Skip to content

TEL : 081-841-5075, 02-258-4050

Facebook Instagram YouTube
Privato Clinic – Innovation Of Beauty  |  Bangkok
  • หน้าหลัก
  • เกี่ยวกับพรีวาโต
  • บริการทั้งหมดExpand
    • ชะลอวัย
    • ยกกระชับผิวExpand
      • XERF
      • Potenza
      • Sofwave
      • Ulthera
      • Thermage-FLX
    • รักษาสิว
    • เลเซอร์
    • โปรแกรมฉีด
    • บำรุงผิว
  • บทความExpand
    • สิว
    • ยกกระชับ
    • ดูแลผิว
    • ทำเลเซอร์
  • ผลิตภัณฑ์ดูแลผิว
  • โปรโมชั่น
  • ผลลัพธ์การรักษา
  • วิดีโอรีวิวจากเคสจริง
  • สาขาของเรา
  • ไทยExpand
    • ไทย
    • English
    • 中文 (中国)
  • ปรึกษาแพทย์
Privato Clinic – Innovation Of Beauty  |  Bangkok
Consult a Doctor
Laser

เลเซอร์หน้าใสราคาเท่าไหร่? เปรียบเทียบ Pico, Q-Switch อัปเดต 2025

Byadmin ตุลาคม 30, 2025ตุลาคม 30, 2025
By นายแพทย์พนิต อุนรัตน์ Updated on ตุลาคม 30, 2025
✦ Medically reviewed by  นายแพทย์เลอพงษ์ กรุดเงิน
เลเซอร์หน้าใสราคาเท่าไหร่? เปรียบเทียบ Pico, Q-Switch อัปเดต 2025

Table of Contents

Toggle
  • ใครเหมาะกับการทำเลเซอร์หน้าใสบ้าง?
    • สภาพผิวและปัญหาที่เลเซอร์สามารถแก้ไขได้
    • ข้อควรระวังและผู้ที่ไม่ควรทำเลเซอร์หน้าใส
  • เปรียบเทียบเลเซอร์หน้าใสยอดนิยม: Pico vs Q-Switch
    • Pico Laser: หลักการทำงานและจุดเด่น
    • Q-Switched Laser: หลักการทำงานและจุดเด่น
    • วิธีเลือกชนิดเลเซอร์ให้เหมาะกับปัญหาผิวของคุณ
  • ปัจจัยกำหนดราคาเลเซอร์หน้าใสและค่าใช้จ่ายโดยประมาณ
    • ราคาเฉลี่ยต่อครั้งของเลเซอร์แต่ละชนิด
    • ราคาแบบคอร์สและการประเมินจำนวนครั้งที่ต้องทำ
    • ค่าใช้จ่ายอื่นๆ ที่อาจเกิดขึ้นในการรักษา
  • ผลลัพธ์ที่คาดหวัง: ทำกี่ครั้งเห็นผลและอยู่ได้นานแค่ไหน
    • ระยะเวลาเห็นผลหลังทำเลเซอร์ครั้งแรก
    • การดูแลตัวเองหลังทำเพื่อผลลัพธ์ที่ดีที่สุด
    • ความคงทนของผลลัพธ์และรอบการทำซ้ำ
  • คำถามที่พบบ่อยเกี่ยวกับเลเซอร์หน้าใส (FAQ)
    • ทำเลเซอร์หน้าใสต้องพักฟื้นนานแค่ไหน?
    • เลเซอร์หน้าใสเหมาะกับทุกสภาพผิวหรือไม่?
    • ผลลัพธ์ของเลเซอร์หน้าใสอยู่ได้นานเท่าไหร่?
    • เลเซอร์หน้าใสช่วยเรื่องอะไรได้บ้าง?
    • ต้องทำเลเซอร์หน้าใสกี่ครั้งถึงจะเห็นผล?
  • References:

ใครเหมาะกับการทำเลเซอร์หน้าใสบ้าง?

