Skip to content

TEL : 081-841-5075, 02-258-4050

Facebook Instagram YouTube
Privato Clinic – Innovation Of Beauty  |  Bangkok
  • หน้าหลัก
  • เกี่ยวกับพรีวาโต
  • บริการทั้งหมดExpand
    • ชะลอวัย
    • ยกกระชับผิวExpand
      • XERF
      • Potenza
      • Sofwave
      • Ulthera
      • Thermage-FLX
    • รักษาสิว
    • เลเซอร์
    • โปรแกรมฉีด
    • บำรุงผิว
  • บทความExpand
    • สิว
    • ยกกระชับ
    • ดูแลผิว
    • ทำเลเซอร์
  • ผลิตภัณฑ์ดูแลผิว
  • โปรโมชั่น
  • ผลลัพธ์การรักษา
  • วิดีโอรีวิวจากเคสจริง
  • สาขาของเรา
  • ไทยExpand
    • ไทย
    • English
    • 中文 (中国)
  • ปรึกษาแพทย์
Privato Clinic – Innovation Of Beauty  |  Bangkok
Consult a Doctor
Wellness

วิตามินบี 7 (ไบโอติน) คืออะไร? ประโยชน์ต่อผิวและเส้นผมที่ควรรู้

Byadmin พฤศจิกายน 7, 2025
By แพทย์หญิงนัชชนก หุ่นวิจิตร Updated on พฤศจิกายน 7, 2025
✦ Medically reviewed by  นายแพทย์เลอพงษ์ กรุดเงิน
วิตามินบี 7 (ไบโอติน) คืออะไร? ประโยชน์ต่อผิวและเส้นผมที่ควรรู้

Table of Contents

Toggle
  • วิตามินบี 7 (ไบโอติน) คืออะไร และทำงานอย่างไรในร่างกาย
  • ประโยชน์หลักของไบโอตินต่อสุขภาพเส้นผม ผิว และเล็บ
    • การบำรุงเส้นผมและลดการขาดร่วง
    • การเสริมสร้างความแข็งแรงให้ผิวและเล็บ
    • บทบาทสำคัญต่อระบบเผาผลาญและสุขภาพโดยรวม
  • แหล่งอาหารตามธรรมชาติที่อุดมไปด้วยวิตามินบี 7
  • สัญญาณและสาเหตุของภาวะขาดวิตามินบี 7 (ไบโอติน)
    • อาการที่สังเกตได้ทางผิวหนังและเส้นผม
    • กลุ่มเสี่ยงที่อาจเกิดภาวะขาดไบโอติน
  • จากอาหารเสริมสู่การดูแล: สิ่งที่ควรพิจารณาก่อนตัดสินใจ
    • ปริมาณที่แนะนำต่อวันและรูปแบบของอาหารเสริม
    • ข้อเท็จจริงเกี่ยวกับประสิทธิภาพของไบโอตินในการรักษา
    • เมื่อไหร่ที่ควรปรึกษาแพทย์เกี่ยวกับปัญหาผิวและเส้นผม
  • ความเสี่ยงและข้อควรระวังในการรับประทานไบโอตินเสริม
  • คำถามที่พบบ่อยเกี่ยวกับวิตามินบี 7 (ไบโอติน)
    • วิตามินบี 7 ช่วยเรื่องอะไรได้บ้าง?
    • เราจะได้รับวิตามินบี 7 จากอาหารประเภทใด?
    • อาการของการขาดวิตามินบี 7 เป็นอย่างไร?
    • ควรรับประทานไบโอตินปริมาณเท่าไหร่ต่อวัน?
    • การรับประทานไบโอตินเสริมจำเป็นสำหรับทุกคนหรือไม่?
    • รับประทานวิตามินบี 7 มากเกินไปเป็นอันตรายหรือไม่?
  • References:
  • Author

