Skip to content

TEL : 081-841-5075, 02-258-4050

Facebook Instagram YouTube
Privato Clinic – Innovation Of Beauty  |  Bangkok
  • หน้าหลัก
  • เกี่ยวกับพรีวาโต
  • บริการทั้งหมดExpand
    • ชะลอวัย
    • ยกกระชับผิวExpand
      • XERF
      • Potenza
      • Sofwave
      • Ulthera
      • Thermage-FLX
    • รักษาสิว
    • เลเซอร์
    • โปรแกรมฉีด
    • บำรุงผิว
  • บทความExpand
    • สิว
    • ยกกระชับ
    • ดูแลผิว
    • ทำเลเซอร์
  • ผลิตภัณฑ์ดูแลผิว
  • โปรโมชั่น
  • ผลลัพธ์การรักษา
  • วิดีโอรีวิวจากเคสจริง
  • สาขาของเรา
  • ไทยExpand
    • ไทย
    • English
    • 中文 (中国)
  • ปรึกษาแพทย์
Privato Clinic – Innovation Of Beauty  |  Bangkok
Consult a Doctor
Lifting

ตาโหล เบ้าตาลึก เกิดจากอะไร รักษาด้วยวิธีไหนเห็นผล

Byadmin พฤศจิกายน 19, 2025พฤศจิกายน 19, 2025
By แพทย์หญิงนัชชนก หุ่นวิจิตร Updated on พฤศจิกายน 19, 2025
✦ Medically reviewed by  นายแพทย์เลอพงษ์ กรุดเงิน
ตาโหล เบ้าตาลึก เกิดจากอะไร รักษาด้วยวิธีไหนเห็นผล 2568

ตาโหล คือภาวะเบ้าตาลึกที่เกิดจากการยุบตัวของไขมันและกระดูกรอบดวงตา ทำให้ใบหน้าดูเหนื่อยล้า ซึ่งรักษาได้ด้วยการฉีดฟิลเลอร์เติมเต็มร่องลึกใต้ตาให้เรียบเนียนอย่างเป็นธรรมชาติ โดยผลลัพธ์สามารถคงอยู่ได้นาน 1-2 ปีและช่วยให้ใบหน้าโดยรวมดูสดใสอ่อนเยาว์ขึ้น

Table of Contents

Toggle
  • ลักษณะของตาโหลและเบ้าตาลึกเป็นอย่างไร
  • ตาโหลเกิดจากสาเหตุหลักอะไรได้บ้าง
    • พันธุกรรมและโครงสร้างกระดูกเบ้าตา
    • การเปลี่ยนแปลงตามวัยและการสลายตัวของไขมัน
    • พฤติกรรมการใช้ชีวิตและการพักผ่อนไม่เพียงพอ
    • ภาวะสุขภาพและผลข้างเคียงจากการผ่าตัด
  • ใครบ้างที่เหมาะกับการรักษาภาวะตาโหล
  • วิธีรักษาตาโหลทางการแพทย์มีอะไรบ้าง
    • การฉีดฟิลเลอร์เติมเต็มร่องลึกใต้ตา
    • การฉีดไขมันตัวเอง (Autologous Fat Grafting)
    • การผ่าตัดจัดเรียงไขมันใต้ตา
    • เปรียบเทียบแต่ละวิธี: ผลลัพธ์ ระยะเวลาพักฟื้น และความคงทน
  • ข้อควรรู้ก่อนตัดสินใจเลือกวิธีแก้ตาโหล
    • การประเมินความรุนแรงและสาเหตุที่แท้จริง
    • การเลือกคลินิกและแพทย์ผู้เชี่ยวชาญ
    • ความคาดหวังต่อผลลัพธ์ที่เป็นจริง
  • ความเสี่ยงและผลข้างเคียงที่อาจเกิดขึ้นจากการรักษา
  • คำถามที่พบบ่อยเกี่ยวกับการรักษาตาโหล
    • การลดน้ำหนักอย่างรวดเร็วทำให้ตาโหลจริงไหม
    • วิธีแก้ตาโหลแบบธรรมชาติได้ผลจริงหรือ
    • ฉีดฟิลเลอร์แก้ตาโหลอยู่ได้นานแค่ไหน
    • แต่ละวิธีรักษาตาโหลมีความเสี่ยงต่างกันอย่างไร
    • หลังรักษาตาโหลต้องดูแลตัวเองอย่างไร
  • References:

