Skip to content

TEL : 081-841-5075, 02-258-4050

Facebook Instagram YouTube
Privato Clinic – Innovation Of Beauty  |  Bangkok
  • หน้าหลัก
  • เกี่ยวกับพรีวาโต
  • บริการทั้งหมดExpand
    • ชะลอวัย
    • ยกกระชับผิวExpand
      • XERF
      • Potenza
      • Sofwave
      • Ulthera
      • Thermage-FLX
    • รักษาสิว
    • เลเซอร์
    • โปรแกรมฉีด
    • บำรุงผิว
  • บทความExpand
    • สิว
    • ยกกระชับ
    • ดูแลผิว
    • ทำเลเซอร์
  • ผลิตภัณฑ์ดูแลผิว
  • โปรโมชั่น
  • ผลลัพธ์การรักษา
  • วิดีโอรีวิวจากเคสจริง
  • สาขาของเรา
  • ไทยExpand
    • ไทย
    • English
    • 中文 (中国)
  • ปรึกษาแพทย์
Privato Clinic – Innovation Of Beauty  |  Bangkok
Consult a Doctor
Laser

เลเซอร์ฝ้า vs ฉีดฝ้า: แบบไหนดีกว่ากัน? ข้อดี-ข้อเสียครบ

Byadmin ตุลาคม 30, 2025
By นายแพทย์พนิต อุนรัตน์ Updated on ตุลาคม 30, 2025
✦ Medically reviewed by  นายแพทย์เลอพงษ์ กรุดเงิน
เลเซอร์ฝ้า vs ฉีดฝ้า: แบบไหนดีกว่ากัน? ข้อดี-ข้อเสียครบ

Table of Contents

Toggle
  • เลเซอร์ฝ้า และ ฉีดฝ้า คืออะไร ทำงานต่างกันอย่างไร
    • หลักการทำงานของเลเซอร์ในการรักษาฝ้า
    • หลักการทำงานของการฉีดสลายฝ้า
  • ใครเหมาะกับเลเซอร์ฝ้า และใครเหมาะกับการฉีดฝ้า
    • ลักษณะฝ้าและสภาพผิวที่เหมาะกับการทำเลเซอร์
    • ลักษณะฝ้าและสภาพผิวที่เหมาะกับการฉีด
  • เปรียบเทียบเลเซอร์ฝ้า vs ฉีดฝ้า ในแต่ละมิติ
    • ด้านประสิทธิภาพการลดเลือนฝ้า
    • ด้านจำนวนครั้งและระยะเวลาเห็นผล
    • ด้านความรู้สึกระหว่างทำและระยะพักฟื้น
    • ด้านค่าใช้จ่ายและราคาโดยประมาณ
  • ผลข้างเคียงและความเสี่ยงที่ต้องรู้ของแต่ละวิธี
    • ความเสี่ยงและข้อควรระวังของเลเซอร์ฝ้า
    • ความเสี่ยงและข้อควรระวังของการฉีดฝ้า
  • ก่อนตัดสินใจ: ปัจจัยสำคัญในการเลือกวิธีรักษาฝ้า
    • การประเมินประเภทและความลึกของฝ้า
    • ความคาดหวังต่อผลลัพธ์และระยะเวลา
    • การเลือกคลินิกและแพทย์ผู้เชี่ยวชาญ
  • ความเข้าใจผิดที่พบบ่อยเกี่ยวกับการรักษาฝ้าด้วยเลเซอร์
  • คำถามที่พบบ่อยเกี่ยวกับการรักษาฝ้า
    • ทำเลเซอร์ฝ้าเจ็บไหม?
    • รักษาฝ้าด้วยเลเซอร์แล้วจะกลับมาเป็นอีกหรือไม่?
    • ต้องทำเลเซอร์หรือฉีดฝ้ากี่ครั้งถึงจะเห็นผล?
    • ระหว่างเลเซอร์กับฉีดฝ้า วิธีไหนเห็นผลเร็วกว่ากัน?
    • หลังทำเลเซอร์ฝ้าต้องดูแลผิวเป็นพิเศษอย่างไร?
    • ใครบ้างที่ไม่ควรทำเลเซอร์รักษาฝ้า?
  • References:

เลเซอร์ฝ้า และ ฉีดฝ้า คืออะไร ทำงานต่างกันอย่างไร

เลเซอร์ฝ้าคือการใช้พลังงานแสงทำลายเม็ดสีที่มีอยู่แล้วให้แตกตัว ส่วนการฉีดฝ้าคือการใช้ยาเข้าไปยับยั้งกระบวนการสร้างเม็ดสีใหม่ ซึ่งทั้งสองวิธีมีกลไกการทำงานที่แตกต่างกันโดยสิ้นเชิง

  • เลเซอร์ฝ้า (Laser Treatment): เป็นการรักษาเชิงกายภาพ โดยใช้พลังงานแสงเลเซอร์ยิงไปที่เม็ดสีเมลานินโดยตรง ทำให้เม็ดสีแตกตัวออกเป็นอนุภาคเล็กๆ จากนั้นเม็ดเลือดขาวและระบบน้ำเหลืองของร่างกายจะเข้ามาเก็บกินและกำจัดเม็ดสีที่แตกตัวเหล่านั้นออกไป เป็นการกำจัดเม็ดสีเก่าที่มีอยู่แล้ว
  • ฉีดฝ้า (Injection Treatment): เป็นการรักษาเชิงชีวเคมี โดยฉีดตัวยา เช่น กรดทรานซามิก (Tranexamic Acid) เข้าไปในชั้นผิวหนังบริเวณที่เป็นฝ้า ตัวยาจะออกฤทธิ์ยับยั้งกระบวนการสร้างเม็ดสี โดยไปลดการอักเสบและลดการส่งสัญญาณที่กระตุ้นให้เซลล์สร้างเม็ดสี (Melanocyte) ทำงานผิดปกติ ทำให้การผลิตเม็ดสีใหม่ลดลง

