Skip to content

TEL : 081-841-5075, 02-258-4050

Facebook Instagram YouTube
Privato Clinic – Innovation Of Beauty  |  Bangkok
  • หน้าหลัก
  • เกี่ยวกับพรีวาโต
  • บริการทั้งหมดExpand
    • ชะลอวัย
    • ยกกระชับผิวExpand
      • XERF
      • Potenza
      • Sofwave
      • Ulthera
      • Thermage-FLX
    • รักษาสิว
    • เลเซอร์
    • โปรแกรมฉีด
    • บำรุงผิว
  • บทความExpand
    • สิว
    • ยกกระชับ
    • ดูแลผิว
    • ทำเลเซอร์
  • ผลิตภัณฑ์ดูแลผิว
  • โปรโมชั่น
  • ผลลัพธ์การรักษา
  • วิดีโอรีวิวจากเคสจริง
  • สาขาของเรา
  • ไทยExpand
    • ไทย
    • English
    • 中文 (中国)
  • ปรึกษาแพทย์
Privato Clinic – Innovation Of Beauty  |  Bangkok
Consult a Doctor
Acne

สิวที่หัว: สาเหตุ วิธีรักษา และการป้องกัน

Byadmin สิงหาคม 2, 2025
By นายแพทย์เลอพงษ์ กรุดเงิน Updated on สิงหาคม 2, 2025
✦ Medically reviewed by  แพทย์หญิงนัชชนก หุ่นวิจิตร

Table of Contents

Toggle
  • สิวที่หัวคืออะไร และแตกต่างจากตุ่มบนศีรษะทั่วไปอย่างไร?
    • ความแตกต่างระหว่างสิวที่หัวกับรูขุมขนอักเสบ
    • ตุ่มบนหัวแบบไหนที่ไม่ใช่สิว?
  • เจาะลึก 5 สาเหตุหลักที่ทำให้เกิดสิวที่หัว
    • 1. การอุดตันของรูขุมขนและน้ำมันส่วนเกิน
    • 2. การสะสมของเชื้อแบคทีเรียและเชื้อรา
    • 3. การแพ้ผลิตภัณฑ์ดูแลเส้นผม
    • 4. ฮอร์โมนและความเครียด
    • 5. พฤติกรรมการใช้ชีวิตและสุขอนามัย
  • สิวที่หัวมีกี่ประเภท และแต่ละแบบมีลักษณะอาการอย่างไร?
    • สิวอักเสบที่หัว: ตุ่มแดง เจ็บ และมีหนอง
    • สิวอุดตันที่หัว: สิวหัวขาวและสิวหัวดำ
  • สิวที่หัวเกี่ยวข้องกับภาวะหนังศีรษะอักเสบหรือไม่?
    • ความเชื่อมโยงระหว่างสิวที่หัวและอาการคัน
    • สิวที่หัวทำให้ผมร่วงได้จริงหรือ?
  • วิธีรักษาสิวที่หัวให้หายขาดทำได้อย่างไร?
    • การดูแลและรักษาด้วยตนเองที่บ้าน
    • การใช้ยาทาเฉพาะที่เพื่อรักษาสิวที่หัว
    • การรักษาโดยแพทย์เมื่ออาการรุนแรง
  • แนะนำแชมพูและผลิตภัณฑ์สำหรับคนเป็นสิวที่หัว
    • แชมพูที่มีส่วนผสมของ Salicylic Acid
    • แชมพูที่มีส่วนผสมของ Ketoconazole
    • ผลิตภัณฑ์ Tea Tree Oil สำหรับหนังศีรษะ
  • เราจะป้องกันไม่ให้เกิดสิวที่หัวซ้ำได้อย่างไร?
    • การปรับเปลี่ยนพฤติกรรมการสระผม
    • การเลือกใช้ผลิตภัณฑ์ที่เหมาะสมกับสภาพหนังศีรษะ
    • การควบคุมอาหารและลดความเครียด
  • Author

สิวที่หัวคืออะไร และแตกต่างจากตุ่มบนศีรษะทั่วไปอย่างไร?

สิวที่หัวบริเวณใกล้ตำแหน่งหู

สิวที่หัวคือ การเกิดสิวบนหนังศีรษะหรือตามแนวไรผมซึ่งมีสาเหตุมาจากการอุดตันของรูขุมขน เช่นเดียวกับสิวบนใบหน้า โดยเกิดจากการสะสมของน้ำมันส่วนเกิน เซลล์ผิวที่ตายแล้ว และแบคทีเรียในรูขุมขนจนเกิดการอักเสบ

สิวที่หัวแตกต่างจากตุ่มชนิดอื่นบนหนังศีรษะ ดังนี้

  • รูขุมขนอักเสบ (Folliculitis): มักเกิดจากการติดเชื้อแบคทีเรียหรือเชื้อรา ทำให้เกิดตุ่มหนองขนาดเล็กและมีอาการคัน แต่โดยทั่วไปจะไม่มีสิวอุดตัน (สิวหัวดำหรือสิวหัวขาว) เหมือนสิวจริง
  • ซีสต์ไขมันใต้ผิวหนัง (Pilar Cysts): เป็นก้อนนูนเรียบ แข็ง และไม่เจ็บซึ่งอยู่ใต้ผิวหนัง สามารถขยับได้เล็กน้อย เกิดจากการสะสมของเคราติน ไม่ใช่การอักเสบของสิว
  • โรคหูดข้าวสุก (Seborrheic Keratoses): เป็นตุ่มนูนคล้ายหูด มีสีน้ำตาลหรือดำ ผิวมีลักษณะคล้ายขี้ผึ้ง มักพบในผู้สูงอายุและไม่ใช่สิว