ลักษณะของตาโหลและเบ้าตาลึกเป็นอย่างไร

ลักษณะของ ตาโหลและเบ้าตาลึกคือการที่บริเวณรอบดวงตาดูยุบตัวหรือจมลึกลงไป ทำให้เกิดร่องลึกและเงาดำคล้ำใต้ตา ซึ่งทำให้ใบหน้าโดยรวมดูเหนื่อยล้า อ่อนเพลีย และดูมีอายุมากขึ้น

สาเหตุหลักเกิดจากการสูญเสียปริมาตรของไขมันและกระดูกบริเวณรอบดวงตา ซึ่งอาจมาจากปัจจัยต่างๆ เช่น อายุที่เพิ่มขึ้น พันธุกรรม หรือการลดน้ำหนักอย่างรวดเร็ว โดยสามารถสังเกตลักษณะได้ดังนี้

  • ตาโหล (Sunken Eyes): มักหมายถึงการเกิดร่องลึกใต้ตา (Tear Trough) ที่เห็นได้ชัดเจนตั้งแต่หัวตาไล่ลงมาถึงแก้ม ทำให้เกิดเป็นเงาที่ดูเหมือนรอยคล้ำใต้ตา
  • เบ้าตาลึก (Deep-Set Eyes): เป็นลักษณะที่ลูกตาจมลึกลงไปในเบ้าตามากกว่าปกติ อาจเกิดจากการฝ่อตัวของไขมันบริเวณเปลือกตาบน ทำให้เปลือกตาดูโบ๋และเห็นขอบกระดูกเบ้าตาชัดเจนขึ้น

ตาโหลเกิดจากสาเหตุหลักอะไรได้บ้าง

พันธุกรรมและโครงสร้างกระดูกเบ้าตา

พันธุกรรมเป็นปัจจัยหลักที่กำหนดโครงสร้างกระดูกเบ้าตา ซึ่งส่งผลโดยตรงต่อลักษณะของดวงตา เช่น ปัญหาร่องลึกใต้ตาหรือตาโหล

โครงสร้างกระดูกเบ้าตาที่ลึกหรือกว้างกว่าปกติซึ่งถูกกำหนดโดยพันธุกรรม จะทำให้ดวงตาดูจมลึกลงไป นอกจากนี้ รูปทรงของกระดูกขอบเบ้าตาและโหนกแก้มยังมีผลต่อการเกิดร่องน้ำตาที่ชัดเจน ซึ่งลักษณะเหล่านี้มักปรากฏให้เห็นได้ตั้งแต่กำเนิด

การเปลี่ยนแปลงตามวัยและการสลายตัวของไขมัน

การเปลี่ยนแปลงตามวัยทำให้ไขมันบริเวณรอบดวงตาสลายตัวและเคลื่อนที่ลง ซึ่งเป็นสาเหตุหลักที่ทำให้เกิดร่องน้ำตา เบ้าตาลึก และถุงใต้ตา

เมื่ออายุมากขึ้น โครงสร้างบนใบหน้าหลายส่วนจะเปลี่ยนแปลงไปพร้อมกัน โดยเฉพาะบริเวณรอบดวงตาซึ่งมีการสลายตัวของไขมัน (Fat Atrophy) และการเคลื่อนตัวต่ำลงของก้อนไขมันบริเวณแก้ม ทำให้ปริมาตรใต้ตาและเปลือกตาบนลดลง ประกอบกับการที่กระดูกเบ้าตาบางส่วนสลายไปและผิวหนังบางลง จึงทำให้เห็นลักษณะความร่วงโรยได้ชัดเจนขึ้น

ผลลัพธ์ที่มองเห็นได้จากการเปลี่ยนแปลงเหล่านี้ ได้แก่:

  • ร่องน้ำตาลึก: เกิดจากการที่ไขมันและเนื้อเยื่อบริเวณแก้มส่วนบนหย่อนคล้อยลง ทำให้เกิดเป็นร่องลึกใต้ตา
  • เบ้าตาลึกโบ๋: เกิดจากการสลายตัวของไขมันในเบ้าตาโดยตรง ทำให้ดวงตาดูโหลและอิดโรย
  • ถุงใต้ตา: เกิดจากไขมันในเบ้าตาปูดนูนออกมาเนื่องจากกล้ามเนื้อและเนื้อเยื่อที่พยุงไว้หย่อนยานลง

พฤติกรรมการใช้ชีวิตและการพักผ่อนไม่เพียงพอ

พฤติกรรมการใช้ชีวิตและการพักผ่อนไม่เพียงพอ เป็นสาเหตุสำคัญที่ทำให้ใต้ตาคล้ำ โทรม และเกิดร่องลึกใต้ตาได้ เนื่องจากการนอนน้อยจะทำให้ผิวหนังซีดลง ส่งผลให้เห็นหลอดเลือดและเนื้อเยื่อสีเข้มใต้ผิวหนังชัดเจนขึ้นจนเกิดเป็นรอยคล้ำ และยังอาจทำให้เกิดการสะสมของของเหลวจนใต้ตาบวมได้

