินาที แล้วล้างออก
  • ห้ามขัดผิวจนแดงหรือรู้สึกแสบ เพราะจะทำให้ผิวระคายเคืองและเกิดปัญหาผิวตามมาได้
  • ข้อควรปฏิบัติ:
  • ฟังเสียงผิว: ควรเริ่มจากความถี่น้อยๆ และสังเกตการตอบสนองของผิว หากเกิดการระคายเคืองให้หยุดใช้ชั่วคราว
  • ให้ความชุ่มชื้นและป้องกัน: หลังการผลัดเซลล์ผิว ควรทามอยส์เจอไรเซอร์เพื่อปลอบประโลมผิวและทาครีมกันแดดเสมอ เนื่องจากผิวจะไวต่อแสงมากขึ้น

หัตถการทางการแพทย์เพื่อผิวขาวใส: ทางเลือกและข้อควรรู้

กลุ่มทรีตเมนต์และเลเซอร์เพื่อปรับสีผิว

กลุ่มทรีตเมนต์และเลเซอร์เพื่อปรับสีผิวที่นิยมใช้ในคลินิก ได้แก่ เลเซอร์กลุ่ม Q-switched และ Picosecond, การใช้แสง IPL (Intense Pulsed Light) และเทคนิคเลเซอร์โทนนิ่ง ซึ่งแต่ละวิธีเหมาะกับปัญหาเม็ดสีที่แตกต่างกัน

  • เลเซอร์ Q-switched และ Picosecond: มีประสิทธิภาพสูงในการรักษาเม็ดสีที่อยู่เป็นจุดๆ เช่น กระ ฝ้าแดด และรอยดำ โดยเลเซอร์จะเข้าไปทำลายเม็ดสีให้แตกตัวเป็นอนุภาคเล็กๆ แล้วร่างกายจะกำจัดออกไปเอง Picosecond เป็นเทคโนโลยีที่ใหม่กว่าซึ่งสามารถทำให้เม็ดสีแตกตัวได้ละเอียดกว่า
  • IPL (Intense Pulsed Light): เป็นการใช้ลำแสงกว้างเพื่อลดรอยดำที่เกิดจากแสงแดดและปรับสีผิวให้สม่ำเสมอขึ้น เหมาะสำหรับผู้ที่มีสีผิวไม่เข้มมากนัก หลังทำบริเวณที่มีเม็ดสีจะเข้มขึ้นชั่วคราวก่อนจะหลุดลอกออกไป
  • เลเซอร์โทนนิ่ง (Laser Toning): เป็นเทคนิคการใช้เลเซอร์ Q-switched พลังงานต่ำยิงซ้ำๆ เพื่อค่อยๆ สลายเม็ดสีในฝ้าอย่างนุ่มนวล โดยไม่กระตุ้นให้เกิดการอักเสบมากนัก จึงเป็นทางเลือกที่นิยมในการรักษาฝ้า

การฉีดวิตามินและสารบำรุงผิว (Drip Vitamin)

การฉีดวิตามินและสารบำรุงผิวมีหลักฐานทางวิทยาศาสตร์ที่จำกัดในการทำให้ผิวขาวขึ้น และผลลัพธ์ที่ได้มักเป็นเพียงชั่วคราวเท่านั้น

การฉีดวิตามินเป็นการให้สารอาหาร เช่น กลูตาไธโอนและวิตามินซีเข้าสู่กระแสเลือดโดยตรง โดยอ้างว่าสามารถยับยั้งการสร้างเม็ดสีได้ อย่างไรก็ตาม ผลลัพธ์ที่ได้นั้นไม่ถาวรและผิวจะกลับคืนสู่สภาพเดิมเมื่อหยุดการฉีด นอกจากนี้ยังมีความเสี่ยงต่อสุขภาพ เช่น อาจเกิดอาการแพ้อย่างรุนแรง, การทำงานของไตและต่อมไทรอยด์ผิดปกติ ซึ่งทำให้หน่วยงานด้านสุขภาพในหลายประเทศรวมถึงประเทศไทยได้ออกมาเตือนถึงอันตราย

