วิตามินดี (Vitamin D) ประโยชน์ต่อสุขภาพกระดูกและระบบภูมิคุ้มกัน

วิตามินดีคืออะไร และมีความสำคัญต่อร่างกายอย่างไร
วิตามินดีคือโปรฮอร์โมนที่ละลายในไขมัน ซึ่งร่างกายสามารถสังเคราะห์ได้เมื่อผิวหนังสัมผัสแสงแดด และมีความสำคัญอย่างยิ่งต่อการควบคุมแคลเซียม การเสริมสร้างกระดูก และการทำงานของระบบภูมิคุ้มกัน
วิตามินดีทำหน้าที่คล้ายฮอร์โมนซึ่งส่งผลต่อระบบต่างๆ ทั่วร่างกาย โดยมีความสำคัญหลักดังนี้:
- สุขภาพกระดูกและฟัน: ช่วยควบคุมสมดุลของแคลเซียมและฟอสฟอรัส ทำให้ร่างกายดูดซึมแร่ธาตุเหล่านี้ไปใช้สร้างและบำรุงกระดูกและฟันให้แข็งแรง
- ระบบภูมิคุ้มกัน: ช่วยปรับการทำงานของระบบภูมิคุ้มกันให้ทำงานอย่างสมดุล ลดความเสี่ยงในการติดเชื้อ
- กล้ามเนื้อและระบบประสาท: มีส่วนสำคัญต่อการทำงานของกล้ามเนื้อให้เป็นปกติ ช่วยเสริมสร้างความแข็งแรงและการประสานงานของกล้ามเนื้อ
ประโยชน์หลักของวิตามินดีต่อสุขภาพ
เสริมสร้างความแข็งแรงของกระดูกและฟัน
วิตามินดีช่วยควบคุมสมดุลของแคลเซียมและฟอสฟอรัส ซึ่งเป็นแร่ธาตุสำคัญในการสร้างและบำรุงกระดูกและฟันให้แข็งแรง โดยวิตามินดีจะเพิ่มการดูดซึมแคลเซียมและฟอสเฟตจากลำไส้ และส่งเสริมการนำแร่ธาตุเหล่านี้ไปใช้ในกระดูก หากขาดวิตามินดี การดูดซึมแคลเซียมจะลดลง ซึ่งอาจนำไปสู่โรคกระดูกอ่อนในเด็กและภาวะกระดูกน่วมในผู้ใหญ่
สนับสนุนการทำงานของระบบภูมิคุ้มกัน
วิตามินดีช่วยปรับการทำงานของระบบภูมิคุ้มกันทั้งโดยกำเนิดและแบบปรับตัว โดยวิตามินดีในรูปแบบที่ออกฤทธิ์ (calcitriol) จะจับกับตัวรับบนเซลล์ภูมิคุ้มกันเพื่อควบคุมการทำงานของเซลล์และการผลิตสารไซโตไคน์ (cytokine) ซึ่งช่วยรักษาสมดุลของภูมิคุ้มกัน การมีวิตามินดีในระดับที่เพียงพอจึงสัมพันธ์กับภูมิคุ้มกันที่แข็งแรงขึ้นและลดความเสี่ยงต่อการติดเชื้อ ในทางกลับกัน การขาดวิตามินดีอาจเพิ่มความเสี่ยงต่อการติดเชื้อและโรคภูมิต้านตนเองได้
บทบาทต่อสุขภาพกล้ามเนื้อและระบบประสาท
วิตามินดีมีบทบาทสำคัญในการสนับสนุนการทำงานของกล้ามเนื้อและระบบประสาทให้เป็นปกติ โดยจำเป็นต่อการพัฒนาและการหดตัวของใยกล้ามเนื้อ ซึ่งช่วยเสริมสร้างความแข็งแรงและการประสานงานของร่างกาย การขาดวิตามินดีอาจนำไปสู่ภาวะกล้ามเนื้ออ่อนแรง เป็นตะคริว การทรงตัวไม่ดี และอาจส่งผลต่อระบบประสาท เช่น การเปลี่ยนแปลงทางอารมณ์ หรือการตอบสนองที่ช้าลง