ปัจจัยอื่นๆ ที่เกี่ยวข้อง ได้แก่

  • การสูญเสียไขมันและคอลลาเจน การพักผ่อนน้อยและภาวะเครียดเรื้อรังสามารถเร่งกระบวนการสลายของไขมันและคอลลาเจนบริเวณใต้ตา ทำให้ผิวบางลงและเกิดเป็นร่องลึก
  • การขาดน้ำ ทำให้ผิวหนังเหี่ยวและดวงตาดูโหลลึก
  • การลดน้ำหนักอย่างรวดเร็ว ส่งผลให้ไขมันบนใบหน้าลดลงก่อนส่วนอื่น ทำให้ร่องใต้ตาเด่นชัดขึ้น
  • การสูบบุหรี่และการดื่มแอลกอฮอล์ ทำลายคอลลาเจนและส่งผลต่อการไหลเวียนโลหิต ทำให้ผิวดูแก่กว่าวัย

ภาวะสุขภาพและผลข้างเคียงจากการผ่าตัด

ภาวะสุขภาพที่ทำให้ใต้ตาโหลได้แก่ การเสื่อมสภาพตามวัย การลดน้ำหนักอย่างรวดเร็ว ภาวะขาดน้ำ และการใช้ยาบางชนิด ส่วนผลข้างเคียงจากการผ่าตัดมักเกิดจากการผ่าตัดเปลือกตาที่เอาไขมันออกมากเกินไป

ภาวะสุขภาพ

  • การเสื่อมสภาพตามวัย: เมื่ออายุมากขึ้น กระดูกใต้ตาจะยุบตัวลงและไขมันบริเวณรอบดวงตาจะฝ่อลง ทำให้เกิดเป็นร่องลึกหรือเบ้าตาโหล
  • การลดน้ำหนักอย่างรวดเร็ว: การสูญเสียไขมันทั่วร่างกายอย่างรวดเร็วส่งผลให้ไขมันบนใบหน้าและรอบดวงตาลดลงไปด้วย
  • ภาวะขาดน้ำ: การดื่มน้ำไม่เพียงพอทำให้ผิวหนังใต้ตาซึ่งบอบบางอยู่แล้วดูหมองคล้ำและยุบตัวลง
  • การใช้ยาบางชนิด: ยาหยอดตารักษาต้อหินในกลุ่ม Prostaglandin analogues อาจมีผลข้างเคียงทำให้ไขมันรอบดวงตาฝ่อได้
  • ภาวะตาจม (Enophthalmos): เป็นภาวะที่ลูกตาเคลื่อนไปอยู่ด้านหลังของเบ้าตามากกว่าปกติ ซึ่งอาจเกิดจากการบาดเจ็บหรือโรคบางอย่าง

ผลข้างเคียงจากการผ่าตัด

  • การผ่าตัดเปลือกตาล่าง (Lower Blepharoplasty): หากศัลยแพทย์นำไขมันใต้ตาออกมากเกินไป อาจทำให้ใต้ตาดูโบ๋ ลึก หรือโหลกว่าเดิมได้
  • การผ่าตัดที่กระทบกระเทือนเบ้าตา: การผ่าตัดหรืออุบัติเหตุที่ทำให้กระดูกเบ้าตาแตก อาจทำให้ลูกตาเคลื่อนไปด้านหลังและดูจมลึกลงไป

ใครบ้างที่เหมาะกับการรักษาภาวะตาโหล

ผู้ที่เหมาะกับการรักษาภาวะตาโหลคือ ผู้ที่มีปัญหาเบ้าตาลึกหรือใต้ตาโหลจากการสูญเสียปริมาตรไขมันและกระดูกรอบดวงตา ซึ่งทำให้ใบหน้าดูเหนื่อยล้าและมีอายุ

โดยทั่วไปแล้ว ผู้ที่เหมาะกับการรักษามีลักษณะดังนี้

  • ผู้ที่มีเบ้าตาลึกจากโครงสร้างทางพันธุกรรม
  • ผู้ที่สูญเสียไขมันบริเวณรอบดวงตาตามวัยที่เพิ่มขึ้น
  • ผู้ที่น้ำหนักลดลงอย่างรวดเร็วจนใบหน้าซูบตอบ
  • ผู้ที่มีร่องน้ำตาลึกและเห็นเป็นเงาดำคล้ำใต้ตา
  • ผู้ที่ต้องการปรับให้ใบหน้าโดยรวมดูสดใสและอ่อนเยาว์ขึ้น

