Skip to content

TEL : 081-841-5075, 02-258-4050

Facebook Instagram YouTube
Privato Clinic – Innovation Of Beauty  |  Bangkok
  • หน้าหลัก
  • เกี่ยวกับพรีวาโต
  • บริการทั้งหมดExpand
    • ชะลอวัย
    • ยกกระชับผิวExpand
      • XERF
      • Potenza
      • Sofwave
      • Ulthera
      • Thermage-FLX
    • รักษาสิว
    • เลเซอร์
    • โปรแกรมฉีด
    • บำรุงผิว
  • บทความExpand
    • สิว
    • ยกกระชับ
    • ดูแลผิว
    • ทำเลเซอร์
  • ผลิตภัณฑ์ดูแลผิว
  • โปรโมชั่น
  • ผลลัพธ์การรักษา
  • วิดีโอรีวิวจากเคสจริง
  • สาขาของเรา
  • ไทยExpand
    • ไทย
    • English
    • 中文 (中国)
  • ปรึกษาแพทย์
Privato Clinic – Innovation Of Beauty  |  Bangkok
Consult a Doctor
Acne

สิวผดที่หน้าผากเกิดจากอะไร? พร้อมวิธีรักษาและป้องกันอย่างถูกวิธี

Byadmin ตุลาคม 30, 2025
By แพทย์หญิงนัชชนก หุ่นวิจิตร Updated on ตุลาคม 30, 2025
✦ Medically reviewed by  นายแพทย์เลอพงษ์ กรุดเงิน
สิวผดที่หน้าผากเกิดจากอะไร? พร้อมวิธีรักษาและป้องกันอย่างถูกวิธี

Table of Contents

Toggle
  • ลักษณะและอาการของสิวผดที่หน้าผาก
    • วิธีสังเกตความแตกต่างระหว่างสิวผดและสิวประเภทอื่น
  • สาเหตุหลักที่ทำให้เกิดสิวผดบริเวณหน้าผาก
    • ปัจจัยภายใน: ความมัน ฮอร์โมน และเชื้อรา
    • ปัจจัยภายนอก: อากาศร้อน เหงื่อ และการระคายเคือง
  • วิธีดูแลและป้องกันสิวผดที่หน้าผากด้วยตนเอง
    • การปรับพฤติกรรมการใช้ชีวิตเพื่อลดปัจจัยกระตุ้น
    • ส่วนผสมในสกินแคร์ที่ควรเลือกใช้และควรหลีกเลี่ยง
  • เมื่อไหร่ที่ควรพบแพทย์เพื่อรักษาสิวผดที่หน้าผาก
  • แนวทางการรักษาโดยแพทย์: จากยาทาถึงทรีตเมนต์ในคลินิก
    • การใช้ยารักษาเชื้อราและยาลดการอักเสบ
    • ทรีตเมนต์เสริมเพื่อลดสิวผดและฟื้นฟูผิว
  • ข้อควรพิจารณาก่อนตัดสินใจเลือกวิธีรักษา
    • การประเมินความรุนแรงและสภาพผิวของตนเอง
    • ระยะเวลาและผลลัพธ์ที่คาดหวังจากการรักษาแต่ละแบบ
  • ข้อผิดพลาดที่ควรเลี่ยงซึ่งอาจทำให้สิวผดแย่ลง
  • คำถามที่พบบ่อยเกี่ยวกับสิวผดที่หน้าผาก
    • สิวผดที่หน้าผากเกิดจากเชื้อราใช่หรือไม่?
    • การสวมหมวกหรือไว้ผมหน้าม้าทำให้เกิดสิวผดได้จริงหรือ?
    • สิวผดที่หน้าผากแตกต่างจากสิวอุดตันอย่างไร?
    • ควรใช้ผลิตภัณฑ์อะไรเพื่อดูแลสิวผดที่หน้าผากเบื้องต้น?
    • สิวผดที่หน้าผากสามารถหายเองได้หรือไม่?
    • ใช้เวลานานแค่ไหนในการรักษาสิวผดที่หน้าผากให้หาย?
  • References:

