กลูต้าไธโอน อันตรายไหม? ข้อดี-ข้อเสีย และวิธีกินให้ได้ผลและปลอดภัย

กลูต้าไธโอนคืออะไร? ทำความรู้จักสารต้านอนุมูลอิสระตัวสำคัญ
กลูต้าไธโอน (Glutathione) คือไตรเปปไทด์ที่ประกอบด้วยกรดอะมิโน 3 ชนิด (ซีสเตอีน, ไกลซีน และกลูตาเมต) และเป็นสารต้านอนุมูลอิสระหลักที่ร่างกายสามารถสร้างขึ้นเองได้ในเซลล์เกือบทุกชนิด มีหน้าที่สำคัญในการต่อต้านอนุมูลอิสระ, ขจัดสารพิษในตับ, ปกป้องเซลล์จากการถูกทำลาย และสนับสนุนการทำงานของระบบภูมิคุ้มกัน ตับเป็นอวัยวะที่มีกลูต้าไธโอนในระดับสูงสุด นอกจากนี้ยังสามารถพบได้ในปริมาณเล็กน้อยจากอาหาร เช่น ผักและผลไม้สด (อะโวคาโด, หน่อไม้ฝรั่ง, ผักโขม) และเนื้อสัตว์สด (An update on glutathione’s biosynthesis, metabolism, functions, and medicinal purposes, Current Medicinal Chemistry, 2024)
กลูต้าไธโอนในร่างกาย: สร้างจากไหนและทำหน้าที่อะไร
กลูต้าไธโอนเป็นสารต้านอนุมูลอิสระที่ร่างกายสร้างขึ้นเองในเซลล์แทบทุกชนิด โดยเฉพาะในตับซึ่งเป็นแหล่งที่มีกลูต้าไธโอนหนาแน่นที่สุด สารนี้สังเคราะห์ขึ้นจากกรดอะมิโน 3 ชนิด ได้แก่ กลูตาเมต, ซีสเตอีน และไกลซีน
หน้าที่หลักของกลูต้าไธโอน ได้แก่:
- ต่อต้านอนุมูลอิสระเพื่อป้องกันเซลล์เสื่อมสภาพ
- กำจัดสารพิษและยาออกจากร่างกาย โดยเฉพาะในตับ
- สนับสนุนการทำงานของระบบภูมิคุ้มกัน (An update on glutathione’s biosynthesis, metabolism, functions, and medicinal purposes, Current Medicinal Chemistry, 2024)
แหล่งกลูต้าไธโอนในธรรมชาติ: พบได้ในอาหารชนิดใดบ้าง
กลูต้าไธโอนพบได้ในผักผลไม้สดและเนื้อสัตว์สด โดยเฉพาะอะโวคาโด หน่อไม้ฝรั่ง ผักโขม และกระเจี๊ยบเขียว ในทางกลับกัน ผลิตภัณฑ์นม ขนมปัง และธัญพืชมีกลูต้าไธโอนในปริมาณน้อย ทั้งนี้ ปริมาณกลูต้าไธโอนจะลดลงอย่างมากเมื่อผ่านการปรุงอาหารหรือแปรรูป (Glutathione in foods listed in the National Cancer Institute’s Health Habits and History Food Frequency Questionnaire, Nutrition and Cancer, 1992)
ข้อดีของกลูต้าไธโอน: สรรพคุณที่สำคัญต่อผิวและสุขภาพ
ช่วยให้ผิวขาวกระจ่างใสจริงหรือ? กลไกการทำงานต่อเม็ดสีผิว
กลูตาไธโอนสามารถช่วยให้ผิวแลดูกระจ่างใสขึ้นได้ แต่ผลลัพธ์มักจะค่อยเป็นค่อยไปและแตกต่างกันในแต่ละบุคคล โดยมีกลไกการทำงานต่อเม็ดสีผิว 3 ประการคือ
- ยับยั้งเอนไซม์ไทโรซิเนส (Tyrosinase): ซึ่งเป็นเอนไซม์หลักในการสร้างเม็ดสีเมลานิน
- เปลี่ยนการสร้างเม็ดสี: กระตุ้นให้เกิดการสร้างฟีโอเมลานิน (Pheomelanin) ซึ่งเป็นเม็ดสีที่สว่างกว่า แทนยูเมลานิน (Eumelanin) ซึ่งเป็นเม็ดสีเข้ม
