Skip to content

TEL : 081-841-5075, 02-258-4050

Facebook Instagram YouTube
Privato Clinic – Innovation Of Beauty  |  Bangkok
  • หน้าหลัก
  • เกี่ยวกับพรีวาโต
  • บริการทั้งหมดExpand
    • ชะลอวัย
    • ยกกระชับผิวExpand
      • XERF
      • Potenza
      • Sofwave
      • Ulthera
      • Thermage-FLX
    • รักษาสิว
    • เลเซอร์
    • โปรแกรมฉีด
    • บำรุงผิว
  • บทความExpand
    • สิว
    • ยกกระชับ
    • ดูแลผิว
    • ทำเลเซอร์
  • ผลิตภัณฑ์ดูแลผิว
  • โปรโมชั่น
  • ผลลัพธ์การรักษา
  • วิดีโอรีวิวจากเคสจริง
  • สาขาของเรา
  • ไทยExpand
    • ไทย
    • English
    • 中文 (中国)
  • ปรึกษาแพทย์
Privato Clinic – Innovation Of Beauty  |  Bangkok
Consult a Doctor
Skincare

เซราไมด์คืออะไร? แพทย์ผิวหนังแนะนำเพื่อเกราะป้องกันผิวแข็งแรง

Byadmin พฤศจิกายน 20, 2025
By แพทย์หญิงนัชชนก หุ่นวิจิตร Updated on พฤศจิกายน 20, 2025
✦ Medically reviewed by  นายแพทย์เลอพงษ์ กรุดเงิน
เซราไมด์ (Ceramide) คืออะไร? แพทย์ผิวหนังแนะนำเพื่อเกราะป้องกันผิวแข็งแรง

เซราไมด์ (Ceramide) คือไขมันจำเป็นที่เป็นส่วนประกอบหลักถึง 50% ของเกราะป้องกันผิว ซึ่งทำหน้าที่เชื่อมเซลล์ผิวให้แข็งแรงเพื่อกักเก็บความชุ่มชื้นและปกป้องผิวจากมลภาวะภายนอก.

Table of Contents

Toggle
  • เซราไมด์คืออะไร: ส่วนประกอบสำคัญของเกราะป้องกันผิว
  • กลไกการทำงานของเซราไมด์ในการฟื้นฟูผิวให้แข็งแรง
  • ประเภทของเซราไมด์ที่พบบ่อยในสกินแคร์และหน้าที่หลัก
  • ประโยชน์ของเซราไมด์ต่อปัญหาผิวที่แตกต่างกัน
    • สำหรับผิวแห้ง ขาดน้ำ และลอกเป็นขุย
    • สำหรับผิวแพ้ง่าย มีอาการแดง หรือระคายเคือง
    • สำหรับผิวที่มีริ้วรอยและสัญญาณแห่งวัย
  • วิธีเลือกและใช้ผลิตภัณฑ์เซราไมด์ให้ได้ผลดีที่สุด
    • วิธีเลือกผลิตภัณฑ์
    • วิธีใช้ผลิตภัณฑ์
    • การอ่านฉลาก: สิ่งที่ควรมองหาในส่วนผสม
    • รูปแบบผลิตภัณฑ์ที่เหมาะสม: ครีม โลชั่น หรือเซรั่ม
    • ส่วนผสมที่ใช้คู่กับเซราไมด์เพื่อเสริมประสิทธิภาพ
  • ข้อควรระวังและความเข้าใจผิดเกี่ยวกับเซราไมด์
    • ข้อควรระวัง
    • ความเข้าใจผิดที่พบบ่อย
  • คำถามที่พบบ่อยเกี่ยวกับเซราไมด์ (FAQ)
    • เซราไมด์แตกต่างจากมอยเจอร์ไรเซอร์ทั่วไปอย่างไร?
    • เซราไมด์ในรูปแบบทากับแบบกิน แบบไหนดีกว่ากัน?
    • สามารถใช้เซราไมด์ร่วมกับ Retinol หรือ Vitamin C ได้หรือไม่?
    • ต้องใช้เวลานานแค่ไหนถึงจะเห็นผลลัพธ์ที่ชัดเจน?
    • เซราไมด์ทำให้ผิวมันหรืออุดตันได้หรือไม่?
    • ผิวทุกประเภทจำเป็นต้องใช้เซราไมด์หรือไม่?
  • References:
  • Author

