สิวขึ้นตามตัวเกิดจากอะไร? แก้ยังไงให้ยุบไว ลดโอกาสกลับมาเป็นซ้ำ
สิวตามตัวคืออะไร?
สิวตามตัวคือสิวที่เกิดขึ้นบริเวณอื่นของร่างกายนอกเหนือจากใบหน้า โดยมักจะพัฒนาในบริเวณผิวหนังที่มีต่อมไขมันจำนวนมาก เช่น หลัง หน้าอก และหัวไหล่ ซึ่งมีแนวโน้มที่จะเกิดการอุดตันได้ง่ายเหมือนกับผิวหน้า
สาเหตุหลักที่ทำให้เกิดสิวขึ้นตามลำตัว
การอุดตันของรูขุมขนและน้ำมันส่วนเกิน
การอุดตันของรูขุมขนและน้ำมันส่วนเกินเป็นสาเหตุหลักของการเกิดสิวตามร่างกาย โดยเฉพาะบริเวณหลัง หน้าอก และไหล่ซึ่งมีต่อมไขมันจำนวนมาก เมื่อต่อมไขมันผลิตน้ำมันออกมามากเกินไปร่วมกับเซลล์ผิวที่ตายแล้ว จะทำให้รูขุมขนอุดตันกลายเป็นสิวอุดตัน (comedones) ซึ่งเป็นสภาวะที่เอื้อต่อการเจริญเติบโตของแบคทีเรียและการอักเสบตามมา
ฮอร์โมนที่เปลี่ยนแปลงในแต่ละช่วงวัย
การเปลี่ยนแปลงของฮอร์โมนในช่วงวัยรุ่น การตั้งครรภ์ หรือช่วงมีประจำเดือน สามารถกระตุ้นให้เกิดสิวที่ลำตัวได้ โดยเฉพาะฮอร์โมนเทสโทสเตอโรนที่เพิ่มสูงขึ้น ซึ่งจะไปกระตุ้นการผลิตน้ำมันบนผิวหนังให้มากขึ้นจนเป็นสาเหตุของการเกิดสิว
ปัจจัยภายนอก: เสื้อผ้า เหงื่อ และผลิตภัณฑ์ที่ใช้
เหงื่อ การเสียดสีจากเสื้อผ้า และผลิตภัณฑ์ที่ใช้เป็นปัจจัยภายนอกที่ทำให้สิวที่ลำตัวแย่ลงได้ โดยปัจจัยเหล่านี้กระตุ้นให้เกิดการอุดตันของรูขุมขนและการระคายเคือง
- เหงื่อ: การปล่อยให้เหงื่อหมักหมมบนผิวหนัง โดยเฉพาะหลังการออกกำลังกาย จะทำให้รูขุมขนอุดตันและเกิดการระคายเคือง
- เสื้อผ้า: เสื้อผ้าที่รัดแน่นหรือทำจากผ้าที่ไม่ระบายอากาศจะกักเก็บความชื้นและเกิดการเสียดสีกับผิวหนัง ทำให้รูขุมขนอักเสบและเกิดสิวได้ง่ายขึ้น
- ผลิตภัณฑ์: ผลิตภัณฑ์สำหรับเส้นผมที่มีส่วนผสมของน้ำมันสามารถไหลลงมาสัมผัสผิวบริเวณหลังและไหล่ ทำให้เกิดการอุดตันของรูขุมขนได้
การเสียดสีและการระคายเคืองผิวหนังซ้ำๆ
การเสียดสีและการระคายเคืองผิวหนังซ้ำๆ เป็นปัจจัยที่กระตุ้นให้เกิดสิวที่ลำตัวได้ โดยการเสียดสีจากเสื้อผ้าที่รัดแน่น, อุปกรณ์กีฬา, หรือแม้แต่พนักเก้าอี้ สามารถทำลายรูขุมขนและทำให้เกิดสิวได้ โดยเฉพาะเมื่อรวมกับเหงื่อและความอับชื้น
ปัจจัยอื่นๆ เช่น พันธุกรรมและความเครียด