ความแตกต่างระหว่างสิวที่หัวกับรูขุมขนอักเสบ

สิวที่หนังศีรษะเกิดจากรูขุมขนอุดตัน ในขณะที่ รูขุมขนอักเสบ (Folliculitis) คือการติดเชื้อที่รูขุมขนโดยตรง

ข้อแตกต่างที่สำคัญคือ สิวที่หนังศีรษะเป็นกระบวนการอักเสบเรื้อรังที่เกิดจากการสะสมของไขมัน (sebum) และเซลล์ผิวที่ตายแล้วในรูขุมขน ซึ่งมักจะมีสิวอุดตัน (สิวหัวดำหรือสิวหัวขาว) ร่วมด้วย ส่วนรูขุมขนอักเสบมักเป็นการติดเชื้อเฉียบพลันจากแบคทีเรีย (เช่น Staphylococcus aureus) หรือเชื้อรา (เช่น Malassezia) ทำให้เกิดตุ่มหนองเล็กๆ ที่มีอาการคัน แต่จะไม่มีสิวอุดตัน

ตุ่มบนหัวแบบไหนที่ไม่ใช่สิว?

ตุ่มบนศีรษะที่ไม่ใช่สิว ได้แก่ ซีสต์ไขมันใต้ผิวหนัง (Pilar Cysts) โรคผิวหนังชรา (Seborrheic Keratoses) และรูขุมขนอักเสบ (Folliculitis)

ตุ่มเหล่านี้มักถูกเข้าใจผิดว่าเป็นสิว แต่มีลักษณะและสาเหตุที่แตกต่างกัน ดังนี้

  • ซีสต์ไขมันใต้ผิวหนัง (Pilar Cysts): เป็นก้อนนูนเรียบ แข็ง ไม่เจ็บ และสามารถขยับได้ใต้ผิวหนัง
  • โรคผิวหนังชรา (Seborrheic Keratoses): เป็นตุ่มคล้ายหูดสีน้ำตาลหรือดำ ผิวขรุขระคล้ายแว็กซ์ มักพบในผู้สูงอายุ
  • เนื้องอกไขมัน (Lipomas): เป็นก้อนไขมันนิ่มๆ ที่ไม่เป็นอันตราย
  • รูขุมขนอักเสบ (Folliculitis): เกิดจากการติดเชื้อแบคทีเรียหรือเชื้อราที่รูขุมขน ทำให้เกิดตุ่มหนองเล็กๆ ที่มีอาการคัน แต่จะไม่มีสิวหัวดำหรือสิวหัวขาวเหมือนสิวทั่วไป

เจาะลึก 5 สาเหตุหลักที่ทำให้เกิดสิวที่หัว

1. การอุดตันของรูขุมขนและน้ำมันส่วนเกิน

การอุดตันของรูขุมขนและน้ำมันส่วนเกินบนหนังศีรษะเป็นสาเหตุพื้นฐานของสิวบนหนังศีรษะ ซึ่งเกิดจากการที่น้ำมัน (ซีบัม) ที่ผลิตออกมามากเกินไป รวมกับเซลล์ผิวที่ตายแล้วและคราบผลิตภัณฑ์ต่างๆ ไปสะสมจนเกิดการอุดตันในรูขุมขน

การสระผมน้อยเกินไปหรือการใช้ผลิตภัณฑ์สำหรับเส้นผมที่มีน้ำมันเป็นส่วนประกอบหลัก เช่น โพเมดหรือครีมนวดผมแบบไม่ต้องล้างออก สามารถทำให้เกิดการสะสมของน้ำมันและสิ่งสกปรกจนเกิดการอุดตันได้ง่ายขึ้น สภาวะที่อุดตันนี้จะกลายเป็นแหล่งกักเก็บแบคทีเรียและยีสต์ ซึ่งนำไปสู่การอักเสบและเกิดเป็นตุ่มสิวในที่สุด

2. การสะสมของเชื้อแบคทีเรียและเชื้อรา

การสะสมของแบคทีเรียและเชื้อราในรูขุมขนที่อุดตันเป็นสาเหตุสำคัญของการอักเสบ ซึ่งทำให้เกิดสิวและภาวะรูขุมขนอักเสบบนหนังศีรษะ

  • แบคทีเรีย: เชื้อ Cutibacterium acnes (C. acnes) เป็นตัวกระตุ้นหลักของสิวทั่วไปโดยการปล่อยสารเคมีที่ก่อให้เกิดการอักเสบในรูขุมขนที่อุดตัน ในขณะที่เชื้อ Staphylococcus aureus มักเป็นสาเหตุของรูขุมขนอักเสบจากการติดเชื้อแบคทีเรีย
  • เชื้อรา: เชื้อยีสต์มาลาสซีเซีย (Malassezia) เป็นสาเหตุของภาวะรูขุมขนอักเสบจากเชื้อรา หรือที่เรียกว่า “สิวเชื้อรา” โดยเฉพาะในบริเวณที่มัน ซึ่งการรักษาด้วยยาต้านเชื้อราสามารถช่วยให้อาการดีขึ้นได้