- ลดความเครียดออกซิเดชัน: คุณสมบัติต้านอนุมูลอิสระของกลูตาไธโอนช่วยลดการผลิตเม็ดสีที่ถูกกระตุ้นจากความเครียดในเซลล์
โดยทั่วไปจะเริ่มเห็นผลหลังรับประทานต่อเนื่อง 1–3 เดือน แต่ผลลัพธ์อาจไม่ชัดเจนมากนักและไม่ถาวร (Glutathione in dermatology: A bright future or fading hype?, CosmoDerma, 2025)
คุณสมบัติด้านการต้านอนุมูลอิสระและชะลอวัย
กลูตาไธโอนเป็นสารต้านอนุมูลอิสระตัวหลักของร่างกายที่ช่วยชะลอการเสื่อมของเซลล์ โดยจะทำหน้าที่โดยตรงในการต่อต้านและทำลายอนุมูลอิสระที่เป็นอันตรายต่อเซลล์ เช่น สารประกอบออกซิเจน ไนโตรเจน และซัลเฟอร์ ซึ่งช่วยป้องกันความเสียหายต่อ DNA และไมโทคอนเดรียซึ่งเป็นปัจจัยสำคัญในกระบวนการชราภาพ สำหรับผิวหนัง คุณสมบัติต้านอนุมูลอิสระของกลูตาไธโอนอาจช่วยเพิ่มความยืดหยุ่น ลดเลือนริ้วรอย และเพิ่มความชุ่มชื้นให้แก่ผิว โดยการปกป้องคอลลาเจนจากการเสื่อมสลาย (An update on glutathione’s biosynthesis, metabolism, functions, and medicinal purposes, Current Medicinal Chemistry, 2024)
ประโยชน์ต่อสุขภาพด้านอื่นๆ เช่น การทำงานของตับ
กลูตาไธโอนมีความสำคัญอย่างยิ่งต่อการทำงานของตับและกระบวนการล้างพิษ เนื่องจากช่วยปกป้องเซลล์ตับจากการถูกทำลายโดยสารอนุมูลอิสระและสารพิษต่างๆ การศึกษาทางคลินิกพบว่าการเสริมกลูตาไธโอนสามารถช่วยลดค่าเอนไซม์ตับในผู้ป่วยโรคไขมันพอกตับที่ไม่ได้เกิดจากแอลกอฮอล์ (NAFLD) และยังช่วยปรับปรุงการทำงานของตับ ลดพังผืด และเพิ่มอัตราการกำจัดเชื้อไวรัสในผู้ป่วยไวรัสตับอักเสบบีเรื้อรังได้อีกด้วย (Therapeutic effects of reduced glutathione on liver function, fibrosis, and HBV DNA clearance in chronic hepatitis B patients, BMC Gastroenterology, 2025)
ผลข้างเคียงและข้อควรระวัง: กลูต้าไธโอนอันตรายไหม?
กลูต้าไธโอนชนิดรับประทานโดยทั่วไปถือว่าปลอดภัย แต่ชนิดฉีดมีความเสี่ยงสูงและไม่ได้รับการอนุมัติให้ใช้เพื่อความงาม
ผลข้างเคียงที่พบบ่อยที่สุดจากการรับประทานคืออาการทางเดินอาหารเล็กน้อย เช่น ท้องอืด มีแก๊สในกระเพาะอาหาร หรือถ่ายเหลว ในทางกลับกัน กลูต้าไธโอนชนิดฉีดอาจทำให้เกิดผลข้างเคียงที่รุนแรงได้ เช่น การทำงานของไตผิดปกติ ปฏิกิริยาแพ้รุนแรง และปัญหาต่อมไทรอยด์
ผู้ที่ควรหลีกเลี่ยงหรือใช้ด้วยความระมัดระวัง ได้แก่
- สตรีมีครรภ์หรือให้นมบุตร
- ผู้ป่วยโรคหอบหืด (สำหรับการใช้ชนิดพ่น)
- ผู้ที่มีภาวะป่วยรุนแรงควรปรึกษาแพทย์ก่อนใช้ (U.S. Food and Drug Administration, 2019)