วิตามินบี 7 (ไบโอติน) คืออะไร และทำงานอย่างไรในร่างกาย

วิตามินบี 7 หรือไบโอติน คือวิตามินบีชนิดที่ละลายในน้ำซึ่งทำหน้าที่เป็นโคเอนไซม์ที่จำเป็นสำหรับเอนไซม์คาร์บอกซิเลส (carboxylase) 5 ชนิด เอนไซม์เหล่านี้มีบทบาทสำคัญในกระบวนการเผาผลาญสารอาหารหลัก ได้แก่ คาร์โบไฮเดรต ไขมัน และโปรตีน เพื่อเปลี่ยนเป็นพลังงานให้กับเซลล์ในร่างกาย นอกจากนี้ ไบโอตินยังช่วยในการสังเคราะห์กรดไขมัน การสร้างกลูโคส และการควบคุมการทำงานของยีนอีกด้วย

ประโยชน์หลักของไบโอตินต่อสุขภาพเส้นผม ผิว และเล็บ

การบำรุงเส้นผมและลดการขาดร่วง

ไบโอตินช่วยบำรุงเส้นผมและลดการขาดร่วงได้เฉพาะในผู้ที่มีภาวะขาดไบโอตินเท่านั้น เนื่องจากไบโอตินเป็นสารอาหารสำคัญในการผลิตเคราติน ซึ่งเป็นโปรตีนโครงสร้างหลักของเส้นผม การขาดไบโอตินจึงอาจทำให้ผมบางหรือหลุดร่วงได้

อย่างไรก็ตาม สำหรับผู้ที่มีสุขภาพดีและได้รับไบโอตินเพียงพอจากอาหารอยู่แล้ว การศึกษาวิจัยไม่พบว่าการรับประทานไบโอตินเสริมจะช่วยให้เส้นผมเติบโตดีขึ้นอย่างมีนัยสำคัญ ทั้งนี้ ภาวะผมร่วงอาจเกิดจากสาเหตุอื่นได้ เช่น พันธุกรรม การเปลี่ยนแปลงของฮอร์โมน หรือการขาดสารอาหารชนิดอื่น

การเสริมสร้างความแข็งแรงให้ผิวและเล็บ

ไบโอตินมีบทบาทสำคัญในการผลิตเคราติน ซึ่งเป็นโปรตีนโครงสร้างหลักที่ประกอบเป็นผิวหนังและเล็บ

  • สำหรับเล็บ: การเสริมไบโอตินช่วยเพิ่มความหนาและลดการเปราะบางในผู้ที่มีภาวะเล็บเปราะ
  • สำหรับผิว: ไบโอตินช่วยในการสังเคราะห์กรดไขมันซึ่งจำเป็นต่อการรักษาความชุ่มชื้นและความเรียบเนียนของผิว การขาดไบโอตินอย่างรุนแรงอาจทำให้เกิดผื่นแดงลอกเป็นขุยได้

บทบาทสำคัญต่อระบบเผาผลาญและสุขภาพโดยรวม

ไบโอตินมีบทบาทสำคัญในฐานะโคเอนไซม์ที่จำเป็นต่อกระบวนการเผาผลาญสารอาหาร โดยช่วยให้ร่างกายเปลี่ยนคาร์โบไฮเดรต ไขมัน และโปรตีนให้เป็นพลังงาน นอกจากนี้ ไบโอตินยังจำเป็นต่อการผลิตเคราติน ซึ่งเป็นโปรตีนโครงสร้างหลักของเส้นผม ผิวหนัง และเล็บ ทำให้ช่วยรักษาสุขภาพของทั้งสามส่วนนี้ให้แข็งแรง

แหล่งอาหารตามธรรมชาติที่อุดมไปด้วยวิตามินบี 7

อาหารที่อุดมไปด้วยไบโอติน (วิตามินบี 7) มากที่สุด ได้แก่ เครื่องในสัตว์ (โดยเฉพาะตับและไต), ไข่แดง, ปลา, เนื้อสัตว์, เมล็ดพืช และถั่วเปลือกแข็ง

ตัวอย่างแหล่งอาหารที่ดีอื่นๆ ได้แก่

  • ตับวัวปรุงสุก (ประมาณ 30 ไมโครกรัมต่อ 3 ออนซ์)
  • ไข่ปรุงสุกทั้งฟอง (ประมาณ 10 ไมโครกรัม)
  • ปลาแซลมอน (ประมาณ 5 ไมโครกรัมต่อ 3 ออนซ์)
  • เมล็ดทานตะวัน (ประมาณ 2.6 ไมโครกรัมต่อ ¼ ถ้วย)
  • มันเทศ (ประมาณ 2.4 ไมโครกรัมต่อ ½ ถ้วย)