วิธีรักษาตาโหลทางการแพทย์มีอะไรบ้าง

วิธีรักษาตาโหลทางการแพทย์ที่นิยมมี 3 วิธีหลัก ได้แก่ การฉีดฟิลเลอร์ การฉีดไขมัน และการผ่าตัด

  • การฉีดฟิลเลอร์ (Filler Injection): เป็นการใช้สารเติมเต็มประเภทไฮยาลูรอนิกแอซิด (Hyaluronic Acid) ฉีดเข้าไปบริเวณใต้ตาเพื่อเติมเต็มร่องลึก ทำให้ผิวดูตื้นและเรียบเนียนขึ้น
  • การฉีดไขมัน (Fat Grafting): เป็นการดูดไขมันจากส่วนอื่นของร่างกายผู้ป่วยเอง เช่น หน้าท้องหรือต้นขา แล้วนำมาฉีดเติมเต็มบริเวณที่ลึกโบ๋ใต้ตา
  • การผ่าตัด (Surgery): มีหลายเทคนิค เช่น การผ่าตัดเปลือกตาล่าง (Lower Blepharoplasty) หรือการผ่าตัดจัดเรียงไขมันใต้ตา (Orbital Fat Repositioning) เพื่อย้ายไขมันจากส่วนที่นูนมาเติมในส่วนที่ยุบตัว

การฉีดฟิลเลอร์เติมเต็มร่องลึกใต้ตา

การฉีดฟิลเลอร์ใต้ตาคือ หัตถการที่ไม่ใช่การผ่าตัดเพื่อแก้ไขปัญหาร่องลึกหรือรอยคล้ำใต้ตา โดยการเติมสารเติมเต็มประเภทกรดไฮยาลูรอนิก (Hyaluronic Acid) เข้าไปบริเวณร่องน้ำตา (Tear Trough) เพื่อเพิ่มปริมาตรให้กับผิวที่ยุบตัวลงตามวัยหรือจากปัจจัยทางพันธุกรรม

การรักษานี้ช่วยให้ผิวบริเวณใต้ตาดูเรียบเนียน ตื้นขึ้น และลดเงาที่ทำให้ดูคล้ำหรือดูเหนื่อยล้า หัตถการนี้เหมาะสำหรับผู้ที่มีปัญหาร่องลึกใต้ตาจากการสูญเสียไขมัน แต่ไม่เหมาะกับผู้ที่มีถุงใต้ตาขนาดใหญ่หรือผิวหนังหย่อนคล้อยมากเกินไป ซึ่งอาจต้องใช้วิธีการรักษาอื่น เช่น การผ่าตัด

การฉีดไขมันตัวเอง (Autologous Fat Grafting)

การฉีดไขมันตัวเอง (Autologous Fat Grafting) คือ การปลูกถ่ายเซลล์ไขมันของตัวเองจากบริเวณหนึ่งไปยังอีกบริเวณหนึ่งของร่างกาย เพื่อเพิ่มปริมาตร, ปรับแก้ความบกพร่อง หรือฟื้นฟูสภาพผิว

กระบวนการนี้จะเริ่มต้นด้วยการดูดไขมัน (Liposuction) จากบริเวณที่มีไขมันสะสมมาก เช่น หน้าท้อง, ต้นขา หรือสะโพก จากนั้นนำไขมันที่ได้มาผ่านกระบวนการปั่นคัดแยกเพื่อให้ได้เซลล์ไขมันที่บริสุทธิ์และแข็งแรง แล้วจึงนำไปฉีดกลับเข้าไปในบริเวณที่ต้องการเติมเต็ม เช่น ใบหน้า, ใต้ตา, หน้าอก หรือมือ เนื่องจากเป็นการใช้เซลล์จากร่างกายของตัวเองจึงมีความเสี่ยงต่อการเกิดอาการแพ้ต่ำ และให้ผลลัพธ์ที่เป็นธรรมชาติ

การผ่าตัดจัดเรียงไขมันใต้ตา

การผ่าตัดจัดเรียงไขมันใต้ตา (Orbital Fat Repositioning) คือการผ่าตัดย้ายถุงไขมันใต้ตาของผู้ป่วยเองมาเติมเต็มในส่วนร่องลึกใต้ตา (Tear Trough) เพื่อแก้ไขปัญหาร่องลึกและถุงใต้ตาไปพร้อมกัน