ลักษณะและอาการของสิวผดที่หน้าผาก

วิธีสังเกตความแตกต่างระหว่างสิวผดและสิวประเภทอื่น

สิวผด (Fungal Acne) แตกต่างจากสิวประเภทอื่นตรงที่จะมีอาการคัน ลักษณะเป็นตุ่มขนาดเท่าๆ กัน และไม่มีหัวสิวอุดตัน (comedones) ซึ่งสามารถสังเกตความแตกต่างที่สำคัญได้ดังนี้

  • ลักษณะของสิว: สิวผดจะมีลักษณะเป็นตุ่มแดงหรือตุ่มหนองเล็กๆ ขนาด 1-2 มม. ที่มีขนาดสม่ำเสมอกันทั้งหมด (monomorphic) ในขณะที่สิวทั่วไป (Acne Vulgaris) จะมีหลายรูปแบบและขนาดปะปนกันไป เช่น สิวอุดตัน สิวอักเสบ และสิวหัวหนอง (polymorphic)
  • อาการคัน: อาการคันเป็นลักษณะเด่นของสิวผด แต่สิวทั่วไปมักจะไม่มีอาการคัน
  • สิวอุดตัน: สิวผดจะไม่มีสิวหัวดำหรือสิวหัวขาว ซึ่งเป็นลักษณะสำคัญของสิวทั่วไป
  • การตอบสนองต่อยา: สิวผดจะไม่ตอบสนองต่อยารักษาสิวทั่วไป และอาจมีอาการแย่ลงเมื่อใช้ยาปฏิชีวนะ

สาเหตุหลักที่ทำให้เกิดสิวผดบริเวณหน้าผาก

ปัจจัยภายใน: ความมัน ฮอร์โมน และเชื้อรา

ปัจจัยภายในที่ทำให้เกิดสิวเชื้อราคือ การเจริญเติบโตที่มากเกินไปของเชื้อรามาลาสซีเซีย (Malassezia) ซึ่งกินไขมัน (sebum) บนผิวหนังเป็นอาหาร โดยการผลิตไขมันนี้มักถูกกระตุ้นโดยอิทธิพลของฮอร์โมน

  • เชื้อรามาลาสซีเซีย (Malassezia Yeast): เชื้อรานี้เป็นส่วนหนึ่งของจุลินทรีย์บนผิวหนังตามปกติของคนส่วนใหญ่ แต่เมื่อมีจำนวนมากเกินไปจะทำให้เกิดการอักเสบในรูขุมขน โดยสายพันธุ์ที่พบบ่อยคือ *Malassezia globosa* และ *M. restricta*
  • การผลิตไขมัน (Sebum Production): เชื้อรามาลาสซีเซียต้องอาศัยไขมันจากต่อมไขมันบนผิวหนังเพื่อการเจริญเติบโต ดังนั้นคนที่มีผิวมันหรืออยู่ในช่วงวัยที่ต่อมไขมันทำงานหนัก (เช่น วัยรุ่น) จึงมีความเสี่ยงสูง
  • อิทธิพลของฮอร์โมน (Hormonal Influences): ฮอร์โมนแอนโดรเจน (เช่น เทสโทสเตอโรน) มีฤทธิ์กระตุ้นต่อมไขมันให้ผลิตไขมันออกมามากขึ้น ซึ่งเป็นการเพิ่มแหล่งอาหารให้กับเชื้อราโดยตรง จึงเป็นสาเหตุที่สิวเชื้อรามักพบได้บ่อยในผู้ชายและช่วงวัยรุ่น

