วิธีรักษาสิวผดแบบเร่งด่วนให้ได้ผล เพื่อให้หน้ากลับมาเนียนใส

วิธีรักษาสิวผด แบบเร่งด่วน เริ่มจากทำความเข้าใจว่าสิวผดคือภาวะรูขุมขนอักเสบจากเชื้อรา Malassezia ไม่ใช่สิวแบคทีเรีย แล้วลงมือดูแลอย่างถูกต้องเพื่อให้ผิวดีขึ้นอย่างชัดเจนภายใน 7–14 วันตามคำแนะนำแพทย์. เนื้อหาเรียงตามลำดับ: คืออะไร/ต่างจากสิวอื่น, สาเหตุ, 6 วิธีเร่งด่วน, เมื่อไหร่ควรพบแพทย์, การเลือกวิธีที่เหมาะ, ข้อห้าม และคำถามที่พบบ่อย.
สิวผดคืออะไร แตกต่างจากสิวประเภทอื่นอย่างไร
สิวผด (Fungal Acne) คือ ภาวะรูขุมขนอักเสบที่เกิดจากเชื้อรายีสต์ในกลุ่มมาลาสซีเซีย (Malassezia) เจริญเติบโตมากผิดปกติ ซึ่งแตกต่างจากสิวทั่วไป (Acne Vulgaris) ที่เกิดจากแบคทีเรีย
ความแตกต่างที่สำคัญระหว่างสิวผดและสิวประเภทอื่น ได้แก่
- สาเหตุ: สิวผดเกิดจากเชื้อราประเภทยีสต์ ในขณะที่สิวทั่วไปเกิดจากแบคทีเรีย การอุดตัน และน้ำมันส่วนเกิน
- ลักษณะสิว: สิวผดมักมีขนาดใกล้เคียงกัน เป็นตุ่มแดงหรือตุ่มหนอง และไม่มีหัวสิวอุดตัน (สิวหัวดำ/สิวหัวขาว) ส่วนสิวทั่วไปมักมีหลายรูปแบบปนกัน
- อาการคัน: สิวผดมักมีอาการคันร่วมด้วย แต่สิวทั่วไปส่วนใหญ่มักไม่คัน
- การตอบสนองต่อยา: สิวผดจะไม่ตอบสนองต่อยารักษาสิวทั่วไป (โดยเฉพาะยาปฏิชีวนะ) และอาจมีอาการแย่ลงได้
ลักษณะและอาการของสิวผดที่สังเกตได้
สิวผดมีลักษณะเป็น ตุ่มนูนแดงและตุ่มหนองขนาดเล็กที่มักมีอาการคัน ซึ่งแตกต่างจากสิวทั่วไปที่มักไม่คัน
สิวผดมักขึ้นเป็นกลุ่มบริเวณที่มีความมันสูง เช่น หน้าอก หลัง ไหล่ และบางครั้งบนใบหน้า โดยจะไม่มีสิวอุดตัน (สิวหัวดำหรือสิวหัวขาว) และไม่พัฒนาไปเป็นสิวอักเสบขนาดใหญ่หรือซีสต์ อาการคันเล็กน้อยถึงปานกลางเป็นลักษณะเด่นที่พบได้บ่อยในผู้ที่เป็นสิวผด
ความแตกต่างระหว่างสิวผด สิวอุดตัน และสิวอักเสบ
ความแตกต่างที่สำคัญระหว่างสิวผด สิวอุดตัน และสิวอักเสบ คือสาเหตุการเกิด ลักษณะของสิว และอาการคัน
สิวแต่ละประเภทมีลักษณะเฉพาะที่แตกต่างกันดังนี้
- สิวผด (Fungal Acne): เกิดจากเชื้อรา *Malassezia* ที่เจริญเติบโตมากผิดปกติในรูขุมขน มีลักษณะเป็นตุ่มแดงหรือตุ่มหนองขนาดเล็กใกล้เคียงกัน มักขึ้นเป็นกลุ่ม และมีอาการคันเป็นอาการเด่น แต่จะไม่มีสิวหัวดำหรือสิวหัวขาว (สิวอุดตัน)
- สิวอุดตัน (Comedonal Acne): เกิดจากการอุดตันของไขมันและเซลล์ผิวในรูขุมขน มีลักษณะเป็นสิวหัวดำหรือสิวหัวขาวที่ไม่มีการอักเสบ (ไม่แดง ไม่บวม) และโดยทั่วไปจะไม่มีอาการคัน
