วิตามินบี 3 (Niacinamide) ประโยชน์ต่อผิว ลดริ้วรอยและรอยแดง

วิตามินบี 3 หรือ Niacinamide คืออะไร?
Niacinamide (ไนอะซินาไมด์) คือวิตามินบี 3 รูปแบบหนึ่ง ซึ่งเป็นส่วนประกอบสำคัญของโคเอนไซม์ที่จำเป็นต่อการสร้างพลังงานและการซ่อมแซม DNA ของเซลล์ผิว
Niacinamide ช่วยสนับสนุนการทำงานของเซลล์ผิวให้แข็งแรงและมีสุขภาพดี โดยแตกต่างจาก Niacin (กรดนิโคตินิก) ซึ่งเป็นวิตามินบี 3 อีกรูปแบบหนึ่งตรงที่ Niacinamide ไม่ก่อให้เกิดอาการร้อนวูบวาบที่ผิว (Niacin flush) จึงเป็นที่นิยมใช้ในผลิตภัณฑ์บำรุงผิว
คุณสมบัติหลักของวิตามินบี 3 ที่มีต่อสุขภาพผิว
ลดเลือนริ้วรอยและเพิ่มความยืดหยุ่นของผิว
ไนอะซินาไมด์ (Niacinamide) ช่วยลดเลือนริ้วรอยโดยกระตุ้นการสร้างคอลลาเจนและอีลาสติน พร้อมทั้งยับยั้งเอนไซม์ที่ทำลายโปรตีนเหล่านี้ การทำงานสองทางนี้ช่วยให้ผิวเฟิร์มกระชับขึ้นและริ้วรอยแลดูจางลง
จากการศึกษาทางคลินิกพบว่า การใช้ไนอะซินาไมด์ 5% เป็นเวลา 12 สัปดาห์ สามารถลดเลือนริ้วรอยร่องตื้นและร่องลึกได้อย่างมีนัยสำคัญ
จัดการปัญหาสิวและควบคุมความมัน
ไนอะซินาไมด์ช่วยลดสิวโดยการปลอบประโลมการอักเสบและลดการผลิตไขมัน (ซีบัม) บนผิว ซึ่งการทำงานสองอย่างนี้ส่งผลให้เกิดสิวน้อยลงและลดความมันวาวบนใบหน้า จากการศึกษาพบว่าการใช้ไนอะซินาไมด์ที่มีความเข้มข้นเพียง 2–5% สามารถลดการผลิตน้ำมันบนใบหน้าได้อย่างมีนัยสำคัญ
ลดรอยแดง รอยดำ และปรับสีผิวให้สม่ำเสมอ
ไนอะซินาไมด์ (Niacinamide) ช่วยลดรอยดำและปรับสีผิวให้สม่ำเสมอโดยการยับยั้งการส่งผ่านเม็ดสีเมลานินไปยังชั้นผิวหนังส่วนบน และยังมีคุณสมบัติต้านการอักเสบที่ช่วยลดรอยแดง
ไนอะซินาไมด์ไม่ได้ฟอกสีผิวโดยตรง แต่จะขัดขวางกระบวนการที่ทำให้เกิดจุดด่างดำ ทำให้รอยดำค่อยๆ จางลงเมื่อใช้อย่างต่อเนื่อง นอกจากนี้ คุณสมบัติต้านการอักเสบยังช่วยปลอบประโลมผิวและลดรอยแดงที่เกิดจากสิวหรือการระคายเคืองอื่นๆ ส่งผลให้สีผิวโดยรวมดูสว่างและสม่ำเสมอยิ่งขึ้น
เสริมสร้างเกราะป้องกันผิว (Skin Barrier) ให้แข็งแรง
ไนอะซินาไมด์ช่วยเสริมสร้างเกราะป้องกันผิวให้แข็งแรงโดยกระตุ้นการผลิตเซราไมด์ (ceramides) และไขมันที่จำเป็นอื่น ๆ ในชั้นผิวหนังกำพร้า (stratum corneum) ซึ่งการเพิ่มขึ้นของไขมันเหล่านี้จะช่วยปรับปรุงความสามารถในการกักเก็บความชุ่มชื้นและลดการสูญเสียน้ำผ่านผิวหนัง (Transepidermal Water Loss) ส่งผลให้ผิวมีความชุ่มชื้น ไม่แห้งกร้าน มีความไวต่อการระคายเคืองน้อยลง และสามารถป้องกันตัวเองจากปัจจัยกระตุ้นภายนอกได้ดีขึ้น