3. การแพ้ผลิตภัณฑ์ดูแลเส้นผม

การแพ้ผลิตภัณฑ์ดูแลเส้นผมสามารถทำให้เกิดตุ่มคล้ายสิวและรอยแดงบนหนังศีรษะได้ ซึ่งเป็นอาการของโรคผิวหนังอักเสบจากการสัมผัส (contact dermatitis)

สารก่อภูมิแพ้ที่พบบ่อยในผลิตภัณฑ์ เช่น สีย้อมผม น้ำหอม สารซัลเฟต หรือสารกันบูด สามารถกระตุ้นให้เกิดปฏิกิริยาภูมิแพ้ ทำให้เกิดแผลอักเสบและคันบนหนังศีรษะซึ่งมักถูกเข้าใจผิดว่าเป็นสิว

4. ฮอร์โมนและความเครียด

ฮอร์โมนและความเครียดเป็นปัจจัยสำคัญที่กระตุ้นให้เกิดสิวบนหนังศีรษะ โดยฮอร์โมนแอนโดรเจนจะกระตุ้นต่อมไขมันให้ผลิตน้ำมันมากขึ้น ทำให้รูขุมขนอุดตันได้ง่าย โดยเฉพาะในช่วงวัยรุ่นหรือช่วงมีรอบเดือน ส่วนความเครียดจะทำให้ร่างกายหลั่งฮอร์โมนคอร์ติซอล (Cortisol) ซึ่งไปเพิ่มการผลิตน้ำมันและการอักเสบเช่นกัน

5. พฤติกรรมการใช้ชีวิตและสุขอนามัย

พฤติกรรมการใช้ชีวิตและสุขอนามัยที่ดีมีความสำคัญอย่างยิ่งในการป้องกันและจัดการสิวที่หนังศีรษะ โดยเน้นที่การรักษาความสะอาด การเลือกรับประทานอาหาร และการจัดการความเครียด

ปัจจัยสำคัญที่เกี่ยวข้องกับพฤติกรรมการใช้ชีวิตและสุขอนามัย ได้แก่

  • สุขอนามัย: การสระผมน้อยเกินไปทำให้เกิดการสะสมของน้ำมันและเซลล์ผิวที่ตายแล้ว ในขณะที่การสวมหมวกหรืออุปกรณ์ที่รัดแน่นเป็นเวลานานจะสร้างสภาพแวดล้อมที่อับชื้นและร้อน ซึ่งเอื้อต่อการเจริญเติบโตของเชื้อจุลินทรีย์และการอุดตันของรูขุมขน
  • อาหาร: อาหารที่มีดัชนีน้ำตาลสูง (เช่น ของหวาน ขนมปังขาว) สามารถกระตุ้นให้ต่อมไขมันผลิตน้ำมันมากขึ้นและเพิ่มการอักเสบ ทำให้สิวแย่ลงได้ นอกจากนี้ งานวิจัยบางชิ้นยังชี้ให้เห็นถึงความเชื่อมโยงระหว่างการบริโภคนม (โดยเฉพาะนมพร่องมันเนย) กับการเกิดสิว
  • ความเครียด: ความเครียดเป็นปัจจัยกระตุ้นที่สำคัญ เนื่องจากร่างกายจะหลั่งฮอร์โมนที่ไปเพิ่มการผลิตน้ำมันและการอักเสบของผิวหนัง ทำให้สิวเห่อขึ้นได้

สิวที่หัวมีกี่ประเภท และแต่ละแบบมีลักษณะอาการอย่างไร?

สิวที่หัวแบ่งได้เป็น 2 ประเภทหลัก คือ สิวอุดตัน (non-inflammatory) และสิวอักเสบ (inflammatory) ซึ่งแต่ละประเภทมีลักษณะอาการแตกต่างกันไป

  • สิวอุดตัน (Comedonal Lesions): เป็นสิวที่ไม่เกิดการอักเสบ เกิดจากการอุดตันของไขมันและเซลล์ผิวในรูขุมขน มีลักษณะเป็นตุ่มเล็กๆ แบ่งย่อยได้เป็น
    • สิวหัวขาว (Whiteheads): สิวอุดตันหัวปิด
    • สิวหัวดำ (Blackheads): สิวอุดตันหัวเปิด
  • สิวอักเสบ (Inflammatory Lesions): เกิดขึ้นเมื่อรูขุมขนที่อุดตันเกิดการติดเชื้อหรือระคายเคือง ทำให้เกิดอาการอักเสบ ได้แก่
    • ตุ่มแดง (Papules): ตุ่มนูนแดงรอบรูขุมขน
    • ตุ่มหนอง (Pustules): ตุ่มที่มีหนองอยู่ข้างใน อาจมีอาการเจ็บหรือคัน
    • ก้อนหรือซีสต์ (Nodules/Cysts): ในกรณีที่รุนแรง จะเกิดเป็นก้อนแข็งขนาดใหญ่ใต้ผิวหนังซึ่งมักมีอาการเจ็บปวด