ปัจจัยภายนอก: อากาศร้อน เหงื่อ และการระคายเคือง

ปัจจัยภายนอกที่กระตุ้นสิวเชื้อรา ได้แก่ สภาพอากาศที่ร้อนชื้น, เหงื่อ, และการระคายเคืองหรือการอุดตันของผิว ซึ่งทั้งหมดนี้สร้างสภาวะที่เอื้อต่อการเจริญเติบโตของเชื้อรามาลาสซีเซีย (Malassezia)

ปัจจัยเหล่านี้ประกอบด้วย:

  • อากาศร้อนและความชื้น: เชื้อรามาลาสซีเซียเจริญเติบโตได้ดีในสภาพแวดล้อมที่ร้อนและชื้น ทำให้ผู้ที่อาศัยอยู่ในเขตภูมิอากาศร้อนชื้นมีความเสี่ยงสูงขึ้น
  • เหงื่อและการออกกำลังกาย: เหงื่อที่ตกค้างบนผิวหนังจะสร้างความชื้นและเปลี่ยนแปลงค่า pH ของผิว ซึ่งเป็นการรบกวนเกราะป้องกันผิวและเอื้อต่อการเจริญเติบโตของเชื้อรา
  • การอุดตันและการเสียดสี: การสวมหมวก หมวกกันน็อก หรือการไว้ผมหน้าม้า จะกักเก็บความร้อนและเหงื่อไว้บนหน้าผาก ทำให้เกิดสภาวะที่เหมาะกับการเติบโตของเชื้อรา
  • ผลิตภัณฑ์ที่ไม่เหมาะสม: ผลิตภัณฑ์บำรุงผิวและเส้นผมที่มีส่วนผสมของน้ำมันหรือกรดไขมันบางชนิด สามารถเป็นอาหารให้กับเชื้อราและกระตุ้นให้เกิดการอักเสบได้
  • การระคายเคืองผิว: การขัดถูผิวอย่างรุนแรง การใช้ผลิตภัณฑ์ทำความสะอาดที่รุนแรงเกินไป หรือการสัมผัสใบหน้าบ่อยๆ สามารถทำลายเกราะป้องกันผิว ทำให้เชื้อราเข้าสู่รูขุมขนได้ง่ายขึ้น

วิธีดูแลและป้องกันสิวผดที่หน้าผากด้วยตนเอง

การดูแลและป้องกันสิวผดที่หน้าผากด้วยตนเองทำได้โดยการรักษาความสะอาดและความแห้งของผิว ใช้ผลิตภัณฑ์ที่มีส่วนผสมต้านเชื้อรา และหลีกเลี่ยงปัจจัยกระตุ้นต่างๆ ซึ่งสามารถปฏิบัติตามคำแนะนำต่อไปนี้:

  • การรักษาความสะอาด: อาบน้ำทันทีหลังออกกำลังกายหรือเหงื่อออก เปลี่ยนปลอกหมอนบ่อยๆ และพยายามไม่ให้เส้นผมสัมผัสหน้าผาก
  • การเลือกใช้ผลิตภัณฑ์: ใช้ผลิตภัณฑ์ล้างหน้าที่มีส่วนผสมต้านเชื้อราที่หาซื้อได้ทั่วไป เช่น คีโตโคนาโซล (ketoconazole) ซีลีเนียมซัลไฟด์ (selenium sulfide) หรือซิงค์ไพริไธโอน (zinc pyrithione) และเลือกใช้มอยส์เจอไรเซอร์กับครีมกันแดดที่ปราศจากน้ำมัน (oil-free) หรือระบุว่า “fungal acne-safe”
  • ส่วนผสมที่ควรหลีกเลี่ยง: งดใช้ผลิตภัณฑ์ที่มีส่วนผสมของน้ำมันจากพืชส่วนใหญ่และเอสเทอร์บางชนิด (esters) เนื่องจากเป็นอาหารของเชื้อรา
  • การจัดการปัจจัยกระตุ้น: หลีกเลี่ยงการสวมหมวกหรือหมวกกันน็อกเป็นเวลานาน และทำความสะอาดหมวกเป็นประจำ หากไว้ผมหน้าม้า ควรพิจารณาติดกิ๊บเพื่อไม่ให้ผมปรกหน้าผาก

