Skip to content

TEL : 081-841-5075, 02-258-4050

Facebook Instagram YouTube
Privato Clinic – Innovation Of Beauty  |  Bangkok
  • หน้าหลัก
  • เกี่ยวกับพรีวาโต
  • บริการทั้งหมดExpand
    • ชะลอวัย
    • ยกกระชับผิวExpand
      • XERF
      • Potenza
      • Sofwave
      • Ulthera
      • Thermage-FLX
    • รักษาสิว
    • เลเซอร์
    • โปรแกรมฉีด
    • บำรุงผิว
  • บทความExpand
    • สิว
    • ยกกระชับ
    • ดูแลผิว
    • ทำเลเซอร์
  • ผลิตภัณฑ์ดูแลผิว
  • โปรโมชั่น
  • ผลลัพธ์การรักษา
  • วิดีโอรีวิวจากเคสจริง
  • สาขาของเรา
  • ไทยExpand
    • ไทย
    • English
    • 中文 (中国)
  • ปรึกษาแพทย์
Privato Clinic – Innovation Of Beauty  |  Bangkok
Consult a Doctor
Wellness

วิตามินบี 3 (Niacinamide) ประโยชน์ต่อผิว ลดริ้วรอยและรอยแดง

Byadmin พฤศจิกายน 5, 2025
By แพทย์หญิงนัชชนก หุ่นวิจิตร Updated on พฤศจิกายน 5, 2025
✦ Medically reviewed by  นายแพทย์เลอพงษ์ กรุดเงิน
วิตามินบี 3 (Niacinamide) ประโยชน์ต่อผิว ลดริ้วรอยและรอยแดง

Table of Contents

Toggle
  • วิตามินบี 3 หรือ Niacinamide คืออะไร?
  • คุณสมบัติหลักของวิตามินบี 3 ที่มีต่อสุขภาพผิว
    • ลดเลือนริ้วรอยและเพิ่มความยืดหยุ่นของผิว
    • จัดการปัญหาสิวและควบคุมความมัน
    • ลดรอยแดง รอยดำ และปรับสีผิวให้สม่ำเสมอ
    • เสริมสร้างเกราะป้องกันผิว (Skin Barrier) ให้แข็งแรง
  • รูปแบบของวิตามินบี 3: Niacinamide กับ Niacin ต่างกันอย่างไร
  • ใครที่เหมาะกับการใช้วิตามินบี 3 และควรใช้อย่างไร
    • สภาพผิวที่ได้รับประโยชน์สูงสุดจาก Niacinamide
    • ความเข้มข้นที่แนะนำและวิธีการใช้ที่ถูกต้อง
  • ข้อควรพิจารณาก่อนเลือกใช้ผลิตภัณฑ์วิตามินบี 3
    • การเลือกสูตรผลิตภัณฑ์ให้เหมาะกับสภาพผิว
    • ส่วนผสมที่ทำงานเสริมกันได้ดีกับ Niacinamide
  • ผลข้างเคียงและความเสี่ยงที่อาจเกิดขึ้นจากการใช้วิตามินบี 3
    • อาการไม่พึงประสงค์ที่พบบ่อยและวิธีรับมือ
    • ข้อห้ามใช้และกลุ่มที่ควรปรึกษาแพทย์ก่อนใช้
  • คำถามที่พบบ่อยเกี่ยวกับวิตามินบี 3 (Niacinamide)
    • วิตามินบี 3 พบได้ในอาหารประเภทใดบ้าง?
    • วิตามินบี 3 ห้ามใช้คู่กับอะไร?
    • สามารถใช้ผลิตภัณฑ์ที่มี Niacinamide ทุกวันได้หรือไม่?
    • ต้องใช้เวลานานเท่าไรจึงจะเริ่มเห็นผลลัพธ์บนผิว?
    • การขาดวิตามินบี 3 ส่งผลเสียต่อร่างกายอย่างไร?
    • ใช้ Niacinamide แล้วสิวขึ้นเกิดจากอะไร?
  • References:

วิตามินบี 3 หรือ Niacinamide คืออะไร?