เลเซอร์หน้าใสเหมาะสำหรับผู้ที่มีปัญหาเรื่องเม็ดสีบนใบหน้า เช่น ฝ้า กระ จุดด่างดำ รอยดำจากสิว และผู้ที่สีผิวไม่สม่ำเสมอจากแสงแดด เลเซอร์สามารถทำได้ในทุกสภาพสีผิว แต่ในผู้ที่มีผิวสีเข้มจะต้องใช้ความระมัดระวังและเลือกใช้เลเซอร์ที่มีความยาวคลื่นที่เหมาะสมเพื่อลดความเสี่ยงของผลข้างเคียง

อย่างไรก็ตาม ผู้ที่อยู่ในกลุ่มต่อไปนี้ยังไม่เหมาะที่จะทำเลเซอร์:

  • ผู้ที่กำลังตั้งครรภ์หรือให้นมบุตร
  • ผู้ที่มีการติดเชื้อ มีแผลเปิด หรือมีโรคผิวหนังอักเสบบริเวณที่จะทำ
  • ผู้ที่เพิ่งโดนแดดจัดหรือผิวไหม้แดดมา
  • ผู้ที่ใช้ยาบางชนิดที่มีผลทำให้ผิวไวต่อแสง หรือเพิ่งใช้ยา Isotretinoin (Accutane) ในช่วง 6-12 เดือนที่ผ่านมา

สภาพผิวและปัญหาที่เลเซอร์สามารถแก้ไขได้

เลเซอร์สามารถใช้รักษาปัญหาผิวที่เกิดจากเม็ดสีส่วนเกิน (hyperpigmentation) ได้หลากหลาย เช่น ฝ้า กระแดด รอยดำสิว และสีผิวที่ไม่สม่ำเสมอ

เลเซอร์จะทำงานโดยการเข้าไปทำลายเม็ดสีเมลานินที่ผิดปกติ ทำให้รอยโรคจางลงและสีผิวโดยรวมดูสว่างและสม่ำเสมอขึ้น ปัญหาผิวที่สามารถรักษาได้ ได้แก่:

  • ฝ้า (Melasma)
  • กระแดด และจุดด่างดำจากแสงแดด (Solar lentigines/Sun spots)
  • กระ (Ephelides/Freckles)
  • รอยดำหลังการอักเสบ (Post-inflammatory hyperpigmentation) เช่น รอยดำจากสิว
  • ปานโอตะ (Nevus of Ota)
  • สีผิวที่ไม่สม่ำเสมอจากวัยและแสงแดด (Mottled pigmentation from photoaging)

ข้อควรระวังและผู้ที่ไม่ควรทำเลเซอร์หน้าใส

ผู้ที่ไม่ควรทำเลเซอร์หน้าใสคือสตรีมีครรภ์หรือให้นมบุตร และผู้ที่มีการติดเชื้อที่ผิวหนังในบริเวณที่จะทำ นอกจากนี้ยังมีกลุ่มที่ต้องใช้ความระมัดระวังเป็นพิเศษและอาจไม่เหมาะกับการทำเลเซอร์ ดังนี้

  • ผู้ที่เพิ่งโดนแดดจัดหรือผิวไหม้แดด ควรรอให้สีผิวกลับมาเป็นปกติก่อนทำเลเซอร์ เพื่อลดความเสี่ยงในการเกิดรอยไหม้หรือรอยดำผิดปกติ
  • ผู้ที่รับประทานยาบางชนิด โดยเฉพาะยาที่มีผลทำให้ผิวไวต่อแสง (Photosensitizing drugs) หรือผู้ที่ใช้ยา Isotretinoin (Accutane) ในช่วง 6-12 เดือนที่ผ่านมา
  • ผู้ที่มีประวัติเป็นแผลเป็นคีลอยด์ (Keloid) หรือแผลเป็นนูนง่าย เนื่องจากความร้อนจากเลเซอร์อาจกระตุ้นให้เกิดแผลเป็นได้
  • ผู้ที่มีสภาพผิวไวต่อการกระตุ้น เช่น มีโรคผิวหนังอักเสบ (Eczema, Psoriasis) ในบริเวณที่จะทำเลเซอร์
  • ผู้ที่มีสีผิวเข้ม (Fitzpatrick IV–VI) ต้องใช้ความระมัดระวังเป็นพิเศษและต้องทำโดยผู้เชี่ยวชาญ เนื่องจากมีความเสี่ยงสูงที่จะเกิดรอยดำหลังทำ (PIH)