การปรับพฤติกรรมการใช้ชีวิตเพื่อลดปัจจัยกระตุ้น

การปรับพฤติกรรมการใช้ชีวิตเพื่อลดปัจจัยกระตุ้นสิวเชื้อราทำได้โดย การรักษาผิวให้เย็นและแห้งอยู่เสมอ, ดูแลความสะอาดหลังออกกำลังกาย, จัดการเรื่องทรงผมและหมวก, ใส่ใจเรื่องอาหาร, และปรับสภาพแวดล้อม

การปรับเปลี่ยนพฤติกรรมเหล่านี้จะช่วยสร้างสภาวะที่ไม่เอื้อต่อการเจริญเติบโตของเชื้อรา *Malassezia* ได้แก่

  • รักษาผิวให้เย็นและแห้ง: ลดความร้อนและความชื้นที่หน้าผาก เช่น ใช้พัดลมหรือเครื่องปรับอากาศ และซับเหงื่อบ่อยๆ
  • สุขอนามัยหลังออกกำลังกาย: อาบน้ำทันทีหลังเหงื่อออกด้วยน้ำอุ่นและเปลี่ยนเสื้อผ้าที่เปียกชื้น
  • การจัดการหมวกและทรงผม: ทำความสะอาดหมวกและอุปกรณ์สวมศีรษะเป็นประจำ และพยายามไม่ให้ผม (โดยเฉพาะหน้าม้า) ปรกหน้าผากเพื่อลดการอับชื้น
  • การพิจารณาเรื่องอาหาร: แนะนำให้จำกัดอาหารที่มีน้ำตาลและคาร์โบไฮเดรตสูงซึ่งอาจเพิ่มการผลิตไขมัน และเน้นอาหารต้านการอักเสบ เช่น ผักและผลไม้
  • สุขอนามัยการนอนและเครื่องนอน: เปลี่ยนปลอกหมอนบ่อยๆ (อย่างน้อย 2-3 ครั้งต่อสัปดาห์) เพื่อลดการสะสมของน้ำมันและเชื้อรา
  • การปรับสภาพแวดล้อม: ควบคุมความชื้นในอาคารให้อยู่ในระดับปานกลาง (ประมาณ 40-50%) โดยใช้เครื่องลดความชื้นหรือเครื่องปรับอากาศ

ส่วนผสมในสกินแคร์ที่ควรเลือกใช้และควรหลีกเลี่ยง

ส่วนผสมที่ควรเลือกใช้สำหรับสิวเชื้อราคือ สารต้านเชื้อรา สารผลัดเซลล์ผิวบางชนิด และสารให้ความชุ่มชื้นที่ปลอดภัย ในขณะที่ควรหลีกเลี่ยงส่วนผสมที่เป็นอาหารของเชื้อรา เช่น น้ำมันและกรดไขมันส่วนใหญ่

ส่วนผสมที่ควรเลือกใช้

  • สารออกฤทธิ์ต้านเชื้อรา:
  • Zinc Pyrithione (ZPT)
  • Selenium Sulfide
  • Ketoconazole
  • Sulfur
  • สารผลัดเซลล์ผิว (Keratolytics):
  • Salicylic Acid (BHA)
  • Mandelic Acid
  • Azelaic Acid
  • สารให้ความชุ่มชื้นที่ปลอดภัย (Fungal Acne-Safe Moisturizers):
  • Squalane
  • Glycerin
  • Hyaluronic Acid
  • Panthenol