รูปแบบของวิตามินบี 3: Niacinamide กับ Niacin ต่างกันอย่างไร
Niacinamide ไม่ทำให้เกิดอาการร้อนวูบวาบ (flush) ที่ผิวหนัง ในขณะที่ Niacin ทำให้เกิดได้ ซึ่งเป็นความแตกต่างที่สำคัญที่สุดเมื่อใช้กับผิว
Niacin หรือกรดนิโคตินิก (Nicotinic Acid) สามารถทำให้หลอดเลือดขยายตัว ส่งผลให้ผิวหนังแดง รู้สึกร้อน หรือคัน ซึ่งเป็นอาการที่เรียกว่า “ไนอะซินฟลัช” (Niacin flush) ในทางกลับกัน Niacinamide มีโครงสร้างทางเคมีที่แตกต่างออกไปเล็กน้อย จึงไม่ก่อให้เกิดอาการดังกล่าว ทำให้มีความอ่อนโยนและเหมาะกับการใช้ในผลิตภัณฑ์บำรุงผิวมากกว่า
ใครที่เหมาะกับการใช้วิตามินบี 3 และควรใช้อย่างไร
วิตามินบี 3 (Niacinamide) เหมาะสำหรับเกือบทุกสภาพผิว รวมถึงผิวมัน ผิวแพ้ง่าย และผิวที่มีริ้วรอย เนื่องจากเป็นส่วนผสมที่อ่อนโยนและมีประโยชน์หลากหลาย โดยผู้ที่มีผิวมันและเป็นสิวจะได้รับประโยชน์จากการควบคุมความมันและลดการอักเสบ ส่วนผู้ที่มีผิวแพ้ง่ายจะช่วยเสริมเกราะป้องกันผิวให้แข็งแรง และสำหรับผิวผู้ใหญ่จะช่วยเพิ่มความชุ่มชื้นและลดเลือนริ้วรอย
สำหรับวิธีการใช้ มีคำแนะนำดังนี้:
- ลำดับการใช้: ควรทาหลังขั้นตอนทำความสะอาดผิว และก่อนทามอยส์เจอไรเซอร์หรือผลิตภัณฑ์ที่มีเนื้อหนักกว่า
- ความเข้มข้น: ความเข้มข้นที่ 2-5% ก็เพียงพอที่จะให้ผลลัพธ์ที่ดี ส่วนความเข้มข้นที่สูงขึ้น เช่น 10% เหมาะสำหรับผู้ที่มีปัญหาผิวที่จัดการได้ยาก เช่น จุดด่างดำฝังลึก
- ความถี่: สามารถใช้ได้ทุกวัน วันละ 1-2 ครั้ง ทั้งในตอนเช้าและตอนเย็น เนื่องจากไม่ทำให้ผิวไวต่อแสงแดด
สภาพผิวที่ได้รับประโยชน์สูงสุดจาก Niacinamide
Niacinamide เหมาะสำหรับสภาพผิวแทบทุกประเภท เนื่องจากเป็นส่วนผสมที่อ่อนโยนและมีประโยชน์หลากหลาย
โดยเฉพาะสภาพผิวต่อไปนี้จะได้รับประโยชน์อย่างยิ่ง
- ผิวมันและเป็นสิวง่าย: ช่วยควบคุมการผลิตน้ำมัน (ซีบัม) และมีคุณสมบัติต้านการอักเสบซึ่งช่วยลดสิว
- ผิวบอบบางแพ้ง่ายและมีรอยแดง: ช่วยปลอบประโลมผิว ลดการระคายเคือง และเสริมสร้างเกราะป้องกันผิวให้แข็งแรงขึ้น
- ผิวแห้งและมีริ้วรอย: ช่วยเพิ่มการผลิตเซราไมด์ ทำให้ผิวชุ่มชื้นขึ้น ลดการสูญเสียน้ำ และช่วยลดเลือนริ้วรอยร่องตื้น
ความเข้มข้นที่แนะนำและวิธีการใช้ที่ถูกต้อง
ความเข้มข้นที่แนะนำของ Niacinamide อยู่ระหว่าง 2-10% โดยควรทาหลังขั้นตอนทำความสะอาดและก่อนทามอยส์เจอไรเซอร์
รายละเอียดเพิ่มเติมเกี่ยวกับความเข้มข้นและวิธีใช้มีดังนี้