ผลข้างเคียงที่อาจเกิดขึ้นจากการใช้กลูต้าไธโอน
ผลข้างเคียงที่พบบ่อยที่สุดจากการรับประทานกลูต้าไธโอนคืออาการเล็กน้อยเกี่ยวกับทางเดินอาหาร เช่น ท้องอืด มีแก๊สในกระเพาะ หรือถ่ายเหลว ในขณะที่การฉีดกลูต้าไธโอนซึ่งไม่ได้รับการอนุมัติให้ใช้เพื่อความงามนั้นมีความเสี่ยงที่รุนแรงกว่ามาก เช่น อาจทำให้ไตทำงานผิดปกติ เกิดอาการแพ้รุนแรง หรือรบกวนการทำงานของต่อมไทรอยด์ได้ (U.S. Food and Drug Administration, 2019)
ใครบ้างที่ไม่ควรกินหรือฉีดกลูต้าไธโอน
ผู้ที่ไม่ควรใช้กลูต้าไธโอน ได้แก่ สตรีมีครรภ์หรือให้นมบุตร และเด็ก เนื่องจากยังไม่มีการยืนยันความปลอดภัย นอกจากนี้ ผู้ที่เป็นโรคหอบหืดควรหลีกเลี่ยงการใช้กลูต้าไธโอนในรูปแบบพ่น เพราะอาจทำให้อาการกำเริบได้ ส่วนผู้ที่มีประวัติแพ้สารประกอบซัลเฟอร์ หรือผู้ป่วยโรคตับและไตขั้นรุนแรง ควรปรึกษาแพทย์ก่อนใช้ (Drugs.com, 2025)
ข้อควรระวังในการใช้ผลิตภัณฑ์กลูต้าไธโอน
ข้อควรระวังที่สำคัญที่สุดคือการหลีกเลี่ยงการใช้กลูต้าไธโอนชนิดฉีดเพื่อความงาม เนื่องจากมีความเสี่ยงสูงและไม่ได้รับการรับรองจากหน่วยงานกำกับดูแล นอกจากนี้ ผู้ที่มีภาวะสุขภาพบางอย่างควรปรึกษาแพทย์ก่อนใช้
ข้อควรระวังอื่นๆ ในการใช้กลูต้าไธโอน ได้แก่
- กลุ่มที่ควรหลีกเลี่ยง: สตรีมีครรภ์หรือให้นมบุตร เด็ก และผู้ป่วยโรคหอบหืด (โดยเฉพาะชนิดสูดดม) ควรหลีกเลี่ยงการใช้ ส่วนผู้ที่มีโรคไตหรือตับรุนแรงควรปรึกษาแพทย์ก่อน
- ความเสี่ยงของชนิดฉีด: การฉีดกลูต้าไธโอนเพื่อผิวขาวมีความเสี่ยงร้ายแรง เช่น ไตวายเฉียบพลัน การทำงานของตับและต่อมไทรอยด์ผิดปกติ และอาจเกิดอาการแพ้รุนแรงถึงชีวิต
- ผลข้างเคียงจากการรับประทาน: โดยทั่วไปถือว่าปลอดภัย แต่อาจพบอาการข้างเคียงเล็กน้อยเกี่ยวกับทางเดินอาหาร เช่น ท้องอืด มีลมในท้อง หรือถ่ายเหลว
- การเลือกผลิตภัณฑ์: ควรเลือกผลิตภัณฑ์ชนิดรับประทานจากผู้ผลิตที่น่าเชื่อถือ มีเลขทะเบียน อย. และหลีกเลี่ยงผลิตภัณฑ์ที่อวดอ้างสรรพคุณเกินจริง (Glutathione in dermatology: A bright future or fading hype?, CosmoDerma, 2025)
วิธีกินกลูต้าไธโอนให้ได้ผลและปลอดภัยที่สุด
วิธีที่ได้ผลและปลอดภัยที่สุดคือการรับประทานกลูต้าไธโอนในรูปแบบเม็ดหรือแคปซูล โดยปริมาณที่แนะนำคือ 250–1,000 มิลลิกรัมต่อวัน ควรรับประทานตอนท้องว่างในตอนเช้าเพื่อการดูdซึมที่ดีที่สุด และอาจทานร่วมกับวิตามินซีเพื่อเพิ่มประสิทธิภาพ สิ่งสำคัญคือควรหลีกเลี่ยงการฉีดกลูต้าไธโอนเพื่อความงามโดยเด็ดขาด เนื่องจากมีความเสี่ยงสูงและไม่ได้รับการรับรอง และควรเลือกผลิตภัณฑ์ที่มีคุณภาพจากผู้ผลิตที่น่าเชื่อถือซึ่งมีเลขทะเบียน อย. (How to take glutathione effectively: Best forms, timing & tips, Hispano Medical Centers Blog, 2025)