แหล่งที่มาของวิตามินดี: แสงแดด อาหาร และอาหารเสริม
การสังเคราะห์วิตามินดีผ่านผิวหนังจากแสงแดด
การสังเคราะห์วิตามินดีเกิดขึ้นเมื่อรังสีอัลตราไวโอเลตบี (UVB) จากแสงแดดกระทบผิวหนัง และเปลี่ยนสารตั้งต้นของคอเลสเตอรอล (7-dehydrocholesterol) ให้กลายเป็นพรีวิตามินดี 3 ซึ่งจะเปลี่ยนเป็นวิตามินดี 3 (cholecalciferol) ต่อไป
หลังจากนั้น วิตามินดี 3 ที่สร้างขึ้นที่ผิวหนังจะถูกส่งไปยังตับและไตเพื่อเปลี่ยนให้อยู่ในรูปของฮอร์โมนที่ร่างกายสามารถนำไปใช้งานได้ในระบบต่างๆ เช่น กระดูกและภูมิคุ้มกัน
อาหารตามธรรมชาติที่เป็นแหล่งของวิตามินดี
อาหารตามธรรมชาติที่เป็นแหล่งของวิตามินดีที่สำคัญที่สุดคือ ปลาที่มีไขมันสูงและน้ำมันตับปลา
แหล่งอาหารตามธรรมชาติอื่นๆ ที่มีวิตามินดี ได้แก่:
- ปลาที่มีไขมันสูง เช่น แซลมอน แมคเคอเรล ซาร์ดีน และทูน่า
- ตับวัว
- ไข่แดง
- ชีส
- เห็ด (โดยเฉพาะเห็ดป่าหรือเห็ดที่ได้รับรังสียูวี)
ความแตกต่างระหว่างวิตามินดี 2 (D2) และวิตามินดี 3 (D3)
ความแตกต่างที่สำคัญระหว่างวิตามินดี 2 (D2) และวิตามินดี 3 (D3) คือ แหล่งที่มาและประสิทธิภาพในการเพิ่มระดับวิตามินดีในเลือด
- แหล่งที่มา: วิตามินดี 2 (เออร์โกแคลซิเฟอรอล) มาจากพืชและเชื้อรา เช่น เห็ดที่ได้รับรังสียูวี ส่วนวิตามินดี 3 (โคเลแคลซิเฟอรอล) มาจากสัตว์ เช่น ปลาที่มีไขมันสูง ไข่แดง และร่างกายมนุษย์สามารถสังเคราะห์ได้เองเมื่อผิวหนังสัมผัสกับแสงแดด
- ประสิทธิภาพ: วิตามินดี 3 มีประสิทธิภาพในการเพิ่มและรักษาระดับวิตามินดีในร่างกายได้ดีกว่าวิตามินดี 2 จึงเป็นรูปแบบที่นิยมใช้ในผลิตภัณฑ์อาหารเสริมมากกว่า
ภาวะขาดวิตามินดี: สัญญาณเตือนและกลุ่มเสี่ยง
อาการที่บ่งชี้ว่าร่างกายอาจขาดวิตามินดี
อาการที่อาจบ่งชี้ว่าร่างกายขาดวิตามินดี ได้แก่ อ่อนเพลีย ปวดเมื่อยกล้ามเนื้อ ปวดกระดูก และอารมณ์เปลี่ยนแปลง
ในระยะแรก ภาวะขาดวิตามินดีอาจไม่แสดงอาการ แต่เมื่อการขาดวิตามินรุนแรงขึ้น อาจพบสัญญาณเตือนดังต่อไปนี้
- อ่อนเพลียและเหนื่อยล้า
- กล้ามเนื้ออ่อนแรง เป็นตะคริว หรือปวดเมื่อย
- ปวดกระดูก โดยเฉพาะบริเวณหลังส่วนล่างหรือขา