พันธุกรรมและความเครียดเป็นปัจจัยร่วมที่ทำให้เกิดสิวที่ลำตัวได้ โดยพันธุกรรมอาจมีอิทธิพลต่อระดับฮอร์โมน ความมันของผิว และการตอบสนองของภูมิคุ้มกัน ในขณะที่ความเครียดไม่ได้เป็นสาเหตุโดยตรง แต่ระดับความเครียดที่สูงสามารถกระตุ้นให้สิวเห่อขึ้นได้จากการเพิ่มการอักเสบและการผลิตน้ำมันในผิวหนัง
ลักษณะตุ่มและสิวที่พบบ่อยตามลำตัว
สิวอุดตันและสิวอักเสบ (Acne Vulgaris)
สิวอุดตันและสิวอักเสบ (Acne Vulgaris) คือภาวะที่รูขุมขนอุดตันจากการผลิตน้ำมันที่มากเกินไปร่วมกับการผลัดเซลล์ผิวที่ผิดปกติ การอุดตันนี้ทำให้เกิดสิวหัวดำและสิวหัวขาว (comedones) ซึ่งเป็นลักษณะเด่นที่ใช้ในการวินิจฉัย และอาจนำไปสู่การเจริญเติบโตของเชื้อแบคทีเรียและการอักเสบตามมาได้ สิวประเภทนี้มักเกิดขึ้นในบริเวณที่มีต่อมไขมันจำนวนมาก เช่น ใบหน้า หลัง หน้าอก และไหล่
รูขุมขนอักเสบ (Folliculitis)
รูขุมขนอักเสบ (Folliculitis) คือการติดเชื้อที่รูขุมขน ซึ่งเกิดได้จากเชื้อแบคทีเรียหรือเชื้อรา ทำให้เกิดเป็นตุ่มหนองแดงๆ ที่มีอาการเจ็บหรือคัน
ลักษณะสำคัญที่ใช้แยกจากสิวทั่วไปคือ รูขุมขนอักเสบมักจะไม่มีสิวอุดตัน (comedones) หรือสิวหัวดำ/หัวขาวร่วมด้วย ปัจจัยกระตุ้นที่พบบ่อย ได้แก่ การโกนขน แว็กซ์ขน การใส่เสื้อผ้าที่รัดแน่นและอับชื้น หรือการติดเชื้อจากอ่างน้ำร้อนที่ไม่สะอาด
สิวเชื้อราหรือสิวยีสต์ (Malassezia Folliculitis)
สิวเชื้อราหรือสิวยีสต์ (Malassezia Folliculitis) คือ ภาวะรูขุมขนอักเสบที่เกิดจากการเจริญเติบโตของเชื้อรายีสต์ Malassezia มากผิดปกติ ซึ่งมักถูกเข้าใจผิดว่าเป็นสิวทั่วไป สิวชนิดนี้มีลักษณะเป็นตุ่มแดงหรือตุ่มหนองเล็กๆ ขนาดเท่าๆ กัน มักขึ้นเป็นกลุ่ม และมีอาการคันเป็นลักษณะเด่น ซึ่งแตกต่างจากสิวทั่วไปที่จะไม่มีอาการคันและมีสิวอุดตัน (สิวหัวดำ/สิวหัวขาว) ร่วมด้วย โดยสิวเชื้อมักพบบริเวณหน้าอก หลังส่วนบน ไหล่ และตามแนวไรผม การรักษาต้องใช้ยาต้านเชื้อรา ไม่ใช่ยารักษาสิวทั่วไป
วิธีดูแลและจัดการสิวตามตัวเพื่อลดการอักเสบ
การดูแลและจัดการสิวตามตัวสามารถทำได้โดยการรักษาความสะอาดอย่างสม่ำเสมอ เลือกเสื้อผ้าที่เหมาะสม และใช้ผลิตภัณฑ์รักษาสิวที่หาซื้อได้เอง เพื่อลดการอักเสบและป้องกันการเกิดสิวใหม่ ควรปฏิบัติตามคำแนะนำต่อไปนี้