สิวอักเสบที่หัว: ตุ่มแดง เจ็บ และมีหนอง

สิวอักเสบที่หนังศีรษะคือตุ่มที่เกิดจากการติดเชื้อหรือการระคายเคืองในรูขุมขนที่อุดตัน ซึ่งจะปรากฏเป็นตุ่มแดง (Papules) และตุ่มหนอง (Pustules) รอบๆ รูขุมขน โดยมักมีอาการเจ็บหรือคันร่วมด้วย

ในกรณีที่รุนแรงขึ้น สิวอักเสบอาจพัฒนากลายเป็นก้อนนูนแข็งใต้ผิวหนังที่เรียกว่าซีสต์ (Cysts) หรือก้อนสิวขนาดใหญ่ (Nodules) ซึ่งมักมีอาการเจ็บปวดมาก และอาจมีหนองไหลหรือตกสะเก็ดได้

สิวตุ่มนูนแดง (Papules)

สิวตุ่มนูนแดง (Papules) คือตุ่มแดงอักเสบที่ก่อตัวขึ้นรอบๆ รูขุมขน ซึ่งเป็นผลมาจากรูขุมขนที่อุดตันเกิดการติดเชื้อหรือระคายเคือง ตุ่มชนิดนี้อาจมีอาการเจ็บหรือคันเมื่อสัมผัส

สิวหัวหนอง (Pustules)

สิวหัวหนอง (Pustules) คือ ตุ่มอักเสบที่มีหนองอยู่ข้างใน ซึ่งเป็นสิวประเภทหนึ่ง

สิวชนิดนี้เกิดขึ้นเมื่อรูขุมขนที่อุดตันเกิดการติดเชื้อหรือระคายเคือง ทำให้เกิดเป็นตุ่มแดงรอบๆ รูขุมขน และมักมีอาการเจ็บหรือคันเมื่อสัมผัส ในกรณีที่รุนแรง ตุ่มหนองอาจมีขนาดใหญ่ขึ้นและมีหนองไหลซึมออกมาได้

สิวหัวช้าง (Nodules/Cysts)

สิวหัวช้าง (Nodules/Cysts) คือสิวอักเสบชนิดรุนแรง ที่มีลักษณะเป็นตุ่มขนาดใหญ่ก่อตัวขึ้นใต้ผิวหนังบริเวณหนังศีรษะ สิวชนิดนี้มักมีอาการเจ็บปวด และอาจมีหนองไหลหรือตกสะเก็ดได้ ในบางกรณี รูขุมขนหลายแห่งที่อยู่ติดกันอาจเกิดการอักเสบร่วมกันได้เช่นกัน

สิวอุดตันที่หัว: สิวหัวขาวและสิวหัวดำ

สิวอุดตันบนหนังศีรษะ (comedones) คือรูขุมขนที่อุดตันจากเคราติน (keratin) และไขมัน (sebum) ซึ่งปรากฏเป็นตุ่มเล็กๆ

สิวอุดตันบนหนังศีรษะมี 2 ประเภท ได้แก่

  • สิวหัวขาว (Closed comedones): เป็นสิวอุดตันหัวปิด
  • สิวหัวดำ (Open comedones): เป็นสิวอุดตันหัวเปิด

สิวอุดตันเป็นลักษณะของสิวบนหนังศีรษะในระยะเริ่มต้นหรือกรณีที่ไม่รุนแรง และมักจะสังเกตเห็นได้ยากเนื่องจากมีเส้นผมบดบัง การมีอยู่ของสิวอุดตันเป็นข้อบ่งชี้สำคัญที่ช่วยแยกสิว (acne) ออกจากภาวะรูขุมขนอักเสบ (folliculitis)

สิวที่หัวเกี่ยวข้องกับภาวะหนังศีรษะอักเสบหรือไม่?

ใช่ สิวที่หัวเกี่ยวข้องโดยตรงกับภาวะหนังศีรษะอักเสบ

สิวที่หัวถือเป็นภาวะการอักเสบเรื้อรังของหน่วยรูขุมขนและต่อมไขมัน เมื่อรูขุมขนอุดตัน แบคทีเรียจะเจริญเติบโตและปล่อยสารเคมีที่กระตุ้นให้เกิดการอักเสบ ทำให้เกิดเป็นตุ่มแดงหรือตุ่มหนองขึ้นมา หากการอักเสบเรื้อรังและรุนแรง อาจนำไปสู่ภาวะแทรกซ้อน เช่น โรครากผมอักเสบชนิดทำลาย (folliculitis decalvans) ซึ่งทำให้เกิดแผลเป็นและผมร่วงถาวรได้

ความเชื่อมโยงระหว่างสิวที่หัวและอาการคัน

สิวที่หนังศีรษะสามารถทำให้เกิดอาการคันได้ โดยเฉพาะเมื่อตุ่มสิวเกิดการอักเสบ

อาการคันเป็นผลมาจากการอักเสบของรูขุมขนที่อุดตัน เมื่อรูขุมขนติดเชื้อหรือระคายเคือง จะเกิดเป็นตุ่มแดงหรือตุ่มหนองซึ่งมักจะทำให้รู้สึกเจ็บหรือคันเมื่อสัมผัส อย่างไรก็ตาม ภาวะรูขุมขนอักเสบ (folliculitis) ซึ่งมีลักษณะคล้ายสิวมักจะมีอาการคันที่รุนแรงกว่าสิวทั่วไป

สิวที่หัวทำให้ผมร่วงได้จริงหรือ?