รูปแบบของกลูต้าไธโอน: แบบกิน แบบฉีด แบบทา ต่างกันอย่างไร
กลูต้าไธโอนในรูปแบบต่างๆ จะแตกต่างกันที่วิธีการใช้ การดูดซึม ประสิทธิภาพ และความปลอดภัย โดยแต่ละรูปแบบมีข้อดีและข้อเสียที่เหมาะกับการใช้งานคนละวัตถุประสงค์
- แบบกิน (Oral): เป็นรูปแบบที่ปลอดภัยและสะดวกที่สุดสำหรับการใช้โดยทั่วไป แต่การดูดซึมมีจำกัดเนื่องจากถูกย่อยในระบบทางเดินอาหาร รูปแบบไลโปโซม (Liposomal) จะช่วยเพิ่มการดูดซึมได้ดีขึ้น เหมาะสำหรับบำรุงสุขภาพโดยรวมและต้านอนุมูลอิสระ
- แบบฉีด (Injectable): สามารถนำส่งกลูต้าไธโอนเข้าสู่กระแสเลือดได้ 100% ทำให้ระดับในเลือดสูงขึ้นอย่างรวดเร็ว แต่มีความเสี่ยงสูง เช่น การติดเชื้อ ไตทำงานผิดปกติ หรือเกิดอาการแพ้รุนแรง และไม่ได้รับการอนุมัติให้ใช้เพื่อผิวขาว ควรใช้ภายใต้การดูแลของแพทย์เท่านั้น
- แบบทา (Topical): ใช้สำหรับทาบนผิวหนังเพื่อให้ผลเฉพาะที่ เช่น ลดเลือนจุดด่างดำ แต่จะถูกดูดซึมเข้าสู่ร่างกายได้น้อยมาก จึงไม่ช่วยเพิ่มระดับกลูต้าไธโอนในร่างกายโดยรวม แต่มีความปลอดภัยสูง (Glutathione as a skin whitening agent: facts, myths, evidence and controversies, Indian J. of Dermatology, Venereology and Leprology, 2016)
ควรกินกลูต้าไธโอนตอนไหนและในปริมาณเท่าไหร่
ควรกินกลูต้าไธโอนในปริมาณ 250-1,000 มิลลิกรัมต่อวัน ขณะท้องว่าง โดยช่วงเวลาที่ดีที่สุดคือตอนเช้า ประมาณ 20-30 นาทีก่อนอาหารเช้า เพื่อให้ร่างกายดูดซึมได้ดีที่สุด การศึกษาส่วนใหญ่มักใช้ปริมาณ 500 มิลลิกรัมต่อวัน หากรับประทานในปริมาณสูง สามารถแบ่งเป็น 2 มื้อ (เช้าและเย็น) เพื่อรักษาระดับยาให้คงที่ได้ (How to take glutathione effectively: Best forms, timing & tips, Hispano Medical Centers Blog, 2025)
การเลือกซื้อผลิตภัณฑ์กลูต้าไธโอน: เกณฑ์สำคัญ เช่น มี อย. รับรองและคุณภาพ
เกณฑ์สำคัญในการเลือกซื้อผลิตภัณฑ์กลูต้าไธโอนคือการเลือกผลิตภัณฑ์ที่ได้รับการรับรอง มีคุณภาพ และปลอดภัย เพื่อให้มั่นใจว่าจะได้รับประโยชน์และหลีกเลี่ยงสิ่งปนเปื้อน
- การรับรองจากหน่วยงานกำกับดูแล: มองหาผลิตภัณฑ์ที่มีเลขทะเบียน อย. บนฉลาก ซึ่งหมายความว่าได้ผ่านการตรวจสอบความปลอดภัยและคุณภาพเบื้องต้นแล้ว
- รูปแบบและส่วนประกอบ: ควรเลือกรูปแบบ “L-glutathione (GSH) ชนิดรีดิวซ์” ซึ่งเป็นรูปแบบที่พร้อมทำงานในร่างกาย