เซราไมด์คืออะไร: ส่วนประกอบสำคัญของเกราะป้องกันผิว

เซราไมด์ (Ceramide) คือไขมันที่จำเป็นซึ่งเป็นส่วนประกอบหลักประมาณ 50% ของเกราะป้องกันผิว โดยทำหน้าที่เปรียบเสมือน “ปูน” ที่เชื่อมเซลล์ผิว (อิฐ) เข้าไว้ด้วยกันอย่างแข็งแรง เพื่อสร้างเกราะป้องกันที่ช่วยกักเก็บความชุ่มชื้นและปกป้องผิวจากสิ่งระคายเคืองภายนอก เช่น มลภาวะและสารก่อภูมิแพ้ หากผิวขาดเซราไมด์ เกราะป้องกันผิวจะอ่อนแอลง ส่งผลให้ผิวแห้งกร้าน ระคายเคือง และไวต่อปัจจัยกระตุ้นต่างๆ ได้ง่าย

กลไกการทำงานของเซราไมด์ในการฟื้นฟูผิวให้แข็งแรง

เซราไมด์ทำหน้าที่เป็นส่วนประกอบหลักของไขมันในชั้นผิวหนังกำพร้า โดยทำหน้าที่เสมือน “ปูน” ที่เชื่อมเซลล์ผิวเข้าด้วยกัน เพื่อสร้างเกราะป้องกันผิว (Skin Barrier) ที่แข็งแรงและเป็นระเบียบ

กลไกการทำงานหลักของเซราไมด์มี 2 ประการ คือ

  1. ป้องกันการสูญเสียน้ำ: ชั้นไขมันที่เซราไมด์สร้างขึ้นจะช่วยป้องกันไม่ให้น้ำระเหยออกจากผิว (ลดค่า TEWL) ทำให้ผิวสามารถกักเก็บความชุ่มชื้นไว้ได้ดีขึ้น
  • ปกป้องผิวจากปัจจัยภายนอก: เกราะป้องกันผิวที่แข็งแรงจะช่วยป้องกันไม่ให้สารก่อความระคายเคือง เชื้อโรค และสารก่อภูมิแพ้ต่างๆ ซึมผ่านเข้าสู่ผิวหนังได้ง่าย

เมื่อผิวขาดเซราไมด์ เกราะป้องกันผิวจะอ่อนแอลง ทำให้ผิวแห้ง ขาดน้ำ และไวต่อการระคายเคือง การใช้ผลิตภัณฑ์ที่มีเซราไมด์จึงเป็นการเข้าไปเติมเต็มและซ่อมแซมส่วนที่ขาดหายไป ทำให้เกราะป้องกันผิวกลับมาแข็งแรงดังเดิม

ประเภทของเซราไมด์ที่พบบ่อยในสกินแคร์และหน้าที่หลัก

ประเภทของเซราไมด์ที่พบบ่อยที่สุดในสกินแคร์ ได้แก่ Ceramide NP, Ceramide AP และ Ceramide EOP ซึ่งแต่ละชนิดมีหน้าที่สำคัญในการเสริมสร้างเกราะป้องกันผิว

  • Ceramide NP (Ceramide 3): เป็นเซราไมด์ที่มีปริมาณมากที่สุดในผิวสุขภาพดี มีหน้าที่หลักในการช่วยเพิ่มและกักเก็บความชุ่มชื้น
  • Ceramide AP (Ceramide 6-II): ช่วยรักษาความเสถียรของชั้นไขมันบนผิว และรักษาสมดุลค่า pH ของผิวให้เป็นกรดอ่อนๆ
  • Ceramide EOP (Ceramide 1 หรือ 9): เป็นเซราไมด์ชนิดพิเศษที่ทำหน้าที่เปรียบเสมือน “สมอ” ช่วยยึดเหนี่ยวโครงสร้างเกราะป้องกันผิวให้แข็งแรงและทำงานได้อย่างสมบูรณ์