ใช่ สิวที่หนังศีรษะชนิดรุนแรงหรือมีการอักเสบมากอาจทำให้ผมร่วงได้ โดยเฉพาะเมื่อการอักเสบทำลายรูขุมขนอย่างถาวร

โดยทั่วไปแล้ว สิวที่หนังศีรษะที่ไม่รุนแรงมักไม่ทำให้ผมร่วง แต่ในกรณีที่เกิดการอักเสบของรูขุมขนอย่างรุนแรงและเรื้อรัง เช่น ในภาวะที่เรียกว่า “folliculitis decalvans” หรือ “acne necrotica” การอักเสบสามารถทำลายรูขุมขนและแทนที่ด้วยเนื้อเยื่อแผลเป็น ส่งผลให้เกิดภาวะผมร่วงเป็นแผลเป็น (scarring alopecia) ซึ่งเป็นหย่อมศีรษะล้านอย่างถาวรได้

วิธีรักษาสิวที่หัวให้หายขาดทำได้อย่างไร?

การรักษาสิวที่หนังศีรษะที่รุนแรงและดื้อยาให้หายขาดหรือทุเลาลงในระยะยาวอาจจำเป็นต้องใช้ ยาไอโซเตรติโนอิน (Isotretinoin) ชนิดรับประทาน ซึ่งเป็นยาที่ออกฤทธิ์รุนแรงและต้องอยู่ภายใต้การดูแลของแพทย์

ยานี้เป็นอนุพันธ์ของวิตามินเอที่ช่วยลดการทำงานของต่อมไขมันได้อย่างมีนัยสำคัญ โดยปกติแล้วจะใช้สำหรับรักษาสิวที่หนังศีรษะในระดับรุนแรง ดื้อยา หรือเป็นสิวอักเสบชนิดหัวใหญ่ (Nodulocystic) ที่ไม่ตอบสนองต่อการรักษาอื่น ๆ เช่น ยาทาหรือยาปฏิชีวนะชนิดรับประทาน การใช้ยานี้จำเป็นต้องอยู่ภายใต้การดูแลของแพทย์อย่างใกล้ชิดเนื่องจากมีผลข้างเคียงที่สำคัญ

สำหรับการรักษาสิวที่หนังศีรษะในระดับที่ไม่รุนแรงถึงปานกลาง แพทย์มักจะเริ่มด้วยการรักษาแบบอื่น ๆ ก่อน เช่น:

  • ยาทาเฉพาะที่: เช่น เบนโซอิลเพอร์ออกไซด์ (Benzoyl Peroxide), กรดซาลิไซลิก (Salicylic Acid), หรือยาปฏิชีวนะชนิดทา
  • ยาปฏิชีวนะชนิดรับประทาน: เช่น ด็อกซีไซคลิน (Doxycycline) เพื่อลดการอักเสบและการติดเชื้อแบคทีเรีย
  • แชมพูยา: เช่น แชมพูที่มีส่วนผสมของคีโตโคนาโซล (Ketoconazole) หรือซิงค์ ไพริไธโอน (Zinc Pyrithione) เพื่อควบคุมเชื้อราและลดความมัน

การดูแลและรักษาด้วยตนเองที่บ้าน

การดูแลสิวที่หนังศีรษะด้วยตนเองที่บ้านสามารถทำได้โดยการรักษาความสะอาดของหนังศีรษะ หลีกเลี่ยงผลิตภัณฑ์ที่ก่อให้เกิดการอุดตัน และใช้แชมพูยาที่หาซื้อได้เอง แนวทางปฏิบัติที่แนะนำมีดังนี้

  • สระผมให้บ่อยขึ้น: หากคุณมีหนังศีรษะมัน ควรเพิ่มความถี่ในการสระผม โดยเฉพาะหลังจากการขับเหงื่อ เพื่อล้างน้ำมันและสิ่งสกปรกที่อาจอุดตันรูขุมขน
  • หลีกเลี่ยงผลิตภัณฑ์ที่มันหรือหนัก: งดใช้ผลิตภัณฑ์จัดแต่งทรงผมที่มีน้ำมันเป็นส่วนประกอบหลัก เช่น โพเมด หรือครีมนวดผมชนิดไม่ต้องล้างออก เพราะอาจทำให้รูขุมขนอุดตันได้
  • ใช้แชมพูยา: เลือกใช้แชมพูที่มีส่วนผสมออกฤทธิ์ เช่น ซาลิไซลิกแอซิด (salicylic acid) เพื่อช่วยผลัดเซลล์ผิว, เบนโซอิลเพอร์ออกไซด์ (benzoyl peroxide) เพื่อฆ่าเชื้อแบคทีเรีย, หรือคีโตโคนาโซล (ketoconazole) เพื่อต้านเชื้อรา ควรทิ้งแชมพูไว้บนหนังศีรษะ 5-10 นาทีก่อนล้างออก
  • หลีกเลี่ยงการระคายเคือง: ลดการสวมหมวกหรือที่คาดผมที่รัดแน่นเป็นเวลานาน และควรทำความสะอาดอุปกรณ์เหล่านี้เป็นประจำ
  • รักษาความสะอาดของใช้ส่วนตัว: ควรเปลี่ยนปลอกหมอนอย่างน้อยสัปดาห์ละ 1-2 ครั้ง เพื่อลดการสะสมของน้ำมันและแบคทีเรีย