การผ่าตัดนี้มักทำร่วมกับการผ่าตัดเปลือกตาล่าง (Lower Blepharoplasty) โดยศัลยแพทย์จะเข้าไปจัดเรียงก้อนไขมันที่นูนออกมาเป็นถุงใต้ตา แล้วย้ายไขมันส่วนนั้นลงมาเติมในบริเวณร่องน้ำตาที่ลึกบุ๋มลงไป จากนั้นจึงเย็บไขมันให้ยึดติดกับที่

ข้อดีของการจัดเรียงไขมันใต้ตาคือเป็นการใช้เนื้อเยื่อของตัวเอง ทำให้ได้ผลลัพธ์ที่ดูเป็นธรรมชาติและถาวร ช่วยแก้ปัญหาทั้งถุงใต้ตาที่นูนออกมาและร่องลึกใต้ตาได้ในคราวเดียว ทำให้ผิวบริเวณใต้ตาเรียบเนียนขึ้นโดยไม่ทำให้ใต้ตาดูโบ๋หรือลึกกว่าเดิมเหมือนการผ่าตัดเอาไขมันออกเพียงอย่างเดียว

เปรียบเทียบแต่ละวิธี: ผลลัพธ์ ระยะเวลาพักฟื้น และความคงทน

การรักษาใต้ตาสามารถเปรียบเทียบได้จากความคงทนของผลลัพธ์และระยะเวลาพักฟื้น โดยฟิลเลอร์ให้ผลลัพธ์ชั่วคราวและพักฟื้นน้อยที่สุด, การฉีดไขมันให้ผลลัพธ์กึ่งถาวรและพักฟื้นนานขึ้น, ส่วนการผ่าตัดให้ผลลัพธ์ถาวรแต่ต้องใช้เวลาพักฟื้นนานที่สุด

ตารางเปรียบเทียบแต่ละวิธี:

วิธีการ ผลลัพธ์ ระยะเวลาพักฟื้น ความคงทน
ฟิลเลอร์ เติมเต็มร่องลึกได้ทันที ปรับแก้ได้ง่าย น้อยมาก (อาจมีรอยช้ำหรือบวมเล็กน้อย 1-3 วัน) 1-2 ปี
ฉีดไขมัน ใช้ไขมันตัวเองจึงดูเป็นธรรมชาติ ช่วยฟื้นฟูคุณภาพผิว 1-2 สัปดาห์ (มีอาการบวมและช้ำมากกว่า) กึ่งถาวรถึงถาวร
ผ่าตัดย้ายไขมัน แก้ปัญหาถุงใต้ตาและร่องลึกไปพร้อมกัน ให้ผลลัพธ์ที่ชัดเจน 2-4 สัปดาห์ขึ้นไป (เป็นการผ่าตัดจึงบวมช้ำนานที่สุด) ถาวร

ข้อควรรู้ก่อนตัดสินใจเลือกวิธีแก้ตาโหล

การประเมินความรุนแรงและสาเหตุที่แท้จริง

การประเมินความรุนแรงและสาเหตุที่แท้จริงของปัญหาใต้ตาต้องอาศัยการตรวจวินิจฉัยทางคลินิกโดยแพทย์ผู้เชี่ยวชาญ เพื่อพิจารณาโครงสร้างทางกายวิภาคโดยละเอียด แพทย์จะประเมินจากปัจจัยต่างๆ เพื่อระบุสาเหตุที่แท้จริง ซึ่งอาจเกิดจากปัจจัยเดียวหรือหลายปัจจัยร่วมกัน

สาเหตุหลักของปัญหาใต้ตา ได้แก่

  • พันธุกรรม: โครงสร้างกระดูกเบ้าตาและปริมาณไขมันที่เป็นมาแต่กำเนิด
  • อายุที่เพิ่มขึ้น: การยุบตัวของกระดูกเบ้าตา การฝ่อตัวหรือเคลื่อนที่ของไขมันใต้ตา และผิวหนังที่บางและหย่อนคล้อยลง
  • การเปลี่ยนแปลงน้ำหนัก: การลดน้ำหนักอย่างรวดเร็วทำให้ไขมันบนใบหน้าลดลง ส่งผลให้ใต้ตาดูโหลลึก
  • ภาวะทางการแพทย์: เช่น ภาวะตาโบ๋ (Enophthalmos) หรือผลข้างเคียงจากการใช้ยาบางชนิด

สำหรับการประเมินความรุนแรง แพทย์มักใช้ระบบการจำแนก (Classification System) เพื่อแบ่งระดับความรุนแรงของร่องน้ำตา โดยพิจารณาจากความลึกของร่อง การปรากฏของถุงใต้ตา (ไขมันที่ปูดนูนออกมา) และคุณภาพของผิวหนังในบริเวณนั้น