Niacinamide (ไนอะซินาไมด์) คือวิตามินบี 3 รูปแบบหนึ่ง ซึ่งเป็นส่วนประกอบสำคัญของโคเอนไซม์ที่จำเป็นต่อการสร้างพลังงานและการซ่อมแซม DNA ของเซลล์ผิว

Niacinamide ช่วยสนับสนุนการทำงานของเซลล์ผิวให้แข็งแรงและมีสุขภาพดี โดยแตกต่างจาก Niacin (กรดนิโคตินิก) ซึ่งเป็นวิตามินบี 3 อีกรูปแบบหนึ่งตรงที่ Niacinamide ไม่ก่อให้เกิดอาการร้อนวูบวาบที่ผิว (Niacin flush) จึงเป็นที่นิยมใช้ในผลิตภัณฑ์บำรุงผิว

คุณสมบัติหลักของวิตามินบี 3 ที่มีต่อสุขภาพผิว

ลดเลือนริ้วรอยและเพิ่มความยืดหยุ่นของผิว

ไนอะซินาไมด์ (Niacinamide) ช่วยลดเลือนริ้วรอยโดยกระตุ้นการสร้างคอลลาเจนและอีลาสติน พร้อมทั้งยับยั้งเอนไซม์ที่ทำลายโปรตีนเหล่านี้ การทำงานสองทางนี้ช่วยให้ผิวเฟิร์มกระชับขึ้นและริ้วรอยแลดูจางลง

จากการศึกษาทางคลินิกพบว่า การใช้ไนอะซินาไมด์ 5% เป็นเวลา 12 สัปดาห์ สามารถลดเลือนริ้วรอยร่องตื้นและร่องลึกได้อย่างมีนัยสำคัญ

จัดการปัญหาสิวและควบคุมความมัน

ไนอะซินาไมด์ช่วยลดสิวโดยการปลอบประโลมการอักเสบและลดการผลิตไขมัน (ซีบัม) บนผิว ซึ่งการทำงานสองอย่างนี้ส่งผลให้เกิดสิวน้อยลงและลดความมันวาวบนใบหน้า จากการศึกษาพบว่าการใช้ไนอะซินาไมด์ที่มีความเข้มข้นเพียง 2–5% สามารถลดการผลิตน้ำมันบนใบหน้าได้อย่างมีนัยสำคัญ

ลดรอยแดง รอยดำ และปรับสีผิวให้สม่ำเสมอ

ไนอะซินาไมด์ (Niacinamide) ช่วยลดรอยดำและปรับสีผิวให้สม่ำเสมอโดยการยับยั้งการส่งผ่านเม็ดสีเมลานินไปยังชั้นผิวหนังส่วนบน และยังมีคุณสมบัติต้านการอักเสบที่ช่วยลดรอยแดง

ไนอะซินาไมด์ไม่ได้ฟอกสีผิวโดยตรง แต่จะขัดขวางกระบวนการที่ทำให้เกิดจุดด่างดำ ทำให้รอยดำค่อยๆ จางลงเมื่อใช้อย่างต่อเนื่อง นอกจากนี้ คุณสมบัติต้านการอักเสบยังช่วยปลอบประโลมผิวและลดรอยแดงที่เกิดจากสิวหรือการระคายเคืองอื่นๆ ส่งผลให้สีผิวโดยรวมดูสว่างและสม่ำเสมอยิ่งขึ้น

เสริมสร้างเกราะป้องกันผิว (Skin Barrier) ให้แข็งแรง

ไนอะซินาไมด์ช่วยเสริมสร้างเกราะป้องกันผิวให้แข็งแรงโดยกระตุ้นการผลิตเซราไมด์ (ceramides) และไขมันที่จำเป็นอื่น ๆ ในชั้นผิวหนังกำพร้า (stratum corneum) ซึ่งการเพิ่มขึ้นของไขมันเหล่านี้จะช่วยปรับปรุงความสามารถในการกักเก็บความชุ่มชื้นและลดการสูญเสียน้ำผ่านผิวหนัง (Transepidermal Water Loss) ส่งผลให้ผิวมีความชุ่มชื้น ไม่แห้งกร้าน มีความไวต่อการระคายเคืองน้อยลง และสามารถป้องกันตัวเองจากปัจจัยกระตุ้นภายนอกได้ดีขึ้น

