Niacinamide (ไนอะซินาไมด์) ห้ามใช้คู่กับอะไร? ข้อควรรู้เพื่อผิวสวย

ไนอะซินาไมด์คือวิตามินบี 3 รูปแบบหนึ่งที่ช่วยแก้ปัญหาผิวได้หลากหลาย เช่น ลดรอยสิวและควบคุมความมัน โดยผลวิจัยชี้ว่าความเข้มข้น 5% สามารถปรับสีผิวให้สม่ำเสมอขึ้นได้ และยังสามารถใช้ร่วมกับวิตามินซีหรือเรตินอลเพื่อเสริมประสิทธิภาพการทำงานได้อีกด้วย.
ไนอะซินาไมด์คืออะไร? รู้จักวิตามินบี 3 ในสกินแคร์
ไนอะซินาไมด์ (Niacinamide) คือ วิตามินบี 3 ในรูปแบบที่ละลายน้ำได้ ซึ่งเป็นสารอาหารที่จำเป็นต่อผิวและมีความอ่อนโยนสูง เมื่อทาลงบนผิวจะทำหน้าที่เป็นสารตั้งต้นของโคเอนไซม์ที่ช่วยซ่อมแซมและเติมพลังงานให้เซลล์ผิว
คุณสมบัติหลักของไนอะซินาไมด์ในสกินแคร์ ได้แก่:
- เสริมเกราะป้องกันผิว: ช่วยเพิ่มการผลิตเซราไมด์ (Ceramides) ทำให้ผิวแข็งแรงและกักเก็บความชุ่มชื้นได้ดีขึ้น
- ลดเลือนจุดด่างดำ: ยับยั้งการส่งต่อเม็ดสีเมลานินไปยังผิวชั้นบน ทำให้รอยดำรอยแดงและสีผิวที่ไม่สม่ำเสมอจางลง
- ควบคุมความมัน: ช่วยปรับสมดุลการผลิตน้ำมัน (Sebum) ทำให้ผิวมันน้อยลงและรูขุมขนดูกระชับขึ้น
- ลดการอักเสบ: มีคุณสมบัติต้านการอักเสบ ช่วยปลอบประโลมผิว ลดรอยแดง เหมาะสำหรับผิวที่เป็นสิวและผิวแพ้ง่าย
คุณสมบัติหลักของไนอะซินาไมด์: ช่วยแก้ปัญหาผิวอะไรได้บ้าง
เสริมเกราะป้องกันผิว ลดการสูญเสียน้ำ
ไนอะซินาไมด์ช่วยเสริมสร้างเกราะป้องกันผิวให้แข็งแรงและลดการสูญเสียน้ำ (Transepidermal Water Loss – TEWL) โดยจะเข้าไปกระตุ้นการผลิตไขมันที่จำเป็นต่อผิว เช่น เซราไมด์ (ceramides) และกรดไขมันอิสระ (free fatty acids) ในชั้นผิวสตราตัม คอร์เนียม (stratum corneum) การเสริมสร้างเกราะไขมันนี้ทำให้ผิวชั้นนอกแข็งแรงขึ้นและกักเก็บความชุ่มชื้นได้ดีขึ้น ส่งผลให้ผิวไม่แห้งง่ายและมีความยืดหยุ่นมากขึ้น
ลดเลือนรอยสิวและจุดด่างดำ ปรับสีผิวให้สม่ำเสมอ
ไนอะซินาไมด์ช่วยลดเลือนรอยสิวและจุดด่างดำโดยการยับยั้งการส่งผ่านเม็ดสีเมลานิน (melanosomes) จากเซลล์สร้างเม็ดสีไปยังเซลล์ผิวหนังชั้นบนสุด