วงการแพทย์ผิวหนังทั่วโลกยังไม่รับรองวิธีนี้เป็นมาตรฐานในการรักษาฝ้า กระ จุดด่างดำ และมองว่าเป็นเพียงกระแสเพื่อสุขภาพและความงามที่ยังไม่มีผลพิสูจน์ชัดเจน

ใครที่เหมาะกับหัตถการเพื่อผิวขาวใส

ผู้ที่เหมาะกับหัตถการเพื่อผิวขาวใสจะขึ้นอยู่กับปัจจัยหลัก 3 ประการ ได้แก่ ประเภทสีผิว ชนิดของเม็ดสี และสภาวะสุขภาพโดยรวม

  • ประเภทสีผิว: ผู้ที่มีสีผิวสว่างมักจะเหมาะกับหัตถการส่วนใหญ่ เช่น IPL ในขณะที่ผู้ที่มีผิวคล้ำต้องใช้ความระมัดระวังเป็นพิเศษ และเหมาะกับเลเซอร์บางชนิด เช่น Q-switched หรือ Pico Laser ที่มีความยาวคลื่น 1064 nm ซึ่งปลอดภัยกว่าและช่วยลดความเสี่ยงของรอยดำหลังทำ
  • ชนิดของเม็ดสี: ปัญหาเม็ดสีบนผิวชั้นนอก เช่น กระแดดและฝ้าแดด จะตอบสนองต่อการรักษาได้ดี ในขณะที่เม็ดสีที่อยู่ลึก เช่น ฝ้าลึกบางชนิด จะรักษายากกว่า และต้องจัดการสาเหตุต้นตอของรอยดำให้ได้ก่อน เช่น ควบคุมสิวให้หายดีก่อนเริ่มรักษารอยสิว
  • สภาวะสุขภาพ: ผู้ที่เหมาะสมที่สุดคือคนที่มีสุขภาพดี ไม่มีภาวะไวต่อแสง ไม่ได้กำลังตั้งครรภ์ มีความคาดหวังต่อผลลัพธ์ที่เป็นจริง และมุ่งมั่นที่จะดูแลผิวอย่างต่อเนื่อง โดยเฉพาะการทาครีมกันแดดอย่างสม่ำเสมอ

ปัจจัยที่ต้องพิจารณาก่อนเลือกวิธีดูแลผิว

การประเมินสภาพผิวและเป้าหมายที่เป็นจริง

การประเมินสภาพผิวโดยแพทย์เพื่อวินิจฉัยประเภทและความลึกของเม็ดสีเป็นขั้นตอนแรกที่สำคัญที่สุด เพื่อกำหนดแผนการรักษาและตั้งเป้าหมายที่เป็นจริงได้ การประเมินนี้จะช่วยแยกว่าเป็นรอยดำจากแสงแดดหรือฝ้าจากฮอร์โมน ซึ่งตอบสนองต่อการรักษาต่างกัน

เป้าหมายที่เป็นจริงจะแตกต่างกันไปตามประเภทของปัญหาผิว:

  • รอยดำจากแสงแดด: สามารถคาดหวังผลลัพธ์ที่ดีขึ้นอย่างชัดเจน (ประมาณ 80–100%)
  • ฝ้าเรื้อรัง (Melasma): อาจจางลงเพียงบางส่วน (ประมาณ 50%) และจำเป็นต้องมีการดูแลต่อเนื่องเพื่อคงผลลัพธ์ไว้

แนวคิดเรื่องการทำให้ผิวขาวขึ้นอย่าง “ถาวร” นั้นไม่มีอยู่จริง เพราะผิวสามารถสร้างเม็ดสีใหม่ได้เสมอเมื่อมีปัจจัยกระตุ้น ดังนั้นเป้าหมายที่ดีคือการมีผิวที่กระจ่างใสและแข็งแรงขึ้น 1-2 ระดับ แทนที่จะพยายามเปลี่ยนสีผิวโดยสิ้นเชิง