ส่วนผสมที่ควรหลีกเลี่ยง

  • น้ำมันและกรดไขมันส่วนใหญ่: ควรหลีกเลี่ยงกรดไขมันที่มีความยาวคาร์บอน C11–C24 ซึ่งเป็นอาหารของเชื้อรา เช่น น้ำมันมะพร้าว (Coconut Oil), น้ำมันมะกอก (Olive Oil), น้ำมันอาร์แกน (Argan Oil)
  • เอสเทอร์ (Esters) และส่วนผสมอื่นๆ: ส่วนผสม เช่น Isopropyl Palmitate, Glyceryl Stearate และ Polysorbates สามารถเป็นอาหารให้เชื้อราได้เช่นกัน

เมื่อไหร่ที่ควรพบแพทย์เพื่อรักษาสิวผดที่หน้าผาก

ควรไปพบแพทย์ผิวหนังเมื่อสิวผดมีความรุนแรง, ลุกลามเป็นวงกว้าง, หรือ ไม่ดีขึ้นหลังจากดูแลและรักษาด้วยตนเองเป็นเวลา 2–4 สัปดาห์ นอกจากนี้ ควรไปพบแพทย์หากมีอาการดังต่อไปนี้

  • อาการไม่ดีขึ้นเลย: หลังจากพยายามรักษาด้วยตนเองนาน 4–6 สัปดาห์แล้วอาการยังไม่ดีขึ้น
  • มีอาการผิดปกติ: ตุ่มสิวมีขนาดใหญ่และเจ็บปวดมาก มีหนองไหล เป็นไข้ หรือมีอาการทางร่างกายอื่นๆ ร่วมด้วย ซึ่งไม่ใช่ลักษณะทั่วไปของสิวผด
  • กลับมาเป็นซ้ำบ่อย: สิวผดกลับมาเป็นซ้ำบ่อยครั้งหลังจากที่รักษาจนดีขึ้นแล้ว เพื่อหาสาเหตุและวางแผนการรักษาเพื่อควบคุมในระยะยาว
  • ต้องการการวินิจฉัยที่ถูกต้อง: หากไม่แน่ใจว่าอาการที่เป็นใช่สิวผดจากเชื้อราหรือไม่ แพทย์สามารถตรวจวินิจฉัยเพื่อแยกโรคจากภาวะอื่นๆ เช่น สิวอักเสบ หรือรูขุมขนอักเสบจากเชื้อแบคทีเรีย

แนวทางการรักษาโดยแพทย์: จากยาทาถึงทรีตเมนต์ในคลินิก

การใช้ยารักษาเชื้อราและยาลดการอักเสบ

โดยทั่วไป การรักษาจะใช้ยาต้านเชื้อราร่วมกับยาลดการอักเสบในกรณีที่มีการอักเสบอย่างรุนแรง แต่ต้องใช้ด้วยความระมัดระวัง

แพทย์ผิวหนังอาจสั่งยาต้านเชื้อราชนิดทา เช่น คีโตโคนาโซล (Ketoconazole) 2% หรือ ไซโคลพิรอกซ์ โอลาไมน์ (Ciclopirox olamine) 1% เป็นการรักษาหลัก สำหรับกรณีที่มีการอักเสบมาก อาจมีการใช้สเตียรอยด์ชนิดทาที่มีความแรงต่ำ เช่น เดโซไนด์ (Desonide) ร่วมด้วยเป็นระยะเวลาสั้นๆ (ประมาณ 1 สัปดาห์) เพื่อลดการอักเสบ อย่างไรก็ตาม การใช้สเตียรอยด์ในระยะยาวอาจทำให้อาการแย่ลงได้

ทรีตเมนต์เสริมเพื่อลดสิวผดและฟื้นฟูผิว

ทรีตเมนต์เสริมที่แพทย์ผิวหนังอาจใช้รักษาสิวผด ได้แก่ การทำเคมีคอล พีลลิ่ง (Chemical Peels) การใช้เลเซอร์และแสงบำบัด และการกดสิว