กลไกนี้จะช่วยป้องกันไม่ให้เม็ดสีปรากฏขึ้นบนผิว ทำให้รอยดำและรอยแดงจากสิว รวมถึงฝ้า กระ และจุดด่างดำต่างๆ จางลงอย่างค่อยเป็นค่อยไป โดยไม่ได้ยับยั้งการผลิตเม็ดสีโดยตรง แต่จะขัดขวางการกระจายตัวของเม็ดสีที่ผลิตขึ้นมาแล้ว จากการศึกษาพบว่าการใช้ไนอะซินาไมด์ความเข้มข้น 5% เป็นประจำสามารถช่วยให้จุดด่างดำจางลงและสีผิวสม่ำเสมอขึ้นอย่างเห็นได้ชัดภายใน 8-12 สัปดาห์
ควบคุมความมันและกระชับรูขุมขน
ไนอะซินาไมด์ช่วยควบคุมความมันโดยลดการผลิตน้ำมัน (ซีบัม) ของต่อมไขมัน ซึ่งส่งผลให้รูขุมขนที่เคยกว้างจากน้ำมันส่วนเกินแลดูเล็กลง
ไนอะซินาไมด์จะเข้าไปปรับสมดุลการทำงานของต่อมไขมัน ทำให้ผลิตน้ำมันออกมาในปริมาณที่เหมาะสม เมื่อน้ำมันบนผิวน้อยลง รูขุมขนจึงไม่ถูกเบียดให้ขยายกว้าง ทำให้ขนาดของรูขุมขนดูเล็กลงและผิวดูเรียบเนียนขึ้น คุณสมบัตินี้จึงเป็นประโยชน์อย่างยิ่งสำหรับผู้ที่มีผิวมันและเป็นสิวง่าย
ลดการอักเสบและรอยแดงของผิว
ไนอะซินาไมด์ (Niacinamide) มีคุณสมบัติต้านการอักเสบในผิวหนัง โดยช่วยลดการหลั่งสารกระตุ้นการอักเสบ (pro-inflammatory cytokines) ที่เป็นสาเหตุของการระคายเคืองและรอยแดง ด้วยกลไกนี้ ไนอะซินาไมด์จึงช่วยปลอบประโลมผิว ลดรอยแดง และบรรเทาอาการของโรคผิวหนังบางชนิด เช่น โรคโรซาเชีย (rosacea) และสิวอักเสบ
นอกจากนี้ คุณสมบัติในการเสริมสร้างเกราะป้องกันผิวให้แข็งแรงยังช่วยลดการระคายเคืองและความไวต่อปัจจัยกระตุ้นภายนอกได้อีกทางหนึ่ง จากการศึกษาทางคลินิกพบว่าการใช้ไนอะซินาไมด์ 5% สามารถลดรอยแดงและผื่นแดงบนใบหน้าได้อย่างมีนัยสำคัญ ทำให้ผิวดูสงบและมีสีผิวสม่ำเสมอขึ้น
ข้อควรระวัง: ไนอะซินาไมด์ห้ามใช้คู่กับส่วนผสมใดบ้าง
วิตามินซีฟอร์ม L-Ascorbic Acid (L-AA)
สามารถใช้ไนอะซินาไมด์ร่วมกับวิตามินซีฟอร์ม L-Ascorbic Acid (L-AA) ได้อย่างปลอดภัย โดยความเชื่อเดิมที่ว่าส่วนผสมทั้งสองทำปฏิกิริยากันนั้นเกิดขึ้นน้อยมากในการใช้งานจริง เคล็ดลับสำคัญคือควรทาผลิตภัณฑ์วิตามินซี (L-AA) ก่อนบนผิวที่สะอาด รอให้ซึมสักครู่ แล้วจึงตามด้วยไนอะซินาไมด์ เพื่อให้ส่วนผสมทั้งสองทำงานได้อย่างมีประสิทธิภาพสูงสุด
กรดผลัดเซลล์ผิว (AHA/BHA) ที่มีความเข้มข้นสูง
ควรใช้ไนอะซินาไมด์ด้วยความระมัดระวังเมื่อใช้ร่วมกับกรดผลัดเซลล์ผิว (AHA/BHA) ที่มีความเข้มข้นสูง และแนะนำให้แยกใช้กันคนละเวลาจะดีที่สุด เนื่องจากกรดเหล่านี้ทำงานได้ดีในค่า pH ที่ต่ำ (ประมาณ 3-4) ในขณะที่ไนอะซินาไมด์ทำงานได้ดีในค่า pH ที่เป็นกลาง (ประมาณ 6-7) การใช้ร่วมกันทันทีอาจทำให้ไนอะซินาไมด์เปลี่ยนเป็นกรดนิโคตินิกซึ่งก่อให้เกิดอาการแดงชั่วคราว และยังอาจลดประสิทธิภาพของกรดได้อีกด้วย