- ความเข้มข้นที่เหมาะสม
- 2-5%: เป็นความเข้มข้นที่เพียงพอและมีประสิทธิภาพในการเสริมสร้างเกราะป้องกันผิว ลดความมัน และปรับสีผิวให้สม่ำเสมอ
- 5%: เป็นความเข้มข้นที่คนส่วนใหญ่ทนได้ดีและเห็นผลชัดเจน
- 10%: เหมาะสำหรับผู้ที่มีปัญหาผิวที่จัดการยาก เช่น รอยดำฝังแน่น หรือรูขุมขนกว้าง
- วิธีการใช้ที่ถูกต้อง
- ลำดับการใช้: ควรใช้ผลิตภัณฑ์ Niacinamide ที่มีลักษณะเป็นน้ำ (เช่น เซรั่ม) หลังล้างหน้า และก่อนทาผลิตภัณฑ์ที่มีเนื้อหนักกว่าอย่างมอยส์เจอไรเซอร์หรือออยล์
- ความถี่: สามารถใช้ได้วันละ 1-2 ครั้ง ทั้งในตอนเช้าและตอนเย็น เนื่องจากไม่ทำให้ผิวไวต่อแสงแดด
ข้อควรพิจารณาก่อนเลือกใช้ผลิตภัณฑ์วิตามินบี 3
การเลือกสูตรผลิตภัณฑ์ให้เหมาะกับสภาพผิว
การเลือกสูตรผลิตภัณฑ์ไนอะซินาไมด์ที่เหมาะสมขึ้นอยู่กับสภาพผิวและความกังวลของแต่ละบุคคล โดยทั่วไปแล้ว ผู้ที่มีผิวมันหรือผิวผสมควรเลือกใช้เซรั่มหรือเจลที่มีเนื้อบางเบาเพื่อช่วยควบคุมความมัน ในขณะที่ผู้ที่มีผิวแห้งหรือผิวผู้ใหญ่จะเหมาะกับมอยส์เจอไรเซอร์หรือโลชั่นที่ผสมไนอะซินาไมด์มากกว่า เพื่อช่วยเสริมสร้างเกราะป้องกันผิวและต่อสู้กับความแห้งกร้านไปพร้อมกัน
ส่วนผสมที่ทำงานเสริมกันได้ดีกับ Niacinamide
ส่วนผสมที่ทำงานเสริมฤทธิ์กันได้ดีกับ Niacinamide ได้แก่ กรดไฮยาลูรอนิก (Hyaluronic acid), เซราไมด์ (Ceramides), เปปไทด์ (Peptides), เรตินอยด์ (Retinoids) และวิตามินซี (Vitamin C)
การใช้ Niacinamide ร่วมกับส่วนผสมเหล่านี้จะช่วยเพิ่มประสิทธิภาพการดูแลผิวในด้านต่างๆ ดังนี้
- กรดไฮยาลูรอนิก (Hyaluronic acid): Niacinamide ช่วยเสริมสร้างเกราะป้องกันผิว ในขณะที่กรดไฮยาลูรอนิกช่วยเติมความชุ่มชื้น ทำให้ผิวชุ่มชื้นและอิ่มฟูยิ่งขึ้น
- เซราไมด์ (Ceramides): Niacinamide กระตุ้นการสร้างเซราไมด์ตามธรรมชาติของผิว การใช้ร่วมกันจึงช่วยเสริมความแข็งแรงของเกราะป้องกันผิวเป็นสองเท่า
- เปปไทด์ (Peptides): คุณสมบัติกระตุ้นคอลลาเจนของ Niacinamide ทำงานเสริมกับเปปไทด์ที่ช่วยส่งสัญญาณให้ผิวเฟิร์มกระชับขึ้น
- เรตินอยด์ (Retinoids): Niacinamide ช่วยปลอบประโลมผิวและลดการระคายเคืองที่อาจเกิดจากการใช้เรตินอยด์ ทำให้ผิวทนต่อส่วนผสมที่แรงขึ้นได้ดี
- วิตามินซี (Vitamin C): สามารถใช้ร่วมกันได้อย่างปลอดภัยเพื่อเพิ่มประสิทธิภาพในการต้านอนุมูลอิสระและปรับสีผิวให้สม่ำเสมอ
ผลข้างเคียงและความเสี่ยงที่อาจเกิดขึ้นจากการใช้วิตามินบี 3