ทรีตเมนต์เหล่านี้มักใช้ควบคู่ไปกับการรักษาหลักเพื่อฟื้นฟูผิวและเร่งให้สิวผดยุบเร็วขึ้น

  • เคมีคอล พีลลิ่ง (Chemical Peels): แพทย์มักใช้กรดซาลิไซลิก (Salicylic Acid) หรือกรดแมนเดลิก (Mandelic Acid) เพื่อช่วยผลัดเซลล์ผิว ลดการอุดตันในรูขุมขน และลดปริมาณเชื้อยีสต์
  • เลเซอร์และแสงบำบัด (Laser and Light Therapies): สำหรับกรณีที่ดื้อต่อการรักษา อาจใช้การบำบัดด้วยแสง (Photodynamic Therapy – PDT) หรือ Intense Pulsed Light (IPL) เพื่อช่วยลดการอักเสบและลดการทำงานของต่อมไขมัน
  • การกดสิว (Manual Extraction): แพทย์อาจทำการกดเอาสิ่งที่อุดตันในรูขุมขนที่ดื้อต่อการรักษาออก เพื่อช่วยให้สิวผดยุบเร็วขึ้น

ข้อควรพิจารณาก่อนตัดสินใจเลือกวิธีรักษา

การประเมินความรุนแรงและสภาพผิวของตนเอง

ควรไปพบแพทย์ผิวหนังหากสิวเชื้อรามีอาการรุนแรง, เป็นวงกว้าง, หรือไม่ดีขึ้นหลังจากการดูแลตัวเองเป็นเวลา 2-4 สัปดาห์ นอกจากนี้ ควรไปพบแพทย์หากมีอาการผิดปกติซึ่งอาจบ่งชี้ถึงภาวะแทรกซ้อนหรือการวินิจฉัยที่ไม่ถูกต้อง

สัญญาณเตือนที่ควรไปพบแพทย์ทันที ได้แก่:

  • อาการไม่ดีขึ้น: หากลองรักษาด้วยตนเองแล้วอาการไม่ดีขึ้นเลยภายใน 4-6 สัปดาห์
  • ลักษณะตุ่มที่ผิดปกติ: มีตุ่มหนองขนาดใหญ่ที่เจ็บปวด มีหนองไหล หรือมีเปลือกสีเหลือง ซึ่งไม่ใช่ลักษณะทั่วไปของสิวเชื้อรา
  • อาการทางร่างกายอื่นๆ: มีไข้ รู้สึกไม่สบาย หรือผื่นแดงลุกลาม ซึ่งอาจเป็นสัญญาณของการติดเชื้อที่รุนแรงขึ้น

ระยะเวลาและผลลัพธ์ที่คาดหวังจากการรักษาแต่ละแบบ

โดยทั่วไป สิวเชื้อราจะตอบสนองต่อการรักษาได้เร็วกว่าสิวทั่วไป โดยระยะเวลาและผลลัพธ์จะแตกต่างกันไปตามวิธีที่ใช้

  • การรักษาด้วยยาทา: จะเริ่มเห็นผลเบื้องต้นภายใน 2 สัปดาห์ เช่น อาการคันลดลงและตุ่มยุบตัวลง และจะเห็นผลชัดเจน (ตุ่มลดลง 50-75%) ภายใน 4 สัปดาห์
  • การรักษาด้วยยารับประทาน: จะเห็นผลเร็วขึ้นอย่างชัดเจนภายใน 7-10 วัน และตุ่มมักจะหายเกือบทั้งหมดเมื่อสิ้นสุดคอร์สการรักษาประมาณ 2 สัปดาห์
  • ลำดับการฟื้นตัว: โดยทั่วไปอาการคันจะลดลงก่อนเป็นอันดับแรก ตามมาด้วยตุ่มแดงที่ค่อยๆ ยุบตัวลงและเรียบเนียนขึ้น เมื่อตุ่มหายแล้วอาจทิ้งรอยแดงหรือรอยดำไว้ชั่วคราวซึ่งจะค่อยๆ จางหายไป
  • การกลับมาเป็นซ้ำ: สิวเชื้อรามีแนวโน้มที่จะกลับมาเป็นซ้ำได้สูง (ประมาณ 30-35%) หากไม่ได้รับการดูแลอย่างต่อเนื่องหลังการรักษา ดังนั้นการใช้ยาทาเพื่อป้องกันสัปดาห์ละ 1-2 ครั้งจึงเป็นสิ่งสำคัญในการควบคุมระยะยาว