เพื่อหลีกเลี่ยงปัญหาดังกล่าว ควรปฏิบัติดังนี้:
- ใช้คนละเวลา: วิธีที่ดีที่สุดคือใช้ผลิตภัณฑ์ AHA/BHA ในเวลากลางคืน และใช้ไนอะซินาไมด์ในตอนเช้า
- เว้นระยะห่าง: หากต้องการใช้ในเวลาเดียวกัน ควรทากรดก่อนบนผิวที่สะอาด รอประมาณ 20-30 นาทีเพื่อให้ค่า pH ของผิวปรับสู่สภาวะปกติ แล้วจึงทาไนอะซินาไมด์ตาม
สัญญาณเตือนและวิธีรับมือเมื่อเกิดการระคายเคือง
สัญญาณเตือนของการระคายเคืองจาก Niacinamide คืออาการแดง คัน แสบ หรือมีสิวขึ้นผิดปกติ ซึ่งแตกต่างจากการดันสิว (Purging) เนื่องจาก Niacinamide ไม่ได้มีคุณสมบัติในการเร่งการผลัดเซลล์ผิว
อาการที่บ่งชี้ว่าผิวของคุณอาจไม่ตอบสนองต่อผลิตภัณฑ์ ได้แก่:
- อาการแดง คัน หรือแสบร้อนบนผิว
- มีสิวผดหรือสิวอุดตันขึ้นในบริเวณที่ไม่เคยขึ้นมาก่อน
หากเกิดการระคายเคือง ควรรับมือดังนี้:
- ลดความถี่และความเข้มข้น: ลองลดความถี่ในการใช้ลงเหลือวันเว้นวัน หรือเปลี่ยนไปใช้ผลิตภัณฑ์ที่มีความเข้มข้นต่ำลง (เช่น จาก 10% เป็น 5%)
- ทาหลังมอยส์เจอไรเซอร์: การทา Niacinamide หลังมอยส์เจอไรเซอร์สามารถช่วยลดการระคายเคืองได้
- หยุดใช้ชั่วคราว: หากอาการไม่ดีขึ้น ควรหยุดใช้ผลิตภัณฑ์ทันที ล้างหน้าด้วยน้ำสะอาด และทามอยส์เจอไรเซอร์เพื่อปลอบประโลมผิว
วิธีใช้ไนอะซินาไมด์ให้ได้ผลลัพธ์ดีที่สุด
เพื่อให้ได้ผลลัพธ์ดีที่สุด ควรใช้ไนอะซินาไมด์ที่ความเข้มข้น 2-5% เป็นประจำทุกวัน ทาบนผิวที่สะอาดก่อนลงมอยส์เจอไรเซอร์ และใช้อย่างต่อเนื่องอย่างน้อย 6-8 สัปดาห์
เพื่อเพิ่มประสิทธิภาพในการใช้งาน ควรปฏิบัติตามหลักการต่อไปนี้:
- เลือกความเข้มข้นที่เหมาะสม: ความเข้มข้น 2-5% ก็เพียงพอและมีประสิทธิภาพสูงแล้ว ความเข้มข้นที่สูงกว่านี้ (เช่น 10%) ไม่ได้หมายความว่าจะให้ผลลัพธ์ดีกว่าเสมอไปและอาจก่อให้เกิดการระคายเคืองได้
- ใช้อย่างสม่ำเสมอ: สามารถใช้ได้ทุกวัน ทั้งเช้าและเย็น เพื่อผลลัพธ์ที่ดีที่สุด
- ทาให้ถูกลำดับ: ควรทาผลิตภัณฑ์ที่มีเนื้อบางเบาที่สุดก่อน โดยลำดับที่แนะนำคือ คลีนเซอร์ → โทนเนอร์ (ถ้ามี) → เซรั่มไนอะซินาไมด์ → มอยส์เจอไรเซอร์ → ครีมกันแดด (ในตอนเช้า)