รูปแบบของวิตามินบี 3: Niacinamide กับ Niacin ต่างกันอย่างไร

Niacinamide ไม่ทำให้เกิดอาการร้อนวูบวาบ (flush) ที่ผิวหนัง ในขณะที่ Niacin ทำให้เกิดได้ ซึ่งเป็นความแตกต่างที่สำคัญที่สุดเมื่อใช้กับผิว

Niacin หรือกรดนิโคตินิก (Nicotinic Acid) สามารถทำให้หลอดเลือดขยายตัว ส่งผลให้ผิวหนังแดง รู้สึกร้อน หรือคัน ซึ่งเป็นอาการที่เรียกว่า “ไนอะซินฟลัช” (Niacin flush) ในทางกลับกัน Niacinamide มีโครงสร้างทางเคมีที่แตกต่างออกไปเล็กน้อย จึงไม่ก่อให้เกิดอาการดังกล่าว ทำให้มีความอ่อนโยนและเหมาะกับการใช้ในผลิตภัณฑ์บำรุงผิวมากกว่า

ใครที่เหมาะกับการใช้วิตามินบี 3 และควรใช้อย่างไร

วิตามินบี 3 (Niacinamide) เหมาะสำหรับเกือบทุกสภาพผิว รวมถึงผิวมัน ผิวแพ้ง่าย และผิวที่มีริ้วรอย เนื่องจากเป็นส่วนผสมที่อ่อนโยนและมีประโยชน์หลากหลาย โดยผู้ที่มีผิวมันและเป็นสิวจะได้รับประโยชน์จากการควบคุมความมันและลดการอักเสบ ส่วนผู้ที่มีผิวแพ้ง่ายจะช่วยเสริมเกราะป้องกันผิวให้แข็งแรง และสำหรับผิวผู้ใหญ่จะช่วยเพิ่มความชุ่มชื้นและลดเลือนริ้วรอย

สำหรับวิธีการใช้ มีคำแนะนำดังนี้:

  • ลำดับการใช้: ควรทาหลังขั้นตอนทำความสะอาดผิว และก่อนทามอยส์เจอไรเซอร์หรือผลิตภัณฑ์ที่มีเนื้อหนักกว่า
  • ความเข้มข้น: ความเข้มข้นที่ 2-5% ก็เพียงพอที่จะให้ผลลัพธ์ที่ดี ส่วนความเข้มข้นที่สูงขึ้น เช่น 10% เหมาะสำหรับผู้ที่มีปัญหาผิวที่จัดการได้ยาก เช่น จุดด่างดำฝังลึก
  • ความถี่: สามารถใช้ได้ทุกวัน วันละ 1-2 ครั้ง ทั้งในตอนเช้าและตอนเย็น เนื่องจากไม่ทำให้ผิวไวต่อแสงแดด

สภาพผิวที่ได้รับประโยชน์สูงสุดจาก Niacinamide

Niacinamide เหมาะสำหรับสภาพผิวแทบทุกประเภท เนื่องจากเป็นส่วนผสมที่อ่อนโยนและมีประโยชน์หลากหลาย

โดยเฉพาะสภาพผิวต่อไปนี้จะได้รับประโยชน์อย่างยิ่ง

  • ผิวมันและเป็นสิวง่าย: ช่วยควบคุมการผลิตน้ำมัน (ซีบัม) และมีคุณสมบัติต้านการอักเสบซึ่งช่วยลดสิว
  • ผิวบอบบางแพ้ง่ายและมีรอยแดง: ช่วยปลอบประโลมผิว ลดการระคายเคือง และเสริมสร้างเกราะป้องกันผิวให้แข็งแรงขึ้น
  • ผิวแห้งและมีริ้วรอย: ช่วยเพิ่มการผลิตเซราไมด์ ทำให้ผิวชุ่มชื้นขึ้น ลดการสูญเสียน้ำ และช่วยลดเลือนริ้วรอยร่องตื้น