การเลือกคลินิกและแพทย์ผู้เชี่ยวชาญ

การเลือกคลินิกและแพทย์ควรพิจารณาจาก ความเชี่ยวชาญของแพทย์ คลินิกที่ได้มาตรฐาน และการใช้ผลิตภัณฑ์ของแท้ที่ตรวจสอบได้ เพื่อให้มั่นใจในความปลอดภัยและผลลัพธ์ที่ดีที่สุด

ปัจจัยสำคัญที่ควรพิจารณา มีดังนี้

  • แพทย์ผู้เชี่ยวชาญ: ควรเป็นแพทย์ที่มีใบประกอบวิชาชีพถูกต้อง มีประสบการณ์และความชำนาญด้านการปรับรูปหน้าโดยเฉพาะ สามารถตรวจสอบรายชื่อแพทย์ได้จากเว็บไซต์ของแพทยสภา
  • คลินิกที่ได้มาตรฐาน: ต้องเป็นสถานพยาบาลที่ได้รับใบอนุญาตประกอบกิจการอย่างถูกต้อง มีความสะอาด ปลอดภัย และมีเครื่องมือที่ทันสมัย
  • ผลิตภัณฑ์ที่ใช้: ต้องเป็นของแท้ที่ผ่านการรับรองจาก อย. เท่านั้น โดยแพทย์ควรแกะกล่องใหม่ให้ดูต่อหน้า และเราสามารถนำเลขล็อต (Lot No.) ไปตรวจสอบกับบริษัทผู้นำเข้าได้
  • รีวิวและผลงาน: ศึกษาข้อมูลรีวิวจากแหล่งที่น่าเชื่อถือและขอดูภาพผลงานก่อน-หลังการรักษาของแพทย์เพื่อประกอบการตัดสินใจ
  • การให้คำปรึกษา: แพทย์ควรให้เวลาในการประเมินปัญหาและให้คำแนะนำอย่างละเอียด ตรงไปตรงมา รวมถึงอธิบายแผนการรักษาที่เหมาะสม
  • ราคาที่สมเหตุสมผล: ควรเปรียบเทียบราคาจากหลายๆ ที่ โดยคำนึงว่าราคาที่ถูกเกินไปอาจเสี่ยงต่อการใช้ผลิตภัณฑ์ที่ไม่มีคุณภาพ

ความคาดหวังต่อผลลัพธ์ที่เป็นจริง

ผลลัพธ์ที่คาดหวังได้จริงจากการฉีดฟิลเลอร์ใต้ตาคือ การเติมเต็มร่องลึกใต้ตาให้ดูตื้นขึ้นและลดเลือนรอยคล้ำที่เกิดจากเงา ทำให้ใบหน้าโดยรวมดูสดใสและอ่อนเยาว์ขึ้น

การฉีดฟิลเลอร์จะช่วยเพิ่มปริมาตรในบริเวณที่ยุบตัวลง ทำให้ผิวบริเวณใต้ตาเรียบเนียนขึ้นและลดรอยต่อระหว่างเปลือกตาล่างกับแก้ม ผลลัพธ์ที่ได้จะดูเป็นธรรมชาติ ไม่เป็นก้อน และช่วยให้ใบหน้าดูเหนื่อยล้าน้อยลง อย่างไรก็ตาม ฟิลเลอร์ไม่สามารถแก้ไขรอยคล้ำที่เกิดจากเม็ดสีผิวได้โดยตรง แต่จะช่วยลดเงาที่ทำให้ใต้ตาดูคล้ำลงได้

ความเสี่ยงและผลข้างเคียงที่อาจเกิดขึ้นจากการรักษา

ความเสี่ยงและผลข้างเคียงที่อาจเกิดขึ้นจากการรักษาร่องใต้ตามีตั้งแต่ผลข้างเคียงทั่วไปที่ไม่รุนแรง เช่น รอยช้ำและอาการบวม ไปจนถึงภาวะแทรกซ้อนที่รุนแรงแต่พบได้ยาก เช่น การอุดตันของเส้นเลือดที่อาจนำไปสู่การสูญเสียการมองเห็น

ภาวะแทรกซ้อนที่อาจเกิดขึ้นสามารถแบ่งตามความรุนแรงได้ดังนี้

  • ผลข้างเคียงทั่วไป: อาการบวม รอยช้ำ รอยแดง หรืออาการเจ็บบริเวณที่ฉีด ซึ่งโดยทั่วไปจะหายไปเองภายใน 1-2 สัปดาห์
  • ภาวะแทรกซ้อนที่พบได้: ก้อนบวมหรือผิวไม่เรียบ, ปรากฏการณ์ทินดอล (Tyndall effect) ซึ่งทำให้ผิวบริเวณที่ฉีดเปลี่ยนเป็นสีฟ้าอมเทา, การติดเชื้อ และอาการแพ้
  • ภาวะแทรกซ้อนที่รุนแรง (พบได้ยาก): การอุดตันของเส้นเลือด (Vascular Occlusion) ซึ่งอาจทำให้เนื้อเยื่อตาย และในกรณีที่ร้ายแรงที่สุดคือการเข้าเส้นเลือดที่ไปเลี้ยงจอประสาทตาจนทำให้ตาบอด ซึ่งถือเป็นภาวะฉุกเฉินทางการแพทย์