หลักการทำงานของเลเซอร์ในการรักษาฝ้า

เลเซอร์รักษาฝ้าโดยใช้หลักการสลายเม็ดสีด้วยความร้อนแบบจำเพาะเจาะจง (Selective Photothermolysis) ซึ่งเป็นการส่งพลังงานแสงเลเซอร์ไปจับกับเม็ดสีเมลานินโดยเฉพาะ ทำให้เม็ดสีแตกตัวออกเป็นอนุภาคเล็กๆ โดยไม่ทำลายเนื้อเยื่อผิวหนังโดยรอบ จากนั้นเซลล์เม็ดเลือดขาวจะเข้ามาเก็บกินและกำจัดเม็ดสีที่แตกตัวเหล่านี้ออกไป

หลักการทำงานของเลเซอร์แต่ละชนิดมีความแตกต่างกันเล็กน้อย:

  • Q-switched Lasers: ใช้พลังงานความร้อนสูงในช่วงเวลาสั้นระดับนาโนวินาที (Nanosecond) ทำให้เม็ดสีแตกตัวจากความร้อน
  • Picosecond Lasers: ใช้พลังงานในช่วงเวลาที่สั้นกว่ามากระดับพิโควินาที (Picosecond) ทำให้เกิดแรงกระแทก (Photoacoustic) สลายเม็ดสีโดยใช้ความร้อนน้อยกว่า ซึ่งช่วยลดความเสียหายต่อผิวข้างเคียง

หลักการทำงานของการฉีดสลายฝ้า

การฉีดสลายฝ้าทำงานโดยใช้ตัวยาเข้าไปยับยั้งกระบวนการสร้างเม็ดสีเมลานินในระดับเซลล์ และลดปัจจัยกระตุ้นอื่นๆ เช่น การอักเสบและเส้นเลือดฝอย โดยไม่ได้ทำลายเซลล์สร้างเม็ดสีโดยตรง

กลไกการทำงานของส่วนประกอบหลักที่ใช้ในการฉีดรักษาฝ้ามีดังนี้:

  • Tranexamic Acid (TXA): เป็นตัวยาหลักที่ช่วยยับยั้งระบบพลาสมิโนเจน-พลาสมิน (plasminogen-plasmin system) ซึ่งช่วยลดการหลั่งสารกระตุ้นการอักเสบ (เช่น พรอสตาแกลนดิน) ที่ไปกระตุ้นเอนไซม์ไทโรซิเนส (tyrosinase) ในเซลล์สร้างเม็ดสี นอกจากนี้ยังช่วยลดการสร้างเส้นเลือดฝอยในบริเวณฝ้าอีกด้วย
  • Glutathione: ทำหน้าที่ยับยั้งเอนไซม์ไทโรซิเนสโดยตรง และปรับเปลี่ยนการสร้างเม็ดสีจากยูเมลานิน (eumelanin) ที่มีสีเข้มไปเป็นฟีโอเมลานิน (pheomelanin) ที่มีสีอ่อนกว่า นอกจากนี้ยังเป็นสารต้านอนุมูลอิสระที่ช่วยลดการสร้างเม็ดสีจากความเครียดออกซิเดชัน
  • Vitamin C (Ascorbic Acid): เป็นสารต้านอนุมูลอิสระที่ช่วยยับยั้งเอนไซม์ไทโรซิเนส และยังสามารถเปลี่ยนเม็ดสีที่ถูกออกซิไดซ์แล้ว (มีสีเข้ม) ให้กลับไปอยู่ในรูปที่ไม่มีสีได้

ใครเหมาะกับเลเซอร์ฝ้า และใครเหมาะกับการฉีดฝ้า

ลักษณะฝ้าและสภาพผิวที่เหมาะกับการทำเลเซอร์

ผู้ที่มีฝ้าชนิดตื้น (Epidermal melasma) และมีสีผิวขาวถึงปานกลาง (Fitzpatrick I-III) เป็นผู้ที่เหมาะกับการรักษาฝ้าด้วยเลเซอร์มากที่สุด เนื่องจากมีความเสี่ยงต่ำที่จะเกิดรอยดำหลังการรักษา (Post-inflammatory hyperpigmentation)

นอกจากนี้ ผู้ที่เหมาะกับการทำเลเซอร์ควรมีลักษณะดังนี้:

  • เป็นฝ้าที่เคยรักษาด้วยยาทาแล้วแต่ผลลัพธ์ยังไม่เป็นที่พอใจ
  • ฝ้าอยู่ในระยะคงที่ ไม่ได้กำลังลุกลามอย่างรวดเร็ว
  • มีความคาดหวังต่อผลการรักษาที่สมเหตุสมผล และพร้อมที่จะดูแลตัวเองหลังทำเลเซอร์ โดยเฉพาะการหลีกเลี่ยงแสงแดดอย่างเคร่งครัด
  • ไม่มีข้อห้ามในการทำเลเซอร์ เช่น กำลังใช้ยา Isotretinoin หรือมีการติดเชื้อที่ผิวหนังบริเวณที่จะทำ

ลักษณะฝ้าและสภาพผิวที่เหมาะกับการฉีด

การรักษาฝ้าด้วยการฉีด เหมาะกับฝ้าทุกชนิด ทั้งฝ้าตื้น ฝ้าลึก และฝ้าผสม โดยเฉพาะฝ้าดื้อยา ฝ้าที่มีเส้นเลือดปน หรือในผู้ที่มีสีผิวเข้ม