เปรียบเทียบเลเซอร์หน้าใสยอดนิยม: Pico vs Q-Switch

Pico Laser: หลักการทำงานและจุดเด่น

Pico Laser คือเทคโนโลยีเลเซอร์ที่ใช้หลักการปล่อยพลังงานสูงในช่วงเวลาที่สั้นมากระดับ Picosecond (หนึ่งในล้านล้านวินาที) เพื่อทำให้เม็ดสีแตกตัวเป็นอนุภาคขนาดเล็กละเอียดโดยอาศัยแรงกระแทกเชิงกล (Photomechanical effect) แทนการใช้ความร้อนเป็นหลัก

จุดเด่นสำคัญของ Pico Laser เมื่อเทียบกับเลเซอร์รุ่นเก่า (Q-Switched) ได้แก่:

  • ประสิทธิภาพสูงกว่า: สามารถแตกเม็ดสีให้มีขนาดเล็กละเอียดกว่า ทำให้ร่างกายกำจัดออกไปได้ง่ายขึ้น
  • เห็นผลเร็วขึ้น: มักใช้จำนวนครั้งในการรักษาน้อยกว่าเพื่อให้ได้ผลลัพธ์ที่เทียบเท่าหรือดีกว่า
  • ผลข้างเคียงน้อยกว่า: การใช้ความร้อนที่น้อยลงช่วยลดความเสี่ยงต่อการบาดเจ็บของผิวโดยรอบ และลดโอกาสเกิดรอยดำหลังทำ (PIH)
  • การใช้งานหลากหลาย: นอกจากลดเม็ดสีแล้ว ยังสามารถใช้หัวยิงแบบ Fractional เพื่อกระตุ้นการสร้างคอลลาเจนใหม่ ช่วยฟื้นฟูผิว ลดรอยแผลเป็นจากสิว และริ้วรอยได้อีกด้วย

Q-Switched Laser: หลักการทำงานและจุดเด่น

Q-Switched Laser คือเทคโนโลยีเลเซอร์ที่ใช้หลักการปล่อยพลังงานความร้อนสูงในช่วงเวลาสั้นระดับนาโนวินาที (Nanosecond) เพื่อทำลายเม็ดสีส่วนเกินอย่างจำเพาะเจาะจง โดยไม่สร้างความเสียหายให้กับเนื้อเยื่อรอบข้างมากนัก

หลักการทำงานและจุดเด่นของ Q-Switched Laser มีดังนี้:

  • กลไกการทำงาน: ใช้หลักการที่เรียกว่า Selective Photothermolysis คือการส่งพลังงานความร้อนไปจับกับเม็ดสี (เมลานิน) โดยตรง ทำให้เม็ดสีแตกตัวเป็นอนุภาคเล็กๆ แล้วร่างกายจะกำจัดออกไปตามกลไกธรรมชาติ
  • การใช้งาน: มีประสิทธิภาพในการรักษาเม็ดสีในชั้นหนังแท้ เช่น กระลึก (Nevus of Ota) กระแดด ฝ้า และยังนิยมใช้ทำ “เลเซอร์โทนนิ่ง” (Laser Toning) เพื่อปรับสีผิวให้สว่างและสม่ำเสมอขึ้น นอกจากนี้ยังเป็นเทคโนโลยีมาตรฐานสำหรับการลบรอยสักและรักษาปานดำ
  • ความคุ้มค่า: มีราคาต่อครั้งที่ถูกกว่าเทคโนโลยีใหม่อย่าง Pico Laser ทำให้เข้าถึงได้ง่ายกว่า
  • เทคโนโลยีที่ยอมรับ: เป็นเทคโนโลยีที่ได้รับการรับรองจาก FDA และใช้งานมานานหลายสิบปี ถือเป็นมาตรฐานทอง (Gold-Standard) ในการรักษาปัญหาเม็ดสีและลบรอยสัก

วิธีเลือกชนิดเลเซอร์ให้เหมาะกับปัญหาผิวของคุณ

การเลือกชนิดเลเซอร์ที่เหมาะสมขึ้นอยู่กับปัญหาผิวและสีผิวของแต่ละบุคคล โดยแพทย์ผู้เชี่ยวชาญจะเป็นผู้ประเมินและให้คำแนะนำที่ถูกต้องที่สุด