- อารมณ์แปรปรวนหรือภาวะซึมเศร้า
ในกรณีที่ขาดวิตามินดีอย่างรุนแรง อาจนำไปสู่โรคกระดูกอ่อนในเด็ก (rickets) และภาวะกระดูกนิ่มในผู้ใหญ่ (osteomalacia)
กลุ่มบุคคลที่มีความเสี่ยงสูงต่อภาวะขาดวิตามินดี
กลุ่มบุคคลที่มีความเสี่ยงสูงต่อภาวะขาดวิตามินดี ได้แก่ ผู้ที่ได้รับแสงแดดน้อย ผู้ที่มีผิวสีเข้ม ผู้สูงอายุ ทารกที่ดื่มนมแม่เพียงอย่างเดียว ผู้ที่เป็นโรคอ้วน และผู้ที่มีภาวะการดูดซึมผิดปกติหรือเป็นโรคไตและตับเรื้อรัง
ปัจจัยเสี่ยงของแต่ละกลุ่มมีดังนี้:
- ผู้ที่ได้รับแสงแดดน้อย: เช่น ผู้ที่ต้องอยู่แต่ในบ้าน สวมเสื้อผ้ามิดชิด หรืออาศัยอยู่ในประเทศแถบซีกโลกเหนือ
- ผู้ที่มีผิวสีเข้ม: เมลานินในผิวหนังจะลดการผลิตวิตามินดีจากแสงแดด
- ผู้สูงอายุ (65 ปีขึ้นไป): ผิวหนังผลิตวิตามินดีได้น้อยลงและมักมีกิจกรรมกลางแจ้งน้อย
- ทารกที่ดื่มนมแม่เพียงอย่างเดียว: เนื่องจากน้ำนมแม่มีวิตามินดีในปริมาณต่ำ
- ผู้ที่เป็นโรคอ้วน (BMI > 30): วิตามินดีจะถูกกักเก็บไว้ในเนื้อเยื่อไขมัน ทำให้ร่างกายนำไปใช้ได้น้อยลง
- ผู้ที่มีภาวะการดูดซึมผิดปกติ: เช่น โรคเซลิแอค (celiac disease) หรือโรคโครห์น (Crohn’s disease)
- ผู้ที่เป็นโรคไตหรือตับเรื้อรัง: อวัยวะเหล่านี้ไม่สามารถเปลี่ยนวิตามินดีให้อยู่ในรูปที่ร่างกายนำไปใช้งานได้
การตรวจวัดระดับวิตามินดีในเลือดและค่ามาตรฐาน
การตรวจวัดระดับวิตามินดีในเลือดจะใช้ค่า 25-ไฮดรอกซีวิตามินดี [25(OH)D] เป็นมาตรฐานในการวินิจฉัย ซึ่งสะท้อนปริมาณวิตามินดีที่ร่างกายได้รับจากการสังเคราะห์ที่ผิวหนังและจากอาหาร
ค่ามาตรฐานที่ใช้ในการแปลผลโดยทั่วไปมีดังนี้:
- ภาวะขาด (Deficiency): น้อยกว่า 20 ng/mL
- ภาวะพร่อง (Insufficiency): ประมาณ 20–29 ng/mL
- ระดับที่เพียงพอ (Sufficient): ประมาณ 30 ng/mL ขึ้นไป
แนวทางการเสริมวิตามินดี: ข้อควรพิจารณาก่อนตัดสินใจ
ปริมาณวิตามินดีที่แนะนำในแต่ละช่วงวัย
ปริมาณวิตามินดีที่แนะนำต่อวันคือ 400 IU สำหรับทารก, 600 IU สำหรับเด็กและผู้ใหญ่จนถึงอายุ 70 ปี, และ 800 IU สำหรับผู้สูงอายุที่อายุเกิน 70 ปี
คำแนะนำปริมาณวิตามินดีที่ควรได้รับต่อวันในแต่ละช่วงวัยมีดังนี้:
- ทารก (อายุไม่เกิน 12 เดือน): 400 IU (10 ไมโครกรัม)
- เด็ก วัยรุ่น และผู้ใหญ่ (อายุไม่เกิน 70 ปี): 600 IU (15 ไมโครกรัม)