งบประมาณและระยะเวลาที่ต้องการเห็นผล

งบประมาณสำหรับการปรับผิวให้กระจ่างใสในประเทศไทยมีตั้งแต่หลักพันถึงหลายหมื่นบาท โดยทั่วไปจะใช้เวลาหลายสัปดาห์ถึงหลายเดือนจึงจะเห็นผลลัพธ์ที่ชัดเจน ซึ่งค่าใช้จ่ายและระยะเวลาจะแตกต่างกันไปตามประเภทของการรักษา

ค่าใช้จ่ายโดยประมาณต่อครั้ง:

  • เลเซอร์ (Pico, Q-switched): ประมาณ 2,000–5,000 บาท
  • IPL: ประมาณ 3,000–5,000 บาท
  • การฉีดวิตามินผิว (IV Drips): ประมาณ 1,000–2,000 บาท
  • ผลัดเซลล์ผิวด้วยสารเคมี (Chemical Peels): ประมาณ 1,000–2,000 บาท

ระยะเวลาในการเห็นผล:

  • การทาครีม (เช่น Niacinamide, Retinoids): 2–6 เดือน
  • เลเซอร์กำจัดจุดด่างดำเฉพาะจุด: 1–2 ครั้ง
  • เลเซอร์และ IPL สำหรับปัญหาผิวโดยรวม: ต้องทำเป็นคอร์ส 3–6 ครั้ง โดยเว้นระยะห่างแต่ละครั้งหลายสัปดาห์

โดยรวมแล้ว การรักษาฝ้ากระจุดด่างดำระดับปานกลางอาจต้องใช้งบประมาณ 10,000–30,000 บาท และใช้เวลาประมาณ 2-3 เดือนจึงจะเห็นการเปลี่ยนแปลงที่น่าพอใจ

การเลือกผู้ให้บริการและสถานพยาบาลที่น่าเชื่อถือ

การเลือกผู้ให้บริการและสถานพยาบาลที่น่าเชื่อถือควรเริ่มต้นด้วยการตรวจสอบคุณสมบัติและใบอนุญาตของแพทย์ สอบถามเกี่ยวกับมาตรฐานของอุปกรณ์ที่ใช้ และประเมินความเป็นมืออาชีพในระหว่างการให้คำปรึกษา การเลือกอย่างรอบคอบจะช่วยให้คุณได้รับผลลัพธ์ที่ปลอดภัยและมีประสิทธิภาพ

ข้อควรพิจารณาที่สำคัญมีดังนี้:

  • ตรวจสอบคุณสมบัติ: ตรวจสอบว่าแพทย์มีใบอนุญาตและเป็นผู้เชี่ยวชาญเฉพาะทางหรือไม่ คลินิกควรมีใบอนุญาตประกอบกิจการที่ถูกต้อง
  • สอบถามเกี่ยวกับอุปกรณ์: สอบถามเกี่ยวกับยี่ห้อของเครื่องเลเซอร์ที่ใช้ ว่าเป็นเครื่องที่ได้รับการรับรองจาก อย. หรือไม่ เครื่องที่ไม่มียี่ห้อหรือเป็นเครื่องทั่วไปถือเป็นสัญญาณเตือน
  • ดูรีวิวและผลงาน: คลินิกที่มีชื่อเสียงมักจะมีรีวิวจากผู้ใช้บริการจริง หรือมีภาพก่อน-หลังการรักษาเพื่อประกอบการตัดสินใจ
  • สังเกตมาตรฐานความปลอดภัย: คลินิกที่ดีจะให้ความสำคัญกับความปลอดภัย เช่น มีแว่นตาป้องกันแสงเลเซอร์ มีการทำ test spot ก่อนทำจริง และมีคำแนะนำการดูแลตัวเองหลังทำอย่างชัดเจน
  • แหล่งที่มาของผลิตภัณฑ์: ผู้ให้บริการที่น่าเชื่อถือจะใช้ผลิตภัณฑ์ที่มาจากแหล่งที่น่าเชื่อถือและได้รับการรับรองจาก อย. และจะไม่ใช้สารที่เป็นอันตราย เช่น ปรอท หรือสเตียรอยด์
  • การให้คำปรึกษา: แพทย์ที่ดีจะอธิบายความเสี่ยงและผลข้างเคียงอย่างตรงไปตรงมา และจะไม่กดดันให้ซื้อแพ็กเกจราคาแพงโดยที่ยังไม่ได้ประเมินสภาพผิวอย่างละเอียด