ความเข้มข้นที่แนะนำและวิธีการใช้ที่ถูกต้อง

ความเข้มข้นที่แนะนำของ Niacinamide อยู่ระหว่าง 2-10% โดยควรทาหลังขั้นตอนทำความสะอาดและก่อนทามอยส์เจอไรเซอร์

รายละเอียดเพิ่มเติมเกี่ยวกับความเข้มข้นและวิธีใช้มีดังนี้

  • ความเข้มข้นที่เหมาะสม
  • 2-5%: เป็นความเข้มข้นที่เพียงพอและมีประสิทธิภาพในการเสริมสร้างเกราะป้องกันผิว ลดความมัน และปรับสีผิวให้สม่ำเสมอ
  • 5%: เป็นความเข้มข้นที่คนส่วนใหญ่ทนได้ดีและเห็นผลชัดเจน
  • 10%: เหมาะสำหรับผู้ที่มีปัญหาผิวที่จัดการยาก เช่น รอยดำฝังแน่น หรือรูขุมขนกว้าง
  • วิธีการใช้ที่ถูกต้อง
  • ลำดับการใช้: ควรใช้ผลิตภัณฑ์ Niacinamide ที่มีลักษณะเป็นน้ำ (เช่น เซรั่ม) หลังล้างหน้า และก่อนทาผลิตภัณฑ์ที่มีเนื้อหนักกว่าอย่างมอยส์เจอไรเซอร์หรือออยล์
  • ความถี่: สามารถใช้ได้วันละ 1-2 ครั้ง ทั้งในตอนเช้าและตอนเย็น เนื่องจากไม่ทำให้ผิวไวต่อแสงแดด

ข้อควรพิจารณาก่อนเลือกใช้ผลิตภัณฑ์วิตามินบี 3

การเลือกสูตรผลิตภัณฑ์ให้เหมาะกับสภาพผิว

การเลือกสูตรผลิตภัณฑ์ไนอะซินาไมด์ที่เหมาะสมขึ้นอยู่กับสภาพผิวและความกังวลของแต่ละบุคคล โดยทั่วไปแล้ว ผู้ที่มีผิวมันหรือผิวผสมควรเลือกใช้เซรั่มหรือเจลที่มีเนื้อบางเบาเพื่อช่วยควบคุมความมัน ในขณะที่ผู้ที่มีผิวแห้งหรือผิวผู้ใหญ่จะเหมาะกับมอยส์เจอไรเซอร์หรือโลชั่นที่ผสมไนอะซินาไมด์มากกว่า เพื่อช่วยเสริมสร้างเกราะป้องกันผิวและต่อสู้กับความแห้งกร้านไปพร้อมกัน

ส่วนผสมที่ทำงานเสริมกันได้ดีกับ Niacinamide

ส่วนผสมที่ทำงานเสริมฤทธิ์กันได้ดีกับ Niacinamide ได้แก่ กรดไฮยาลูรอนิก (Hyaluronic acid), เซราไมด์ (Ceramides), เปปไทด์ (Peptides), เรตินอยด์ (Retinoids) และวิตามินซี (Vitamin C)

การใช้ Niacinamide ร่วมกับส่วนผสมเหล่านี้จะช่วยเพิ่มประสิทธิภาพการดูแลผิวในด้านต่างๆ ดังนี้

  • กรดไฮยาลูรอนิก (Hyaluronic acid): Niacinamide ช่วยเสริมสร้างเกราะป้องกันผิว ในขณะที่กรดไฮยาลูรอนิกช่วยเติมความชุ่มชื้น ทำให้ผิวชุ่มชื้นและอิ่มฟูยิ่งขึ้น
  • เซราไมด์ (Ceramides): Niacinamide กระตุ้นการสร้างเซราไมด์ตามธรรมชาติของผิว การใช้ร่วมกันจึงช่วยเสริมความแข็งแรงของเกราะป้องกันผิวเป็นสองเท่า
  • เปปไทด์ (Peptides): คุณสมบัติกระตุ้นคอลลาเจนของ Niacinamide ทำงานเสริมกับเปปไทด์ที่ช่วยส่งสัญญาณให้ผิวเฟิร์มกระชับขึ้น
  • เรตินอยด์ (Retinoids): Niacinamide ช่วยปลอบประโลมผิวและลดการระคายเคืองที่อาจเกิดจากการใช้เรตินอยด์ ทำให้ผิวทนต่อส่วนผสมที่แรงขึ้นได้ดี
  • วิตามินซี (Vitamin C): สามารถใช้ร่วมกันได้อย่างปลอดภัยเพื่อเพิ่มประสิทธิภาพในการต้านอนุมูลอิสระและปรับสีผิวให้สม่ำเสมอ