ปัจจัยหลักที่ใช้ในการพิจารณาเลือกเลเซอร์ ได้แก่

  • ปัญหาผิวที่ต้องการรักษา:
  • ฝ้า กระ จุดด่างดำ: สามารถใช้ได้ทั้งเลเซอร์ชนิด Picosecond และ Q-Switched โดย Picosecond laser มักมีประสิทธิภาพดีกว่าสำหรับเม็ดสีที่ฝังลึกหรือรักษายาก
  • รอยสิวและปรับสีผิวให้สม่ำเสมอ: เลเซอร์ Q-switched Nd:YAG เป็นที่นิยมและมีประสิทธิภาพในการทำ “Laser Toning” เพื่อปรับสภาพผิวโดยรวม
  • สีผิว (Fitzpatrick Skin Type):
  • ผู้ที่มีผิวขาว (Fitzpatrick I–III): สามารถทนต่อเลเซอร์ได้ดีและมีตัวเลือกหลากหลาย
  • ผู้ที่มีผิวเข้ม (Fitzpatrick IV–VI): ควรใช้เลเซอร์ Nd:YAG ที่มีความยาวคลื่น 1064 นาโนเมตร เนื่องจากพลังงานจะลงไปทำงานในชั้นผิวที่ลึกกว่าโดยไม่กระทบเม็ดสีที่ผิวชั้นบน จึงช่วยลดความเสี่ยงในการเกิดรอยไหม้หรือรอยดำหลังทำ (PIH) ได้ดีที่สุด

ปัจจัยกำหนดราคาเลเซอร์หน้าใสและค่าใช้จ่ายโดยประมาณ

ราคาเฉลี่ยต่อครั้งของเลเซอร์แต่ละชนิด

ราคาเฉลี่ยต่อครั้งสำหรับ Pico laser อยู่ที่ประมาณ 3,000 – 15,000 บาท และ Q-switched laser อยู่ที่ประมาณ 2,000 – 5,000 บาท

โดยทั่วไป Pico laser ซึ่งเป็นเทคโนโลยีที่ใหม่กว่าจะมีราคาสูงกว่า ในขณะที่ Q-switched laser มีราคาที่เข้าถึงง่ายกว่าและเป็นที่นิยมอย่างแพร่หลาย อย่างไรก็ตาม ราคาอาจแตกต่างกันไปขึ้นอยู่กับชื่อเสียงของคลินิก รุ่นของเครื่องเลเซอร์ที่ใช้ และโปรโมชัน ณ ขณะนั้น

ราคาแบบคอร์สและการประเมินจำนวนครั้งที่ต้องทำ

ราคาเลเซอร์แบบคอร์สมักมีส่วนลดทำให้ราคาต่อครั้งถูกลง โดยจำนวนครั้งที่ต้องทำจะถูกประเมินตามสภาพและปัญหาผิวของแต่ละบุคคล คลินิกในไทยมักเสนอโปรโมชั่นและแพ็กเกจที่ช่วยลดค่าใช้จ่ายได้อย่างมาก

ราคาแบบคอร์ส (Package Deals):

  • Q-Switched Laser: มักมีแพ็กเกจ เช่น 3 ครั้งในราคาประมาณ 2,700–3,000 บาท ทำให้ราคาต่อครั้งเหลือเพียง 900–1,000 บาท
  • Pico Laser: แพ็กเกจสำหรับ Pico Laser อาจมีราคา เช่น 3 ครั้ง ราคา 25,000 บาท หรือ 34,900 บาท ขึ้นอยู่กับเครื่องและคลินิก

การประเมินจำนวนครั้งที่ต้องทำ:
จำนวนครั้งและระยะห่างในการทำเลเซอร์จะขึ้นอยู่กับปัญหาผิวที่ต้องการรักษา

  • ฝ้า (Melasma): โดยทั่วไปต้องทำต่อเนื่องประมาณ 5–10 ครั้ง โดยเว้นระยะห่างกัน 4 สัปดาห์
  • กระและจุดด่างดำจากแดด (Freckles/Sunspots): อาจเห็นผลชัดเจนใน 1–2 ครั้ง โดยเว้นระยะห่าง 2–4 สัปดาห์
  • รอยดำหลังการอักเสบ (PIH): สามารถจางลงได้ใน 1–3 ครั้ง โดยเว้นระยะห่าง 2–4 สัปดาห์
  • ปรับผิวให้กระจ่างใสโดยรวม (Laser Toning): มักแนะนำเป็นคอร์ส 5–10 ครั้ง โดยทำทุกๆ 1–2 สัปดาห์