- การทำความสะอาด: อาบน้ำทันทีหลังออกกำลังกายเพื่อชำระล้างเหงื่อและแบคทีเรีย ใช้ผลิตภัณฑ์ทำความสะอาดที่มีส่วนผสมของเบนโซอิลเพอร์ออกไซด์ (Benzoyl Peroxide) หรือกรดซาลิไซลิก (Salicylic Acid) และหลีกเลี่ยงการขัดถูผิวแรงๆ
- การเลือกเสื้อผ้า: สวมใส่เสื้อผ้าที่หลวมและระบายอากาศได้ดี เช่น ผ้าฝ้าย และเปลี่ยนเสื้อผ้าที่เปียกเหงื่อทันที นอกจากนี้ควรซักผ้าปูที่นอนและผ้าเช็ดตัวเป็นประจำ
- การใช้ผลิตภัณฑ์รักษาสิว: ใช้ผลิตภัณฑ์ที่หาซื้อได้เอง (OTC) เช่น เบนโซอิลเพอร์ออกไซด์ (BPO) ซึ่งช่วยฆ่าเชื้อแบคทีเรีย, กรดซาลิไซลิกที่ช่วยผลัดเซลล์ผิวและลดการอุดตัน หรือ Adapalene gel ซึ่งเป็นเรตินอยด์ที่ช่วยป้องกันการเกิดสิวใหม่
- การปรับเปลี่ยนพฤติกรรม: หลีกเลี่ยงการบีบหรือแกะสิวเพราะอาจทำให้เกิดการอักเสบและรอยแผลเป็นได้ การจัดการความเครียดและการรับประทานอาหารที่มีน้ำตาลน้อยอาจช่วยลดการเกิดสิวในบางคนได้
การดูแลความสะอาดและเลือกใช้ผลิตภัณฑ์ที่เหมาะสม
การดูแลความสะอาดที่สำคัญที่สุดคือการอาบน้ำทันทีหลังเหงื่อออกโดยใช้ผลิตภัณฑ์ทำความสะอาดที่อ่อนโยนและมีส่วนผสมของยา เช่น เบนโซอิลเปอร์ออกไซด์ (BPO) หรือกรดซาลิไซลิก เพื่อช่วยผลัดเซลล์ผิวและลดการอุดตันในรูขุมขน
นอกจากนี้ ควรปฏิบัติตามคำแนะนำต่อไปนี้เพื่อผลลัพธ์ที่ดีที่สุด:
- ทำความสะอาดอย่างอ่อนโยน: อาบน้ำด้วยน้ำอุ่นและหลีกเลี่ยงการขัดถูผิวแรงๆ เพราะอาจทำให้สิวอักเสบมากขึ้น
- เปลี่ยนเสื้อผ้าทันที: เปลี่ยนเสื้อผ้าที่ชุ่มเหงื่อโดยเร็วที่สุด และซักเสื้อผ้าก่อนนำกลับมาใส่ใหม่
- รักษาความสะอาดของเครื่องนอน: ซักผ้าปูที่นอนและผ้าเช็ดตัวเป็นประจำ (เช่น ทุกสัปดาห์) เพื่อกำจัดน้ำมันและแบคทีเรียที่สะสม
- เลือกเสื้อผ้าที่เหมาะสม: สวมใส่เสื้อผ้าที่หลวมและระบายอากาศได้ดี เช่น ผ้าฝ้าย เพื่อลดการเสียดสีและความอับชื้น
- ให้ความชุ่มชื้น: ใช้โลชั่นที่ระบุว่า “ไม่อุดตันรูขุมขน” (non-comedogenic) เพื่อป้องกันผิวแห้งจากการใช้ยารักษาสิว
การปรับพฤติกรรมการใช้ชีวิตเพื่อลดปัจจัยกระตุ้น