การฉีดสารกลุ่ม Tranexamic Acid (TXA) มีความปลอดภัยสูงและสามารถใช้ได้กับสภาพผิวและลักษณะฝ้าที่หลากหลาย ดังนี้

  • ผู้ที่มีสีผิวเข้ม (Fitzpatrick IV–VI): การฉีดเป็นทางเลือกที่ปลอดภัยกว่าเลเซอร์ เนื่องจากไม่ใช้ความร้อนหรือแสง จึงช่วยลดความเสี่ยงของการเกิดรอยดำหลังการอักเสบ (PIH)
  • ฝ้าที่มีเส้นเลือดฝอยปน (Vascular Component): ตัวยา TXA มีฤทธิ์ช่วยลดการสร้างเส้นเลือดใหม่ จึงสามารถลดรอยแดงที่ปนอยู่ในฝ้าได้ดี ซึ่งเป็นสิ่งที่เลเซอร์รักษาฝ้าโดยตรงทำไม่ได้
  • ฝ้าดื้อยาหรือกลับมาเป็นซ้ำ: เหมาะสำหรับผู้ที่เคยรักษาด้วยวิธีอื่น เช่น เลเซอร์หรือยาทา แล้วผลการรักษาไม่เป็นที่น่าพอใจหรือฝ้ากลับมาเป็นซ้ำ
  • ผู้ที่ไม่สามารถทนต่อยาทาได้: สำหรับผู้ที่มีผิวบอบบางและเกิดการระคายเคืองจากยาทาฝ้ากลุ่ม Hydroquinone การฉีดจึงเป็นอีกทางเลือกหนึ่ง

เปรียบเทียบเลเซอร์ฝ้า vs ฉีดฝ้า ในแต่ละมิติ

ด้านประสิทธิภาพการลดเลือนฝ้า

การรักษาด้วยเลเซอร์มักให้ผลลัพธ์ในการลดเลือนเม็ดสีที่รวดเร็วและชัดเจนกว่าในช่วงแรก ในขณะที่การฉีดจะให้ผลลัพธ์ที่ดีขึ้นอย่างค่อยเป็นค่อยไปแต่สม่ำเสมอ โดยประสิทธิภาพของแต่ละวิธีมีรายละเอียดดังนี้

  • ประสิทธิภาพของเลเซอร์: การรักษาด้วยเลเซอร์ เช่น Low-fluence Q-switched Nd:YAG สามารถลดค่าดัชนีความรุนแรงของฝ้า (MASI score) ได้ประมาณ 50% หรือมากกว่า ผู้ป่วยส่วนใหญ่จะเห็นว่าฝ้าจางลง 50-75% และถือเป็นวิธีที่เห็นผลเร็วในช่วงแรก อย่างไรก็ตาม ฝ้ามีโอกาสกลับมาเป็นซ้ำได้สูงหากไม่ได้รับการรักษาต่อเนื่อง
  • ประสิทธิภาพของการฉีด: การฉีด Tranexamic acid (TXA) ให้ผลการรักษาที่ดีขึ้นประมาณ 30-50% ในช่วงเวลา 2-3 เดือน จุดเด่นคือการยับยั้งการเกิดฝ้าใหม่มากกว่าการกำจัดฝ้าอย่างรวดเร็ว
  • ระยะเวลาเห็นผล: โดยทั่วไปเลเซอร์จะเห็นผลเร็วภายใน 2-4 สัปดาห์ ในขณะที่การฉีดจะเริ่มเห็นผลชัดเจนเมื่อผ่านไป 8-12 สัปดาห์
  • ประสิทธิภาพตามชนิดของฝ้า: สำหรับฝ้าตื้น (Epidermal melasma) ทั้งสองวิธีได้ผลดี แต่เลเซอร์อาจเร็วกว่า ส่วนฝ้าลึก (Dermal melasma) จะดื้อต่อการรักษาทั้งสองวิธีและมักต้องใช้การรักษาร่วมกันเพื่อให้ได้ผลลัพธ์ที่ดีที่สุด

ด้านจำนวนครั้งและระยะเวลาเห็นผล

โดยทั่วไป การรักษาฝ้าด้วยเลเซอร์จะเห็นผลเร็วกว่าการฉีด แต่ทั้งสองวิธีต้องทำต่อเนื่องหลายครั้ง

  • เลเซอร์: มักจะเห็นการเปลี่ยนแปลงที่สังเกตได้ภายใน 2-4 สัปดาห์ (หลังทำ 1-3 ครั้ง) โดยคอร์สการรักษาที่สมบูรณ์อาจต้องทำ 3-12 ครั้ง ขึ้นอยู่กับชนิดของเลเซอร์
  • การฉีด: จะเห็นผลแบบค่อยเป็นค่อยไป โดยมักจะเริ่มเห็นผลชัดเจนขึ้นในช่วง 4-8 สัปดาห์ และจะเห็นผลเต็มที่เมื่อผ่านไป 2-3 เดือน ซึ่งคอร์สการรักษาโดยทั่วไปจะอยู่ที่ 4-12 ครั้ง

ด้านความรู้สึกระหว่างทำและระยะพักฟื้น

การรักษาฝ้าด้วยเลเซอร์ มักจะเจ็บกว่าและมีระยะพักฟื้นนานกว่า เมื่อเทียบกับการฉีดเมโสฝ้าซึ่งเจ็บน้อยกว่าและแทบไม่ต้องพักฟื้น