ประโยชน์ของเซราไมด์ต่อปัญหาผิวที่แตกต่างกัน

สำหรับผิวแห้ง ขาดน้ำ และลอกเป็นขุย

เซราไมด์มีประสิทธิภาพสูงในการดูแลผิวแห้ง ขาดน้ำ และลอกเป็นขุย โดยการซ่อมแซมและเสริมสร้างเกราะป้องกันผิว ซึ่งช่วยลดการสูญเสียน้ำและกักเก็บความชุ่มชื้นไว้ในผิว

เซราไมด์ทำงานโดยการเข้าไปเติมเต็มไขมันระหว่างเซลล์ผิว เปรียบเสมือน “ปูน” ที่เชื่อม “อิฐ” (เซลล์ผิว) เข้าไว้ด้วยกัน ทำให้เกราะป้องกันผิวแข็งแรงขึ้น ส่งผลดีต่อผิวแห้งดังนี้

  • ล็อคความชุ่มชื้น: สร้างชั้นไขมันที่ช่วยป้องกันไม่ให้น้ำระเหยออกจากผิว (ลดการสูญเสียน้ำผ่านผิวหนัง หรือ TEWL) และช่วยให้ผิวสามารถกักเก็บน้ำไว้ได้ดีขึ้น
  • ฟื้นฟูเกราะป้องกันผิว: ไม่เพียงแค่ให้ความชุ่มชื้นบนพื้นผิว แต่ยังช่วยฟื้นฟูโครงสร้างของผิวให้กลับมาแข็งแรง ทำให้ผิวสามารถรักษาความชุ่มชื้นได้ด้วยตัวเองในระยะยาว
  • ลดปัญหาผิวลอกเป็นขุย: เมื่อผิวมีความชุ่มชื้นที่สมดุล การผลัดเซลล์ผิวจะกลับมาเป็นปกติ ทำให้ผิวเรียบเนียนขึ้นและลดอาการแห้งลอกเป็นขุย

สำหรับผิวแพ้ง่าย มีอาการแดง หรือระคายเคือง

เซราไมด์มีประโยชน์ต่อผิวแพ้ง่าย มีรอยแดง หรือระคายเคือง เนื่องจากคุณสมบัติในการซ่อมแซมเกราะป้องกันผิวและต้านการอักเสบ โดยจะเข้าไปเติมเต็มไขมันที่จำเป็นซึ่งมักขาดหายไปในผิวที่มีปัญหา เช่น ผื่นภูมิแพ้ผิวหนัง (Atopic Dermatitis)

การเสริมสร้างเกราะป้องกันผิวให้แข็งแรงขึ้นนี้จะช่วยลดการสูญเสียน้ำ (TEWL) และป้องกันไม่ให้สารก่อภูมิแพ้และสารระคายเคืองเข้าสู่ผิวได้ง่าย จึงช่วยลดรอยแดง อาการคัน และการอักเสบของผิวได้ในที่สุด

สำหรับผิวที่มีริ้วรอยและสัญญาณแห่งวัย

เซราไมด์ช่วย ลดเลือนริ้วรอยและฟื้นฟูผิวที่ร่วงโรยตามวัย โดยการเติมความชุ่มชื้นและเสริมสร้างเกราะป้องกันผิวให้แข็งแรง

เมื่ออายุมากขึ้น ระดับเซราไมด์ในผิวจะลดลงตามธรรมชาติ ทำให้ผิวแห้งกร้านและขาดความกระชับ การเติมเซราไมด์จะช่วยฟื้นฟูผิวได้ดังนี้