- อดทนรอผลลัพธ์: โดยทั่วไปจะเริ่มเห็นการเปลี่ยนแปลงที่ชัดเจน เช่น รอยดำจางลงหรือรูขุมขนกระชับขึ้น หลังจากใช้อย่างต่อเนื่อง 6-8 สัปดาห์ขึ้นไป
- ใช้ร่วมกับส่วนผสมอื่นเพื่อเสริมประสิทธิภาพ: ไนอะซินาไมด์ทำงานได้ดีกับส่วนผสมส่วนใหญ่ เช่น ใช้ร่วมกับไฮยาลูรอนิกแอซิดเพื่อเพิ่มความชุ่มชื้น หรือใช้ร่วมกับเรตินอลเพื่อช่วยลดการระคายเคืองและเสริมฤทธิ์กัน
ควรเริ่มต้นที่ความเข้มข้นเท่าไหร่: 5% vs 10%
ความเข้มข้นที่เหมาะสมในการเริ่มต้นใช้ไนอะซินาไมด์คือประมาณ 5% เนื่องจากเป็นระดับที่ผลการวิจัยส่วนใหญ่ยืนยันว่ามีประสิทธิภาพและมีความเสี่ยงต่อการระคายเคืองต่ำ
ความเข้มข้นระดับนี้เพียงพอที่จะให้ประโยชน์ต่อผิวในหลายๆ ด้าน เช่น การลดเลือนริ้วรอย จุดด่างดำ และปรับสภาพผิวให้เรียบเนียน แม้ว่าความเข้มข้น 10% จะเป็นที่นิยมในท้องตลาด แต่ยังไม่มีข้อพิสูจน์ทางคลินิกว่าให้ผลลัพธ์ดีกว่า 5% อย่างมีนัยสำคัญ และอาจเพิ่มโอกาสในการระคายเคืองสำหรับบางคน ดังนั้น ผู้เชี่ยวชาญจึงมักแนะนำให้เริ่มต้นที่ 5% และใช้ต่อเนื่องอย่างสม่ำเสมอ ซึ่งสำคัญกว่าการใช้ผลิตภัณฑ์ที่มีความเข้มข้นสูง
ลำดับการใช้ในขั้นตอนดูแลผิวประจำวัน
โดยทั่วไป ควรใช้ไนอะซินาไมด์หลังขั้นตอนทำความสะอาดและโทนเนอร์ แต่ก่อนการลงมอยส์เจอไรเซอร์ ครีม หรือน้ำมันที่มีเนื้อหนักกว่า หลักการคือให้เรียงลำดับผลิตภัณฑ์จากเนื้อบางเบาที่สุดไปยังเนื้อที่หนักที่สุด
ลำดับการใช้โดยทั่วไปมีดังนี้:
- ผลิตภัณฑ์ทำความสะอาด (Cleanser)
- โทนเนอร์ (Toner) (ถ้ามี)
- เซรั่มไนอะซินาไมด์ (Niacinamide Serum)
- มอยส์เจอไรเซอร์ (Moisturizer)
- ครีมกันแดด (Sunscreen) (สำหรับตอนเช้า)
หากใช้ร่วมกับผลิตภัณฑ์อื่น เช่น วิตามินซี ควรลงวิตามินซีก่อนแล้วจึงตามด้วยไนอะซินาไมด์
ส่วนผสมที่แนะนำให้ใช้ร่วมกันเพื่อเสริมประสิทธิภาพ
Niacinamide สามารถใช้ร่วมกับส่วนผสมหลายชนิดเพื่อเสริมประสิทธิภาพในการดูแลปัญหาผิวที่แตกต่างกัน โดยส่วนผสมที่แนะนำให้ใช้ร่วมกันมีดังนี้
- เพื่อเพิ่มความชุ่มชื้นและเสริมเกราะป้องกันผิว:
- ไฮยาลูรอนิก แอซิด (Hyaluronic Acid): ช่วยดึงน้ำเข้าสู่ผิว ในขณะที่ Niacinamide ช่วยเสริมเกราะป้องกันผิวเพื่อกักเก็บความชุ่มชื้น