อาการไม่พึงประสงค์ที่พบบ่อยและวิธีรับมือ
อาการไม่พึงประสงค์ที่พบบ่อยที่สุดคืออาการแดงชั่วคราว อาการคันเล็กน้อย หรือรู้สึกผิวแห้งตึง ซึ่งโดยทั่วไปแล้วอาการเหล่านี้จะไม่รุนแรงและมักเกิดขึ้นเมื่อใช้ผลิตภัณฑ์ที่มีความเข้มข้นสูง
วิธีรับมือคือการเริ่มต้นด้วยผลิตภัณฑ์ที่มีความเข้มข้นต่ำ (2-5%) และใช้เพียงวันละครั้งในช่วงแรก เพื่อให้ผิวค่อยๆ ปรับตัวและสร้างความทนทาน ซึ่งจะช่วยหลีกเลี่ยงการระคายเคืองได้
ข้อห้ามใช้และกลุ่มที่ควรปรึกษาแพทย์ก่อนใช้
โดยทั่วไปแล้ว ไนอะซินาไมด์ไม่มีข้อห้ามใช้อย่างร้ายแรง สำหรับการใช้ทาภายนอกในผู้ที่มีสุขภาพดี อย่างไรก็ตาม มีบางกลุ่มที่ควรใช้ด้วยความระมัดระวังหรือปรึกษาแพทย์ก่อนใช้ ดังนี้
- ผู้ที่แพ้ไนอะซินาไมด์หรือไนอะซิน: ควรหลีกเลี่ยงการใช้โดยเด็ดขาด
- ผู้ที่มีผิวแพ้ง่ายมาก: ควรทำการทดสอบผลิตภัณฑ์ (Patch Test) ก่อนใช้กับใบหน้า เพื่อตรวจสอบอาการแพ้หรือการระคายเคือง
- สตรีมีครรภ์หรือให้นมบุตร: แม้โดยทั่วไปจะปลอดภัย แต่ควรปรึกษาแพทย์เพื่อความมั่นใจก่อนใช้
- ผู้ที่มีภาวะผิวหนังอักเสบรุนแรง: หรือผู้ที่กำลังใช้ยารักษาผิวหนังตามใบสั่งแพทย์ ควรปรึกษาแพทย์ผิวหนังก่อนนำไนอะซินาไมด์เข้ามาใช้ในขั้นตอนการดูแลผิว
คำถามที่พบบ่อยเกี่ยวกับวิตามินบี 3 (Niacinamide)
วิตามินบี 3 พบได้ในอาหารประเภทใดบ้าง?
วิตามินบี 3 พบได้ในอาหารหลายประเภท เช่น เนื้อสัตว์ ปลา ธัญพืชเต็มเมล็ด พืชตระกูลถั่ว รวมถึงถั่วและเมล็ดพืชต่างๆ แหล่งที่อุดมไปด้วยวิตามินบี 3 ได้แก่ เนื้อสัตว์ (โดยเฉพาะเครื่องในอย่างตับ เนื้อวัว และสัตว์ปีก) และปลา นอกจากนี้ยังพบได้ในข้าวกล้อง ถั่วลิสง และเมล็ดทานตะวัน รวมถึงผลิตภัณฑ์นม ไข่ และซีเรียลหลายชนิดก็มีการเติมวิตามินบี 3 เพิ่มเข้าไปด้วย
วิตามินบี 3 ห้ามใช้คู่กับอะไร?
จากข้อมูลงานวิจัยสมัยใหม่ ไนอะซินาไมด์ (วิตามินบี 3) สามารถใช้ร่วมกับส่วนผสมสกินแคร์ส่วนใหญ่ได้อย่างปลอดภัย รวมถึงวิตามินซี ซึ่งความเชื่อที่ว่าห้ามใช้คู่กันนั้นเป็นความเข้าใจที่ล้าสมัยไปแล้ว
ในอดีตมีความกังวลว่าไนอะซินาไมด์อาจทำปฏิกิริยากับวิตามินซี (L-ascorbic acid) ในสภาวะที่มีอุณหภูมิสูงมาก แต่ในการใช้งานสกินแคร์ตามปกติ ปฏิกิริยาดังกล่าวแทบไม่เกิดขึ้นเลย ปัจจุบันแพทย์ผิวหนังและผลการวิจัยยืนยันว่าการใช้ส่วนผสมทั้งสองร่วมกันนั้นปลอดภัยและยังช่วยเสริมประสิทธิภาพในการดูแลผิวอีกด้วย
สามารถใช้ผลิตภัณฑ์ที่มี Niacinamide ทุกวันได้หรือไม่?