  • เพิ่มความชุ่มชื้น: เมื่อผิวชุ่มชื้นขึ้น ริ้วรอยเล็กๆ จะดูตื้นและเรียบเนียนขึ้น
  • เสริมโครงสร้างผิว: เซราไมด์ช่วยรักษาความแข็งแรงของโครงสร้างผิว และอาจช่วยชะลอการบางลงของผิวชั้นนอกที่เกิดจากวัย
  • ทำงานร่วมกับส่วนผสมอื่น: เซราไมด์มักถูกใช้ร่วมกับส่วนผสมลดเลือนริ้วรอยอื่นๆ เช่น เรตินอล เพื่อลดการระคายเคืองและเสริมเกราะป้องกันผิว ทำให้การรักษาโดยรวมมีประสิทธิภาพดียิ่งขึ้น

วิธีเลือกและใช้ผลิตภัณฑ์เซราไมด์ให้ได้ผลดีที่สุด

วิธีเลือกและใช้ผลิตภัณฑ์เซราไมด์ให้ได้ผลดีที่สุดคือ การเลือกสูตรและเนื้อผลิตภัณฑ์ให้เหมาะกับสภาพผิว ควบคู่ไปกับการใช้อย่างสม่ำเสมอ

วิธีเลือกผลิตภัณฑ์

  1. อ่านฉลาก: มองหาส่วนผสมที่ระบุว่า “Ceramide” ตามด้วยรหัสตัวอักษร เช่น NP, AP, EOP ผลิตภัณฑ์ที่มีเซราไมด์หลายชนิดผสมกันจะช่วยเสริมเกราะป้องกันผิวได้ครอบคลุมกว่า
  2. พิจารณาส่วนผสมอื่น: สูตรที่ดีควรมีส่วนผสมอื่นที่จำเป็นต่อเกราะป้องกันผิวด้วย เช่น คอเลสเตอรอล (Cholesterol) และ กรดไขมัน (Fatty Acids) รวมถึงส่วนผสมเสริมฤทธิ์อย่าง ไนอะซินาไมด์ (Niacinamide) ที่ช่วยกระตุ้นการสร้างเซราไมด์ หรือ กลีเซอรีน (Glycerin) และ กรดไฮยาลูรอนิก (Hyaluronic Acid) ที่ช่วยดึงความชุ่มชื้น
  3. เลือกเนื้อผลิตภัณฑ์ให้เหมาะกับผิว:
  • ครีม (Cream): เหมาะสำหรับผิวแห้งมากหรือผิวผู้ใหญ่
  • โลชั่น (Lotion): เหมาะสำหรับผิวผสมหรือผิวแห้งเล็กน้อย
  • เซรั่มหรือเจล (Serum or Gel): เหมาะสำหรับผิวมันหรือเป็นสิวง่าย

วิธีใช้ผลิตภัณฑ์

  • ทาบนผิวหมาดๆ: ควรทาผลิตภัณฑ์เซราไมด์บนผิวที่ยังชื้นเล็กน้อยหลังล้างหน้า เพื่อช่วยกักเก็บความชุ่มชื้นได้ดียิ่งขึ้น
  • ใช้อย่างสม่ำเสมอ: สามารถใช้ได้ทุกวัน วันละ 1-2 ครั้ง เพื่อฟื้นฟูและรักษาเกราะป้องกันผิวให้แข็งแรงอย่างต่อเนื่อง
  • ใช้ร่วมกับผลิตภัณฑ์อื่น: เซราไมด์เข้ากันได้ดีกับส่วนผสมอื่นๆ เช่น เรตินอล หรือวิตามินซี โดยจะช่วยลดการระคายเคืองได้ดี ควรลงผลิตภัณฑ์ตามลำดับความเข้มข้นจากเนื้อบางเบาไปสู่เนื้อหนัก

การอ่านฉลาก: สิ่งที่ควรมองหาในส่วนผสม

บนฉลากส่วนผสม ให้มองหาคำว่า “Ceramide” ตามด้วยรหัสตัวอักษรหรือตัวเลข เช่น Ceramide NP, AP หรือ EOP