- ผู้สูงอายุ (อายุเกิน 70 ปี): 800 IU (20 ไมโครกรัม)
การเลือกรูปแบบอาหารเสริมวิตามินดีที่เหมาะสม
โดยทั่วไปแล้ว วิตามินดี 3 (cholecalciferol) เป็นรูปแบบที่แนะนำสำหรับอาหารเสริม เนื่องจากมีประสิทธิภาพในการเพิ่มและรักษาระดับวิตามินดีในเลือดได้ดีกว่าวิตามินดี 2 (ergocalciferol)
ปัจจัยอื่นๆ ที่ควรพิจารณาในการเลือกอาหารเสริมวิตามินดี ได้แก่
- ปริมาณที่เหมาะสม: ปริมาณที่แนะนำขึ้นอยู่กับความต้องการของแต่ละบุคคล สำหรับภาวะขาดเล็กน้อยมักใช้ขนาด 1,000–2,000 IU ต่อวัน แต่หากมีภาวะขาดรุนแรงอาจต้องใช้ปริมาณที่สูงขึ้นภายใต้การดูแลของแพทย์
- การปรึกษาแพทย์: ควรปรึกษาแพทย์เพื่อตรวจระดับวิตามินดีในเลือดก่อนเริ่มทานอาหารเสริม โดยเฉพาะในปริมาณที่สูงกว่าคำแนะนำทั่วไป เพื่อความปลอดภัยและประสิทธิภาพสูงสุด
- การดูดซึม: เนื่องจากวิตามินดีละลายในไขมัน ควรรับประทานพร้อมมื้ออาหารที่มีไขมันเป็นส่วนประกอบเพื่อช่วยให้ร่างกายดูดซึมได้ดียิ่งขึ้น
เมื่อไหร่ที่ควรปรึกษาแพทย์เพื่อรับการวินิจฉัย
ควรปรึกษาแพทย์เมื่อสงสัยว่าอาจขาดวิตามินดี หรือก่อนเริ่มทานอาหารเสริมในปริมาณสูง เพื่อให้แพทย์ทำการตรวจเลือดวัดระดับ 25-hydroxyvitamin D [25(OH)D] ซึ่งเป็นการวินิจฉัยที่แม่นยำที่สุด
การปรึกษาแพทย์จะช่วยยืนยันภาวะขาดวิตามินดีและช่วยให้ได้รับคำแนะนำเกี่ยวกับปริมาณอาหารเสริมที่เหมาะสมกับแต่ละบุคคล เพื่อให้ระดับวิตามินดีกลับสู่เกณฑ์ปกติอย่างปลอดภัยและป้องกันความเสี่ยงจากการได้รับวิตามินดีเกินขนาด
ความเสี่ยงและข้อควรระวังจากการได้รับวิตามินดีเกินขนาด
ภาวะวิตามินดีเป็นพิษและผลกระทบต่อร่างกาย
ภาวะวิตามินดีเป็นพิษเกิดจากการได้รับอาหารเสริมในปริมาณที่มากเกินไป ซึ่งนำไปสู่ภาวะแคลเซียมในเลือดสูง (hypercalcemia) ซึ่งเป็นอันตรายต่อร่างกาย ภาวะเป็นพิษนี้ไม่สามารถเกิดขึ้นได้จากการรับแสงแดดหรืออาหารตามธรรมชาติ
ผลกระทบจากภาวะแคลเซียมในเลือดสูง ได้แก่:
- อาการเริ่มต้น: คลื่นไส้ อาเจียน เบื่ออาหาร ปวดท้อง ท้องผูก กระหายน้ำบ่อย ปัสสาวะบ่อย และกล้ามเนื้ออ่อนแรง
- ผลกระทบรุนแรง: หากไม่ได้รับการรักษา อาจนำไปสู่การเกิดนิ่วในไต ภาวะไตวาย ปวดกระดูก ภาวะหัวใจเต้นผิดจังหวะ และการสะสมของแคลเซียมในหลอดเลือด ซึ่งอาจทำให้อวัยวะล้มเหลวหรือเสียชีวิตได้