ค่าใช้จ่ายอื่นๆ ที่อาจเกิดขึ้นในการรักษา

ค่าใช้จ่ายอื่นๆ ที่อาจเกิดขึ้นในการทำเลเซอร์หน้าใส ได้แก่ ค่าปรึกษาแพทย์ ค่ายาชา ค่าผลิตภัณฑ์ดูแลผิวหลังทำ และค่ายาหากเกิดภาวะแทรกซ้อน

นอกจากค่าเลเซอร์ต่อครั้งแล้ว ผู้ป่วยอาจมีค่าใช้จ่ายเพิ่มเติมดังนี้:

  • ค่าปรึกษาแพทย์: คลินิกส่วนใหญ่มักจะไม่มีค่าใช้จ่ายในส่วนนี้ แต่บางแห่งอาจมีค่าปรึกษาประมาณ 500–1,000 บาท
  • ยาชา: บางคลินิกรวมอยู่ในราคาแล้ว แต่บางแห่งอาจคิดค่าใช้จ่ายเพิ่มเติมประมาณ 300 บาท
  • ผลิตภัณฑ์ดูแลหลังเลเซอร์: ผู้ป่วยอาจต้องซื้อผลิตภัณฑ์ดูแลผิว เช่น มอยส์เจอไรเซอร์ หรือครีมทาหลังเลเซอร์เพิ่มเติม
  • การประกันสุขภาพ: การทำเลเซอร์เพื่อความงามไม่สามารถเบิกประกันสุขภาพในประเทศไทยได้ ผู้ป่วยต้องรับผิดชอบค่าใช้จ่ายทั้งหมดเอง
  • การผ่อนชำระ: หลายคลินิกมีโปรโมชั่นผ่อนชำระ 0% ผ่านบัตรเครดิตสำหรับแพ็กเกจการรักษา

ผลลัพธ์ที่คาดหวัง: ทำกี่ครั้งเห็นผลและอยู่ได้นานแค่ไหน

ระยะเวลาเห็นผลหลังทำเลเซอร์ครั้งแรก

โดยทั่วไป จะเริ่มเห็นผลลัพธ์ที่ชัดเจนขึ้นในเวลาไม่กี่สัปดาห์หลังการทำเลเซอร์ครั้งแรก

หลังการรักษาครั้งแรก บริเวณที่เป็นกระหรือฝ้าอาจมีสีเข้มขึ้นก่อน แล้วจึงค่อยๆ ตกสะเก็ดและหลุดลอกออกไปภายใน 1-2 สัปดาห์ เผยให้เห็นผิวที่สว่างขึ้น สำหรับการรักษาเพื่อปรับโทนผิวโดยรวม อาจสังเกตเห็นความกระจ่างใสเล็กน้อยได้ใน 7-10 วัน ในขณะที่การรักษาฝ้าอาจเห็นการเปลี่ยนแปลงที่ชัดเจนเมื่อผ่านไปประมาณ 4 สัปดาห์

การดูแลตัวเองหลังทำเพื่อผลลัพธ์ที่ดีที่สุด

การดูแลตัวเองหลังทำเลเซอร์ที่สำคัญที่สุดเพื่อให้ได้ผลลัพธ์ที่ดีคือการป้องกันแสงแดดอย่างเข้มงวด ควบคู่ไปกับการใช้ผลิตภัณฑ์บำรุงผิวที่เหมาะสมและปฏิบัติตามคำแนะนำของแพทย์อย่างเคร่งครัด

เพื่อเพิ่มประสิทธิภาพและรักษาผลลัพธ์จากการทำเลเซอร์ ควรปฏิบัติตามคำแนะนำต่อไปนี้:

  • ป้องกันแสงแดด: ทาครีมกันแดดที่มีค่า SPF 50+ ทุกวัน และหลีกเลี่ยงการโดนแดดโดยตรงเป็นเวลาอย่างน้อย 2-3 สัปดาห์หลังทำเลเซอร์ เพื่อป้องกันการกระตุ้นเม็ดสีและการเกิดรอยดำหลังการอักเสบ (PIH)
  • ใช้ผลิตภัณฑ์บำรุงผิวตามคำแนะนำ: การใช้ครีมลดเลือนฝ้า กระ (เช่น ไฮโดรควิโนน หรือเซรั่มทรานซามิค) ระหว่างการทำเลเซอร์แต่ละครั้ง จะช่วยเสริมประสิทธิภาพและลดการกลับมาของเม็ดสี
  • ดูแลผิวอย่างอ่อนโยน: ใช้มอยส์เจอไรเซอร์และผลิตภัณฑ์ทำความสะอาดที่อ่อนโยนเพื่อฟื้นฟูเกราะป้องกันผิว และควรหลีกเลี่ยงการใช้สครับ สารผลัดเซลล์ผิว หรือเรตินอยด์เป็นเวลา 1-2 สัปดาห์
  • ปฏิบัติตามคำแนะนำของแพทย์: หากเกิดภาวะรอยดำหลังการอักเสบ (PIH) แพทย์อาจสั่งยาเพื่อช่วยให้รอยจางลง การปฏิบัติตามคำแนะนำอย่างเคร่งครัดจะส่งผลอย่างมากต่อผลลัพธ์สุดท้าย