  • เลเซอร์ (Laser)
  • ความรู้สึก: ให้ความรู้สึกเหมือนโดนยางดีดเบาๆ บนผิว (ระดับความเจ็บ 3-5/10) ซึ่งสามารถใช้ยาชาทาเฉพาะที่เพื่อลดความเจ็บได้
  • การพักฟื้น: หลังทำจะมีรอยแดงและบวมเล็กน้อยซึ่งจะหายไปในไม่กี่ชั่วโมงถึง 1 วัน ในบางกรณีฝ้าอาจมีสีเข้มขึ้นหรือเกิดเป็นสะเก็ดบางๆ ซึ่งจะหลุดลอกออกไปเองใน 5-7 วัน ระยะเวลาพักฟื้นมีตั้งแต่ไม่ต้องพักฟื้นเลย (สำหรับเลเซอร์พลังงานต่ำ) ไปจนถึง 3-5 วัน (สำหรับเลเซอร์กลุ่ม Fractional)
  • การฉีดเมโส (Injection)
  • ความรู้สึก: รู้สึกเหมือนมดกัดหรือโดนเข็มเล็กๆ จิ้มหลายๆ ครั้ง (ระดับความเจ็บ 1-3/10) ซึ่งการทายาชาจะช่วยให้แทบไม่รู้สึกเจ็บ
  • การพักฟื้น: หลังทำอาจมีตุ่มนูนเล็กน้อยตรงรอยเข็มซึ่งจะยุบไปเองใน 1 ชั่วโมง และอาจมีรอยช้ำหรือรอยแดงเล็กๆ ที่หายได้เองใน 2-3 วัน โดยแทบไม่มีระยะเวลาพักฟื้น สามารถกลับไปใช้ชีวิตประจำวันได้ทันที

ด้านค่าใช้จ่ายและราคาโดยประมาณ

โดยทั่วไป การรักษาฝ้าด้วยเลเซอร์ในประเทศไทยมีค่าใช้จ่ายประมาณ 1,000–10,000 บาทต่อครั้ง ในขณะที่การฉีดเมโสฝ้ามีราคาประมาณ 3,000–5,000 บาทต่อครั้ง โดยราคาจะแตกต่างกันไปขึ้นอยู่กับประเภทของเทคโนโลยีและคลินิกที่ให้บริการ

  • ค่าใช้จ่ายในการทำเลเซอร์:
  • Q-switched laser: เป็นเลเซอร์พื้นฐานที่มีราคาไม่แพงนัก อยู่ที่ประมาณ 1,000–5,000 บาทต่อครั้ง
  • Picosecond laser (Pico): เป็นเทคโนโลยีที่ใหม่กว่าและมีราคาสูงกว่า โดยเฉลี่ยอยู่ที่ 3,000–10,000 บาทต่อครั้ง
  • ค่าใช้จ่ายในการฉีดเมโสฝ้า:
  • การฉีดเมโสด้วยตัวยา Tranexamic Acid (TXA) โดยทั่วไปมีค่าใช้จ่ายประมาณ 3,000–5,000 บาทต่อครั้ง
  • หากเป็นสูตรค็อกเทลที่มีส่วนผสมหลายอย่างหรือเป็นแบรนด์เฉพาะทาง ราคาอาจสูงถึง 9,000 บาทต่อครั้ง

คลินิกส่วนใหญ่มักเสนอราคาแบบแพ็กเกจ ซึ่งจะทำให้ราคาต่อครั้งถูกลงอย่างมาก โดยค่าใช้จ่ายรวมสำหรับคอร์สการรักษาฝ้าทั้งหมดอาจอยู่ระหว่าง 10,000 บาท ไปจนถึง 40,000 บาทขึ้นไป ขึ้นอยู่กับวิธีการรักษา จำนวนครั้ง และโปรโมชันของแต่ละคลินิก

ผลข้างเคียงและความเสี่ยงที่ต้องรู้ของแต่ละวิธี

ความเสี่ยงและข้อควรระวังของเลเซอร์ฝ้า

ความเสี่ยงหลักของเลเซอร์ฝ้าคือ การเปลี่ยนแปลงของเม็ดสี เช่น ฝ้าเข้มขึ้นชั่วคราว (PIH) หรือเกิดจุดด่างขาว และในกรณีที่พบได้ยากอาจเกิดแผลไหม้หรือรอยแผลเป็นได้ ส่วนข้อควรระวังที่สำคัญที่สุดคือการป้องกันแสงแดดอย่างเคร่งครัด

ผลข้างเคียงที่พบบ่อย:

  • ฝ้าเข้มขึ้นหลังทำ (Post-inflammatory hyperpigmentation – PIH): เป็นผลข้างเคียงที่พบบ่อยที่สุด โดยเฉพาะในผู้ที่มีผิวคล้ำ ซึ่งโดยทั่วไปมักเป็นเพียงชั่วคราว
  • รอยแดงและอาการบวม: เกิดขึ้นทันทีหลังทำและมักหายไปในไม่กี่ชั่วโมงถึง 2-3 วัน
  • สะเก็ดขนาดเล็ก: ผิวบริเวณที่ทำเลเซอร์อาจมีสีเข้มขึ้นและเกิดเป็นสะเก็ดบางๆ ซึ่งจะหลุดลอกออกไปเองใน 5-7 วัน
  • จุดด่างขาว (Hypopigmentation): อาจเกิดจุดขาวเล็กๆ ซึ่งส่วนใหญ่มักจะหายได้เองเมื่อเวลาผ่านไป

ภาวะแทรกซ้อนที่รุนแรง (พบได้น้อย):

  • แผลไหม้และรอยแผลเป็น: เกิดจากการใช้พลังงานเลเซอร์ที่ไม่เหมาะสมหรือสูงเกินไป
  • ฝ้าแย่ลง: ในบางกรณี ฝ้าอาจมีสีเข้มขึ้นหรือขยายวงกว้างกว่าเดิม
  • การติดเชื้อ: มีความเสี่ยงต่ำ แต่สามารถเกิดขึ้นได้หากผิวหนังเกิดแผลเปิด