- เซราไมด์ (Ceramides): Niacinamide กระตุ้นการสร้างเซราไมด์ตามธรรมชาติ การใช้ร่วมกันจึงช่วยฟื้นฟูเกราะป้องกันผิวที่ถูกทำลายได้ดียิ่งขึ้น
- เพื่อควบคุมความมันและดูแลปัญหาสิว:
- ซิงค์ (Zinc): ช่วยควบคุมความมันและต้านการอักเสบ เมื่อใช้ร่วมกับ Niacinamide จะช่วยลดความมันและสิวได้ดี
- กรดซาลิไซลิก (Salicylic Acid): ช่วยผลัดเซลล์ผิวและทำความสะอาดรูขุมขน ส่วน Niacinamide จะช่วยปลอบประโลมผิวและป้องกันความแห้งกร้าน
- เพื่อผิวกระจ่างใสและลดเลือนจุดด่างดำ:
- วิตามินซี (Vitamin C) หรือ ทราเนซามิก แอซิด (Tranexamic Acid): ส่วนผสมเหล่านี้ทำงานร่วมกับ Niacinamide โดยจัดการกับกระบวนการสร้างเม็ดสีในขั้นตอนที่ต่างกัน ทำให้ลดเลือนจุดด่างดำได้อย่างมีประสิทธิภาพ
- เพื่อลดเลือนริ้วรอย:
- เรตินอล (Retinol): Niacinamide ช่วยลดการระคายเคืองที่อาจเกิดจากเรตินอล และเสริมประสิทธิภาพในการลดเลือนริ้วรอย
- เปปไทด์ (Peptides): ช่วยกระตุ้นการสร้างคอลลาเจน โดย Niacinamide จะช่วยปรับสภาพแวดล้อมของผิวให้พร้อมรับการทำงานของเปปไทด์
การเลือกผลิตภัณฑ์ และเมื่อไหร่ที่ควรปรึกษาแพทย์
เกณฑ์การเลือกซื้อสกินแคร์ที่มีไนอะซินาไมด์
เกณฑ์การเลือกซื้อสกินแคร์ที่มีไนอะซินาไมด์คือ พิจารณาจากคุณภาพของสูตร ความเข้มข้นที่เหมาะสม รูปแบบผลิตภัณฑ์ และบรรจุภัณฑ์ที่ช่วยรักษาคุณภาพ
เพื่อให้ได้ผลลัพธ์ที่ดีที่สุด ควรพิจารณาดังนี้:
- คุณภาพของสูตรและความเข้มข้น: เลือกผลิตภัณฑ์จากแบรนด์ที่น่าเชื่อถือซึ่งระบุความเข้มข้นชัดเจน โดยความเข้มข้นที่ 2-5% ก็เพียงพอที่จะให้ประโยชน์ต่อผิวและมีโอกาสเกิดการระคายเคืองต่ำ ควรเลือกสูตรที่ปราศจากสารที่อาจก่อให้เกิดการระคายเคือง เช่น แอลกอฮอล์และน้ำหอม และพิจารณาส่วนผสมเสริมที่เหมาะกับสภาพผิว เช่น ซิงค์ (Zinc) สำหรับผิวมัน หรือกรดไฮยาลูรอนิก (Hyaluronic Acid) สำหรับผิวแห้ง
- รูปแบบผลิตภัณฑ์: เลือกรูปแบบที่เหมาะกับความต้องการ เช่น เซรั่ม สำหรับการบำรุงที่เข้มข้นและซึมซาบเร็ว เหมาะกับผิวมันหรือใช้เพื่อแก้ปัญหาเฉพาะจุด หรือ มอยส์เจอไรเซอร์ ที่มีส่วนผสมของไนอะซินาไมด์ เหมาะสำหรับผิวแห้งและผิวแพ้ง่าย หรือใช้เพื่อการบำรุงทั่วไปในชีวิตประจำวัน