การปรับพฤติกรรมการใช้ชีวิตเพื่อลดปัจจัยกระตุ้นสิวที่ลำตัว คือการรักษาความสะอาดของร่างกายและเสื้อผ้า การเลือกสวมใส่เสื้อผ้าที่ระบายอากาศได้ดี และการหลีกเลี่ยงการระคายเคืองผิว
พฤติกรรมที่แนะนำเพื่อช่วยลดสิวที่ลำตัวมีดังนี้
- อาบน้ำทันทีหลังออกกำลังกาย เพื่อชำระล้างเหงื่อและแบคทีเรียที่อาจอุดตันรูขุมขน
- สวมเสื้อผ้าที่สะอาดและระบายอากาศได้ดี ควรเลือกผ้าที่ระบายเหงื่อได้ดี เช่น ผ้าฝ้าย และเปลี่ยนเสื้อผ้าที่เปียกชื้นทันที
- ซักผ้าปูที่นอนและผ้าเช็ดตัวเป็นประจำ อย่างน้อยสัปดาห์ละครั้งเพื่อกำจัดน้ำมันและแบคทีเรียที่สะสมอยู่
- หลีกเลี่ยงการขัดถูผิวรุนแรง การสครับผิวแรงๆ อาจทำให้เกิดการอักเสบและสิวแย่ลง ควรทำความสะอาดอย่างอ่อนโยน
- ไม่บีบหรือแกะสิว เพราะอาจทำให้เชื้อโรคแพร่กระจายลึกลงไปในผิวหนังและทิ้งรอยแผลเป็นไว้
- จัดการความเครียด เนื่องจากความเครียดสามารถกระตุ้นการผลิตน้ำมันและการอักเสบของผิวได้
การรักษาโดยแพทย์: ยาทาและหัตถการทางการแพทย์
การรักษาโดยแพทย์สำหรับสิวที่ลำตัวมีทั้งยาทาตามใบสั่งแพทย์และหัตถการต่างๆ เพื่อจัดการกับสิวที่มีความรุนแรงปานกลางถึงรุนแรง
ยาทาตามใบสั่งแพทย์ (Prescription Topicals)
- Topical Retinoids: เช่น ครีม Trifarotene ซึ่งเป็นเรตินอยด์ที่ได้รับการรับรองสำหรับใช้กับสิวบริเวณลำตัวโดยเฉพาะ ช่วยลดการอุดตันของรูขุมขน
- Topical Antibiotics: เช่น Clindamycin มักใช้ร่วมกับ Benzoyl Peroxide (BPO) เพื่อลดเชื้อแบคทีเรียและป้องกันการดื้อยา
หัตถการทางการแพทย์ (Medical Procedures)
- การบำบัดด้วยแสงและเลเซอร์ (Light and Laser Therapies): การใช้แสง LED สีฟ้าหรือสีแดงเพื่อฆ่าเชื้อแบคทีเรียและลดการอักเสบ
- การลอกผิวด้วยสารเคมี (Chemical Peels): ช่วยผลัดเซลล์ผิวชั้นบน ลดการอุดตัน และทำให้รอยดำจางลง
- Microneedling: มักใช้เพื่อรักษาหลุมสิวหรือรอยแผลเป็นหลังจากสิวหายแล้ว มากกว่าการรักษาสิวที่ยังอักเสบอยู่
ข้อควรพิจารณาก่อนเลือกวิธีรักษาสิวตามตัว
ประเมินความรุนแรงและลักษณะของสิวที่เป็น
การประเมินความรุนแรงของสิวจะพิจารณาจากจำนวน ลักษณะของสิว และการเกิดรอยแผลเป็น โดยทั่วไปสามารถแบ่งได้ดังนี้
- สิวระดับไม่รุนแรง: มีสิวเพียงไม่กี่เม็ดในบริเวณเล็กๆ