ความคงทนของผลลัพธ์และรอบการทำซ้ำ

ความคงทนของผลลัพธ์ขึ้นอยู่กับชนิดของรอยโรคและการดูแลตัวเองของผู้ป่วย โดยทั่วไปแนะนำให้ทำเลเซอร์ซ้ำเพื่อคงผลลัพธ์ทุกๆ 3-6 เดือน โดยเฉพาะในกรณีฝ้า (Melasma)

ความคงทนของผลลัพธ์จะแตกต่างกันไปในแต่ละสภาพผิว ดังนี้:

  • ฝ้า (Melasma): มีโอกาสกลับมาเป็นซ้ำสูง ผลลัพธ์มักจะคงอยู่ได้ประมาณ 3-6 เดือนก่อนที่เม็ดสีจะกลับมาทำงานอีกครั้งหากไม่ได้รับการดูแลต่อเนื่อง
  • กระและจุดด่างดำจากแสงแดด (Freckles/Sun spots): มักจะหายไปในระยะยาวหากหลีกเลี่ยงแสงแดดอย่างเคร่งครัด แต่ก็อาจเกิดจุดใหม่ขึ้นได้
  • รอยดำหลังการอักเสบ (PIH): เมื่อหายแล้วมักจะไม่กลับมา ตราบใดที่สาเหตุหลัก (เช่น สิว) ถูกควบคุมได้

การป้องกันแสงแดดอย่างสม่ำเสมอและการใช้ผลิตภัณฑ์บำรุงผิวที่ช่วยยับยั้งเม็ดสีเป็นสิ่งสำคัญอย่างยิ่งในการยืดอายุผลลัพธ์ให้นานที่สุด

คำถามที่พบบ่อยเกี่ยวกับเลเซอร์หน้าใส (FAQ)

ทำเลเซอร์หน้าใสต้องพักฟื้นนานแค่ไหน?

โดยทั่วไปแล้ว เลเซอร์หน้าใสแทบไม่ต้องพักฟื้น และสามารถกลับไปใช้ชีวิตประจำวันได้ตามปกติทันที

อย่างไรก็ตาม หลังทำเลเซอร์อาจมีผลข้างเคียงเล็กน้อยที่ควรทราบ:

  • อาการบวมแดง: ผิวอาจมีรอยแดงหรือบวมเล็กน้อยคล้ายโดนแดด ซึ่งมักจะหายไปเองภายในไม่กี่ชั่วโมงถึง 1-2 วัน
  • สะเก็ด: บริเวณที่ยิงเลเซอร์ เช่น กระ หรือจุดด่างดำ อาจมีสีเข้มขึ้นและตกสะเก็ดบางๆ ซึ่งจะหลุดลอกออกไปเองภายใน 7-10 วัน

แม้จะไม่ต้องหยุดงานหรือพักผ่อนเป็นพิเศษ แต่จำเป็นต้องดูแลผิวและหลีกเลี่ยงแสงแดดอย่างเคร่งครัดเพื่อผลลัพธ์ที่ดีที่สุด

เลเซอร์หน้าใสเหมาะกับทุกสภาพผิวหรือไม่?