ผลข้างเคียงและความเสี่ยงที่อาจเกิดขึ้นจากการใช้วิตามินบี 3

อาการไม่พึงประสงค์ที่พบบ่อยและวิธีรับมือ

อาการไม่พึงประสงค์ที่พบบ่อยที่สุดคืออาการแดงชั่วคราว อาการคันเล็กน้อย หรือรู้สึกผิวแห้งตึง ซึ่งโดยทั่วไปแล้วอาการเหล่านี้จะไม่รุนแรงและมักเกิดขึ้นเมื่อใช้ผลิตภัณฑ์ที่มีความเข้มข้นสูง

วิธีรับมือคือการเริ่มต้นด้วยผลิตภัณฑ์ที่มีความเข้มข้นต่ำ (2-5%) และใช้เพียงวันละครั้งในช่วงแรก เพื่อให้ผิวค่อยๆ ปรับตัวและสร้างความทนทาน ซึ่งจะช่วยหลีกเลี่ยงการระคายเคืองได้

ข้อห้ามใช้และกลุ่มที่ควรปรึกษาแพทย์ก่อนใช้

โดยทั่วไปแล้ว ไนอะซินาไมด์ไม่มีข้อห้ามใช้อย่างร้ายแรง สำหรับการใช้ทาภายนอกในผู้ที่มีสุขภาพดี อย่างไรก็ตาม มีบางกลุ่มที่ควรใช้ด้วยความระมัดระวังหรือปรึกษาแพทย์ก่อนใช้ ดังนี้

  • ผู้ที่แพ้ไนอะซินาไมด์หรือไนอะซิน: ควรหลีกเลี่ยงการใช้โดยเด็ดขาด
  • ผู้ที่มีผิวแพ้ง่ายมาก: ควรทำการทดสอบผลิตภัณฑ์ (Patch Test) ก่อนใช้กับใบหน้า เพื่อตรวจสอบอาการแพ้หรือการระคายเคือง
  • สตรีมีครรภ์หรือให้นมบุตร: แม้โดยทั่วไปจะปลอดภัย แต่ควรปรึกษาแพทย์เพื่อความมั่นใจก่อนใช้
  • ผู้ที่มีภาวะผิวหนังอักเสบรุนแรง: หรือผู้ที่กำลังใช้ยารักษาผิวหนังตามใบสั่งแพทย์ ควรปรึกษาแพทย์ผิวหนังก่อนนำไนอะซินาไมด์เข้ามาใช้ในขั้นตอนการดูแลผิว

คำถามที่พบบ่อยเกี่ยวกับวิตามินบี 3 (Niacinamide)

วิตามินบี 3 พบได้ในอาหารประเภทใดบ้าง?

วิตามินบี 3 พบได้ในอาหารหลายประเภท เช่น เนื้อสัตว์ ปลา ธัญพืชเต็มเมล็ด พืชตระกูลถั่ว รวมถึงถั่วและเมล็ดพืชต่างๆ แหล่งที่อุดมไปด้วยวิตามินบี 3 ได้แก่ เนื้อสัตว์ (โดยเฉพาะเครื่องในอย่างตับ เนื้อวัว และสัตว์ปีก) และปลา นอกจากนี้ยังพบได้ในข้าวกล้อง ถั่วลิสง และเมล็ดทานตะวัน รวมถึงผลิตภัณฑ์นม ไข่ และซีเรียลหลายชนิดก็มีการเติมวิตามินบี 3 เพิ่มเข้าไปด้วย

วิตามินบี 3 ห้ามใช้คู่กับอะไร?