ความเสี่ยงและผลข้างเคียงที่อาจเกิดขึ้น

อันตรายจากผลิตภัณฑ์ที่ไม่ได้มาตรฐานและสารต้องห้าม

อันตรายจากผลิตภัณฑ์ที่ไม่ได้มาตรฐานเกิดจากการลักลอบใส่สารต้องห้าม เช่น ปรอท สเตียรอยด์ และไฮโดรควิโนน ซึ่งอาจก่อให้เกิดผลข้างเคียงที่รุนแรงและถาวรได้

ผลิตภัณฑ์เหล่านี้มักมีสารอันตรายดังต่อไปนี้:

  • ปรอท (Mercury): ครีมที่ไม่ได้มาตรฐานอาจมีสารปรอทในระดับที่สูงเกินกว่ากฎหมายกำหนดหลายพันเท่า ซึ่งอาจนำไปสู่ภาวะพิษจากสารปรอท ทำลายไตและระบบประสาท รวมถึงทำให้ผิวหนังเกิดการเปลี่ยนสีเป็นสีเทาอมฟ้าอย่างถาวร
  • คอร์ติโคสเตียรอยด์ (Corticosteroids): การใช้สเตียรอยด์ความเข้มข้นสูงเป็นเวลานานจะทำให้ผิวบางลง เกิดรอยแตกลาย สิวเห่อ และเมื่อหยุดใช้อาจทำให้เม็ดสีกลับมาเข้มกว่าเดิม
  • ไฮโดรควิโนน (Hydroquinone): การใช้ไฮโดรควิโนนในปริมาณที่ไม่เหมาะสมหรือนานเกิน 4-6 เดือน อาจทำให้เกิดภาวะ Ochronosis ซึ่งเป็นรอยด่างสีดำอมฟ้าบนผิวหนังที่รักษาได้ยากมาก

ผลข้างเคียงจากการทำหัตถการที่ไม่เหมาะสม

ผลข้างเคียงจากการทำหัตถการที่ไม่เหมาะสมอาจทำให้เกิดรอยดำหลังการอักเสบ (PIH) ผิวไหม้ ผิวบาง หรือแม้แต่เป็นพิษต่อระบบร่างกาย ซึ่งความเสี่ยงจะแตกต่างกันไปตามประเภทของหัตถการ

  • เลเซอร์และเคมีคอลพีลลิ่ง: หากใช้พลังงานสูงเกินไปหรือไม่เหมาะกับสภาพผิว อาจทำให้เกิดรอยดำที่เข้มกว่าเดิม (PIH) ผิวไหม้ หรือเกิดแผลพุพองได้
  • ครีมที่ไม่ได้มาตรฐาน: ครีมที่มีส่วนผสมของปรอทอาจทำให้เกิดภาวะพิษจากสารปรอทและทำลายไตได้ ส่วนครีมที่มีสเตียรอยด์ความเข้มข้นสูงจะทำให้ผิวบาง เกิดสิว และรอยแตกลาย และการใช้ไฮโดรควิโนน (Hydroquinone) ผิดวิธีเป็นเวลานานอาจทำให้เกิดฝ้าถาวรสีน้ำเงินอมดำ (Ochronosis)
  • การฉีดสารอาหารเข้าเส้นเลือด (IV Drips): มีความเสี่ยงต่อการแพ้อย่างรุนแรง (Anaphylaxis) และหากทำในสถานที่ไม่สะอาดอาจเสี่ยงต่อการติดเชื้อ เช่น HIV หรือไวรัสตับอักเสบ
  • ยารับประทาน: ยาบางชนิด เช่น กรดทรานเอกซามิก (Tranexamic acid) มีความเสี่ยงเล็กน้อยในการเกิดลิ่มเลือดอุดตัน จึงจำเป็นต้องอยู่ภายใต้การดูแลของแพทย์