นอกจากนี้ ส่วนผสมอื่นๆ ที่ทำงานร่วมกับเซราไมด์ได้ดีและควรมองหาในผลิตภัณฑ์ ได้แก่

  • โคเลสเตอรอล (Cholesterol) และกรดไขมัน (Fatty Acids): ส่วนผสมเหล่านี้ทำงานร่วมกับเซราไมด์เพื่อเลียนแบบโครงสร้างไขมันตามธรรมชาติของผิว ช่วยให้การซ่อมแซมเกราะป้องกันผิวมีประสิทธิภาพสูงสุด
  • ไนอะซินาไมด์ (Niacinamide): วิตามินบี 3 ที่ช่วยกระตุ้นให้ผิวสร้างเซราไมด์ได้เองตามธรรมชาติ
  • ไฟโตสฟิงโกซีน (Phytosphingosine) หรือ สฟิงโกซีน (Sphingosine): เป็นสารตั้งต้นของเซราไมด์ที่ช่วยเสริมเกราะป้องกันผิว
  • กลีเซอรีน (Glycerin) และกรดไฮยาลูรอนิก (Hyaluronic Acid): สารให้ความชุ่มชื้นที่ช่วยดึงน้ำเข้าสู่ผิว จากนั้นเซราไมด์จะทำหน้าที่ล็อกความชุ่มชื้นนั้นไว้

รูปแบบผลิตภัณฑ์ที่เหมาะสม: ครีม โลชั่น หรือเซรั่ม

การเลือกใช้ผลิตภัณฑ์เซราไมด์ในรูปแบบครีม โลชั่น หรือเซรั่ม ขึ้นอยู่กับสภาพผิวและความต้องการของแต่ละบุคคล

  • ครีม (Cream): เหมาะสำหรับผิวแห้งมากหรือผิวผู้ใหญ่ เนื่องจากมีเนื้อข้นและช่วยกักเก็บความชุ่มชื้นได้ดีที่สุด
  • โลชั่น (Lotion): เหมาะสำหรับผิวผสมหรือผิวแห้งเล็กน้อย เพราะมีเนื้อบางเบากว่า ซึมซาบเร็ว และไม่หนักผิว
  • เซรั่มหรือเจล (Serum or Gel): เหมาะสำหรับผิวมันหรือผิวเป็นสิวง่ายที่ต้องการเสริมเกราะป้องกันผิวโดยไม่ทำให้รู้สึกเหนียวเหนอะหนะ

ส่วนผสมที่ใช้คู่กับเซราไมด์เพื่อเสริมประสิทธิภาพ

ส่วนผสมที่ช่วยเสริมประสิทธิภาพของเซราไมด์ได้ดีที่สุดคือ ไนอะซินาไมด์ (Niacinamide), คอเลสเตอรอล (Cholesterol), กรดไขมัน (Fatty Acids), กลีเซอรีน (Glycerin) และกรดไฮยาลูรอนิก (Hyaluronic Acid) ส่วนผสมเหล่านี้ทำงานร่วมกับเซราไมด์เพื่อฟื้นฟูเกราะป้องกันผิวและเพิ่มความชุ่มชื้นได้ดียิ่งขึ้น

  • ไนอะซินาไมด์: ช่วยกระตุ้นให้ผิวสร้างเซราไมด์ตามธรรมชาติได้มากขึ้น
  • คอเลสเตอรอลและกรดไขมัน: เป็นส่วนประกอบไขมันที่จำเป็นอีก 2 ชนิด เมื่อทำงานร่วมกับเซราไมด์ในสัดส่วนที่เหมาะสมจะช่วยซ่อมแซมเกราะป้องกันผิวได้อย่างรวดเร็วและมีประสิทธิภาพสูงสุด
  • กลีเซอรีนและกรดไฮยาลูรอนิก: ทำหน้าที่เป็นสารดูดความชื้น (Humectants) ที่ดึงน้ำเข้าสู่ผิว จากนั้นเซราไมด์จะช่วยล็อกความชุ่มชื้นนั้นไว้ไม่ให้ระเหยออกไป
  • ส่วนผสมที่ช่วยปลอบประโลมผิว: เช่น แพนทีนอล (Panthenol) หรือข้าวโอ๊ตคอลลอยด์ (Colloidal Oatmeal) ช่วยลดการอักเสบในขณะที่เซราไมด์ทำหน้าที่ซ่อมแซมเกราะป้องกันผิว ซึ่งเหมาะสำหรับผิวบอบบางแพ้ง่าย