ข้อควรระวังและปัจจัยเสี่ยง:

  • การป้องกันแสงแดด: เป็นข้อควรระวังที่สำคัญที่สุด ต้องทาครีมกันแดด SPF 50+ อย่างสม่ำเสมอและหลีกเลี่ยงแสงแดดจัด เพื่อป้องกันฝ้ากลับมาเข้มขึ้นและลดความเสี่ยงของ PIH
  • สีผิว: ผู้ที่มีผิวคล้ำ (Fitzpatrick IV–VI) มีความเสี่ยงต่อการเกิด PIH สูงกว่า จึงต้องใช้เลเซอร์อย่างระมัดระวังเป็นพิเศษ
  • การเลือกชนิดเลเซอร์และพลังงาน: ควรเลือกใช้เลเซอร์ที่เหมาะสมกับสภาพผิว เช่น เลเซอร์ชนิด Q-switched Nd:YAG 1064nm ที่พลังงานต่ำ จะปลอดภัยสำหรับผิวคนเอเชียมากกว่า
  • ความชำนาญของแพทย์: การเลือกแพทย์ที่มีประสบการณ์และความเชี่ยวชาญในการรักษาฝ้าเป็นปัจจัยสำคัญในการลดความเสี่ยงต่างๆ

ความเสี่ยงและข้อควรระวังของการฉีดฝ้า

การฉีดรักษามีความเสี่ยงต่ำ โดยผลข้างเคียงส่วนใหญ่มักเป็นอาการเฉพาะที่และไม่รุนแรง แต่มีข้อควรระวังที่สำคัญในผู้ที่มีประวัติเกี่ยวกับลิ่มเลือดอุดตัน

ความเสี่ยงและข้อควรระวังที่สำคัญ ได้แก่

  • ผลข้างเคียงที่พบบ่อย:
  • ปฏิกิริยาเฉพาะที่: อาจเกิดรอยแดง บวม หรือตุ่มเล็กๆ บริเวณที่ฉีด ซึ่งมักจะหายไปเองภายในไม่กี่ชั่วโมง
  • รอยช้ำ: เป็นอาการที่พบได้บ่อยที่สุด โดยอาจเกิดรอยช้ำเล็กๆ หรือจุดเลือดออกใต้ผิวหนัง ซึ่งจะจางลงภายใน 3-7 วัน
  • อาการเจ็บหรือแสบ: รู้สึกเจ็บหรือแสบเล็กน้อยเหมือนมดกัดขณะฉีด แต่จะหายไปอย่างรวดเร็ว
  • ภาวะแทรกซ้อนที่รุนแรง (พบได้น้อยมาก):
  • ภาวะลิ่มเลือดอุดตัน: เป็นความเสี่ยงทางทฤษฎีของการใช้กรดทรานเอกซามิก (Tranexamic Acid) แต่ยังไม่มีรายงานจากปริมาณยาที่ใช้ในการฉีดเมโสเฉพาะที่ เนื่องจากยาจะถูกดูดซึมเข้าสู่กระแสเลือดน้อยมาก
  • ปฏิกิริยาแพ้: มีโอกาสเกิดขึ้นได้แต่น้อยมาก
  • การติดเชื้อ: สามารถเกิดขึ้นได้หากไม่ใช้เทคนิคที่ปลอดเชื้อ
  • ข้อห้ามและข้อควรระวัง:
  • ผู้ที่มีประวัติส่วนตัวหรือในครอบครัวเกี่ยวกับภาวะลิ่มเลือดอุดตัน (Thrombosis) ถือเป็นข้อห้ามเด็ดขาดสำหรับการใช้กรดทรานเอกซามิก
  • ผู้ที่กำลังใช้ยาต้านการแข็งตัวของเลือด
  • สตรีมีครรภ์และให้นมบุตร
  • ผู้ที่มีการติดเชื้อหรือการอักเสบของผิวหนังในบริเวณที่จะทำการรักษา

ก่อนตัดสินใจ: ปัจจัยสำคัญในการเลือกวิธีรักษาฝ้า

การประเมินประเภทและความลึกของฝ้า

การประเมินประเภทและความลึกของฝ้าทำได้โดยการใช้ไฟวูดส์แลมป์ (Wood’s lamp) และกล้องเดอร์มาโตสโคป (Dermatoscopy) ร่วมกับการซักประวัติและถ่ายภาพทางคลินิกเพื่อประกอบการวินิจฉัย

  • ไฟวูดส์แลมป์ (Wood’s lamp): เป็นเครื่องมือหลักในการประเมินความลึกของฝ้า โดยการฉายแสงอัลตราไวโอเลตไปที่ผิวหนัง
  • ฝ้าตื้น (Epidermal melasma): จะเห็นขอบเขตของฝ้าชัดเจนและมีสีเข้มขึ้นเมื่อส่องด้วยไฟ
  • ฝ้าลึก (Dermal melasma): จะไม่เห็นการเปลี่ยนแปลงหรือเห็นฝ้าจางลง
  • กล้องเดอร์มาโตสโคป (Dermatoscopy): เป็นกล้องขยายกำลังสูงที่ช่วยให้แพทย์เห็นรูปแบบของเม็ดสีใต้ผิวหนัง
  • ฝ้าตื้น: มักจะเห็นเป็นลายตาข่ายสีน้ำตาล (Brown reticular pattern)
  • ฝ้าลึก: จะเห็นเป็นลักษณะเม็ดสีเทาอมฟ้า (Blue-gray granular pattern) และอาจเห็นเส้นเลือดฝอยร่วมด้วย