- สิวอักเสบ (Inflammatory Acne): เกิดจากการติดเชื้อแบคทีเรียในสิวอุดตัน ทำให้เกิดการอักเสบ มีลักษณะเป็นตุ่มแดงบวม มีหนอง หรือเป็นก้อนไตแข็งใต้ผิวหนัง อาจมีอาการเจ็บ แต่โดยปกติจะไม่มีอาการคันเหมือนสิวผด
สาเหตุหลักที่ทำให้เกิดสิวผดบนใบหน้าและร่างกาย
ปัจจัยภายนอก: ความร้อน เหงื่อ และการระคายเคือง
ความร้อน ความชื้น เหงื่อ และการระคายเคืองของผิวหนังเป็นปัจจัยภายนอกที่กระตุ้นให้สิวเชื้อรากำเริบได้ เนื่องจากเชื้อรา *Malassezia* ซึ่งเป็นสาเหตุของสิวชนิดนี้จะเจริญเติบโตได้ดีในสภาพแวดล้อมที่อุ่นและชื้น
- ความร้อนและความชื้น: สภาพอากาศที่ร้อนชื้นเป็นปัจจัยสำคัญที่ทำให้เชื้อราเจริญเติบโตได้ดี
- เหงื่อ: การมีเหงื่อออกมากจะสร้างความชื้นบนผิวหนัง ซึ่งเป็นสภาวะที่เหมาะสมต่อการเติบโตของเชื้อรา การสวมใส่เสื้อผ้าที่อับชื้นหรือรัดแน่นเกินไปจะยิ่งทำให้สถานการณ์แย่ลง
- การระคายเคือง: การใช้ผลิตภัณฑ์ที่รุนแรงหรือการเสียดสีจากเสื้อผ้าสามารถทำลายเกราะป้องกันผิว ทำให้เชื้อราเข้าสู่รูขุมขนและก่อให้เกิดการอักเสบได้ง่ายขึ้น
ปัจจัยภายใน: เชื้อราและการทำงานของต่อมไขมัน
สิวเชื้อราเกิดจากการเจริญเติบโตที่มากผิดปกติของเชื้อยีสต์ *Malassezia* ซึ่งอาศัยไขมัน (sebum) ที่ผลิตจากต่อมไขมันเป็นอาหาร โดยปกติแล้วเชื้อยีสต์ชนิดนี้อาศัยอยู่บนผิวหนังโดยไม่ก่อให้เกิดปัญหา แต่เมื่อมีปัจจัยกระตุ้นให้เชื้อเจริญเติบโตมากเกินไปในรูขุมขน เอนไซม์จากเชื้อยีสต์จะย่อยสลายไขมันให้กลายเป็นกรดไขมันอิสระ ซึ่งไปรบกวนเกราะป้องกันผิวและกระตุ้นให้ระบบภูมิคุ้มกันตอบสนองจนเกิดการอักเสบกลายเป็นตุ่มสิวในที่สุด
6 วิธีรักษาสิวผดเร่งด่วนที่สามารถดูแลได้ด้วยตัวเอง
1. ปรับการล้างหน้าให้สะอาดและอ่อนโยน
การปรับการล้างหน้าสำหรับสิวเชื้อราคือ การใช้ผลิตภัณฑ์ล้างหน้าที่มีคุณสมบัติต้านเชื้อราและมีค่า pH ที่สมดุล โดยทิ้งไว้บนผิว 5-10 นาทีก่อนล้างออก เพื่อให้ได้ผลลัพธ์สูงสุด
- ใช้แชมพูยาเป็นผลิตภัณฑ์ล้างหน้า: ใช้ผลิตภัณฑ์ที่มีส่วนผสมของคีโตโคนาโซล (ketoconazole) 2% หรือซีลีเนียมซัลไฟด์ (selenium sulfide) 2.5% ซึ่งสามารถลดจำนวนเชื้อราได้อย่างมีนัยสำคัญ
- เลือกผลิตภัณฑ์ล้างหน้าที่ค่า pH สมดุล: เลือกใช้ผลิตภัณฑ์ล้างหน้าที่มีค่า pH ประมาณ 5.5 เพื่อรักษาสมดุลเกราะป้องกันผิวและสร้างสภาวะที่ไม่เอื้อต่อการเจริญเติบโตของเชื้อรา ควรหลีกเลี่ยงสบู่ที่มีฤทธิ์เป็นด่าง
- พิจารณาส่วนผสมที่เป็นประโยชน์อื่นๆ: ผลิตภัณฑ์ล้างหน้าที่มีส่วนผสมของกรดซาลิไซลิก (salicylic acid), ซัลเฟอร์ (sulfur) หรือซิงค์ ไพริไธโอน (zinc pyrithione) สามารถช่วยผลัดเซลล์ผิว ลดความมัน และมีคุณสมบัติต้านเชื้อราได้