- แหล่งที่มาที่น่าเชื่อถือ: ซื้อจากร้านขายยาหรือบริษัทที่น่าเชื่อถือ และหลีกเลี่ยงผู้ขายออนไลน์ที่ไม่รู้จักหรือผลิตภัณฑ์ที่ไม่มีฉลากภาษาไทย
- หลีกเลี่ยงคำโฆษณาเกินจริง: ระวังผลิตภัณฑ์ที่อวดอ้างสรรพคุณเกินจริง เช่น “ขาวทันทีใน 7 วัน” หรือไม่มีการระบุส่วนผสมที่ชัดเจน (FDA highlights concerns with using dietary ingredient glutathione to compound sterile injectables, U.S. Food and Drug Administration, 2019)
ความเชื่อผิดๆ เกี่ยวกับกลูต้าไธโอน: เรื่องที่คนส่วนใหญ่เข้าใจผิด
กลูต้าไธโอนไม่ใช่ยา แต่เป็นผลิตภัณฑ์เสริมอาหาร
ใช่ กลูต้าไธโอนจัดเป็นผลิตภัณฑ์เสริมอาหาร ไม่ใช่ยาที่ได้รับการรับรอง เนื่องจากเป็นสารธรรมชาติที่พบได้ในร่างกายและอาหารทั่วไป จึงไม่ได้ผ่านกระบวนการอนุมัติที่เข้มงวดเหมือนยาที่ต้องสั่งโดยแพทย์ (U.S. Food and Drug Administration, 2019)
การฉีดกลูต้าไธโอนมีความเสี่ยงสูงและไม่ผ่านการรับรอง
ใช่ การฉีดกลูต้าไธโอนเพื่อความงามมีความเสี่ยงสูงและไม่ได้รับการรับรองอย่างเป็นทางการจากหน่วยงานกำกับดูแลใดๆ ทั้งสิ้น การฉีดเข้าเส้นเลือด (IV) เพื่อทำให้ผิวขาวเป็นการใช้งานนอกข้อบ่งชี้และมีคำเตือนจากหน่วยงานต่างๆ เช่น องค์การอาหารและยา (FDA) เนื่องจากมีรายงานผลข้างเคียงที่รุนแรง เช่น ไตทำงานผิดปกติเฉียบพลัน ความผิดปกติของฮอร์โมนไทรอยด์ และอาการแพ้ทางผิวหนังที่อาจเป็นอันตรายถึงชีวิต (U.S. Food and Drug Administration, 2019)
คำถามที่พบบ่อย (FAQ)
กลูต้าไธโอนกินแล้วเห็นผลภายในกี่วัน?
โดยทั่วไปแล้ว ต้องใช้เวลาอย่างน้อย 1-3 เดือน ของการรับประทานกลูต้าไธโอนอย่างต่อเนื่องทุกวันจึงจะเริ่มเห็นผลลัพธ์ด้านผิวพรรณที่สว่างขึ้น การเปลี่ยนแปลงที่สังเกตได้มักจะเริ่มขึ้นหลังสัปดาห์ที่ 4 เป็นต้นไป โดยผลลัพธ์จะค่อยเป็นค่อยไปและไม่เกิดขึ้นในทันที สำหรับประโยชน์ต่อสุขภาพโดยรวม เช่น การเพิ่มสารต้านอนุมูลอิสระในเลือด อาจเห็นการเปลี่ยนแปลงได้เร็วกว่านั้น (Glutathione in dermatology: A bright future or fading hype?, CosmoDerma, 2025)
หยุดกินกลูต้าไธโอนแล้วจะกลับมาดำคล้ำหรือไม่?
ผลลัพธ์จากการกินกลูต้าไธโอนนั้นไม่ถาวร เมื่อหยุดรับประทาน ผิวจะค่อยๆ กลับคืนสู่สีผิวตามธรรมชาติภายในเวลาไม่กี่สัปดาห์ เนื่องจากกลูต้าไธโอนจะยับยั้งการผลิตเม็ดสีเมลานินแค่เพียงชั่วคราวเท่านั้น มีรายงานส่วนน้อยที่พบว่าผิวอาจคล้ำขึ้นกว่าเดิมหลังจากหยุดใช้ แต่โดยทั่วไปแล้วสีผิวจะกลับไปสู่ระดับปกติเหมือนก่อนเริ่มทาน
สามารถกินกลูต้าไธโอนร่วมกับวิตามินซีได้หรือไม่?