- สิวระดับปานกลางถึงรุนแรง: มีสิวขึ้นเป็นบริเวณกว้าง เช่น เต็มแผ่นหลัง มีสิวอักเสบจำนวนมาก หรือมีสิวซีสต์ที่เป็นก้อนลึกใต้ผิวหนัง
- สัญญาณที่บ่งชี้ว่ารุนแรง: หากสิวมีอาการเจ็บ ทิ้งรอยดำ หรือเริ่มทำให้เกิดแผลเป็น ถือเป็นสิวที่มีความรุนแรงและควรปรึกษาแพทย์เพื่อป้องกันความเสียหายถาวรต่อผิวหนัง
การตอบสนองต่อการดูแลด้วยตนเองเบื้องต้น
หากสิวไม่ดีขึ้นหรือแย่ลงหลังจากดูแลด้วยตนเองประมาณ 6 สัปดาห์ ควรไปพบแพทย์เพื่อรับการประเมิน
หากคุณใช้ผลิตภัณฑ์ที่หาซื้อได้เอง เช่น เบนโซอิลเพอร์ออกไซด์ (benzoyl peroxide) หรือกรดซาลิไซลิก (salicylic acid) อย่างสม่ำเสมอ ควบคู่ไปกับการรักษาความสะอาดและหลีกเลี่ยงปัจจัยกระตุ้นแล้วไม่เห็นผล การไม่ตอบสนองต่อการรักษาเป็นสัญญาณสำคัญว่าอาจจำเป็นต้องได้รับการรักษาทางการแพทย์ที่เหมาะสมยิ่งขึ้น
ผลข้างเคียงและความคาดหวังจากการรักษาแต่ละวิธี
ผลข้างเคียงจากการรักษาสิวที่ลำตัวมีตั้งแต่การระคายเคืองผิวหนังเล็กน้อยจากยาทาไปจนถึงผลกระทบต่อระบบร่างกายจากยารับประทาน โดยทั่วไปต้องใช้เวลา 6-8 สัปดาห์จึงจะเห็นผลการรักษาที่ชัดเจน
ผลข้างเคียงและความคาดหวังจากการรักษาแต่ละวิธี มีดังนี้
- ยาทาเฉพาะที่ (Topical Medications):
- Benzoyl Peroxide (BPO): อาจทำให้เกิดการระคายเคืองและสามารถฟอกสีเสื้อผ้าหรือผ้าเช็ดตัวได้
- กลุ่ม Retinoids (เช่น Adapalene): อาจทำให้ผิวแห้ง ลอก หรือแดงในช่วงแรกของการใช้
- ยารับประทาน (Oral Medications):
- ยาปฏิชีวนะ (Antibiotics): อาจทำให้ปวดท้อง ติดเชื้อรา หรือผิวไวต่อแสง
- Spironolactone: ใช้ได้เฉพาะในผู้หญิง และห้ามใช้ในสตรีมีครรภ์
- Isotretinoin: มีผลข้างเคียงหลายอย่าง เช่น ผิวแห้ง ปากแห้ง และอาจส่งผลต่อค่าเอนไซม์ตับ จึงต้องอยู่ภายใต้การดูแลของแพทย์อย่างใกล้ชิด และห้ามใช้ในสตรีมีครรภ์โดยเด็ดขาด
โดยทั่วไป สิวที่ลำตัวอาจตอบสนองต่อการรักษาช้ากว่าสิวบนใบหน้า และอาจใช้เวลา 2-3 เดือนจึงจะเห็นการเปลี่ยนแปลงที่ชัดเจนเมื่อใช้ยาตามใบสั่งแพทย์
ข้อผิดพลาดที่ควรเลี่ยงซึ่งอาจทำให้สิวตามตัวแย่ลง
ข้อผิดพลาดที่ควรเลี่ยงซึ่งอาจทำให้สิวตามตัวแย่ลง ได้แก่ การขัดผิวรุนแรงเกินไป การบีบแกะสิว การใช้ผลิตภัณฑ์ที่ก่อให้เกิดการอุดตัน และการสวมใส่เสื้อผ้าที่ชุ่มเหงื่อเป็นเวลานาน