ข้อควรระวังและความเข้าใจผิดเกี่ยวกับเซราไมด์

เซราไมด์มีความปลอดภัยสูงและแทบไม่มีข้อควรระวังใดเป็นพิเศษ ส่วนความเข้าใจผิดที่พบบ่อยคือ เซราไมด์จำเป็นสำหรับคนผิวแห้งเท่านั้น, ทำให้เกิดสิวอุดตัน, หรือทาไปแล้วไม่เกิดประโยชน์

ข้อควรระวัง

โดยทั่วไปแล้วเซราไมด์ไม่ก่อให้เกิดการระคายเคืองหรือผลข้างเคียงที่รุนแรง หากเกิดอาการแพ้ มักมีสาเหตุมาจากส่วนผสมอื่นในผลิตภัณฑ์ เช่น สารกันเสียหรือน้ำหอม ควรเก็บผลิตภัณฑ์ไว้ในที่แห้งและเย็น และสังเกตวันหมดอายุ

ความเข้าใจผิดที่พบบ่อย

  • จำเป็นสำหรับผิวแห้งเท่านั้น: ไม่จริง ผิวทุกประเภทต้องการเกราะป้องกันผิวที่แข็งแรง แม้แต่ผิวมันก็สามารถขาดเซราไมด์ได้ โดยเฉพาะเมื่อใช้ผลิตภัณฑ์ที่รุนแรงต่อผิว
  • ทำให้เกิดสิวอุดตัน: ไม่จริง เซราไมด์เป็นสารที่ไม่อุดตันรูขุมขน (non-comedogenic) และมักถูกแนะนำให้ใช้ร่วมกับยารักษาสิวเพื่อลดการระคายเคืองและอาการผิวแห้ง
  • ไม่สามารถซึมซาบสู่ผิวและไม่เกิดประโยชน์: ไม่จริง หน้าที่ของเซราไมด์คือการทำงานที่ผิวชั้นนอก (Stratum Corneum) เพื่อซ่อมแซมและเสริมสร้างเกราะป้องกันผิวโดยตรง ซึ่งมีงานวิจัยยืนยันว่าสามารถลดการสูญเสียน้ำและเพิ่มความชุ่มชื้นได้จริง

คำถามที่พบบ่อยเกี่ยวกับเซราไมด์ (FAQ)

เซราไมด์แตกต่างจากมอยเจอร์ไรเซอร์ทั่วไปอย่างไร?

มอยเจอร์ไรเซอร์ที่มีเซราไมด์สามารถฟื้นฟูและเสริมสร้างเกราะป้องกันผิวตามธรรมชาติได้ ในขณะที่มอยเจอร์ไรเซอร์ทั่วไปให้ความชุ่มชื้นเพียงชั่วคราวโดยการดึงน้ำและเคลือบผิวไว้ แต่มอยเจอร์ไรเซอร์ที่มีเซราไมด์จะช่วยเติมไขมันที่จำเป็นซึ่งเป็นส่วนประกอบของผิวโดยตรง ทำให้สามารถซ่อมแซมโครงสร้างผิวและช่วยให้ผิวแข็งแรงขึ้น สามารถกักเก็บความชุ่มชื้นได้ดีขึ้นในระยะยาว

เซราไมด์ในรูปแบบทากับแบบกิน แบบไหนดีกว่ากัน?

เซราไมด์ในรูปแบบทาบนผิวโดยตรงจะมีประสิทธิภาพมากกว่า เนื่องจากเป็นการส่งสารสำคัญไปยังเกราะป้องกันผิวในบริเวณที่ต้องการได้ทันทีและเห็นผลชัดเจนกว่า

การทาเซราไมด์ลงบนผิวถือเป็นวิธีหลักในการจัดการกับปัญหาผิวแห้งหรือเกราะป้องกันผิวที่ถูกทำลาย ในขณะที่เซราไมด์แบบกิน (มักเป็นไฟโตเซราไมด์จากพืช) สามารถช่วยเพิ่มความชุ่มชื้นให้ผิวจากภายในได้ แต่จะทำงานอย่างค่อยเป็นค่อยไปและไม่สามารถทดแทนการทาได้

สามารถใช้เซราไมด์ร่วมกับ Retinol หรือ Vitamin C ได้หรือไม่?