สัญญาณและสาเหตุของภาวะขาดวิตามินบี 7 (ไบโอติน)

อาการที่สังเกตได้ทางผิวหนังและเส้นผม

อาการขาดไบโอตินที่สังเกตได้ทางผิวหนังและเส้นผมคือ ผมร่วงหรือผมบางลง และมีผื่นแดงเป็นขุย โดยเฉพาะบริเวณรอบดวงตา จมูก และปาก

อาการอื่นๆ ที่อาจพบได้ ได้แก่:

  • โรคผิวหนังอักเสบ (Seborrheic dermatitis)
  • เยื่อบุตาอักเสบ (Conjunctivitis)
  • เล็บเปราะบาง

กลุ่มเสี่ยงที่อาจเกิดภาวะขาดไบโอติน

กลุ่มเสี่ยงที่อาจเกิดภาวะขาดไบโอติน ได้แก่ ผู้ที่มีภาวะพร่องเอนไซม์ไบโอตินิเดสแต่กำเนิด ผู้ที่ดื่มแอลกอฮอล์เรื้อรัง ผู้ที่ใช้ยากันชักเป็นเวลานาน และหญิงตั้งครรภ์

นอกจากนี้ยังมีกลุ่มอื่นๆ ที่มีความเสี่ยงเช่นกัน ได้แก่:

  • ผู้ที่ใช้ยาปฏิชีวนะเป็นเวลานาน ซึ่งอาจส่งผลต่อแบคทีเรียในลำไส้ที่ผลิตไบโอติน
  • ผู้ที่บริโภคไข่ขาวดิบเป็นประจำ เนื่องจากในไข่ขาวดิบมีโปรตีนอะวิดิน (avidin) ที่ขัดขวางการดูดซึมไบโอติน
  • ผู้ป่วยที่ต้องรับสารอาหารทางหลอดเลือดดำเป็นเวลานานโดยไม่ได้รับไบโอตินเสริม

จากอาหารเสริมสู่การดูแล: สิ่งที่ควรพิจารณาก่อนตัดสินใจ

ปริมาณที่แนะนำต่อวันและรูปแบบของอาหารเสริม

ปริมาณไบโอตินที่แนะนำต่อวันสำหรับผู้ใหญ่คือ 30 ไมโครกรัม (µg)

สำหรับผู้หญิงที่กำลังให้นมบุตร ปริมาณที่แนะนำจะเพิ่มขึ้นเล็กน้อยเป็น 35 ไมโครกรัมต่อวัน โดยทั่วไปแล้ว ปริมาณที่แนะนำ (Adequate Intakes – AIs) สำหรับกลุ่มอายุต่างๆ มีดังนี้:

  • ผู้ใหญ่ (อายุ 19 ปีขึ้นไป): 30 µg/วัน
  • หญิงให้นมบุตร: 35 µg/วัน
  • วัยรุ่น (9–18 ปี): 20–25 µg/วัน
  • เด็ก (4–8 ปี): 12 µg/วัน

เอกสารที่ให้มาไม่ได้ระบุถึงรูปแบบของอาหารเสริมโดยเฉพาะเจาะจง (เช่น แคปซูล หรือเม็ด) แต่กล่าวถึงการมีอยู่ของอาหารเสริมในปริมาณโดสต่างๆ ตั้งแต่ไมโครกรัมไปจนถึงมิลลิกรัม

ข้อเท็จจริงเกี่ยวกับประสิทธิภาพของไบโอตินในการรักษา

ไบโอตินมีประสิทธิภาพในการรักษาเฉพาะในผู้ที่มีภาวะขาดไบโอตินเท่านั้น สำหรับคนทั่วไปที่ได้รับไบโอตินเพียงพอจากอาหารแล้ว หลักฐานทางวิทยาศาสตร์ยังไม่สนับสนุนว่าการทานอาหารเสริมไบโอตินจะช่วยให้ผม ผิว หรือเล็บดีขึ้นอย่างมีนัยสำคัญ