2. เลือกใช้ผลิตภัณฑ์ดูแลผิวที่ช่วยควบคุมความมัน
ผลิตภัณฑ์ดูแลผิวที่ช่วยควบคุมความมันควรมีส่วนผสมของ กรดซาลิไซลิก (Salicylic Acid), ซัลเฟอร์ (Sulfur), หรือไนอะซินาไมด์ (Niacinamide)
- กรดซาลิไซลิก (0.5–2%): ช่วยผลัดเซลล์ผิวและขจัดความมันส่วนเกิน มักอยู่ในรูปแบบผลิตภัณฑ์ล้างหน้าหรือโทนเนอร์
- ซัลเฟอร์ (กำมะถัน): ผลิตภัณฑ์ล้างหน้าที่มีส่วนผสมของซัลเฟอร์มีคุณสมบัติในการลดความมัน
- ไนอะซินาไมด์ (วิตามินบี 3): เซรั่มหรือเจลที่มีไนอะซินาไมด์ 2–5% สามารถลดการผลิตน้ำมัน (ซีบัม) และลดการอักเสบได้
นอกจากนี้ ควรเลือกใช้ผลิตภัณฑ์เนื้อบางเบา เช่น โลชั่นหรือเจลที่ระบุว่า “ปราศจากน้ำมัน” (oil-free) และ “ไม่ก่อให้เกิดการอุดตัน” (non-comedogenic)
3. ใช้ยาหรือครีมทาเฉพาะที่สำหรับสิวผด
การรักษาสิวผดเฉพาะที่มักใช้ แชมพูหรือครีมต้านเชื้อรา เช่น คีโตโคนาโซล (Ketoconazole) 2% หรือซีลีเนียมซัลไฟด์ (Selenium Sulfide) 2.5%
โดยทั่วไปแนะนำให้ใช้แชมพูต้านเชื้อราเป็นสบู่เหลวอาบน้ำ ทาลงบนผิวบริเวณที่เป็นสิวและทิ้งไว้ 5-10 นาทีก่อนล้างออก นอกจากนี้ ครีมคีโตโคนาโซล 2% ก็มีประสิทธิภาพเช่นกัน โดยควรใช้ต่อเนื่อง 4-8 สัปดาห์เพื่อให้สิวหายสนิท และทาต่ออีก 1-2 สัปดาห์หลังจากสิวหายเพื่อป้องกันการกลับมาเป็นซ้ำ
ส่วนผสมอื่นๆ ที่อาจช่วยได้ ได้แก่:
- กรดซาลิไซลิก (Salicylic acid): ช่วยผลัดเซลล์ผิวและขจัดความมันส่วนเกิน
- ซัลเฟอร์ (Sulfur) หรือซิงค์ ไพริไธโอน (Zinc Pyrithione): มีคุณสมบัติต้านเชื้อราและลดความมัน
- ไนอะซินาไมด์ (Niacinamide): ช่วยควบคุมความมันและลดการอักเสบ
4. หลีกเลี่ยงแสงแดดและทาครีมกันแดดสม่ำเสมอ
การป้องกันแสงแดดเป็นสิ่งสำคัญอย่างยิ่งเพื่อป้องกันรอยดำหลังการอักเสบ (Post-Inflammatory Hyperpigmentation: PIH) จากสิวเชื้อราเข้มขึ้น ควรเลือกใช้ครีมกันแดดที่ปราศจากน้ำมัน (oil-free) และไม่ก่อให้เกิดการอุดตัน โดยควรเป็นสูตรเจลหรือแบบมิเนอรัล เพื่อหลีกเลี่ยงส่วนผสมที่อาจกระตุ้นเชื้อราและทำให้อาการแย่ลง
5. ปรับพฤติกรรมการใช้ชีวิต ลดอาหารกระตุ้นสิว
การปรับพฤติกรรมการใช้ชีวิตที่ช่วยลดสิวเชื้อราได้คือ การรักษาสุขอนามัยที่ดี การทำให้ผิวเย็นและแห้งอยู่เสมอ รวมถึงการจำกัดอาหารที่มีน้ำตาลและคาร์โบไฮเดรตสูง
พฤติกรรมที่ควรปรับเปลี่ยน ได้แก่:
- อาบน้ำทันทีหลังจากเหงื่อออก และรีบเปลี่ยนเสื้อผ้าที่เปียกชื้น