การใช้ยาทาเฉพาะที่เพื่อรักษาสิวที่หัว

การรักษาสิวที่หนังศีรษะด้วยยาทาเฉพาะที่เป็นแนวทางการรักษาลำดับแรก ซึ่งมักใช้ผลิตภัณฑ์ที่มีส่วนผสมออกฤทธิ์หลายชนิดเพื่อฆ่าเชื้อ ลดการอักเสบ และผลัดเซลล์ผิว

ยาทาเฉพาะที่ซึ่งใช้บ่อย ได้แก่:

  • เบนโซอิลเพอร์ออกไซด์ (Benzoyl Peroxide): ใช้ในรูปแบบแชมพูหรือเจลเพื่อฆ่าเชื้อแบคทีเรียและลดการอักเสบ แต่ต้องระวังเพราะอาจทำให้สีผมหรือผ้าซีดจางได้
  • ยาปฏิชีวนะชนิดทา (Topical Antibiotics): เช่น คลินดามัยซิน (Clindamycin) และอิริโทรมัยซิน (Erythromycin) ในรูปแบบสารละลายหรือเจล ช่วยลดปริมาณแบคทีเรียในรูขุมขน
  • กรดซาลิไซลิก (Salicylic Acid): มีในแชมพูหรือโทนเนอร์ ช่วยผลัดเซลล์ผิวที่ตายแล้วและสลายสิ่งอุดตันในรูขุมขน
  • คอร์ติโคสเตียรอยด์ชนิดทา (Topical Corticosteroids): ใช้ในรูปแบบโลชั่นหรือโฟมเพื่อลดการอักเสบและอาการคันอย่างรวดเร็ว แต่มักใช้ในระยะสั้นๆ เท่านั้น

การรักษาโดยแพทย์เมื่ออาการรุนแรง

การรักษาสิวที่หนังศีรษะที่รุนแรงโดยแพทย์มักจะใช้ยาชนิดรับประทานและการทำหัตถการ เพื่อควบคุมการอักเสบที่ลุกลามและไม่ตอบสนองต่อยาทา

การรักษาโดยแพทย์สำหรับกรณีรุนแรงอาจรวมถึง:

  • ยาปฏิชีวนะชนิดรับประทาน: เช่น doxycycline หรือ minocycline เพื่อลดการอักเสบและการติดเชื้อแบคทีเรียในรูขุมขน
  • ยาต้านเชื้อราชนิดรับประทาน: เช่น fluconazole หรือ itraconazole หากสาเหตุเกิดจากเชื้อรามาลาสซีเซีย (Malassezia folliculitis)
  • ยาไอโซเตรติโนอิน (Isotretinoin): เป็นอนุพันธ์ของวิตามินเอที่ออกฤทธิ์รุนแรง ใช้สำหรับสิวที่เป็นก้อนลึก ดื้อยา หรือเกิดซ้ำบ่อยครั้ง เพื่อลดการผลิตไขมันและปรับการผลัดเซลล์ผิว
  • การฉีดสเตียรอยด์: แพทย์อาจฉีดยาสเตียรอยด์เข้าไปในตุ่มสิวอักเสบขนาดใหญ่โดยตรงเพื่อช่วยให้ยุบเร็วขึ้น
  • การกรีดและระบายหนอง: ในกรณีที่เกิดเป็นฝีหรือตุ่มหนองขนาดใหญ่ แพทย์จะทำการกรีดเพื่อระบายหนองออกและลดแรงกดทับ

แนะนำแชมพูและผลิตภัณฑ์สำหรับคนเป็นสิวที่หัว

แชมพูที่มีส่วนผสมของ Salicylic Acid

แชมพูที่มีส่วนผสมของ Salicylic Acid ช่วยผลัดเซลล์ผิวที่ตายแล้วบนหนังศีรษะและทำความสะอาดสิ่งอุดตันในรูขุมขน Salicylic acid ซึ่งเป็นกรดเบต้าไฮดรอกซี (BHA) ทำหน้าที่เป็นสารช่วยผลัดเซลล์ผิว (keratolytic) โดยจะช่วยสลายเคราตินที่อุดตันในรูขุมขน ทำให้มีประโยชน์อย่างยิ่งในการรักษาสิวและป้องกันการเกิดสิวอุดตันใหม่ๆ บนหนังศีรษะ

แชมพูที่มีส่วนผสมของ Ketoconazole

แชมพูที่มีส่วนผสมของคีโตโคนาโซล (Ketoconazole) คือแชมพูยาต้านเชื้อราที่ใช้รักษาภาวะรูขุมขนอักเสบจากเชื้อราบนหนังศีรษะ (fungal folliculitis) แชมพูชนิดนี้มีประสิทธิภาพในการกำจัดเชื้อยีสต์ (เช่น Malassezia) และยังมีคุณสมบัติต้านการอักเสบร่วมด้วย