สามารถรับประทานกลูต้าไธโอนร่วมกับวิตามินซีได้ และยังเป็นสิ่งที่แนะนำให้ทำ เนื่องจากวิตามินซีช่วยรักษากลูต้าไธโอนให้อยู่ในรูปแบบที่พร้อมใช้งาน (active form) และเสริมฤทธิ์กันในการต้านอนุมูลอิสระ การศึกษายังพบว่าการรับประทานวิตามินซีร่วมกับกลูต้าไธโอนช่วยเพิ่มประสิทธิภาพในการยับยั้งการสร้างเมลานินได้มากกว่าการใช้กลูต้าไธโอนเพียงอย่างเดียว (Glutathione in dermatology: A bright future or fading hype?, CosmoDerma, 2025)
ผู้ชายสามารถกินกลูต้าไธโอนได้หรือไม่?
ผู้ชายสามารถกินกลูต้าไธโอนได้อย่างแน่นอน เนื่องจากเป็นสารที่ร่างกายสร้างขึ้นเองและมีความสำคัญต่อเซลล์ต่างๆ ไม่ว่าจะเป็นเพศชายหรือหญิง ผู้ชายสามารถรับประทานกลูต้าไธโอนเพื่อประโยชน์ด้านสุขภาพต่างๆ เช่น การต้านอนุมูลอิสระ การบำรุงตับ หรือการปรับปรุงสภาพผิวได้เช่นเดียวกับผู้หญิง โดยไม่มีผลกระทบต่อฮอร์โมนเพศ (Glutathione as a skin whitening agent: facts, myths, evidence and controversies, Indian J. of Dermatology, Venereology and Leprology, 2016)
การกินกลูต้าไธโอนมีผลต่อตับและไตในระยะยาวหรือไม่?
ไม่มีหลักฐานว่าการเสริมกลูต้าไธโอนอย่างเหมาะสมในระยะยาวจะเป็นอันตรายต่อตับหรือไต ในทางกลับกัน กลูต้าไธโอนมักเป็นประโยชน์ต่ออวัvะเหล่านี้ โดยช่วยในการล้างพิษและจัดการกับภาวะเครียดออกซิเดชัน การศึกษาพบว่ากลูต้าไธโอนช่วยปรับปรุงการทำงานของตับในผู้ป่วยโรคตับอักเสบเรื้อรัง ส่วนรายงานเกี่ยวกับการบาดเจ็บของไตนั้นเชื่อมโยงกับการใช้ผลิตภัณฑ์แบบฉีดที่ปนเปื้อน ไม่ใช่จากการรับประทานผลิตภัณฑ์เสริมอาหารที่มีคุณภาพในปริมาณที่แนะนำ (Therapeutic effects of reduced glutathione on liver function, fibrosis, and HBV DNA clearance in chronic hepatitis B patients, BMC Gastroenterology, 2025)
กลูต้าไธโอนช่วยรักษาสิวได้จริงหรือ?
ยังไม่มีหลักฐานที่ชัดเจนว่ากลูต้าไธโอนสามารถรักษาสิวได้โดยตรง แม้ว่าในทางทฤษฎี กลูต้าไธโอนซึ่งเป็นสารต้านอนุมูลอิสระอาจช่วยลดการอักเสบที่เกี่ยวข้องกับสิวได้ และมีงานวิจัยพบว่าผู้ที่เป็นสิวมีระดับกลูต้าไธโอนในผิวหนังต่ำกว่าคนปกติ แต่ปัจจุบันยังมีข้อมูลจากการศึกษาในกลุ่มคนจำนวนน้อยเท่านั้นที่ชี้ว่าการรับประทานกลูต้าไธโอนอาจช่วยให้อาการสิวดีขึ้นได้ ดังนั้นจึงยังไม่สามารถสรุปได้ว่ากลูต้าไธโอนเป็นวิธีรักษาสิวที่มีประสิทธิภาพ และไม่สามารถใช้ทดแทนยารักษาสิวที่ได้รับการพิสูจน์แล้ว (Decrease in glutathione may be involved in pathogenesis of acne vulgaris, Journal of Cosmetic Dermatology, 2011)