- ซักเสื้อผ้าออกกำลังกายและเครื่องนอนเป็นประจำ
- พยายามอยู่ในสภาพแวดล้อมที่เย็นและแห้ง เพื่อลดความอับชื้น
- หลีกเลี่ยงการสวมเสื้อผ้าที่รัดแน่นและระบายอากาศได้ไม่ดี
สำหรับอาหาร แม้หลักฐานจะยังมีจำกัด แต่แนะนำให้รับประทานอาหารที่สมดุลและลดอาหารที่มีน้ำตาลหรือคาร์โบไฮเดรตเชิงเดี่ยวสูง เนื่องจากอาจเป็นแหล่งอาหารให้เชื้อยีสต์เจริญเติบโตได้
6. งดการสครับ ขัด หรือรบกวนผิวบริเวณที่เป็นสิว
ควรหลีกเลี่ยงการสครับ ขัด หรือแกะสิวเชื้อรา เนื่องจากพฤติกรรมเหล่านี้อาจทำให้อาการอักเสบแย่ลงและอาจทำให้เชื้อยีสต์แพร่กระจายได้ สิวชนิดนี้ไม่มีหัวสิวเหมือนสิวอุดตันทั่วไปให้กดออก และการพยายามแกะหรือเกาอาจทำให้เกิดรอยแผลเป็นและจุดด่างดำตามมา การรักษาจึงมุ่งเน้นไปที่การใช้ยาเพื่อกำจัดเชื้อยีสต์แทนการรบกวนผิว
การรักษาสิวผดโดยแพทย์: เมื่อไหร่ที่ควรปรึกษาผู้เชี่ยวชาญ
สัญญาณที่บ่งบอกว่าการดูแลด้วยตนเองไม่เพียงพอ
สัญญาณที่บ่งบอกว่าการดูแลด้วยตนเองไม่เพียงพอคือเมื่อผื่นลุกลามเป็นวงกว้าง มีอาการคันหรือเจ็บปวดอย่างรุนแรง ไม่ตอบสนองต่อการรักษาทั่วไป หรือมีอาการผิดปกติอื่นๆ ร่วมด้วย คุณควรไปพบแพทย์หากพบสัญญาณเหล่านี้
- ผื่นลุกลามครอบคลุมพื้นที่ขนาดใหญ่ของใบหน้าหรือลำตัว
- มีอาการคันหรือเจ็บปวดอย่างรุนแรง
- อาการ “สิว” แย่ลงอย่างเห็นได้ชัดหลังใช้ยาปฏิชีวนะ
- ไม่ตอบสนองต่อยารักษาสิวมาตรฐาน
- มีอาการผิดปกติ เช่น มีไข้ หรือมีตุ่มก้อนลึกๆ
- มีโรคประจำตัว เช่น เบาหวาน หรือภาวะภูมิคุ้มกันบกพร่อง
ทางเลือกการรักษาทางการแพทย์เพื่อผลลัพธ์ที่ชัดเจน
การใช้ยาต้านเชื้อราชนิดรับประทาน เป็นทางเลือกการรักษาทางการแพทย์ที่มีประสิทธิภาพสูงสุดเพื่อให้ได้ผลลัพธ์ที่ชัดเจน โดยเฉพาะในกรณีที่เป็นวงกว้างหรือดื้อต่อการรักษาด้วยยาทา
ทางเลือกการรักษาโดยแพทย์ผู้เชี่ยวชาญมีดังนี้:
- ยาต้านเชื้อราชนิดรับประทาน: ยาในกลุ่มเอโซล (Azole) เช่น ไอทราโคนาโซล (Itraconazole) และฟลูโคนาโซล (Fluconazole) สามารถกำจัดเชื้อราได้อย่างรวดเร็ว โดยมีอัตราการรักษาสำเร็จสูงถึง 90-100% ภายในไม่กี่สัปดาห์
- การรักษาแบบผสมผสาน: การใช้ยาต้านเชื้อราชนิดรับประทานร่วมกับยาทาเฉพาะที่ เช่น ครีมคีโตโคนาโซล (Ketoconazole) สามารถเพิ่มประสิทธิภาพการรักษาให้ได้ผลเกือบ 100%
- ยาไอโซเตรติโนอิน (Isotretinoin): อาจถูกพิจารณาใช้ในกรณีที่ดื้อยาหรือใช้ยาต้านเชื้อราไม่ได้ โดยยาจะออกฤทธิ์ลดการผลิตไขมันบนผิวหนัง ทำให้เชื้อราเจริญเติบโตได้ยากขึ้น