- บรรจุภัณฑ์: เลือกผลิตภัณฑ์ที่อยู่ในบรรจุภัณฑ์ทึบแสง เช่น ขวดสีชา หรือขวดแบบปั๊มสุญญากาศ (Airless Pump) เพื่อป้องกันส่วนผสมเสื่อมสภาพจากแสงแดดและอากาศ
รูปแบบผลิตภัณฑ์: เซรั่ม ครีม หรือโทนเนอร์
Niacinamide มีอยู่ในผลิตภัณฑ์หลายรูปแบบ แต่รูปแบบที่ให้ผลลัพธ์ดีที่สุดคือผลิตภัณฑ์ที่ไม่ต้องล้างออก เช่น เซรั่มและครีม เนื่องจากจะช่วยให้ส่วนผสมมีเวลาซึมซาบและทำงานบนผิวได้อย่างเต็มที่
- เซรั่ม: มักมีความเข้มข้นสูงสุด (5-10%) เนื้อบางเบา ซึมเร็ว เหมาะสำหรับผิวมันหรือใช้เพื่อเน้นการแก้ปัญหาเฉพาะจุด เช่น รอยสิว หรือรูขุมขน
- มอยส์เจอไรเซอร์/ครีม: มักมีความเข้มข้น 2-5% เหมาะสำหรับผิวแห้งหรือผิวแพ้ง่าย เพราะให้ทั้งคุณประโยชน์ของ Niacinamide และความชุ่มชื้นไปพร้อมกัน
- โทนเนอร์/เอสเซนส์: มีความเข้มข้นต่ำกว่า (1-5%) เหมาะสำหรับใช้เป็นขั้นตอนแรกเพื่อเตรียมผิวและเพิ่มความชุ่มชื้นเบื้องต้น
- คลีนเซอร์: ให้ประโยชน์น้อยที่สุด เนื่องจากถูกล้างออกไปอย่างรวดเร็ว
สัญญาณที่บ่งบอกว่าการดูแลด้วยตนเองไม่เพียงพอ
คุณควรปรึกษาแพทย์ผิวหนัง เมื่อมีปัญหาผิวที่รักษายากและไม่ดีขึ้นด้วยผลิตภัณฑ์ที่หาซื้อได้เอง หรือเมื่อเกิดอาการแพ้รุนแรง
สัญญาณที่บ่งบอกว่าควรไปพบแพทย์ ได้แก่:
- มีปัญหาผิวที่รักษายาก เช่น ฝ้าหนา สิวอักเสบรุนแรง หรือโรคผิวหนังอื่นๆ เช่น โรคสะเก็ดเงิน หรือโรคโรซาเชีย
- ใช้ผลิตภัณฑ์อย่างสม่ำเสมอเป็นเวลาหลายเดือนแล้ว แต่ไม่เห็นผลลัพธ์ที่ต้องการ
- เกิดอาการไม่พึงประสงค์ เช่น ผื่นแดง คัน หรือแสบร้อน ที่ไม่สามารถหาสาเหตุได้
ผลข้างเคียงและความเข้าใจผิดที่พบบ่อย
อาการแพ้ไนอะซินาไมด์ที่อาจพบได้
อาการแพ้หรือระคายเคืองไนอะซินาไมด์ที่อาจพบได้คือ ผิวแดง, อาการแดงเห่อ (flushing), คัน, แสบเล็กน้อย หรือเกิดสิวผด
โดยทั่วไปแล้ว สิวที่เกิดขึ้นไม่ใช่การ “ดันสิว” (purging) แต่เป็นสิวจากการระคายเคือง เนื่องจากไนอะซินาไมด์ไม่ได้เร่งการผลัดเซลล์ผิว อาการแสบยิบๆ หรือรู้สึกอุ่นๆ เล็กน้อยหลังทาอาจเป็นเรื่องปกติและจะหายไปเอง แต่หากมีอาการแสบรุนแรงหรือแดงมากถือเป็นปฏิกิริยาที่ผิดปกติ ซึ่งมักพบได้บ่อยขึ้นเมื่อใช้ผลิตภัณฑ์ที่มีความเข้มข้นสูง (10% ขึ้นไป)
ความเชื่อผิดๆ: ยิ่งเปอร์เซ็นต์สูงยิ่งดีจริงหรือ?