โดยสรุปประสิทธิภาพของไบโอตินตามข้อมูลมีดังนี้:

  • ผู้ที่ขาดไบโอติน: การเสริมไบโอตินมีประโยชน์และจำเป็นอย่างยิ่ง สามารถช่วยให้อาการผมร่วง ผื่นแดง และเล็บเปราะบางดีขึ้นได้
  • ผู้ที่มีสุขภาพดี: การศึกษาในกลุ่มคนที่ไม่ได้ขาดไบโอตินไม่พบว่าการทานไบโอตินเสริมจะช่วยเรื่องการงอกของเส้นผมหรือสุขภาพผิวอย่างชัดเจน ส่วนในเรื่องเล็บ แม้จะมีงานวิจัยขนาดเล็กบางชิ้นชี้ว่าอาจช่วยให้เล็บแข็งแรงขึ้น แต่ยังขาดหลักฐานที่น่าเชื่อถือจากงานวิจัยขนาดใหญ่

เมื่อไหร่ที่ควรปรึกษาแพทย์เกี่ยวกับปัญหาผิวและเส้นผม

ควรปรึกษาแพทย์เมื่อมีปัญหาผมร่วงหรือผมบางลงอย่างเห็นได้ชัด หรือเมื่อมีปัญหาผิวหนัง โดยเฉพาะอย่างยิ่งก่อนที่จะเริ่มรับประทานอาหารเสริมใดๆ เนื่องจากปัญหาเหล่านี้มักมีสาเหตุได้หลายปัจจัยซึ่งอาจไม่เกี่ยวข้องกับการขาดไบโอตินเลยก็ได้ เช่น พันธุกรรม, ความไม่สมดุลของฮอร์โมน, การขาดธาตุเหล็กหรือสังกะสี หรือความผิดปกติของต่อมไทรอยด์ แพทย์จะสามารถวินิจฉัยสาเหตุที่แท้จริงและให้การรักษาที่เหมาะสมได้

ความเสี่ยงและข้อควรระวังในการรับประทานไบโอตินเสริม

ความเสี่ยงที่สำคัญที่สุดของการรับประทานไบโอตินเสริมในปริมาณสูงคือ การรบกวนผลการตรวจทางห้องปฏิบัติการ ซึ่งอาจนำไปสู่การวินิจฉัยที่ผิดพลาดได้

ไบโอตินในปริมาณสูงสามารถทำให้ผลการตรวจเลือดบางชนิดคลาดเคลื่อน เช่น การตรวจการทำงานของต่อมไทรอยด์ หรือที่ร้ายแรงที่สุดคือการตรวจโทรโปนิน (Troponin) เพื่อวินิจฉัยภาวะหัวใจวาย ซึ่งอาจให้ผลตรวจต่ำกว่าความเป็นจริงและทำให้พลาดการวินิจฉัยที่สำคัญได้

ข้อควรระวังและผลข้างเคียงอื่นๆ ได้แก่:

  • แจ้งแพทย์: ควรแจ้งให้แพทย์ทราบเสมอหากคุณกำลังรับประทานไบโอตินเสริมก่อนทำการตรวจเลือดใดๆ และอาจจำเป็นต้องหยุดรับประทานอย่างน้อย 1-2 วันก่อนการตรวจ
  • สิว: มีรายงานว่าการรับประทานไบโอตินในปริมาณสูงอาจทำให้เกิดสิวในบางคนได้
  • ความปลอดภัย: แม้ไบโอตินจะมีความปลอดภัยสูงและไม่มีพิษ แต่การรับประทานในปริมาณสูงเกินความจำเป็นก็ไม่ได้ให้ประโยชน์เพิ่มเติม

คำถามที่พบบ่อยเกี่ยวกับวิตามินบี 7 (ไบโอติน)

วิตามินบี 7 ช่วยเรื่องอะไรได้บ้าง?