ความคาดหวังต่อผลลัพธ์และระยะเวลา

โดยทั่วไป เลเซอร์มักให้ผลลัพธ์ที่มองเห็นได้เร็วกว่า โดยอาจเห็นฝ้าจางลงใน 2-4 สัปดาห์ ในขณะที่การฉีดจะให้ผลแบบค่อยเป็นค่อยไป โดยใช้เวลาประมาณ 2-3 เดือนจึงจะเห็นการเปลี่ยนแปลงที่ชัดเจน

  • เลเซอร์ (Laser): สามารถลดความรุนแรงของฝ้าได้ประมาณ 50–75% เหมาะสำหรับการกำจัดเม็ดสีในช่วงแรกอย่างรวดเร็ว อย่างไรก็ตาม ฝ้ามีโอกาสกลับมาเป็นซ้ำได้สูงหากไม่ได้รับการรักษาเพื่อควบคุมอย่างต่อเนื่อง
  • การฉีด (Injection): ให้ผลการรักษาที่ดีขึ้นประมาณ 30–50% ในช่วง 2–3 เดือน แม้จะเห็นผลช้ากว่า แต่มีจุดเด่นในการยับยั้งการเกิดฝ้าใหม่และควบคุมไม่ให้ฝ้ากลับมาเข้มขึ้น

ทั้งสองวิธีจำเป็นต้องมีการดูแลและบำรุงรักษาอย่างต่อเนื่องเพื่อคงผลลัพธ์ไว้ เนื่องจากฝ้าเป็นภาวะเรื้อรังที่สามารถกลับมาเป็นซ้ำได้

การเลือกคลินิกและแพทย์ผู้เชี่ยวชาญ

การเลือกคลินิกและแพทย์ผู้เชี่ยวชาญควรพิจารณาจาก แพทย์ที่เป็นแพทย์ผิวหนังเฉพาะทาง มีประสบการณ์ในการรักษาฝ้า และคลินิกที่มีมาตรฐานความปลอดภัยสูง

เกณฑ์การพิจารณาที่สำคัญมีดังนี้:

  • คุณสมบัติของแพทย์: ควรเป็นแพทย์ผิวหนังเฉพาะทางที่ได้รับการรับรอง มีประสบการณ์ในการรักษาฝ้าโดยตรง และมีความเชี่ยวชาญด้านเลเซอร์สำหรับโรคเม็ดสี
  • มาตรฐานและความน่าเชื่อถือของคลินิก: คลินิกต้องสะอาด ได้รับใบอนุญาตอย่างถูกต้อง ใช้เครื่องมือเลเซอร์ของแท้ที่ได้มาตรฐานและผ่านการรับรอง และแพทย์ควรมีผลงานการรักษา (Before & After) ที่สามารถตรวจสอบได้
  • คุณภาพการให้คำปรึกษา: แพทย์ควรประเมินสภาพผิวอย่างละเอียด วางแผนการรักษาที่เหมาะสมกับแต่ละบุคคล ให้ข้อมูลที่ถูกต้องเกี่ยวกับทางเลือกต่างๆ และตั้งเป้าหมายการรักษาที่เป็นจริง
  • ข้อควรระวัง: ควรหลีกเลี่ยงคลินิกที่การันตีผลการรักษาแบบหายขาด 100%, ใช้กลยุทธ์การขายที่กดดันเกินไป หรือขาดความโปร่งใสเกี่ยวกับเครื่องมือและตัวยาที่ใช้

ความเข้าใจผิดที่พบบ่อยเกี่ยวกับการรักษาฝ้าด้วยเลเซอร์

ความเข้าใจผิดที่พบบ่อยเกี่ยวกับการรักษาฝ้าด้วยเลเซอร์คือ เลเซอร์ทุกชนิดทำให้ฝ้าแย่ลง และการรักษาที่รุนแรงจะให้ผลลัพธ์ที่เร็วกว่า

นอกจากนี้ยังมีความเข้าใจผิดอื่นๆ อีก ได้แก่

  • เลเซอร์ทุกชนิดทำให้ฝ้าแย่ลง: ความจริงคือเฉพาะเลเซอร์ที่ไม่เหมาะสมหรือการตั้งค่าที่ไม่ถูกต้องเท่านั้นที่ทำให้อาการแย่ลง ในทางกลับกัน เลเซอร์ที่ทันสมัยซึ่งใช้งานโดยผู้เชี่ยวชาญสามารถรักษาฝ้าได้อย่างปลอดภัย
  • การรักษาที่รุนแรงให้ผลลัพธ์ที่เร็วกว่า: ในการรักษาฝ้า การรักษาที่รุนแรงเกินไปมักส่งผลเสีย ทำให้เกิดการอักเสบและฝ้ากลับมาเข้มขึ้น (rebound pigmentation) วิธีการรักษาแบบค่อยเป็นค่อยไปจึงปลอดภัยและมีประสิทธิภาพมากกว่า
  • รักษาครั้งเดียวหายขาด: ฝ้าเป็นภาวะเรื้อรังที่ไม่สามารถรักษาให้หายขาดได้ในครั้งเดียว การรักษาที่มีประสิทธิภาพต้องทำหลายครั้งและต้องมีการดูแลอย่างต่อเนื่องเพื่อควบคุมอาการ
  • ได้ผลดีเท่ากันในทุกคน: ผลลัพธ์การรักษาฝ้าแตกต่างกันไปในแต่ละบุคคล ขึ้นอยู่กับสภาพผิว ความลึกของฝ้า และปัจจัยอื่นๆ

คำถามที่พบบ่อยเกี่ยวกับการรักษาฝ้า

ทำเลเซอร์ฝ้าเจ็บไหม?