ความเชื่อที่ว่าการใช้ไนอะซินาไมด์ในเปอร์เซ็นต์ที่สูงขึ้นจะให้ผลลัพธ์ที่ดีกว่านั้นไม่เป็นความจริง ในความเป็นจริง ประโยชน์ของไนอะซินาไมด์จะเริ่มคงที่เมื่อความเข้มข้นสูงเกินระดับหนึ่ง งานวิจัยส่วนใหญ่ชี้ว่าความเข้มข้นที่ 2-5% ก็เพียงพอที่จะให้ประโยชน์ต่อผิวได้อย่างมีประสิทธิภาพแล้ว การใช้ความเข้มข้นที่สูงเกินไป เช่น 10-20% อาจไม่ให้ผลลัพธ์ที่ดีขึ้นอย่างมีนัยสำคัญ แต่กลับเพิ่มความเสี่ยงต่อการระคายเคืองผิวได้
ไนอะซินาไมด์ทำให้สิวเห่อ (Purging) หรือไม่?
ไม่, ไนอะซินาไมด์ไม่ได้ทำให้เกิดสิวเห่อ (Purging)
การเห่อของสิว (Purging) เกิดจากส่วนผสมที่เร่งการผลัดเซลล์ผิว เช่น เรตินอยด์หรือกรดผลัดเซลล์ผิว (AHA/BHA) ซึ่งไนอะซินาไมด์ไม่มีกลไกการทำงานดังกล่าว หากเกิดสิวขึ้นหลังจากใช้ไนอะซินาไมด์ อาจเป็นอาการระคายเคืองจากส่วนผสมอื่นในผลิตภัณฑ์ หรือเป็นสิวที่เกิดขึ้นตามปกติ ไม่ใช่การ purging
คำถามที่พบบ่อยเกี่ยวกับไนอะซินาไมด์ (FAQ)
ไนอะซินาไมด์สามารถใช้ได้ทุกวันหรือไม่?
ได้ ไนอะซินาไมด์สามารถใช้ได้ทุกวัน เนื่องจากเป็นส่วนผสมที่อ่อนโยนและปลอดภัยต่อผิว และการใช้อย่างสม่ำเสมอคือวิธีที่ดีที่สุดเพื่อให้ได้ผลลัพธ์สูงสุด
ไนอะซินาไมด์สามารถใช้ได้ทั้งในตอนเช้าและตอนกลางคืนโดยไม่จำเป็นต้องหยุดพัก และไม่ทำให้ผิวไวต่อแสงแดด การใช้อย่างต่อเนื่องเป็นประจำจะช่วยเสริมสร้างเกราะป้องกันผิว ลดการอักเสบ และปรับสภาพผิวให้ดีขึ้นในระยะยาว
คนท้องหรือให้นมบุตรใช้ไนอะซินาไมด์ได้ไหม?
ใช้ได้ ไนอะซินาไมด์ถือว่าปลอดภัยสำหรับผู้ที่กำลังตั้งครรภ์หรือให้นมบุตร
เนื่องจากการใช้ทาภายนอกไม่ก่อให้เกิดความเสี่ยงต่อทารกในครรภ์ และมักถูกแนะนำให้ใช้แทนส่วนผสมที่ไม่ปลอดภัยอย่างเรตินอยด์ เพื่อดูแลปัญหาสิวหรือฝ้าที่เกิดจากฮอร์โมนในระหว่างตั้งครรภ์
ต้องใช้เวลานานเท่าไหร่จึงจะเห็นผล?
โดยทั่วไปจะเริ่มเห็นการเปลี่ยนแปลงที่ชัดเจน เช่น รอยดำจางลง รูขุมขนกระชับขึ้น หรือริ้วรอยลดลง หลังจากใช้อย่างสม่ำเสมอเป็นเวลาอย่างน้อย 6–8 สัปดาห์
อย่างไรก็ตาม การเปลี่ยนแปลงเล็กๆ น้อยๆ เช่น ความมันบนใบลดลงหรือรอยแดงบรรเทาลง อาจสังเกตเห็นได้ภายใน 2-4 สัปดาห์แรก สำหรับการลดเลือนจุดด่างดำและริ้วรอย อาจต้องใช้เวลา 8–12 สัปดาห์ขึ้นไปจึงจะเห็นผลลัพธ์ที่ชัดเจนยิ่งขึ้น
สามารถใช้ไนอะซินาไมด์ร่วมกับเรตินอลได้หรือไม่?