- การบำบัดด้วยแสง (Photodynamic Therapy – PDT): เป็นทางเลือกสำหรับบริเวณที่เป็นเฉพาะจุดและดื้อต่อการรักษาแบบอื่น
- การผลัดเซลล์ผิวด้วยสารเคมี (Chemical Peels): มักใช้เป็นการรักษาร่วมหลังจากควบคุมการติดเชื้อได้แล้ว เพื่อช่วยผลัดเซลล์ผิวและลดรอยดำที่เกิดจากสิว
ข้อควรรู้ก่อนเลือกวิธีรักษาสิวผดให้เหมาะกับคุณ
การประเมินความรุนแรงและสภาพผิวของตนเอง
ปัจจุบันยังไม่มีเกณฑ์การประเมินความรุนแรงของสิวเชื้อราที่ใช้กันอย่างแพร่หลาย แต่แพทย์จะประเมินจากขอบเขตของผื่นและอาการคันเป็นหลัก
โดยทั่วไป แพทย์จะพิจารณาความรุนแรงจากปัจจัยต่างๆ ดังนี้
- ขอบเขตของผื่น: จำนวนตุ่มสิวและบริเวณของร่างกายที่สิวขึ้น (เช่น ขึ้นหลายตำแหน่งอย่างหน้าอก หลัง ไหล่)
- ความรุนแรงของอาการ: ระดับความรุนแรงของอาการคัน
- ระยะเวลาที่เป็น: การเป็นสิวเรื้อรังมานาน
นอกจากนี้ แพทย์อาจใช้เครื่องมือช่วยวินิจฉัยเพื่อยืนยัน เช่น การขูดผิวไปส่องกล้องจุลทรรศน์ (KOH prep) หรือการใช้หลอดไฟ Wood’s lamp ส่องดูผิวหนังในบริเวณที่เป็น
ระยะเวลาเห็นผลของการรักษาแต่ละวิธี
โดยทั่วไป จะเริ่มเห็นการเปลี่ยนแปลงที่สังเกตได้ภายใน 7-14 วัน และจะเห็นผลการรักษาที่ชัดเจนขึ้นภายใน 4-6 สัปดาห์ อย่างไรก็ตาม ระยะเวลาจะแตกต่างกันไปขึ้นอยู่กับวิธีที่ใช้
- ยาทาต้านเชื้อรา: อาการคันและตุ่มใหม่ๆ จะลดลงภายใน 1-2 สัปดาห์ แต่อาจต้องใช้เวลา 4-8 สัปดาห์เพื่อให้ตุ่มทั้งหมดหายไป
- ยารับประทานต้านเชื้อรา: โดยทั่วไปจะเห็นการดีขึ้น เช่น ตุ่มยุบลงและอาการคันลดลง ภายในประมาณ 2 สัปดาห์
- ส่วนผสมควบคุมความมัน (เช่น Niacinamide): สามารถลดการผลิตไขมันได้หลังจากใช้ไป 2-3 สัปดาห์
การดูแลต่อเนื่องเพื่อป้องกันการกลับมาเป็นซ้ำ
การป้องกันการกลับมาเป็นซ้ำของสิวเชื้อราคือการใช้ยาต้านเชื้อราเฉพาะที่อย่างต่อเนื่องและปรับเปลี่ยนพฤติกรรมการใช้ชีวิต เพื่อสร้างสภาพแวดล้อมบนผิวหนังที่เชื้อราไม่สามารถเจริญเติบโตได้ดี
แนวทางการดูแลต่อเนื่องประกอบด้วย:
- ใช้ยาต้านเชื้อราเฉพาะที่เป็นประจำ: ใช้แชมพูที่มีส่วนผสมของคีโตโคนาโซล (ketoconazole) หรือซีลีเนียมซัลไฟด์ (selenium sulfide) เป็นสบู่ล้างตัวสัปดาห์ละ 1-3 ครั้ง เพื่อควบคุมปริมาณเชื้อราบนผิวหนัง
- ปรับเปลี่ยนพฤติกรรม: อาบน้ำทันทีหลังเหงื่อออก หลีกเลี่ยงเสื้อผ้าที่รัดแน่นหรืออับชื้น และพยายามอยู่ในที่ที่เย็นและแห้ง
- เลือกผลิตภัณฑ์บำรุงผิวที่เหมาะสม: ใช้ผลิตภัณฑ์ที่ปราศจากน้ำมัน (oil-free) และไม่ก่อให้เกิดการอุดตัน (non-comedogenic) หลีกเลี่ยงครีมกันแดดที่มีน้ำมันเป็นส่วนประกอบ และผลิตภัณฑ์ที่มีส่วนผสมของสารสกัดจากการหมัก (ferment extracts)