ได้ เซราไมด์สามารถใช้ร่วมกับส่วนผสมออกฤทธิ์ (actives) แทบทุกชนิด รวมถึงเรตินอลและวิตามินซีได้เป็นอย่างดี และมักจะแนะนำให้ใช้ร่วมกันด้วย

  • สำหรับเรตินอล (Retinol): การใช้มอยส์เจอไรเซอร์ที่มีเซราไมด์ร่วมกับเรตินอลจะช่วยลดอาการแห้ง ระคายเคือง และลอกที่อาจเกิดขึ้นจากการใช้เรตินอลได้อย่างมีนัยสำคัญ โดยไม่ลดทอนประสิทธิภาพของเรตินอล
  • สำหรับวิตามินซี (Vitamin C): สามารถทาเซรั่มวิตามินซีก่อน แล้วตามด้วยมอยส์เจอไรเซอร์ที่มีเซราไมด์ เพื่อช่วยกักเก็บความชุ่มชื้นและป้องกันการระคายเคืองที่อาจเกิดจากความเป็นกรดของวิตามินซี

ต้องใช้เวลานานแค่ไหนถึงจะเห็นผลลัพธ์ที่ชัดเจน?

โดยทั่วไปจะรู้สึกถึงความชุ่มชื้นได้ทันที แต่จะเห็นผลลัพธ์ที่ชัดเจนสำหรับปัญหาผิวเรื้อรังในเวลาประมาณ 2-4 สัปดาห์

ระยะเวลาในการเห็นผลขึ้นอยู่กับสภาพผิวและปัญหาที่ต้องการแก้ไข ดังนี้

  • ทันทีหลังใช้: ผิวจะรู้สึกสบายและชุ่มชื้นขึ้น
  • ภายในไม่กี่วัน: ปัญหาผิวแห้งและลอกเป็นขุยจะดีขึ้นอย่างเห็นได้ชัด
  • 2-4 สัปดาห์: สำหรับปัญหาผิวเรื้อรัง เช่น ผิวหนังอักเสบ (Eczema) จะมีการเปลี่ยนแปลงที่ดีขึ้นอย่างมีนัยสำคัญ
  • ประมาณ 1 เดือน: สำหรับการลดเลือนริ้วรอย ผิวจะดูเรียบเนียนขึ้นจากการที่ผิวได้รับความชุ่มชื้นอย่างต่อเนื่อง

เซราไมด์ทำให้ผิวมันหรืออุดตันได้หรือไม่?

เซราไมด์ไม่ทำให้ผิวมันหรืออุดตันรูขุมขน เนื่องจากเป็นสารที่ไม่ก่อให้เกิดการอุดตัน (non-comedogenic) และทำงานอยู่บนชั้นนอกสุดของผิวเพื่อเสริมสร้างเกราะป้องกันผิว โดยไม่ได้เข้าไปสะสมในรูขุมขน

ในความเป็นจริง การมีเกราะป้องกันผิวที่แข็งแรงอาจช่วยควบคุมการผลิตน้ำมันส่วนเกินได้ หากเกิดการอุดตันขึ้น มักมีสาเหตุมาจากส่วนผสมอื่นในผลิตภัณฑ์ ไม่ใช่จากเซราไมด์โดยตรง

ผิวทุกประเภทจำเป็นต้องใช้เซราไมด์หรือไม่?