จากข้อมูลงานวิจัยสมัยใหม่ ไนอะซินาไมด์ (วิตามินบี 3) สามารถใช้ร่วมกับส่วนผสมสกินแคร์ส่วนใหญ่ได้อย่างปลอดภัย รวมถึงวิตามินซี ซึ่งความเชื่อที่ว่าห้ามใช้คู่กันนั้นเป็นความเข้าใจที่ล้าสมัยไปแล้ว

ในอดีตมีความกังวลว่าไนอะซินาไมด์อาจทำปฏิกิริยากับวิตามินซี (L-ascorbic acid) ในสภาวะที่มีอุณหภูมิสูงมาก แต่ในการใช้งานสกินแคร์ตามปกติ ปฏิกิริยาดังกล่าวแทบไม่เกิดขึ้นเลย ปัจจุบันแพทย์ผิวหนังและผลการวิจัยยืนยันว่าการใช้ส่วนผสมทั้งสองร่วมกันนั้นปลอดภัยและยังช่วยเสริมประสิทธิภาพในการดูแลผิวอีกด้วย

สามารถใช้ผลิตภัณฑ์ที่มี Niacinamide ทุกวันได้หรือไม่?

ได้ คุณสามารถใช้ผลิตภัณฑ์ที่มี Niacinamide ได้ทุกวัน เนื่องจากเป็นส่วนผสมที่อ่อนโยน ไม่ทำให้ผิวบางลงหรือไวต่อแสงแดด การใช้อย่างสม่ำเสมอทุกวันจึงมีความปลอดภัยและจำเป็นเพื่อให้เห็นผลลัพธ์ที่ดีที่สุด โดยสามารถใช้ได้ทั้งในตอนเช้าและตอนเย็น

ต้องใช้เวลานานเท่าไรจึงจะเริ่มเห็นผลลัพธ์บนผิว?

ระยะเวลาในการเห็นผลลัพธ์จะแตกต่างกันไปตามปัญหาผิว โดยทั่วไปแล้วกรอบเวลาโดยประมาณมีดังนี้:

  • 2 ถึง 4 สัปดาห์: สำหรับการลดความมันบนใบหน้าและทำให้รูขุมขนดูกระชับขึ้น
  • 8 ถึง 12 สัปดาห์: สำหรับการลดเลือนจุดด่างดำและรอยดำต่างๆ
  • 12 สัปดาห์ขึ้นไป: สำหรับการลดเลือนริ้วรอยและปรับสภาพผิวโดยรวมให้ดีขึ้น

การขาดวิตามินบี 3 ส่งผลเสียต่อร่างกายอย่างไร?

การขาดวิตามินบี 3 อย่างรุนแรงจะทำให้เกิดโรคเพลแลกรา (Pellagra) ซึ่งมีอาการหลัก 3 อย่างคือ ผิวหนังอักเสบ (Dermatitis) ท้องร่วง (Diarrhea) และภาวะสมองเสื่อม (Dementia)

โรคนี้เป็นภาวะที่เกิดจากการขาดไนอะซิน (วิตามินบี 3) อย่างรุนแรง โดยมีอาการแสดงที่สำคัญดังนี้

  • ผิวหนังอักเสบ: เกิดผื่นคล้ายผิวไหม้แดดซึ่งต่อมาจะคล้ำ หนา และตกสะเก็ด โดยเฉพาะในบริเวณที่โดนแสงแดด
  • ท้องร่วง: มีปัญหาเกี่ยวกับระบบทางเดินอาหาร เช่น เบื่ออาหาร อาเจียน และท้องร่วง
  • ภาวะสมองเสื่อม: เกิดอาการทางระบบประสาท เช่น อ่อนเพลีย สับสน สูญเสียความทรงจำ และในกรณีที่รุนแรงอาจนำไปสู่ภาวะสมองเสื่อมได้

หากไม่ได้รับการรักษา โรคเพลแลกราอาจรุนแรงจนถึงขั้นเสียชีวิตได้

ใช้ Niacinamide แล้วสิวขึ้นเกิดจากอะไร?