- ดูแลเกราะป้องกันผิว: ใช้มอยส์เจอไรเซอร์ที่ไม่ก่อให้เกิดการอุดตันและหลีกเลี่ยงสบู่ที่รุนแรงเกินไปเพื่อรักษาเกราะป้องกันผิวให้แข็งแรง
ข้อห้ามและข้อควรระวังในการดูแลผิวที่เป็นสิวผด
ผลิตภัณฑ์หรือส่วนผสมที่ควรหลีกเลี่ยงเด็ดขาด
ผลิตภัณฑ์ที่ควรหลีกเลี่ยงเด็ดขาดคือ สเตียรอยด์ ยาปฏิชีวนะ และผลิตภัณฑ์บำรุงผิวที่มีส่วนผสมของน้ำมัน เอสเทอร์ และสารสกัดจากการหมัก เนื่องจากส่วนผสมเหล่านี้สามารถทำให้อาการสิวเชื้อราแย่ลงได้
- สเตียรอยด์ (Steroids): การใช้สเตียรอยด์ทั้งชนิดทาและรับประทานจะทำให้อาการของสิวเชื้อรากำเริบและแย่ลงในระยะยาว
- ยาปฏิชีชีวนะ (Antibiotics): ยาปฏิชีวนะไม่มีประสิทธิภาพในการรักษาเชื้อรา และยังสามารถทำลายแบคทีเรียดีบนผิวหนัง ทำให้เชื้อราเจริญเติบโตได้ดียิ่งขึ้น
- ผลิตภัณฑ์ที่มีน้ำมัน (Oil-based products): ควรหลีกเลี่ยงผลิตภัณฑ์บำรุงผิว ครีมกันแดด หรือเครื่องสำอางที่มีน้ำมันเป็นส่วนประกอบหลัก และเลือกใช้ผลิตภัณฑ์ที่เป็นเนื้อเจลหรือโลชั่นที่ระบุว่า “oil-free”
- ส่วนผสมอื่นๆ: ควรหลีกเลี่ยงผลิตภัณฑ์ที่มีส่วนผสมของเอสเทอร์ (esters) เช่น glyceryl stearate, isopropyl myristate และสารสกัดจากการหมัก (ferment extracts) เพราะเป็นอาหารของเชื้อรา Malassezia
พฤติกรรมที่ทำให้อาการสิวผดแย่ลงโดยไม่รู้ตัว
พฤติกรรมที่อาจทำให้อาการสิวผดแย่ลงโดยไม่รู้ตัว ได้แก่ การใช้ยาปฏิชีวนะ การทาสเตียรอยด์ และการใช้ผลิตภัณฑ์บำรุงผิวที่มีส่วนผสมของน้ำมัน พฤติกรรมเหล่านี้จะสร้างสภาวะที่เอื้อให้เชื้อยีสต์เจริญเติบโตได้ดีขึ้นและทำให้อาการรุนแรงกว่าเดิม
พฤติกรรมอื่นๆ ที่ควรหลีกเลี่ยงมีดังนี้:
- การใช้ยาปฏิชีวนะ: ยาปฏิชีวนะทั้งชนิดกินและทาจะไปทำลายแบคทีเรียประจำถิ่นบนผิวหนัง ทำให้เชื้อยีสต์ *Malassezia* ซึ่งเป็นสาเหตุของสิวผดเจริญเติบโตได้ดียิ่งขึ้น
- การใช้สเตียรอยด์ชนิดทา: แม้สเตียรอยด์จะช่วยลดการอักเสบได้ชั่วคราว แต่จะทำให้อาการแย่ลงในระยะยาว และอาจทำให้เกิดผลข้างเคียง เช่น ผิวบาง
- การใช้ผลิตภัณฑ์ที่ไม่เหมาะสม: ผลิตภัณฑ์บำรุงผิว ครีมกันแดด หรือเครื่องสำอางที่มีส่วนผสมของน้ำมัน เอสเทอร์ หรือสารหมักบางชนิด สามารถเป็นอาหารให้เชื้อยีสต์เจริญเติบโตได้
- การปล่อยให้ผิวอับชื้น: การไม่รีบเปลี่ยนเสื้อผ้าที่เปียกเหงื่อ จะสร้างสภาวะที่ร้อนและชื้น ซึ่งเหมาะกับการเจริญเติบโตของเชื้อยีสต์