ผิวทุกประเภทได้รับประโยชน์จากการใช้เซราไมด์ เนื่องจากเซราไมด์เป็นส่วนประกอบสำคัญของเกราะป้องกันผิว (skin barrier) ซึ่งจำเป็นต่อการรักษาสุขภาพผิวให้แข็งแรง

แม้ว่าผิวแห้งและผิวแพ้ง่ายจะต้องการเซราไมด์มากที่สุดเพื่อเติมเต็มส่วนที่ขาดหายไป แต่ผิวประเภทอื่นก็ได้ประโยชน์เช่นกัน

  • ผิวมันและเป็นสิวง่าย: เกราะป้องกันผิวที่แข็งแรงสามารถช่วยควบคุมการผลิตน้ำมันส่วนเกินและลดการระคายเคืองจากการใช้ผลิตภัณฑ์รักษาสิว
  • ผิวสุขภาพดี: การใช้เซราไมด์ช่วยเสริมสร้างและปกป้องเกราะป้องกันผิวจากปัจจัยแวดล้อมที่ทำร้ายผิว เช่น มลภาวะหรือสภาพอากาศที่เปลี่ยนแปลง ซึ่งเป็นการป้องกันปัญหาผิวที่อาจเกิดขึ้นในอนาคต

References:

  1. Chen X. (2025). Skin Barrier Repair and Nursing Care in Patients with Atopic Dermatitis: A Narrative Review. International Journal of General Medicine. dovepress.com
  2. Berdyshev E. (2024). Skin Lipid Barrier: Structure, Function and Metabolism. Allergy, Asthma & Immunology Research, 16(5), 445–461. e-aair.org
  3. Akiyama F. et al. (2024). Correlations between Skin Condition Parameters and Ceramide Profiles in the Stratum Corneum of Healthy Individuals. International Journal of Molecular Sciences, 25(15), Article 8291. mdpi.com
  4. Aich B. et al. (2024). Clinical evaluation of a topical ceramide lotion on skin hydration and skin barrier in healthy volunteers with dry skin. CosmoDerma, 4, 148. cosmoderma.org
  5. Medical News Today. (2023). What are the benefits of ceramides for the skin? Medical News Today. medicalnewstoday.com
  6. Galderma (Cetaphil). (2023). What are ceramides, and what do they do for your skin? Cetaphil – Skin Science. cetaphil.com

Author

  • แพทย์หญิงนัชชนก หุ่นวิจิตร
    แพทย์หญิงนัชชนก หุ่นวิจิตร

    View all posts

แนะแนวเรื่อง

Previous Previous
ผิวดำแดดกี่วันหาย? รวมวิธีฟื้นฟูรอยคล้ำจากแดดให้กลับมาขาวใส

สาขาพรีวาโต คลินิก

    สาขาอโศก ตั้งอยู่ที่ ชั้น 2 อาคารมิดทาวน์
    Phone: 02-258-4050 , 081-841-5075
    สาขาสีลม ตั้งอยู่ที่ ชั้น 1 อาคารซี.พี.ทาวเวอร์
    Phone: 02-780-2011 , 098-272-5244
    สาขาราชพฤกษ์ ตั้งอยู่ที่ ชั้น 2 ศูนย์การค้า เดอะคริสตัล เอสบี (ด้านบนร้านสตาร์บัคส์)
    Phone: 02-102-2778 , 098-272-5244

ติดต่อเรา

    Facebook: Privato Clinic
    Messenger: Privato Clinic
    Instagram: privatoclinic
    Email: privatoclinic@gmail.com
    Line: @privatoclinic

Copyright© 2022-2024. All Rights Reserved

Scroll to top
  • หน้าหลัก
  • เกี่ยวกับพรีวาโต
  • บริการทั้งหมด
    • ชะลอวัย
    • ยกกระชับผิว
      • XERF
      • Potenza
      • Sofwave
      • Ulthera
      • Thermage-FLX
    • รักษาสิว
    • เลเซอร์
    • โปรแกรมฉีด
    • บำรุงผิว
  • บทความ
    • สิว
    • ยกกระชับ
    • ดูแลผิว
    • ทำเลเซอร์
  • ผลิตภัณฑ์ดูแลผิว
  • โปรโมชั่น
  • ผลลัพธ์การรักษา
  • วิดีโอรีวิวจากเคสจริง
  • สาขาของเรา
  • ไทย
    • ไทย
    • English
    • 中文 (中国)
  • ปรึกษาแพทย์
Facebook Instagram YouTube