โดยทั่วไปแล้ว Niacinamide ไม่ได้เป็นสาเหตุโดยตรงที่ทำให้เกิดการ “ดันสิว” หรือสิวอุดตัน เนื่องจากไม่มีคุณสมบัติในการเร่งการผลัดเซลล์ผิวเหมือนส่วนผสมอย่างกรด AHA, BHA หรือเรตินอยด์

สิวที่เกิดขึ้นหลังจากเริ่มใช้ Niacinamide มักมาจากสาเหตุอื่น ได้แก่:

  • การระคายเคือง: อาจเกิดจากการใช้ผลิตภัณฑ์ที่มีความเข้มข้นสูงเกินไป (เช่น 10% ขึ้นไป) หรือผิวอาจไวต่อส่วนผสมอื่นในสูตรผลิตภัณฑ์นั้นๆ
  • ส่วนผสมอื่นในผลิตภัณฑ์: สิวอาจเกิดจากส่วนผสมอื่นในเซรั่มหรือครีมตัวนั้นที่อาจอุดตันรูขุมขน
  • เป็นสิวตามปกติ: สิวที่ขึ้นอาจเป็นไปตามวงจรปกติของผิว ซึ่งเกิดขึ้นประจวบเหมาะกับช่วงที่เริ่มใช้ผลิตภัณฑ์ใหม่พอดี

References:

  1. NIH Office of Dietary Supplements. Niacin (Vitamin B3) Fact Sheet. NIH ODS. ods.od.nih.gov
  2. Cleveland Clinic. Niacinamide for Skin Health. Cleveland Clinic. clevelandclinic.org
  3. Healthline. Does Niacinamide Usually Cause Skin Purging? Healthline. healthline.com
  4. MDPI. Niacinamide and Skin Barrier Function Studies. MDPI Journals. mdpi.com

แนะแนวเรื่อง

Previous Previous
วิตามินบี 9 (โฟเลต) คืออะไร? สำคัญต่อสุขภาพเซลล์และผิวพรรณอย่างไร
NextContinue
วิตามินบี 6 (Vitamin B6) ช่วยลดสิวฮอร์โมน ปรับสมดุลผิวได้จริงหรือ?

สาขาพรีวาโต คลินิก

    สาขาอโศก ตั้งอยู่ที่ ชั้น 2 อาคารมิดทาวน์
    Phone: 02-258-4050 , 081-841-5075
    สาขาสีลม ตั้งอยู่ที่ ชั้น 1 อาคารซี.พี.ทาวเวอร์
    Phone: 02-780-2011 , 098-272-5244
    สาขาราชพฤกษ์ ตั้งอยู่ที่ ชั้น 2 ศูนย์การค้า เดอะคริสตัล เอสบี (ด้านบนร้านสตาร์บัคส์)
    Phone: 02-102-2778 , 098-272-5244

ติดต่อเรา

    Facebook: Privato Clinic
    Messenger: Privato Clinic
    Instagram: privatoclinic
    Email: privatoclinic@gmail.com
    Line: @privatoclinic

Copyright© 2022-2024. All Rights Reserved

Scroll to top
  • หน้าหลัก
  • เกี่ยวกับพรีวาโต
  • บริการทั้งหมด
    • ชะลอวัย
    • ยกกระชับผิว
      • XERF
      • Potenza
      • Sofwave
      • Ulthera
      • Thermage-FLX
    • รักษาสิว
    • เลเซอร์
    • โปรแกรมฉีด
    • บำรุงผิว
  • บทความ
    • สิว
    • ยกกระชับ
    • ดูแลผิว
    • ทำเลเซอร์
  • ผลิตภัณฑ์ดูแลผิว
  • โปรโมชั่น
  • ผลลัพธ์การรักษา
  • วิดีโอรีวิวจากเคสจริง
  • สาขาของเรา
  • ไทย
    • ไทย
    • English
    • 中文 (中国)
  • ปรึกษาแพทย์
Facebook Instagram YouTube