- การแกะหรือเกา: การแกะหรือเกาผดที่คันอาจทำให้การอักเสบแย่ลงและทิ้งรอยดำไว้ได้
คำถามที่พบบ่อยเกี่ยวกับการรักษาสิวผด
ทำอย่างไรให้สิวผดหายเร็วที่สุด
วิธีที่เร็วที่สุดในการรักษาสิวผดคือการใช้ยารับประทานต้านเชื้อราร่วมกับยาทาภายนอกภายใต้การดูแลของแพทย์ ยารับประทาน เช่น ไอทราโคนาโซล (itraconazole) หรือ ฟลูโคนาโซล (fluconazole) สามารถช่วยให้สิวผดยุบลงได้อย่างรวดเร็ว การใช้ร่วมกับยาทาภายนอก เช่น แชมพูหรือครีมคีโตโคนาโซล (ketoconazole) จะช่วยเพิ่มประสิทธิภาพการรักษาให้ดียิ่งขึ้น โดยผู้ป่วยมักจะสังเกตเห็นการเปลี่ยนแปลงที่ดีขึ้นภายใน 7-14 วัน
สิวผดหายเองได้ไหม และใช้เวลากี่วัน
สิวผดมักไม่หายเอง และอาจคงอยู่นานหลายปีหากไม่ได้รับการรักษา แต่จะเริ่มดีขึ้นใน 7-14 วันเมื่อได้รับการรักษาที่เหมาะสม
ในกรณีที่ไม่รุนแรงและมีปัจจัยกระตุ้นที่ชัดเจน เช่น การใช้ยาปฏิชีวนะ สิวอาจดีขึ้นเองได้ภายใน 2-3 เดือนหลังจากหยุดปัจจัยนั้น อย่างไรก็ตาม ส่วนใหญ่จำเป็นต้องใช้การรักษาด้วยยาต้านเชื้อรา ซึ่งโดยทั่วไปจะเห็นการเปลี่ยนแปลงที่ชัดเจนใน 7-14 วัน และสิวจะหายสนิทภายใน 4-8 สัปดาห์
เป็นสิวผดห้ามใช้อะไร หรือทำอะไรบ้าง
หากเป็นสิวผด ควรหลีกเลี่ยงการใช้ผลิตภัณฑ์ที่มีน้ำมันเป็นส่วนประกอบ ยาปฏิชีวนะ และสเตียรอยด์ชนิดทา เพราะสิ่งเหล่านี้สามารถกระตุ้นให้อาการแย่ลงได้
ข้อควรปฏิบัติและสิ่งที่ควรหลีกเลี่ยงเพิ่มเติม ได้แก่:
- ผลิตภัณฑ์บำรุงผิว: หลีกเลี่ยงสกินแคร์ เครื่องสำอาง และครีมกันแดดที่มีน้ำมัน (oil-based) หรือส่วนผสมบางชนิด เช่น เอสเทอร์ (esters) และสารสกัดจากการหมัก (ferment extracts)
- ยา: ไม่ควรใช้ยาปฏิชีวนะ (antibiotics) ทั้งชนิดกินและทาเพื่อรักษาสิวผด เพราะจะไปทำลายแบคทีเรียดีบนผิว ทำให้เชื้อรายิ่งเจริญเติบโต รวมถึงควรเลี่ยงยาสเตียรอยด์ชนิดทาซึ่งจะทำให้อาการแย่ลงในระยะยาว
- พฤติกรรม: ห้ามแกะ เกา หรือสครับบริเวณที่เป็นสิว เพราะอาจทำให้อักเสบมากขึ้น
- การแต่งกาย: หลีกเลี่ยงการใส่เสื้อผ้าที่รัดแน่น อับชื้น และควรรีบอาบน้ำเปลี่ยนเสื้อผ้าทันทีหลังเหงื่อออก
สิวผดกับสิวอุดตันแตกต่างกันอย่างไร
ความแตกต่างที่สำคัญคือ สิวผดไม่มีหัวสิวอุดตัน (comedones) ในขณะที่สิวอุดตันคือการมีหัวสิวสีดำหรือสีขาวโดยตรง
สิวผด หรือ Malassezia folliculitis เกิดจากการเจริญเติบโตของเชื้อรามากเกินไปในรูขุมขน ทำให้เกิดตุ่มหนองที่มีอาการคัน แต่จะไม่มีสิวหัวดำหรือสิวหัวขาว ในทางตรงกันข้าม สิวอุดตันเป็นส่วนหนึ่งของสิวทั่วไป (acne vulgaris) ซึ่งมักจะไม่มีอาการคัน