คำถามที่พบบ่อยเกี่ยวกับการทำให้ผิวขาว

กินคอลลาเจนช่วยให้ผิวขาวขึ้นจริงไหม?

ไม่มีหลักฐานทางวิทยาศาสตร์ที่ยืนยันว่าการกินคอลลาเจนสามารถยับยั้งการผลิตเม็ดสีหรือทำให้ผิวขาวขึ้นได้โดยตรง คอลลาเจนช่วยเสริมสร้างความแข็งแรงให้แก่ผิวชั้นใน แต่ไม่ได้ช่วยฟอกสีผิวชั้นนอก แม้ว่าบางงานวิจัยอาจพบว่าผิวดู “สว่าง” ขึ้นเล็กน้อยหลังใช้คอลลาเจนในระยะยาว แต่ผลดังกล่าวน่าจะมาจากการที่ผิวมีความชุ่มชื้นและอิ่มฟูขึ้น ซึ่งไม่ใช่การลดลงของเม็ดสีเมลานินอย่างแท้จริง

ฉีดวิตามินผิวขาวอันตรายหรือไม่?

การฉีดวิตามินผิวขาว อาจเป็นอันตรายและมีความเสี่ยงต่อสุขภาพหลายประการ เนื่องจากยังไม่มีการรับรองจากองค์การอาหารและยา (อย.) เพื่อวัตถุประสงค์ในการทำให้ผิวขาวโดยเฉพาะ และมีรายงานถึงผลข้างเคียงที่รุนแรงได้

ความเสี่ยงที่อาจเกิดขึ้น ได้แก่:

  • อาการแพ้อย่างรุนแรง: อาจเกิดภาวะช็อก (Anaphylaxis) ซึ่งเป็นอันตรายถึงชีวิต
  • ความเสียหายต่ออวัยวะภายใน: มีรายงานว่าอาจทำให้การทำงานของไตและต่อมไทรอยด์ผิดปกติ
  • ปฏิกิริยาทางผิวหนังที่รุนแรง: อาจเกิดกลุ่มอาการสตีเวนส์-จอห์นสัน (Stevens-Johnson syndrome) ซึ่งผิวหนังจะเกิดการหลุดลอกอย่างรุนแรง
  • การปนเปื้อนสารอันตราย: ในคลินิกหรือผลิตภัณฑ์ที่ไม่ได้มาตรฐาน อาจมีการลักลอบเติมสารอันตราย เช่น ปรอทหรือสเตียรอยด์
  • ความเสี่ยงในการติดเชื้อ: หากทำในสถานที่ไม่ถูกสุขลักษณะ อาจเสี่ยงต่อการติดเชื้อ เช่น HIV หรือไวรัสตับอักเสบได้

ต้องใช้เวลานานเท่าไรกว่าจะเห็นผลลัพธ์จากวิธีต่างๆ?