คำถามที่พบบ่อยเกี่ยวกับการรักษาตาโหล

การลดน้ำหนักอย่างรวดเร็วทำให้ตาโหลจริงไหม

จริง การลดน้ำหนักอย่างรวดเร็วสามารถทำให้เกิดภาวะตาโหลหรือตาลึกได้ เนื่องจากใบหน้าเป็นส่วนแรกๆ ของร่างกายที่ไขมันจะลดลง ซึ่งรวมถึงไขมันบริเวณรอบดวงตา (Periorbital Fat) เมื่อไขมันส่วนนี้หายไปอย่างรวดเร็ว จะทำให้ผิวหนังขาดตัวพยุงและยุบตัวลง ส่งผลให้เบ้าตาดูโหลลึกมากขึ้น

วิธีแก้ตาโหลแบบธรรมชาติได้ผลจริงหรือ

วิธีแก้ตาโหลแบบธรรมชาติ อาจช่วยบรรเทาอาการได้เพียงชั่วคราว แต่ไม่สามารถแก้ไขสาเหตุที่แท้จริงได้

สาเหตุหลักของตาโหลเกิดจากการเปลี่ยนแปลงเชิงโครงสร้าง เช่น การสูญเสียไขมันและคอลลาเจนใต้ผิวหนัง หรือการยุบตัวของกระดูกเบ้าตา ซึ่งวิธีทางธรรมชาติไม่สามารถแก้ไขได้โดยตรง

วิธีทางธรรมชาติ เช่น การนอนหลับให้เพียงพอ การดื่มน้ำมากๆ หรือการประคบเย็น อาจช่วยลดรอยคล้ำหรืออาการบวมชั่วคราว ทำให้ดวงตาดูสดใสขึ้น แต่ไม่สามารถเติมเต็มปริมาตรที่หายไปได้ สำหรับการแก้ไขที่ตรงจุดและเห็นผลชัดเจน จำเป็นต้องอาศัยการรักษาทางการแพทย์ เช่น การฉีดฟิลเลอร์ การฉีดไขมัน หรือการผ่าตัด

ฉีดฟิลเลอร์แก้ตาโหลอยู่ได้นานแค่ไหน

การฉีดฟิลเลอร์เพื่อแก้ไขปัญหาตาโหล โดยทั่วไปจะอยู่ได้นานประมาณ 1-2 ปี ทั้งนี้ขึ้นอยู่กับชนิดและยี่ห้อของฟิลเลอร์ที่เลือกใช้ รวมถึงการดูแลตัวเองและอัตราการเผาผลาญของแต่ละบุคคล หลังจากนั้นฟิลเลอร์จะค่อยๆ สลายไปตามธรรมชาติ และสามารถกลับมาฉีดซ้ำเพื่อคงผลลัพธ์ไว้ได้

แต่ละวิธีรักษาตาโหลมีความเสี่ยงต่างกันอย่างไร

แต่ละวิธีรักษาตาโหลมีความเสี่ยงที่แตกต่างกัน ตั้งแต่ผลข้างเคียงชั่วคราวของการฉีดฟิลเลอร์ ไปจนถึงความเสี่ยงที่เกี่ยวข้องกับการผ่าตัดย้ายไขมันหรือการฉีดไขมัน

ความเสี่ยงของแต่ละวิธีสามารถแบ่งได้ดังนี้

  • การฉีดฟิลเลอร์ (Filler Injection): มีความเสี่ยงทั่วไป เช่น อาการบวม ช้ำ หรือคลำเจอก้อน แต่ความเสี่ยงที่รุนแรงที่สุด (แม้จะพบได้น้อย) คือการอุดตันของเส้นเลือด ซึ่งอาจทำให้เนื้อเยื่อตายหรือตาบอดได้
  • การฉีดไขมัน (Fat Grafting): เป็นการผ่าตัดเล็กที่มีความเสี่ยงเรื่องการติดเชื้อ เลือดออก และผลลัพธ์ที่ไม่แน่นอน เนื่องจากไขมันบางส่วนอาจสลายไป ทำให้ผิวไม่เรียบเนียน เป็นก้อน หรืออาจต้องทำซ้ำ
  • การผ่าตัดย้ายไขมัน (Orbital Fat Repositioning): เป็นการผ่าตัดที่มีความเสี่ยงสูงกว่า เช่น ความเสี่ยงจากการดมยาสลบ การติดเชื้อ รูปทรงเปลือกตาผิดปกติ ตาแห้ง หรือเห็นภาพซ้อน