การทำเลเซอร์ฝ้า อาจทำให้รู้สึกเจ็บเล็กน้อยถึงปานกลาง คล้ายกับความรู้สึกของยางที่ถูกดีดใส่ผิวหนัง

ผู้ป่วยส่วนใหญ่สามารถทนต่อความเจ็บได้โดยใช้เพียงการเป่าลมเย็นช่วย แต่สำหรับผู้ที่ไวต่อความรู้สึกเจ็บหรือการทำเลเซอร์บางชนิด อาจมีการทายาชาเฉพาะที่ก่อนทำเพื่อช่วยให้รู้สึกสบายขึ้นระหว่างการรักษา

รักษาฝ้าด้วยเลเซอร์แล้วจะกลับมาเป็นอีกหรือไม่?

ฝ้าสามารถกลับมาเป็นซ้ำได้ เนื่องจากการรักษาด้วยเลเซอร์ไม่ใช่การรักษาให้หายขาด แต่เป็นการควบคุมและทำให้รอยฝ้าจางลง

เลเซอร์จะทำลายเม็ดสีที่มีอยู่ แต่ไม่ได้หยุดการสร้างเม็ดสีใหม่ทั้งหมด ดังนั้น หากผิวหนังยังคงได้รับปัจจัยกระตุ้น เช่น แสงแดด ฮอร์โมน หรือความร้อน ฝ้าก็สามารถกลับมาเข้มขึ้นได้อีก ข้อมูลระบุว่าฝ้ามีโอกาสกลับมาเป็นซ้ำได้สูงถึง 50-80% ภายใน 6 เดือน หากไม่ได้รับการดูแลอย่างต่อเนื่อง เช่น การทาครีมกันแดดและการใช้ยาทาเพื่อควบคุมฝ้า

ต้องทำเลเซอร์หรือฉีดฝ้ากี่ครั้งถึงจะเห็นผล?

โดยทั่วไป การทำเลเซอร์จะเริ่มเห็นผลเร็วกว่าการฉีดฝ้า แต่ทั้งสองวิธีต้องทำต่อเนื่องเป็นคอร์สเพื่อให้ได้ผลลัพธ์ที่ชัดเจน

  • เลเซอร์: จะเริ่มเห็นผลว่าฝ้าจางลงหลังทำประมาณ 1-3 ครั้ง (ภายใน 2-4 สัปดาห์) และคอร์สการรักษาที่แนะนำคือประมาณ 3-10 ครั้งขึ้นไป ขึ้นอยู่กับชนิดของเลเซอร์และความรุนแรงของฝ้า
  • การฉีดฝ้า (Mesotherapy): จะเริ่มเห็นผลหลังฉีดครั้งที่ 2 (ประมาณ 4-5 สัปดาห์) และคอร์สการรักษาที่แนะนำคือประมาณ 4-6 ครั้งขึ้นไป โดยฉีดทุก 2-4 สัปดาห์

ระหว่างเลเซอร์กับฉีดฝ้า วิธีไหนเห็นผลเร็วกว่ากัน?

โดยทั่วไปแล้ว การรักษาฝ้าด้วยเลเซอร์มักจะเห็นผลเร็วกว่าการฉีด

ผู้ป่วยหลายรายสามารถเห็นการเปลี่ยนแปลงที่ชัดเจนได้หลังทำเลเซอร์เพียง 1-3 ครั้ง (ภายใน 2-4 สัปดาห์) ในขณะที่การฉีดฝ้า (เช่น Tranexamic Acid) จะให้ผลลัพธ์ที่ค่อยเป็นค่อยไป โดยมักจะเริ่มเห็นการเปลี่ยนแปลงที่สัปดาห์ที่ 4 และจะดีขึ้นอย่างต่อเนื่องในช่วง 2-3 เดือน

หลังทำเลเซอร์ฝ้าต้องดูแลผิวเป็นพิเศษอย่างไร?

การดูแลผิวหลังทำเลเซอร์ฝ้าที่สำคัญที่สุดคือ การปกป้องผิวจากแสงแดดอย่างเคร่งครัด ควบคู่ไปกับการทำความสะอาดและให้ความชุ่มชื้นอย่างอ่อนโยน เพื่อลดความเสี่ยงของผลข้างเคียงและส่งเสริมการฟื้นฟูผิว

ข้อควรปฏิบัติเพิ่มเติมมีดังนี้:

  • ทาครีมกันแดด: ใช้ครีมกันแดดที่มีค่า SPF 50+ ขึ้นไปเป็นประจำทุกวัน และหลีกเลี่ยงการเผชิญแสงแดดโดยตรง
  • ใช้ผลิตภัณฑ์ที่อ่อนโยน: ทำความสะอาดผิวด้วยผลิตภัณฑ์ที่ไม่มีสารก่อการระคายเคือง และทามอยส์เจอไรเซอร์เพื่อรักษาความชุ่มชื้นของผิว
  • หลีกเลี่ยงสารระคายเคือง: งดใช้ผลิตภัณฑ์ที่มีส่วนผสมของกรดผลไม้ (AHA/BHA) เรตินอยด์ หรือสครับขัดผิวเป็นเวลาอย่างน้อย 1 สัปดาห์ หรือจนกว่าผิวจะหายเป็นปกติ
  • ห้ามแกะหรือเกา: หากมีสะเก็ดบางๆ เกิดขึ้น ควรปล่อยให้หลุดลอกออกไปเอง เพื่อป้องกันรอยดำหลังการอักเสบ (PIH)
  • ลดการอักเสบ: สามารถใช้การประคบเย็นเพื่อช่วยลดอาการบวมแดงหรือแสบร้อนในช่วง 24 ชั่วโมงแรกได้

ใครบ้างที่ไม่ควรทำเลเซอร์รักษาฝ้า?