พฤติกรรมเหล่านี้สามารถกระตุ้นให้สิวอักเสบและลุกลามได้มากขึ้น
- การขัดผิวรุนแรงเกินไป: การใช้สครับที่หยาบหรือแปรงขัดผิวอย่างรุนแรงอาจทำให้ผิวระคายเคือง อักเสบ และทำให้อาการสิวแย่ลง
- การบีบหรือแกะสิว: การกระทำดังกล่าวอาจผลักเชื้อแบคทีเรียให้ลึกลงไปในผิวหนัง ทำให้เกิดการติดเชื้อที่รุนแรงขึ้น และเสี่ยงต่อการเกิดรอยแผลเป็นหรือรอยดำ
- การใช้ผลิตภัณฑ์ที่ไม่เหมาะสม: ผลิตภัณฑ์สำหรับเส้นผม เช่น ครีมนวดหรือน้ำมัน สามารถทิ้งสารตกค้างที่อุดตันรูขุมขนบริเวณแผ่นหลังได้
- การอยู่ในเสื้อผ้าที่ชุ่มเหงื่อ: การไม่รีบอาบน้ำหรือเปลี่ยนเสื้อผ้าหลังออกกำลังกาย ทำให้เหงื่อและความชื้นหมักหมม ซึ่งเป็นสภาวะที่เหมาะแก่การเจริญเติบโตของแบคทีเรียและทำให้รูขุมขนอุดตัน
- การละเลยสุขอนามัยของเครื่องนอน: การไม่ซักผ้าปูที่นอนและผ้าเช็ดตัวเป็นประจำ ทำให้เกิดการสะสมของน้ำมันและแบคทีเรีย ซึ่งสามารถสัมผัสกับผิวและทำให้เกิดสิวได้
สัญญาณเตือน: เมื่อไหร่ที่สิวตามตัวควรปรึกษาแพทย์ผิวหนัง
ควรปรึกษาแพทย์ผิวหนังเมื่อสิวตามตัวมีความรุนแรง ทำให้เกิดแผลเป็น ไม่ตอบสนองต่อการรักษาด้วยตนเอง มีลักษณะผิดปกติ หรือส่งผลกระทบทางจิตใจอย่างรุนแรง การไปพบแพทย์ตั้งแต่เนิ่นๆ จะช่วยป้องกันความเสียหายของผิวในระยะยาวและทำให้ได้รับการรักษาที่เหมาะสมรวดเร็วยิ่งขึ้น
สัญญาณเตือนที่บ่งชี้ว่าควรไปพบแพทย์ ได้แก่:
- สิวมีความรุนแรง: มีสิวอักเสบ สิวหัวหนอง หรือสิวซีสต์จำนวนมาก หรือมีอาการเจ็บปวด
- เริ่มเกิดแผลเป็น: สิวเริ่มทิ้งรอยแผลเป็น เช่น รอยหลุม หรือแผลเป็นนูน (คีลอยด์)
- การรักษาด้วยตนเองไม่ได้ผล: ลองใช้ผลิตภัณฑ์รักษาสิวที่หาซื้อได้เองแล้ว แต่อาการไม่ดีขึ้นภายใน 6-8 สัปดาห์
- ไม่แน่ใจว่าเป็นสิว: ตุ่มที่ขึ้นอาจเป็นภาวะอื่น เช่น รูขุมขนอักเสบจากการติดเชื้อแบคทีเรียหรือเชื้อรา ซึ่งต้องการการรักษาที่แตกต่างออกไป
- ส่งผลกระทบต่อจิตใจ: สิวทำให้เกิดความเครียด วิตกกังวล หรือขาดความมั่นใจจนกระทบการใช้ชีวิตประจำวัน
คำถามที่พบบ่อยเกี่ยวกับสิวขึ้นตามตัว
สิวตามตัวเกิดจากเหงื่อและความร้อนจริงไหม?