สามารถใช้ไนอะซินาไมด์ร่วมกับเรตินอลได้ และยังเป็นการจับคู่ที่ส่งเสริมประสิทธิภาพกันได้เป็นอย่างดี
ไนอะซินาไมด์มีคุณสมบัติช่วยเสริมสร้างเกราะป้องกันผิวและลดการอักเสบ จึงสามารถลดอาการระคายเคือง รอยแดง และความแห้งที่อาจเกิดจากการใช้เรตินอลได้ ทำให้ผิวทนต่อการใช้เรตินอลได้ดีขึ้น การใช้สองส่วนผสมนี้ร่วมกันจะช่วยส่งเสริมให้ผิวเรียบเนียน ลดเลือนริ้วรอย และมีสีผิวสม่ำเสมอ โดยมีการระคายเคืองน้อยลง
ไนอะซินาไมด์ช่วยเรื่องสิวอุดตันได้จริงหรือ?
ใช่ ไนอะซินาไมด์ช่วยลดการเกิดสิวอุดตันได้ในระดับหนึ่ง โดยจะช่วยควบคุมการผลิตน้ำมัน (ซีบัม) บนใบหน้า ทำให้รูขุมขนมีโอกาสอุดตันน้อยลง
อย่างไรก็ตาม ไนอะซินาไมด์ไม่ได้มีคุณสมบัติในการผลัดเซลล์ผิวเพื่อกำจัดสิวอุดตันที่มีอยู่เดิมโดยตรงเหมือนกรดซาลิไซลิก (Salicylic Acid) แต่จะเน้นไปที่การป้องกันการเกิดใหม่และช่วยให้สิวอักเสบลดลงมากกว่า
หากใช้แล้วรู้สึกยิบๆ ที่ผิว ควรทำอย่างไร?
คุณสามารถจัดการอาการยิบๆ ได้โดย ทาหลังมอยส์เจอไรเซอร์ ทาบนผิวที่หมาดเล็กน้อย หรือลดความถี่ในการใช้ อาการยิบๆ หรืออุ่นๆ เล็กน้อยหลังทาอาจเป็นเรื่องปกติ โดยเฉพาะกับผิวที่แห้ง และควรจะหายไปอย่างรวดเร็ว
หากต้องการลดอาการดังกล่าว ให้ลองทำตามวิธีต่อไปนี้:
- ทาหลังมอยส์เจอไรเซอร์: การทาไนอะซินาไมด์หลังมอยส์เจอไรเซอร์ (Buffering) จะช่วยลดความเข้มข้นและลดการระคายเคืองได้
- ทาบนผิวหมาด: ลองทาเซรั่มบนผิวที่ยังชื้นเล็กน้อยเพื่อช่วยให้ผลิตภัณฑ์กระจายตัวได้ดีขึ้น
- ลดความถี่หรือความเข้มข้น: หากอาการยังคงอยู่ ให้ลองลดความถี่ในการใช้ลง (เช่น จากทุกวันเป็นวันเว้นวัน) หรือเปลี่ยนไปใช้ผลิตภัณฑ์ที่มีความเข้มข้นต่ำกว่า
หากอาการรุนแรงขึ้น แสบร้อน หรือไม่หายไป ควรล้างผลิตภัณฑ์ออกทันที
References:
- Farris, P. & Lain, E. (2025). Niacinamide: A Multi-functional Cosmeceutical Ingredient. Practical Dermatology. practicaldermatology.com
- Boo, Y. C. (2021). Mechanistic Basis and Clinical Evidence for the Applications of Nicotinamide (Niacinamide) to Control Skin Aging and Pigmentation. Antioxidants, 10(8), 1315. mdpi.com
- Sjöberg, T. et al. (2025). Niacinamide and its impact on stratum corneum hydration and structure. Scientific Reports, 15(1), 4953. nature.com
- Clista, B. (2024). Can You Mix Niacinamide and Vitamin C? GoodRx Health. goodrx.com
- Levinson, L. (2024). How to Effectively Use Niacinamide With AHAs and BHAs in Your Skincare Routine. Skincare.com (L’Oréal). skincare.com
- Curology Team. (2023). Unlocking the Potential of Niacinamide: What Percentage is Effective for Skin Health? Curology Blog. curology.com