สิวผดสามารถกดหรือบีบออกได้หรือไม่
ไม่ควรบีบหรือกดสิวผด เนื่องจากสิวชนิดนี้ไม่มีหัวสิว (comedonal core) เหมือนสิวทั่วไปให้กดออก แต่เป็นตุ่มอักเสบที่เกิดจากเชื้อยีสต์ในรูขุมขน
การพยายามบีบหรือแกะเกาอาจทำให้อาการอักเสบแย่ลง ทำให้เชื้อยีสต์แพร่กระจาย และทิ้งรอยดำไว้ได้ แพทย์ผิวหนังจะไม่ทำการกดสิวชนิดนี้ แต่จะมุ่งเน้นไปที่การรักษาเพื่อกำจัดเชื้อยีสต์แทน
ทำไมรักษาสิวผดแล้วยังไม่หายขาดสักที
สิวผดมักไม่หายขาดเนื่องจากเชื้อรามาลาสซีเซีย (Malassezia) ที่เป็นสาเหตุนั้นเป็นเชื้อราที่อาศัยอยู่บนผิวหนังตามปกติ ดังนั้น สิวจึงสามารถกลับมาเป็นซ้ำได้จากหลายปัจจัย
สาเหตุหลักที่ทำให้สิวผดกลับมาเป็นซ้ำ ได้แก่:
- เชื้อราเป็นส่วนหนึ่งของผิวปกติ: เชื้อรามาลาสซีเซียอาศัยอยู่บนผิวหนังของคนส่วนใหญ่อยู่แล้ว เมื่อมีปัจจัยกระตุ้น เช่น ความร้อน ความชื้น หรือเหงื่อออกมาก เชื้อราก็จะเจริญเติบโตมากผิดปกติและทำให้เกิดสิวผดขึ้นมาใหม่
- การใช้ยาไม่ถูกต้อง: การใช้ยาไม่สม่ำเสมอ หยุดยาเร็วเกินไป หรือใช้ผลิตภัณฑ์ไม่ถูกวิธี (เช่น ทายาทิ้งไว้บนผิวไม่นานพอ) ทำให้กำจัดเชื้อราได้ไม่หมด
- ปัจจัยกระตุ้นยังคงอยู่: หากยังคงมีพฤติกรรมหรืออยู่ในสภาพแวดล้อมที่เอื้อต่อการเติบโตของเชื้อรา เช่น อาศัยในที่อากาศร้อนชื้น หรือใส่เสื้อผ้าอับเหงื่อเป็นประจำ สิวก็สามารถกลับมาได้
- เชื้อราสร้างไบโอฟิล์ม (Biofilm): ในบางกรณี เชื้อราสามารถสร้างชั้นป้องกันตัวเองที่เรียกว่าไบโอฟิล์ม ทำให้ยาต้านเชื้อราเข้าถึงและกำจัดเชื้อได้ยากขึ้น
References:
- Cleveland Clinic. (n.d.). Fungal acne and skin conditions information. Cleveland Clinic. clevelandclinic.org
- DermNet NZ. (n.d.). Dermatological conditions and treatment guidelines. DermNet NZ. dermnetnz.org
- Medscape. (n.d.). Medical information on dermatology and skin conditions. Medscape. medscape.com
- MDPI. (n.d.). Research publications on dermatology and fungal infections. MDPI. mdpi.com
- Springer. (n.d.). Scientific research on dermatological conditions. Springer. springer.com
- Very Well Health. (n.d.). Health information on skin conditions and treatments. Very Well Health. verywellhealth.com
- MDEdge. (n.d.). Medical news and dermatology research. MDEdge. mdedge.com
- Clinikally. (n.d.). Dermatological treatment and skincare information. Clinikally. clinikally.com