จริง เหงื่อและความร้อนเป็นปัจจัยกระตุ้นที่ทำให้สิวตามตัวแย่ลงได้ เนื่องจากเหงื่อที่หมักหมมอยู่บนผิวหนังสามารถผสมกับน้ำมันและแบคทีเรียจนเกิดการอุดตันในรูขุมขน ส่วนความร้อนและความชื้นจะสร้างสภาวะที่เหมาะกับการเจริญเติบโตของแบคทีเรียและเชื้อรา อีกทั้งยังเพิ่มการอักเสบของสิวที่มีอยู่แล้วให้รุนแรงขึ้น
สิวที่หลังกับที่หน้าอกเกิดจากสาเหตุเดียวกันหรือไม่?
โดยส่วนใหญ่แล้ว สิวที่หลังและหน้าอกเกิดจากสาเหตุเดียวกันกับสิวบนใบหน้า กล่าวคือเกิดจากปัจจัยหลัก 4 อย่างเหมือนกัน ได้แก่ การผลิตน้ำมันที่มากเกินไป การอุดตันของรูขุมขน แบคทีเรีย และการอักเสบ
อย่างไรก็ตาม สิวที่ลำตัวอาจมีปัจจัยภายนอกกระตุ้นได้ง่ายกว่า เช่น การเสียดสีจากเสื้อผ้า และการอับชื้นจากเหงื่อ ซึ่งมีบทบาทสำคัญในการเกิดสิวบริเวณนี้มากกว่าสิวบนใบหน้า
ควรบีบสิวที่มีหนองตามลำตัวหรือไม่?
ไม่ควรบีบสิวที่มีหนองตามลำตัว เนื่องจากการบีบหรือเค้นสิวอาจทำให้เกิดการติดเชื้อที่ลึกลงไปในผิวหนัง และอาจทิ้งรอยดำหรือแผลเป็นไว้ได้
วิธีที่ปลอดภัยกว่าคือการใช้ผ้าชุบน้ำอุ่นประคบเพื่อช่วยให้หนองระบายออกเอง หรือใช้ยาแต้มสิวเฉพาะที่ หากสิวมีขนาดใหญ่หรือเจ็บปวดมาก ควรปรึกษาแพทย์ผิวหนังเพื่อทำการรักษาอย่างถูกวิธี
สิวตามตัวแบบไหนที่บ่งชี้ว่าควรไปพบแพทย์?
สิวตามตัวที่ควรไปพบแพทย์คือสิวที่มีอาการรุนแรง, ทำให้เกิดแผลเป็น, ไม่ตอบสนองต่อการรักษาด้วยตนเอง, หรือส่งผลกระทบทางจิตใจอย่างมีนัยสำคัญ
คุณควรปรึกษาแพทย์ผิวหนังหากสิวตามร่างกายของคุณมีลักษณะดังต่อไปนี้:
- เป็นสิวระดับปานกลางถึงรุนแรง เช่น มีสิวอักเสบ สิวหัวหนอง หรือสิวซีสต์จำนวนมาก และครอบคลุมพื้นที่บริเวณกว้าง
- ทำให้เกิดแผลเป็น ไม่ว่าจะเป็นรอยหลุมหรือแผลเป็นนูน (คีลอยด์)
- รักษาด้วยตัวเองแล้วไม่ดีขึ้น หลังจากใช้ผลิตภัณฑ์ที่หาซื้อได้เอง เช่น เบนโซอิลเพอร์ออกไซด์ (Benzoyl Peroxide) หรือกรดซาลิไซลิก (Salicylic Acid) เป็นเวลาประมาณ 6-8 สัปดาห์
- มีอาการเจ็บปวดมาก โดยเฉพาะสิวซีสต์ที่เป็นก้อนลึกใต้ผิวหนัง
- ไม่แน่ใจว่าใช่สิวหรือไม่ เพราะอาจเป็นภาวะอื่น เช่น รูขุมขนอักเสบจากการติดเชื้อราหรือแบคทีเรีย ซึ่งต้องการการรักษาที่แตกต่างกัน
- ส่งผลกระทบต่อสภาพจิตใจ เช่น ทำให้เกิดความเครียด วิตกกังวล หรือขาดความมั่นใจจนหลีกเลี่ยงการเข้าสังคม
การสครับผิวช่วยลดสิวตามลำตัวได้จริงไม่?