หลังรักษาตาโหลต้องดูแลตัวเองอย่างไร

การดูแลตัวเองหลังรักษาตาโหลคือการประคบเย็นในช่วง 48 ชั่วโมงแรก และหลีกเลี่ยงการสัมผัสแรง ๆ บริเวณที่รักษา เพื่อลดอาการบวมและช่วยให้ผลลัพธ์เข้าที่ได้ดีขึ้น

ข้อควรปฏิบัติเพิ่มเติมมีดังนี้:

  • นอนหมอนสูง: ควรนอนหนุนหมอนให้ศีรษะสูงกว่าลำตัวในช่วง 2-3 คืนแรก เพื่อช่วยลดอาการบวม
  • หลีกเลี่ยงความร้อน: งดการเข้าซาวน่า, การประคบร้อน และการสัมผัสความร้อนโดยตรงบริเวณใบหน้าประมาณ 2 สัปดาห์
  • งดออกกำลังกายหนัก: หลีกเลี่ยงการออกกำลังกายหรือกิจกรรมที่ทำให้เลือดสูบฉีดมากในช่วง 24-48 ชั่วโมงแรก
  • งดเครื่องดื่มแอลกอฮอล์: ควรงดดื่มแอลกอฮอล์และสูบบุหรี่อย่างน้อย 24 ชั่วโมงหลังการรักษา
  • ปฏิบัติตามคำแนะนำของแพทย์: ควรปฏิบัติตามคำแนะนำเฉพาะของแพทย์ผู้ทำการรักษาอย่างเคร่งครัด และไปพบแพทย์ตามนัดหมาย

References:

  1. National Institutes of Health, 2025, nih.gov
  2. Frontiers in Medicine, 2025, frontiersin.org
  3. American Academy of Ophthalmology, 2025, aao.org
  4. Journal of Cosmetic Medicine, 2025, jcosmetmed.org
  5. Thieme Medical Publishers, 2025, thieme-connect.com
  6. Journal of Clinical and Aesthetic Dermatology, 2025, jcadonline.com
  7. National Health Service, 2025, nhs.uk

แนะแนวเรื่อง

Previous Previous
แก้ขมับตอบ: ฟิลเลอร์ vs ฉีดไขมัน แบบไหนดีกว่ากัน? สรุปครบจบ 2568
NextContinue
หน้าตอบ แก้มตอบ แก้ยังไงให้อิ่มฟู วิธีไหนดีที่สุด 2568

สาขาพรีวาโต คลินิก

    สาขาอโศก ตั้งอยู่ที่ ชั้น 2 อาคารมิดทาวน์
    Phone: 02-258-4050 , 081-841-5075
    สาขาสีลม ตั้งอยู่ที่ ชั้น 1 อาคารซี.พี.ทาวเวอร์
    Phone: 02-780-2011 , 098-272-5244
    สาขาราชพฤกษ์ ตั้งอยู่ที่ ชั้น 2 ศูนย์การค้า เดอะคริสตัล เอสบี (ด้านบนร้านสตาร์บัคส์)
    Phone: 02-102-2778 , 098-272-5244

ติดต่อเรา

    Facebook: Privato Clinic
    Messenger: Privato Clinic
    Instagram: privatoclinic
    Email: privatoclinic@gmail.com
    Line: @privatoclinic

Copyright© 2022-2024. All Rights Reserved

Scroll to top
  • หน้าหลัก
  • เกี่ยวกับพรีวาโต
  • บริการทั้งหมด
    • ชะลอวัย
    • ยกกระชับผิว
      • XERF
      • Potenza
      • Sofwave
      • Ulthera
      • Thermage-FLX
    • รักษาสิว
    • เลเซอร์
    • โปรแกรมฉีด
    • บำรุงผิว
  • บทความ
    • สิว
    • ยกกระชับ
    • ดูแลผิว
    • ทำเลเซอร์
  • ผลิตภัณฑ์ดูแลผิว
  • โปรโมชั่น
  • ผลลัพธ์การรักษา
  • วิดีโอรีวิวจากเคสจริง
  • สาขาของเรา
  • ไทย
    • ไทย
    • English
    • 中文 (中国)
  • ปรึกษาแพทย์
Facebook Instagram YouTube