ผู้ที่มีการติดเชื้อที่ผิวหนัง มีภาวะไวต่อแสง มีประวัติการเกิดแผลเป็นง่าย สตรีมีครรภ์ และผู้ที่ไม่สามารถปฏิบัติตามคำแนะนำหลังการรักษาได้ คือกลุ่มที่ไม่ควรทำเลเซอร์รักษาฝ้า

โดยมีรายละเอียดของกลุ่มผู้ที่ไม่เหมาะกับการทำเลเซอร์ดังนี้

  • ผู้ที่กำลังมีการติดเชื้อที่ผิวหนัง: เช่น โรคเริมหรือการติดเชื้อแบคทีเรียในบริเวณที่จะทำเลเซอร์
  • ผู้ที่มีภาวะไวต่อแสง: รวมถึงผู้ที่กำลังรับประทานยาที่ทำให้ผิวไวต่อแสง
  • ผู้ที่มีประวัติการเกิดแผลเป็นนูน (คีลอยด์) หรือแผลเป็นโตนูน: เนื่องจากเลเซอร์อาจกระตุ้นให้เกิดแผลเป็นได้
  • สตรีมีครรภ์: โดยทั่วไปจะเลื่อนการทำเลเซอร์ออกไปก่อน เนื่องจากระดับฮอร์โมนไม่คงที่และยังไม่มีข้อมูลความปลอดภัยที่ชัดเจน
  • ผู้ที่กำลังใช้ยาไอโสเตรติโนอิน (Isotretinoin): ควรหยุดยาอย่างน้อย 6-12 เดือนก่อนทำเลเซอร์
  • ผู้ที่ไม่สามารถหลีกเลี่ยงแสงแดดได้: การไม่ป้องกันผิวจากแสงแดดหลังทำเลเซอร์จะเพิ่มความเสี่ยงของผลข้างเคียงและทำให้ฝ้ากลับมาเข้มขึ้น
  • ผู้ที่มีโรคประจำตัวที่ควบคุมไม่ได้: เช่น โรคเบาหวานที่ควบคุมไม่ได้ อาจมีความเสี่ยงเรื่องการหายของแผล

References:

  1. Jiryis, B. et al. Management of Melasma: Laser and Other Therapies (Review). National Institutes of Health, PubMed Central. pmc.ncbi.nlm.nih.gov
  2. Lee, M.S. et al. Lasers and Energy-Based Devices for Pigmented Lesions: A Systematic Review (Dermatol Surg). American Society for Dermatologic Surgery. journals.lww.com
  3. Vashisht, K.R. et al. Advancements in Laser Therapies for Dermal Hyperpigmentation in Skin of Color: A Review. Journal of Clinical Medicine (MDPI). mdpi.com
  4. Frontiers in Pharmacology. Different Therapeutic Approaches in Melasma: Advances and Limitations. Frontiers Media. frontiersin.org
  5. Rachdi, H. et al. Intradermal Tranexamic Acid vs. Triple Combination Cream in Melasma: A Meta-analysis. National Institutes of Health, PubMed Central. pmc.ncbi.nlm.nih.gov
  6. Journal of Clinical and Aesthetic Dermatology (JCAD). Topical Treatments for Melasma and Their Mechanisms of Action. Matrix Medical Communications. jcadonline.com
  7. Kashikar, Y. et al. Mesotherapy for Melasma – An Updated Review. Journal of Pharmacy & Bioallied Sciences (JPBS). jpbsonline.org
  8. Indian Journal of Dermatology, Venereology and Leprology. Glutathione as a Skin-Whitening Agent in Melasma: Facts and Controversies. IADVL. ijdvl.com

แนะแนวเรื่อง

Previous Previous
ข้อเสีย Pico Laser: ใครบ้างที่ห้ามทำ ข้อควรระวังและกลุ่มเสี่ยง?
NextContinue
เลเซอร์หน้าใสราคาเท่าไหร่? เปรียบเทียบ Pico, Q-Switch อัปเดต 2025

สาขาพรีวาโต คลินิก

    สาขาอโศก ตั้งอยู่ที่ ชั้น 2 อาคารมิดทาวน์
    Phone: 02-258-4050 , 081-841-5075
    สาขาสีลม ตั้งอยู่ที่ ชั้น 1 อาคารซี.พี.ทาวเวอร์
    Phone: 02-780-2011 , 098-272-5244
    สาขาราชพฤกษ์ ตั้งอยู่ที่ ชั้น 2 ศูนย์การค้า เดอะคริสตัล เอสบี (ด้านบนร้านสตาร์บัคส์)
    Phone: 02-102-2778 , 098-272-5244

ติดต่อเรา

    Facebook: Privato Clinic
    Messenger: Privato Clinic
    Instagram: privatoclinic
    Email: privatoclinic@gmail.com
    Line: @privatoclinic

Copyright© 2022-2024. All Rights Reserved

Scroll to top
  • หน้าหลัก
  • เกี่ยวกับพรีวาโต
  • บริการทั้งหมด
    • ชะลอวัย
    • ยกกระชับผิว
      • XERF
      • Potenza
      • Sofwave
      • Ulthera
      • Thermage-FLX
    • รักษาสิว
    • เลเซอร์
    • โปรแกรมฉีด
    • บำรุงผิว
  • บทความ
    • สิว
    • ยกกระชับ
    • ดูแลผิว
    • ทำเลเซอร์
  • ผลิตภัณฑ์ดูแลผิว
  • โปรโมชั่น
  • ผลลัพธ์การรักษา
  • วิดีโอรีวิวจากเคสจริง
  • สาขาของเรา
  • ไทย
    • ไทย
    • English
    • 中文 (中国)
  • ปรึกษาแพทย์
Facebook Instagram YouTube