การสครับผิวอย่างรุนแรงไม่สามารถช่วยลดสิวตามลำตัวได้ และอาจทำให้อาการแย่ลง เนื่องจากการขัดถูที่รุนแรงเกินไปจะทำให้ผิวเกิดการระคายเคือง อักเสบมากขึ้น และอาจกระตุ้นให้ผิวผลิตน้ำมันออกมามากกว่าเดิม
วิธีที่แนะนำคือการผลัดเซลล์ผิวอย่างอ่อนโยน โดยใช้ผลิตภัณฑ์ทำความสะอาดที่มีส่วนผสมของกรดซาลิไซลิก (salicylic acid) หรือกรดไกลโคลิก (glycolic acid) ซึ่งจะช่วยทำความสะอาดรูขุมขนโดยไม่ทำร้ายผิว
เสื้อผ้าที่ใส่มีผลต่อการเกิดสิวตามตัวอย่างไร?
เสื้อผ้าที่รัดแน่นและไม่ระบายอากาศสามารถทำให้เกิดสิวตามตัวได้ โดยการเสียดสีกับผิวหนังและกักเก็บเหงื่อและความร้อนไว้ ซึ่งสร้างสภาวะที่เหมาะแก่การเจริญเติบโตของแบคทีเรียและทำให้รูขุมขนอุดตัน
- การเสียดสี: เสื้อผ้าที่รัดแน่นเกินไปจะเสียดสีกับผิวหนัง ทำให้รูขุมขนระคายเคืองและเสียหาย
- การกักเก็บเหงื่อ: เนื้อผ้าที่ไม่ระบายอากาศ เช่น โพลีเอสเตอร์ จะกักเหงื่อและความร้อนไว้บนผิวหนัง ทำให้เกิดความอับชื้น ซึ่งเป็นสภาวะที่แบคทีเรียและเชื้อรายีสต์เจริญเติบโตได้ดี
- เสื้อผ้าสกปรก: การใส่เสื้อผ้าซ้ำโดยไม่ซัก โดยเฉพาะเสื้อผ้าออกกำลังกายที่ชุ่มเหงื่อ จะทำให้สิ่งสกปรกและแบคทีเรียสัมผัสกับผิวหนังและทำให้อาการสิวแย่ลง
เพื่อป้องกันสิวตามตัว ควรเลือกสวมใส่เสื้อผ้าที่หลวมและระบายอากาศได้ดี เช่น ผ้าฝ้าย และควรเปลี่ยนเสื้อผ้าทันทีหลังออกกำลังกายหรือมีเหงื่อออกมาก
References:
- American Academy of Dermatology. (n.d.). Acne: Tips for managing. AAD. aad.org
- Cleveland Clinic. (n.d.). Acne: Types, Causes, Treatment & Prevention. Cleveland Clinic. clevelandclinic.org
- Mayo Clinic. (n.d.). Acne – Symptoms and causes. Mayo Clinic. mayoclinic.org
- National Institutes of Health. (n.d.). Acne. NIH – National Institute of Arthritis and Musculoskeletal and Skin Diseases. nih.gov
- Healthline. (n.d.). Everything You Want to Know About Acne. Healthline Media. healthline.com
- Medical News Today. (n.d.). What you need to know about acne. MNT. medicalnewstoday.com