แพทย์มักแนะนำให้ใช้แชมพูคีโตโคนาโซลสัปดาห์ละ 2-3 ครั้ง โดยทิ้งฟองไว้บนหนังศีรษะประมาณ 5 นาทีก่อนล้างออก เพื่อให้ตัวยาออกฤทธิ์ได้อย่างเต็มที่

ผลิตภัณฑ์ Tea Tree Oil สำหรับหนังศีรษะ

ผลิตภัณฑ์ที่มีส่วนผสมของทีทรีออยล์ (Tea Tree Oil) เป็นทางเลือกที่อ่อนโยนสำหรับใช้รักษาสิวบนหนังศีรษะที่ไม่รุนแรง เนื่องจากมีคุณสมบัติต้านจุลชีพและต้านการอักเสบ

จากการศึกษาทางคลินิกพบว่าเจลทีทรีออยล์ 5% สามารถลดจำนวนสิวได้ดีเทียบเท่ากับเบนโซอิลเปอร์ออกไซด์ (Benzoyl Peroxide) 5% แต่มีผลข้างเคียงน้อยกว่า เช่น อาการผิวแห้ง ดังนั้น แชมพูที่มีส่วนผสมของทีทรีออยล์จึงเป็นที่นิยมใช้เป็นประจำเพื่อช่วยป้องกันการเกิดสิวบนหนังศีรษะในระยะยาว

เราจะป้องกันไม่ให้เกิดสิวที่หัวซ้ำได้อย่างไร?

เราสามารถป้องกันการเกิดสิวที่หนังศีรษะซ้ำได้โดยการรักษาสุขอนามัยของหนังศีรษะที่ดี การใช้ผลิตภัณฑ์ดูแลเส้นผมที่ไม่ก่อให้เกิดการอุดตัน การควบคุมอาหาร และการลดความเครียด

แนวทางปฏิบัติเพื่อป้องกันสิวที่หนังศีรษะในระยะยาว ได้แก่:

  • สุขอนามัยของหนังศีรษะ: สระผมเป็นประจำ โดยเฉพาะหลังมีเหงื่อออก เพื่อป้องกันการสะสมของน้ำมันและสิ่งสกปรก ควรใช้ปลายนิ้วนวดเบาๆ แทนการใช้เล็บเกา และล้างผลิตภัณฑ์ออกให้หมดจด
  • การเลือกผลิตภัณฑ์: เลือกใช้ผลิตภัณฑ์ดูแลเส้นผมที่ระบุว่า “non-comedogenic” (ไม่ก่อให้เกิดการอุดตัน) หรือ “oil-free” (ปราศจากน้ำมัน) หลีกเลี่ยงผลิตภัณฑ์จัดแต่งทรงผมที่มีส่วนผสมของน้ำมันหรือแว็กซ์ และหมั่นทำความสะอาดหมวกและปลอกหมอน
  • อาหารและโภชนาการ: รับประทานอาหารที่มีค่าดัชนีน้ำตาลต่ำ โดยจำกัดการบริโภคน้ำตาลและคาร์โบไฮเดรตขัดสี ดื่มน้ำให้เพียงพอ และอาจพิจารณาลดการบริโภคผลิตภัณฑ์นม
  • การใช้ชีวิตและการจัดการความเครียด: จัดการความเครียดด้วยวิธีต่างๆ เช่น การออกกำลังกายหรือการทำสมาธิ และนอนหลับพักผ่อนให้เพียงพอ เนื่องจากความเครียดสามารถกระตุ้นการผลิตน้ำมันและการอักเสบได้

การปรับเปลี่ยนพฤติกรรมการสระผม

เพื่อป้องกันสิวที่หนังศีรษะ ควรสระผมเป็นประจำ (ทุกวันหรือวันเว้นวัน) เพื่อป้องกันการสะสมของความมัน โดยเฉพาะอย่างยิ่งหลังกิจกรรมที่ทำให้เหงื่อออกมาก

คำแนะนำเพิ่มเติมในการสระผมมีดังนี้:

  • ใช้แชมพูที่อ่อนโยนและมีค่า pH ที่สมดุลกับน้ำอุ่น หลีกเลี่ยงน้ำที่ร้อนเกินไป
  • ใช้นิ้วมือนวดหนังศีรษะเบาๆ แทนการใช้เล็บเกา
  • ล้างแชมพูและครีมนวดออกให้หมดจดเพื่อไม่ให้มีสารตกค้าง
  • หากใช้ครีมนวดผม ให้ชโลมเฉพาะบริเวณปลายผมและหลีกเลี่ยงการสัมผัสกับหนังศีรษะ
  • ซับผมให้แห้งเบาๆ แทนการขยี้ด้วยผ้าขนหนูแรงๆ เพื่อลดการระคายเคืองต่อรูขุมขน

การเลือกใช้ผลิตภัณฑ์ที่เหมาะสมกับสภาพหนังศีรษะ

ควรเลือกใช้ผลิตภัณฑ์ดูแลเส้นผมที่ระบุว่า “non-comedogenic” (ไม่ก่อให้เกิดการอุดตัน), “oil-free” (ปราศจากน้ำมัน) หรือ “won’t cause acne” (ไม่ก่อให้เกิดสิว) เพื่อป้องกันการอุดตันของรูขุมขน