เลเซอร์หน้าใส สามารถทำได้กับทุกสภาพผิว แต่จำเป็นต้องปรับชนิดของเลเซอร์และตั้งค่าพลังงานให้เหมาะสมกับสีผิวของแต่ละบุคคล

โดยทั่วไปแล้ว ผู้ที่มีผิวขาว (Fitzpatrick I–III) จะทนต่อเลเซอร์ได้ดีและเห็นผลลัพธ์ได้เร็วกว่า ในขณะที่ผู้ที่มีผิวคล้ำ (Fitzpatrick IV–VI) มีความเสี่ยงสูงที่จะเกิดรอยดำหลังทำเลเซอร์ (Post-Inflammatory Hyperpigmentation หรือ PIH) เนื่องจากมีเม็ดสีในผิวมากกว่า ดังนั้น แพทย์จึงมักเลือกใช้เลเซอร์ที่มีความยาวคลื่น 1064 นาโนเมตร (Nd:YAG) ซึ่งปลอดภัยกว่าสำหรับผิวคล้ำ และต้องทำอย่างค่อยเป็นค่อยไปโดยใช้พลังงานที่ต่ำกว่า

ผลลัพธ์ของเลเซอร์หน้าใสอยู่ได้นานเท่าไหร่?

ผลลัพธ์ของเลเซอร์หน้าใสจะอยู่ได้นานแตกต่างกันไป ขึ้นอยู่กับปัญหาผิวที่ทำการรักษาและการดูแลผิวหลังทำ โดยเฉพาะการป้องกันแสงแดด

ระยะเวลาของผลลัพธ์สำหรับปัญหาผิวแต่ละประเภทมีดังนี้

  • ฝ้า (Melasma): มีโอกาสกลับมาเป็นซ้ำได้ง่าย ผลลัพธ์มักจะอยู่ได้ประมาณ 3-6 เดือนก่อนที่เม็ดสีจะเริ่มกลับมาทำงานอีกครั้ง จึงจำเป็นต้องมีการทำเลเซอร์เพื่อคงสภาพผิว (maintenance) หรือใช้ยาทาอย่างต่อเนื่อง
  • กระและจุดด่างดำจากแดด (Freckles and Sun Spots): หากกำจัดออกไปหมดแล้ว ผลลัพธ์จะอยู่ได้ค่อนข้างถาวร แต่ต้องหลีกเลี่ยงแสงแดดอย่างเคร่งครัด เพราะการโดนแดดอีกอาจทำให้เกิดจุดใหม่ขึ้นได้
  • รอยดำหลังการอักเสบ (PIH): เช่น รอยสิว เมื่อหายแล้วมักจะไม่กลับมาอีก ตราบใดที่ควบคุมสาเหตุ (เช่น สิว) ไม่ให้เกิดขึ้นใหม่ได้

โดยสรุป การดูแลผิวอย่างสม่ำเสมอ เช่น การทาครีมกันแดดทุกวันและการทำเลเซอร์เพื่อคงสภาพผิวเป็นครั้งคราว จะช่วยยืดอายุผลลัพธ์ให้อยู่ได้นานที่สุด

เลเซอร์หน้าใสช่วยเรื่องอะไรได้บ้าง?

เลเซอร์หน้าใสช่วยรักษาปัญหาเม็ดสีส่วนเกิน (hyperpigmentation) และปรับสีผิวให้สม่ำเสมอ โดยเลเซอร์จะเข้าไปทำลายเม็ดสีเมลานินที่ผิดปกติ ทำให้จุดด่างดำจางลงและผิวโดยรวมดูกระจ่างใสขึ้น

ภาวะที่สามารถรักษาได้ด้วยเลเซอร์หน้าใส ได้แก่:

  • ฝ้า (Melasma)
  • กระ กระแดด และจุดด่างดำจากแสงแดด (Freckles, solar lentigines, sun spots)
  • รอยดำหลังการอักเสบ เช่น รอยสิว หรือรอยแผลเป็น (Post-inflammatory hyperpigmentation)
  • สีผิวที่ไม่สม่ำเสมอและหมองคล้ำ (Uneven skin tone and dullness)
  • ปานบางชนิด เช่น ปานโอตะ (Certain birthmarks like nevus of Ota)
  • นอกจากนี้ เลเซอร์บางชนิดอย่างพิโคเลเซอร์ (picosecond laser) ยังสามารถกระตุ้นคอลลาเจนเพื่อฟื้นฟูผิวและรักษารอยแผลเป็นจากสิวได้อีกด้วย

ต้องทำเลเซอร์หน้าใสกี่ครั้งถึงจะเห็นผล?