ได้ คุณสามารถใช้ผลิตภัณฑ์ที่มี Niacinamide ได้ทุกวัน เนื่องจากเป็นส่วนผสมที่อ่อนโยน ไม่ทำให้ผิวบางลงหรือไวต่อแสงแดด การใช้อย่างสม่ำเสมอทุกวันจึงมีความปลอดภัยและจำเป็นเพื่อให้เห็นผลลัพธ์ที่ดีที่สุด โดยสามารถใช้ได้ทั้งในตอนเช้าและตอนเย็น
ต้องใช้เวลานานเท่าไรจึงจะเริ่มเห็นผลลัพธ์บนผิว?
ระยะเวลาในการเห็นผลลัพธ์จะแตกต่างกันไปตามปัญหาผิว โดยทั่วไปแล้วกรอบเวลาโดยประมาณมีดังนี้:
- 2 ถึง 4 สัปดาห์: สำหรับการลดความมันบนใบหน้าและทำให้รูขุมขนดูกระชับขึ้น
- 8 ถึง 12 สัปดาห์: สำหรับการลดเลือนจุดด่างดำและรอยดำต่างๆ
- 12 สัปดาห์ขึ้นไป: สำหรับการลดเลือนริ้วรอยและปรับสภาพผิวโดยรวมให้ดีขึ้น
การขาดวิตามินบี 3 ส่งผลเสียต่อร่างกายอย่างไร?
การขาดวิตามินบี 3 อย่างรุนแรงจะทำให้เกิดโรคเพลแลกรา (Pellagra) ซึ่งมีอาการหลัก 3 อย่างคือ ผิวหนังอักเสบ (Dermatitis) ท้องร่วง (Diarrhea) และภาวะสมองเสื่อม (Dementia)
โรคนี้เป็นภาวะที่เกิดจากการขาดไนอะซิน (วิตามินบี 3) อย่างรุนแรง โดยมีอาการแสดงที่สำคัญดังนี้
- ผิวหนังอักเสบ: เกิดผื่นคล้ายผิวไหม้แดดซึ่งต่อมาจะคล้ำ หนา และตกสะเก็ด โดยเฉพาะในบริเวณที่โดนแสงแดด
- ท้องร่วง: มีปัญหาเกี่ยวกับระบบทางเดินอาหาร เช่น เบื่ออาหาร อาเจียน และท้องร่วง
- ภาวะสมองเสื่อม: เกิดอาการทางระบบประสาท เช่น อ่อนเพลีย สับสน สูญเสียความทรงจำ และในกรณีที่รุนแรงอาจนำไปสู่ภาวะสมองเสื่อมได้
หากไม่ได้รับการรักษา โรคเพลแลกราอาจรุนแรงจนถึงขั้นเสียชีวิตได้
ใช้ Niacinamide แล้วสิวขึ้นเกิดจากอะไร?
โดยทั่วไปแล้ว Niacinamide ไม่ได้เป็นสาเหตุโดยตรงที่ทำให้เกิดการ “ดันสิว” หรือสิวอุดตัน เนื่องจากไม่มีคุณสมบัติในการเร่งการผลัดเซลล์ผิวเหมือนส่วนผสมอย่างกรด AHA, BHA หรือเรตินอยด์
สิวที่เกิดขึ้นหลังจากเริ่มใช้ Niacinamide มักมาจากสาเหตุอื่น ได้แก่:
- การระคายเคือง: อาจเกิดจากการใช้ผลิตภัณฑ์ที่มีความเข้มข้นสูงเกินไป (เช่น 10% ขึ้นไป) หรือผิวอาจไวต่อส่วนผสมอื่นในสูตรผลิตภัณฑ์นั้นๆ
- ส่วนผสมอื่นในผลิตภัณฑ์: สิวอาจเกิดจากส่วนผสมอื่นในเซรั่มหรือครีมตัวนั้นที่อาจอุดตันรูขุมขน
- เป็นสิวตามปกติ: สิวที่ขึ้นอาจเป็นไปตามวงจรปกติของผิว ซึ่งเกิดขึ้นประจวบเหมาะกับช่วงที่เริ่มใช้ผลิตภัณฑ์ใหม่พอดี
References:
- NIH Office of Dietary Supplements. Niacin (Vitamin B3) Fact Sheet. NIH ODS. ods.od.nih.gov
- Cleveland Clinic. Niacinamide for Skin Health. Cleveland Clinic. clevelandclinic.org
- Healthline. Does Niacinamide Usually Cause Skin Purging? Healthline. healthline.com
- MDPI. Niacinamide and Skin Barrier Function Studies. MDPI Journals. mdpi.com