อาการของการได้รับวิตามินดีมากเกินไป
อาการของการได้รับวิตามินดีมากเกินไป เกิดจากภาวะแคลเซียมในเลือดสูง (hypercalcemia) ซึ่งนำไปสู่อาการต่างๆ
ภาวะดังกล่าวเกิดจากการรับประทานอาหารเสริมในปริมาณที่สูงเกินไป และอาจแสดงอาการดังนี้:
- คลื่นไส้ อาเจียน และเบื่ออาหาร
- ปวดท้องหรือท้องผูก
- กระหายน้ำและปัสสาวะบ่อย
- กล้ามเนื้ออ่อนแรง
- สับสนหรือมีปัญหาในการจดจ่อ
หากภาวะแคลเซียมในเลือดสูงรุนแรงหรือเรื้อรัง อาจนำไปสู่ปัญหาร้ายแรง เช่น นิ่วในไต ไตเสียหาย หรือหัวใจเต้นผิดจังหวะได้
คำถามที่พบบ่อยเกี่ยวกับวิตามินดี
วิตามินดีสามารถรับประทานทุกวันได้หรือไม่
ได้ สำหรับคนส่วนใหญ่ การรับประทานวิตามินดีเสริมทุกวันในปริมาณที่แนะนำนั้นปลอดภัยและมีประสิทธิภาพ
การรับประทานในปริมาณปานกลางทุกวัน (เช่น 400–2,000 IU) มักจะดีกว่าการรับประทานในปริมาณสูงเป็นครั้งคราว เพื่อรักษาระดับวิตามินดีในเลือดให้คงที่ อย่างไรก็ตาม ผู้ใหญ่ไม่ควรรับประทานเกิน 4,000 IU ต่อวัน เว้นแต่จะอยู่ภายใต้คำแนะนำของแพทย์
อาการของการขาดวิตามินดีเป็นอย่างไร
อาการของการขาดวิตามินดีในระยะแรกอาจไม่แสดงอาการ หรือมีอาการที่ไม่ชัดเจน เช่น อ่อนเพลีย ปวดเมื่อยกล้ามเนื้อ และปวดกระดูก
อาการทั่วไปที่อาจพบได้ ได้แก่:
- อ่อนเพลีย
- ปวดเมื่อยตามร่างกาย
- กล้ามเนื้ออ่อนแรงหรือเป็นตะคริว
- ปวดกระดูก โดยเฉพาะหลังส่วนล่างหรือขา
- อารมณ์เปลี่ยนแปลง เช่น ภาวะซึมเศร้า
หากขาดวิตามินดีอย่างรุนแรงและเรื้อรัง อาจนำไปสู่ภาวะกระดูกผิดปกติ โดยในเด็กจะทำให้เกิดโรคกระดูกอ่อน (Rickets) และในผู้ใหญ่จะทำให้เกิดโรคกระดูกน่วม (Osteomalacia) ซึ่งทำให้กระดูกเปราะบางและเจ็บปวดได้ง่าย
ระดับวิตามินดีในเลือดที่ปกติควรเป็นเท่าไหร่
ระดับวิตามินดีในเลือดที่ถือว่าเพียงพอคือ ประมาณ 30 นาโนกรัมต่อมิลลิลิตร (ng/mL) ขึ้นไป
การตรวจวัดจะใช้ค่า 25-hydroxyvitamin D [25(OH)D] เป็นมาตรฐาน โดยระดับที่ต่ำกว่านี้จะถูกแบ่งเป็น:
- ภาวะพร่อง (Insufficiency): ประมาณ 20–29 ng/mL
- ภาวะขาด (Deficiency): ต่ำกว่า 20 ng/mL
วิตามินดี 2 และวิตามินดี 3 แตกต่างกันอย่างไร