ข้อแนะนำเพิ่มเติมในการเลือกผลิตภัณฑ์มีดังนี้:

  • เลือกใช้แชมพูที่อ่อนโยนและครีมนวดผมสูตรบางเบาที่เป็นแบบน้ำ (water-based)
  • หลีกเลี่ยงผลิตภัณฑ์จัดแต่งทรงผมที่มีส่วนผสมของน้ำมัน แว็กซ์ หรือขี้ผึ้ง (pomades)
  • เมื่อใช้ครีมนวดผม ควรชโลมเฉพาะความยาวและปลายผม โดยหลีกเลี่ยงไม่ให้สัมผัสกับหนังศีรษะ
  • หมั่นทำความสะอาดสิ่งของที่สัมผัสกับหนังศีรษะเป็นประจำ เช่น ปลอกหมอน หมวก และผ้าโพกศีรษะ

การควบคุมอาหารและลดความเครียด

การควบคุมอาหารโดยเน้นอาหารที่มีค่าดัชนีน้ำตาลต่ำและจัดการความเครียดเป็นส่วนสำคัญในการป้องกันและควบคุมสิวที่หนังศีรษะในระยะยาว เนื่องจากปัจจัยทั้งสองมีผลโดยตรงต่อการผลิตน้ำมันและการอักเสบของผิว

  • การควบคุมอาหาร: การรับประทานอาหารที่มีค่าดัชนีน้ำตาล (GI) สูง เช่น ของหวาน ขนมปังขาว และเครื่องดื่มที่มีน้ำตาล สามารถกระตุ้นการผลิตน้ำมันและการอักเสบ ทำให้สิวแย่ลงได้ ควรเน้นรับประทานผักสด ธัญพืชไม่ขัดสี และโปรตีนไขมันต่ำ นอกจากนี้ บางงานวิจัยพบความเชื่อมโยงระหว่างนม (โดยเฉพาะนมพร่องมันเนย) กับการเกิดสิว
  • การจัดการความเครียด: ความเครียดกระตุ้นการหลั่งฮอร์โมนที่เพิ่มการผลิตน้ำมันและการอักเสบบนผิวหนัง การจัดการความเครียดด้วยวิธีต่างๆ เช่น การออกกำลังกายเป็นประจำ (และสระผมหลังจากนั้น) การทำสมาธิ โยคะ และการนอนหลับให้เพียงพอ (7-8 ชั่วโมง) สามารถช่วยลดการเกิดสิวที่กำเริบจากความเครียดได้

Author

  • นายแพทย์พนิต อุนรัตน์
    นายแพทย์พนิต อุนรัตน์

    View all posts

แนะแนวเรื่อง

Previous Previous
สิวรอบปาก: สาเหตุ วิธีรักษา และวิธีป้องกันที่ถูกต้อง
NextContinue
สิวที่คอ: สาเหตุ วิธีรักษา และการป้องกันที่ถูกวิธี

Product Type

  • Acne Care - รักษาสิว22 สินค้า
  • Brightening - ผิวกระจ่างใส22 สินค้า
  • Dark Spot Reduction - ลดจุดด่างดำ22 สินค้า
  • Red or Dark Spots - รอยสิว11 สินค้า
  • Skin Cleansing - ทำความสะอาดผิว33 สินค้า
  • Skin Hydration - ความชุ่มชื่นผิว22 สินค้า
  • Skin Mask - มาร์สผิว22 สินค้า
  • Sun Protection - กันแดด22 สินค้า
  • Travel Size - ขนาดพกพา66 สินค้า

สาขาพรีวาโต คลินิก

    สาขาอโศก ตั้งอยู่ที่ ชั้น 2 อาคารมิดทาวน์
    Phone: 02-258-4050 , 081-841-5075
    สาขาสีลม ตั้งอยู่ที่ ชั้น 1 อาคารซี.พี.ทาวเวอร์
    Phone: 02-780-2011 , 098-272-5244
    สาขาราชพฤกษ์ ตั้งอยู่ที่ ชั้น 2 ศูนย์การค้า เดอะคริสตัล เอสบี (ด้านบนร้านสตาร์บัคส์)
    Phone: 02-102-2778 , 098-272-5244

ติดต่อเรา

    Facebook: Privato Clinic
    Messenger: Privato Clinic
    Instagram: privatoclinic
    Email: privatoclinic@gmail.com
    Line: @privatoclinic

Copyright© 2022-2024. All Rights Reserved

Scroll to top
  • หน้าหลัก
  • เกี่ยวกับพรีวาโต
  • บริการทั้งหมด
    • ชะลอวัย
    • ยกกระชับผิว
      • XERF
      • Potenza
      • Sofwave
      • Ulthera
      • Thermage-FLX
    • รักษาสิว
    • เลเซอร์
    • โปรแกรมฉีด
    • บำรุงผิว
  • บทความ
    • สิว
    • ยกกระชับ
    • ดูแลผิว
    • ทำเลเซอร์
  • ผลิตภัณฑ์ดูแลผิว
  • โปรโมชั่น
  • ผลลัพธ์การรักษา
  • วิดีโอรีวิวจากเคสจริง
  • สาขาของเรา
  • ไทย
    • ไทย
    • English
    • 中文 (中国)
  • ปรึกษาแพทย์
Facebook Instagram YouTube