โดยทั่วไปแล้ว ต้องทำเลเซอร์ประมาณ 3-6 ครั้งจึงจะเห็นผลลัพธ์ที่ชัดเจน แต่ผิวจะเริ่มดีขึ้นตั้งแต่ครั้งแรก และจะเห็นการเปลี่ยนแปลงที่ชัดเจนยิ่งขึ้นเมื่อทำไปแล้ว 2-3 ครั้ง

ทั้งนี้ จำนวนครั้งที่แน่นอนจะขึ้นอยู่กับสภาพผิวและปัญหาที่ต้องการรักษา เช่น

  • กระและจุดด่างดำ: อาจเห็นผลใน 1-2 ครั้ง
  • รอยสิว (PIH): อาจจางลงใน 1-3 ครั้ง
  • ฝ้า: อาจต้องทำต่อเนื่อง 5-10 ครั้ง

References:

  1. American Academy of Dermatology. Laser treatment for pigmentation: What to expect. American Academy of Dermatology. aad.org
  2. Gaffey, M. M., & Johnson, A. B. Laser Treatment of Pigmented Lesions. StatPearls (NCBI Bookshelf). ncbi.nlm.nih.gov
  3. Barsoum, R. Laser therapy in skin of colour. DermNet New Zealand. dermnetnz.org
  4. Lee, S. J., Kim, D. G., Nam, S. M., Cha, H. G., & Park, E. S. Effectiveness of 250‑picosecond laser for the treatment of melasma and pigmented lesions with a low fluence 1,064‑nm Nd:YAG laser in Republic of Korea: Retrospective study. Medical Lasers. kci.go.kr
  5. Liang, S., Shang, S., Zhang, W., Tan, A., et al. Comparison of the efficacy and safety of picosecond Nd:YAG laser, picosecond alexandrite laser and 2% hydroquinone cream in the treatment of melasma: A randomized controlled trial. Frontiers in Medicine (Dermatology). frontiersin.org
  6. Lubarski, K., & Jalowska, M. Lasers’ Q-switched treatment in skin and subcutaneous lesions – review. Advances in Dermatology and Allergology. pmc.ncbi.nlm.nih.gov
  7. Vocke, S., Potiwihok, J., & Rümmelein, C. B. Versatile use of picosecond lasers. Universimed Plastische Chirurgie. universimed.com
  8. Grand View Research. Picosecond Lasers Market Size, Share & Growth Report, 2030. Grand View Research. grandviewresearch.com

แนะแนวเรื่อง

Previous Previous
เลเซอร์ฝ้า vs ฉีดฝ้า: แบบไหนดีกว่ากัน? ข้อดี-ข้อเสียครบ
NextContinue
IPL กับ YAG คืออะไร ต่างกันอย่างไร แบบไหนดีกว่ากัน?

สาขาพรีวาโต คลินิก

    สาขาอโศก ตั้งอยู่ที่ ชั้น 2 อาคารมิดทาวน์
    Phone: 02-258-4050 , 081-841-5075
    สาขาสีลม ตั้งอยู่ที่ ชั้น 1 อาคารซี.พี.ทาวเวอร์
    Phone: 02-780-2011 , 098-272-5244
    สาขาราชพฤกษ์ ตั้งอยู่ที่ ชั้น 2 ศูนย์การค้า เดอะคริสตัล เอสบี (ด้านบนร้านสตาร์บัคส์)
    Phone: 02-102-2778 , 098-272-5244

ติดต่อเรา

    Facebook: Privato Clinic
    Messenger: Privato Clinic
    Instagram: privatoclinic
    Email: privatoclinic@gmail.com
    Line: @privatoclinic

Copyright© 2022-2024. All Rights Reserved

Scroll to top
  • หน้าหลัก
  • เกี่ยวกับพรีวาโต
  • บริการทั้งหมด
    • ชะลอวัย
    • ยกกระชับผิว
      • XERF
      • Potenza
      • Sofwave
      • Ulthera
      • Thermage-FLX
    • รักษาสิว
    • เลเซอร์
    • โปรแกรมฉีด
    • บำรุงผิว
  • บทความ
    • สิว
    • ยกกระชับ
    • ดูแลผิว
    • ทำเลเซอร์
  • ผลิตภัณฑ์ดูแลผิว
  • โปรโมชั่น
  • ผลลัพธ์การรักษา
  • วิดีโอรีวิวจากเคสจริง
  • สาขาของเรา
  • ไทย
    • ไทย
    • English
    • 中文 (中国)
  • ปรึกษาแพทย์
Facebook Instagram YouTube