วิตามินดี 2 (ergocalciferol) และวิตามินดี 3 (cholecalciferol) แตกต่างกันที่แหล่งที่มาและประสิทธิภาพในการทำงาน โดยวิตามินดี 3 มีประสิทธิภาพในการเพิ่มและรักษาระดับวิตามินดีในเลือดได้ดีกว่า
- แหล่งที่มา: วิตามินดี 2 มาจากพืชและเชื้อรา เช่น เห็ดหรือยีสต์ที่ผ่านการฉายรังสียูวี ในขณะที่วิตามินดี 3 มาจากสัตว์ เช่น ปลาที่มีไขมันสูง ไข่แดง และที่สำคัญคือร่างกายมนุษย์สามารถสังเคราะห์ได้เองที่ผิวหนังเมื่อได้รับแสงแดด
- ประสิทธิภาพ: แม้ว่าทั้งสองรูปแบบจะสามารถเพิ่มระดับวิตามินดีในร่างกายได้ แต่งานวิจัยพบว่าวิตามินดี 3 มีประสิทธิภาพในการเพิ่มและรักษาระดับวิตามินดีในเลือดได้สูงและยาวนานกว่าวิตามินดี 2 ด้วยเหตุนี้ วิตามินดี 3 จึงเป็นรูปแบบที่นิยมใช้ในอาหารเสริมมากกว่า
ควรรับแสงแดดเวลาใดเพื่อให้ได้วิตามินดีอย่างปลอดภัย
ช่วงเวลาที่เหมาะสมที่สุดในการรับแสงแดดเพื่อสร้างวิตามินดีคือช่วงกลางวัน (ประมาณ 10.00 น. ถึง 15.00 น.) เนื่องจากเป็นช่วงที่รังสี UVB มีความเข้มข้นสูงสุด
โดยแนะนำให้ผิวหนังสัมผัสแดดโดยตรงโดยไม่ทาครีมกันแดดเป็นเวลาสั้นๆ ประมาณ 5-30 นาที อย่างน้อยสัปดาห์ละ 2 ครั้ง การรับแสงแดดในช่วงเวลาสั้นๆ นี้เพียงพอต่อการสร้างวิตามินดีโดยไม่จำเป็นต้องให้ผิวไหม้หรือคล้ำเสีย
ร่างกายไม่สามารถสร้างวิตามินดีเองได้ใช่หรือไม่
ร่างกายสามารถสร้างวิตามินดีได้เอง โดยวิตามินดีจะถูกสังเคราะห์ขึ้นที่ผิวหนังเมื่อได้รับรังสีอัลตราไวโอเลตบี (UVB) จากแสงแดด ซึ่งถือเป็นแหล่งวิตามินดีตามธรรมชาติที่สำคัญที่สุดสำหรับคนส่วนใหญ่
References:
- National Institutes of Health, Office of Dietary Supplements. Vitamin D – Fact Sheet for Health Professionals. NIH. ods.od.nih.gov
- Sîrbe, C., Rednic, S., Grama, A., & Pop, T.L. An Update on the Effects of Vitamin D on the Immune System and Autoimmune Diseases. International Journal of Molecular Sciences (MDPI). mdpi.com
- Frontiers in Pharmacology. The impacts of vitamin D supplementation in adults with metabolic syndrome: A systematic review and meta-analysis of RCTs. Frontiers. frontiersin.org
- Cleveland Clinic. Vitamin D Deficiency. Cleveland Clinic. clevelandclinic.org