วิตามินบี 7 หรือไบโอติน มีบทบาทสำคัญในกระบวนการเผาผลาญสารอาหารเพื่อสร้างพลังงาน และช่วยบำรุงเส้นผม ผิวหนัง และเล็บให้แข็งแรง

วิตามินบี 7 ทำหน้าที่เป็นโคเอนไซม์ที่จำเป็นในการเปลี่ยนคาร์โบไฮเดรต ไขมัน และโปรตีนให้เป็นพลังงานแก่เซลล์ในร่างกาย นอกจากนี้ยังมีส่วนสำคัญในการผลิตเคราติน ซึ่งเป็นโปรตีนโครงสร้างหลักของเส้นผม ผิวหนัง และเล็บ การมีไบโอตินที่เพียงพอจึงช่วยให้เส้นผมและเล็บแข็งแรงขึ้น รวมถึงรักษาความสมบูรณ์ของเกราะป้องกันผิวหนัง

เราจะได้รับวิตามินบี 7 จากอาหารประเภทใด?

เราสามารถรับวิตามินบี 7 หรือไบโอตินได้จากอาหารหลายชนิด โดยเฉพาะเครื่องในสัตว์ (เช่น ตับและไต), ไข่แดง, ปลา, เนื้อสัตว์, เมล็ดพืช และถั่วต่างๆ โดยทั่วไปแล้ว การรับประทานอาหารที่สมดุลจะให้ไบโอตินในปริมาณที่เพียงพอต่อความต้องการของร่างกาย

ตัวอย่างอาหารที่มีไบโอตินสูง ได้แก่:

  • ตับวัวปรุงสุก
  • ไข่ปรุงสุกทั้งฟอง
  • ปลาแซลมอน
  • เนื้อหมู
  • เมล็ดทานตะวัน
  • อัลมอนด์
  • มันเทศ

อาการของการขาดวิตามินบี 7 เป็นอย่างไร?

อาการของการขาดไบโอติน (วิตามินบี 7) ที่พบได้บ่อยคือ ผมร่วงหรือผมบางลง มีผื่นแดงเป็นขุยขึ้นรอบดวงตา จมูก และปาก รวมถึงเล็บเปราะ

ในกรณีที่ขาดวิตามินอย่างรุนแรงหรือเป็นเวลานาน อาจมีอาการทางระบบประสาทร่วมด้วย เช่น:

  • ภาวะซึมเศร้าและอาการเซื่องซึม
  • อาการชาหรือรู้สึกเหมือนมีเข็มทิ่มตามแขนขา
  • ปัญหาเกี่ยวกับการทรงตัวและการประสานงานของร่างกาย
  • อาการชัก

ควรรับประทานไบโอตินปริมาณเท่าไหร่ต่อวัน?

ปริมาณไบโอตินที่แนะนำต่อวันสำหรับผู้ใหญ่คือ 30 ไมโครกรัม

สำหรับหญิงตั้งครรภ์ ปริมาณที่แนะนำยังคงอยู่ที่ 30 ไมโครกรัมต่อวัน ในขณะที่หญิงให้นมบุตรต้องการเพิ่มขึ้นเล็กน้อยเป็น 35 ไมโครกรัมต่อวัน โดยทั่วไปแล้วคนส่วนใหญ่สามารถได้รับไบโอตินในปริมาณที่เพียงพอจากอาหารที่รับประทานเป็นปกติ

การรับประทานไบโอตินเสริมจำเป็นสำหรับทุกคนหรือไม่?

การรับประทานไบโอตินเสริมนั้นไม่จำเป็นสำหรับคนส่วนใหญ่ที่มีสุขภาพดี เนื่องจากร่างกายมักได้รับไบโอตินในปริมาณที่เพียงพอจากอาหารที่รับประทานในชีวิตประจำวันและการผลิตโดยแบคทีเรียในลำไส้อยู่แล้ว

การเสริมไบโอตินจะมีประโยชน์เฉพาะในผู้ที่มีภาวะขาดไบโอตินหรือมีความผิดปกติทางเมตาบอลิซึมบางอย่างเท่านั้น สำหรับผู้ที่มีระดับไบโอตินปกติ การรับประทานเสริมก็ไม่พบว่ามีประโยชน์เพิ่มเติมในการบำรุงเส้นผมหรือผิวหนังแต่อย่างใด

รับประทานวิตามินบี 7 มากเกินไปเป็นอันตรายหรือไม่?