ระยะเวลาในการเห็นผลลัพธ์จะแตกต่างกันไปตามวิธีที่ใช้ โดยมีตั้งแต่ไม่กี่สัปดาห์สำหรับเลเซอร์เฉพาะจุด ไปจนถึงหลายเดือนสำหรับการใช้ผลิตภัณฑ์ทาผิวอย่างต่อเนื่อง

ระยะเวลาโดยประมาณสำหรับวิธีต่างๆ มีดังนี้:

  • ทรีตเมนต์โดยผู้เชี่ยวชาญ (Professional Treatments):
  • เลเซอร์กำจัดจุดด่างดำ: สำหรับกระหรือจุดแดด สามารถเห็นผลได้ใน 1-2 สัปดาห์หลังทำเลเซอร์ 1-2 ครั้ง โดยสะเก็ดจะหลุดลอกออกไป
  • IPL Photofacial: ต้องทำต่อเนื่อง 3-6 ครั้ง ห่างกัน 3-4 สัปดาห์ต่อครั้ง
  • เลเซอร์รักษาฝ้า: ต้องทำประมาณ 3-5 ครั้ง โดยเว้นระยะห่างกัน 1 เดือน
  • ผลิตภัณฑ์ทาผิว (Topical Ingredients):
  • Niacinamide, Vitamin C, Arbutin, Tranexamic Acid: โดยทั่วไปจะเริ่มเห็นการเปลี่ยนแปลงที่ชัดเจนในเวลาประมาณ 2-3 เดือน (8-12 สัปดาห์)
  • Retinoids (เรตินอยด์): อาจใช้เวลา 3-6 เดือนจึงจะเห็นผลเต็มที่ แต่ผิวอาจเริ่มดูสว่างขึ้นได้ในเวลาประมาณ 8 สัปดาห์
  • การผลัดเซลล์ผิว (Exfoliation):
  • AHA/BHA: การใช้อย่างสม่ำเสมอจะช่วยให้ผิวดูเปล่งปลั่งขึ้นในเวลาประมาณ 6-8 สัปดาห์
  • อาหารเสริม (Supplements):
  • กลูตาไธโอนและสารต้านอนุมูลอิสระ: อาจเห็นการเปลี่ยนแปลงเล็กน้อยหลังจากรับประทานต่อเนื่อง 4-12 สัปดาห์ แต่ผลลัพธ์ไม่แน่นอนและแตกต่างกันไปในแต่ละบุคคล

วิธีทำให้ผิวขาวแบบไหนที่ให้ผลลัพธ์ใกล้เคียงถาวรที่สุด?

การใช้เลเซอร์กำจัดเม็ดสีเฉพาะจุด เช่น กระ หรือจุดด่างดำจากแสงแดด เป็นวิธีที่ให้ผลลัพธ์ใกล้เคียงถาวรที่สุด เนื่องจากเมื่อจุดดังกล่าวถูกกำจัดออกไปแล้ว จุดนั้นจะหายไปอย่างถาวร

อย่างไรก็ตาม ผิวหนังยังสามารถสร้างเม็ดสีหรือจุดด่างดำใหม่ขึ้นมาได้หากถูกกระตุ้นอีกครั้ง ดังนั้น การป้องกันผิวจากแสงแดดอย่างสม่ำเสมอจึงเป็นปัจจัยที่สำคัญที่สุดในการรักษาสภาพผิวให้กระจ่างใสและป้องกันไม่ให้จุดด่างดำกลับมาใหม่ ซึ่งถือเป็นการดูแลที่ให้ผลลัพธ์ยั่งยืนที่สุด

การขัดผิวบ่อยๆ ทำให้ผิวบางลงใช่ไหม?

ใช่ การขัดผิวที่รุนแรงหรือบ่อยเกินไปสามารถทำลายเกราะป้องกันผิว ทำให้ผิวอ่อนแอลงและไวต่อการระคายเคืองได้

การขัดผิวอย่างรุนแรงหรือใช้สครับที่หยาบทุกวันอาจกระตุ้นให้เกิดการอักเสบ รอยแดง และนำไปสู่ปัญหาฝ้า กระ จุดด่างดำที่เข้มขึ้นได้ ผู้เชี่ยวชาญแนะนำให้ขัดผิวอย่างสมดุล เช่น ใช้ผลิตภัณฑ์ที่มี AHA/BHA อ่อนๆ เพียงสัปดาห์ละ 2-3 ครั้ง และควรหยุดใช้ทันทีหากผิวมีอาการระคายเคือง

ควรทาครีมกันแดดแม้จะไม่ได้ออกจากบ้านหรือไม่?