การรับประทานวิตามินบี 7 หรือไบโอตินในปริมาณสูง ไม่ก่อให้เกิดพิษโดยตรงต่อร่างกาย แต่มีความเสี่ยงที่อันตรายจากการรบกวนผลการตรวจทางห้องปฏิบัติการ

เนื่องจากไบโอตินเป็นวิตามินที่ละลายในน้ำ ร่างกายจึงสามารถขับส่วนเกินออกได้ และยังไม่มีการกำหนดปริมาณสูงสุดที่ปลอดภัย (Upper Limit) เพราะไม่พบความเป็นพิษแม้ในปริมาณที่สูงมาก อย่างไรก็ตาม ความเสี่ยงที่สำคัญที่สุดคือการที่ไบโอตินปริมาณสูงสามารถบิดเบือนผลการตรวจเลือดได้ ซึ่งอาจนำไปสู่การวินิจฉัยที่ผิดพลาดสำหรับภาวะต่างๆ เช่น โรคต่อมไทรอยด์ หรือที่ร้ายแรงที่สุดคือการตรวจภาวะหัวใจวาย (Troponin) ที่ให้ผลต่ำกว่าความเป็นจริง นอกจากนี้ยังมีรายงานว่าบางรายอาจเกิดสิวขึ้นได้

References:

  1. NIH Office of Dietary Supplements. Biotin (Vitamin B7) Fact Sheet. NIH ODS. ods.od.nih.gov
  2. Cleveland Clinic. Biotin (Vitamin B7) Benefits. Cleveland Clinic. clevelandclinic.org
  3. Healthline. Biotin for Hair, Skin, and Nails. Healthline. healthline.com
  4. MDPI. Biotin and Dermatological Health. MDPI Journals. mdpi.com

Author

  • แพทย์หญิงนัชชนก หุ่นวิจิตร
    แพทย์หญิงนัชชนก หุ่นวิจิตร

    View all posts

แนะแนวเรื่อง

Previous Previous
วิตามินบี 12 เพื่อผิวสวยสุขภาพดี: ประโยชน์และวิธีใช้ที่ถูกต้อง
NextContinue
กลูต้าไธโอน อันตรายไหม? ข้อดี-ข้อเสีย และวิธีกินให้ได้ผลและปลอดภัย

สาขาพรีวาโต คลินิก

    สาขาอโศก ตั้งอยู่ที่ ชั้น 2 อาคารมิดทาวน์
    Phone: 02-258-4050 , 081-841-5075
    สาขาสีลม ตั้งอยู่ที่ ชั้น 1 อาคารซี.พี.ทาวเวอร์
    Phone: 02-780-2011 , 098-272-5244
    สาขาราชพฤกษ์ ตั้งอยู่ที่ ชั้น 2 ศูนย์การค้า เดอะคริสตัล เอสบี (ด้านบนร้านสตาร์บัคส์)
    Phone: 02-102-2778 , 098-272-5244

ติดต่อเรา

    Facebook: Privato Clinic
    Messenger: Privato Clinic
    Instagram: privatoclinic
    Email: privatoclinic@gmail.com
    Line: @privatoclinic

Copyright© 2022-2024. All Rights Reserved

Scroll to top
  • หน้าหลัก
  • เกี่ยวกับพรีวาโต
  • บริการทั้งหมด
    • ชะลอวัย
    • ยกกระชับผิว
      • XERF
      • Potenza
      • Sofwave
      • Ulthera
      • Thermage-FLX
    • รักษาสิว
    • เลเซอร์
    • โปรแกรมฉีด
    • บำรุงผิว
  • บทความ
    • สิว
    • ยกกระชับ
    • ดูแลผิว
    • ทำเลเซอร์
  • ผลิตภัณฑ์ดูแลผิว
  • โปรโมชั่น
  • ผลลัพธ์การรักษา
  • วิดีโอรีวิวจากเคสจริง
  • สาขาของเรา
  • ไทย
    • ไทย
    • English
    • 中文 (中国)
  • ปรึกษาแพทย์
Facebook Instagram YouTube