ควรทาครีมกันแดดแม้จะอยู่ในบ้าน เนื่องจากรังสียูวีเอ (UVA) มากถึง 75% สามารถทะลุผ่านกระจกหน้าต่างเข้ามาทำร้ายผิวได้ ซึ่งเป็นสาเหตุของผิวคล้ำ ฝ้า และริ้วรอยก่อนวัย นอกจากนี้ แสงจากหลอดไฟฟลูออเรสเซนต์และไฟ LED บางชนิดก็สามารถกระตุ้นการสร้างเม็ดสีได้เช่นกัน

References:

  1. National Institutes of Health. (n.d.). Melanin and UV Protection. PubMed Central. pubmed.ncbi.nlm.nih.gov
  2. Harvard Health Publishing. (n.d.). Vitamin C for Skin Health. Harvard Medical School. health.harvard.edu
  3. Wiley Online Library. (n.d.). Niacinamide in Dermatology. Journal of Cosmetic Dermatology. onlinelibrary.wiley.com
  4. National Institutes of Health. (n.d.). Picosecond Laser for Pigmentation. PubMed. pubmed.ncbi.nlm.nih.gov
  5. National Institutes of Health. (n.d.). Laser Complications and Safety. NCBI Bookshelf. ncbi.nlm.nih.gov
  6. U.S. Food and Drug Administration. (n.d.). Mercury in Skin Products. FDA Consumer Updates. fda.gov
  7. National Institutes of Health. (n.d.). Glutathione and Skin Whitening. PubMed Central. pmc.ncbi.nlm.nih.gov
  8. London Dermatology Centre. (n.d.). Skin Barrier and Pigmentation. London Dermatology Centre. london-dermatology-centre.co.uk

แนะแนวเรื่อง

Previous Previous
ผิวแห้งขาดวิตามินอะไร? รวม 5 สารอาหารจำเป็นที่ผิวต้องการ
NextContinue
อยากปรับสีผิวให้เท่ากันต้องใช้งบเท่าไหร่? เปิดราคาจริงทุกวิธีแก้

สาขาพรีวาโต คลินิก

    สาขาอโศก ตั้งอยู่ที่ ชั้น 2 อาคารมิดทาวน์
    Phone: 02-258-4050 , 081-841-5075
    สาขาสีลม ตั้งอยู่ที่ ชั้น 1 อาคารซี.พี.ทาวเวอร์
    Phone: 02-780-2011 , 098-272-5244
    สาขาราชพฤกษ์ ตั้งอยู่ที่ ชั้น 2 ศูนย์การค้า เดอะคริสตัล เอสบี (ด้านบนร้านสตาร์บัคส์)
    Phone: 02-102-2778 , 098-272-5244

ติดต่อเรา

    Facebook: Privato Clinic
    Messenger: Privato Clinic
    Instagram: privatoclinic
    Email: privatoclinic@gmail.com
    Line: @privatoclinic

Copyright© 2022-2024. All Rights Reserved

Scroll to top
  • หน้าหลัก
  • เกี่ยวกับพรีวาโต
  • บริการทั้งหมด
    • ชะลอวัย
    • ยกกระชับผิว
      • XERF
      • Potenza
      • Sofwave
      • Ulthera
      • Thermage-FLX
    • รักษาสิว
    • เลเซอร์
    • โปรแกรมฉีด
    • บำรุงผิว
  • บทความ
    • สิว
    • ยกกระชับ
    • ดูแลผิว
    • ทำเลเซอร์
  • ผลิตภัณฑ์ดูแลผิว
  • โปรโมชั่น
  • ผลลัพธ์การรักษา
  • วิดีโอรีวิวจากเคสจริง
  • สาขาของเรา
  • ไทย
    • ไทย
    • English
    • 中文 (中国)
  • ปรึกษาแพทย์
Facebook Instagram YouTube