ข้อผิดพลาดที่ควรเลี่ยงซึ่งอาจทำให้สิวผดแย่ลง

ข้อผิดพลาดที่ควรเลี่ยงซึ่งอาจทำให้สิวผดแย่ลงคือการใช้ผลิตภัณฑ์ที่กระตุ้นเชื้อรา การรักษาเหมือนสิวอักเสบทั่วไป การขัดผิวรุนแรงเกินไป และการหยุดยาเร็วเกินไป ซึ่งข้อผิดพลาดอื่นๆ ที่ควรระวังมีดังนี้

  • การใช้ผลิตภัณฑ์ที่กระตุ้นเชื้อรา: หลีกเลี่ยงสกินแคร์ที่มีส่วนผสมของน้ำมันบางชนิด (เช่น น้ำมันมะพร้าว น้ำมันมะกอก) เอสเทอร์ หรือโพลีซอร์เบตซึ่งเป็นอาหารของเชื้อรา
  • การรักษาเหมือนสิวอักเสบทั่วไป: การใช้ยาปฏิชีวนะชนิดทาหรือรับประทานสำหรับรักษาสิวทั่วไปจะไม่ได้ผลกับสิวผด และอาจทำให้อาการแย่ลงจากการไปทำลายสมดุลของจุลินทรีย์บนผิว
  • การขัดผิวหรือรักษาอย่างรุนแรงเกินไป: การสครับผิวหน้าอย่างรุนแรงหรือใช้กรดผลัดเซลล์ผิวบ่อยเกินไปจะทำลายเกราะป้องกันผิว ทำให้ผิวอ่อนแอและอักเสบมากขึ้น
  • การหยุดการรักษาเร็วเกินไป: การหยุดใช้ยาต้านเชื้อราทันทีที่เห็นว่าอาการดีขึ้น อาจทำให้เชื้อราที่ยังหลงเหลืออยู่กลับมาเติบโตและทำให้สิวผดกลับมาเป็นซ้ำได้ จึงควรใช้ยาให้ครบตามกำหนด
  • การใช้ผลิตภัณฑ์ที่อุดตันผิว: การใช้ครีมเนื้อหนัก ขี้ผึ้ง หรือเครื่องสำอางที่อุดตันผิว จะเป็นการกักเก็บความร้อนและความชื้นไว้บนผิว ซึ่งเป็นสภาวะที่เชื้อราชอบ
  • การใช้สูตร DIY ที่เป็นอันตราย: การใช้ส่วนผสมที่รุนแรง เช่น น้ำส้มสายชูที่ไม่เจือจาง หรือกระเทียมสดทาบนผิวโดยตรง อาจทำให้ผิวไหม้และเกราะป้องกันผิวเสียหายได้

คำถามที่พบบ่อยเกี่ยวกับสิวผดที่หน้าผาก

สิวผดที่หน้าผากเกิดจากเชื้อราใช่หรือไม่?

ใช่ สิวผดที่หน้าผากส่วนใหญ่มักเกิดจากการเจริญเติบโตที่มากเกินไปของเชื้อรายีสต์ ซึ่งเป็นภาวะที่เรียกว่า สิวเชื้อรา หรือ Malassezia folliculitis

ลักษณะเด่นของสิวเชื้อราคือเป็นตุ่มเล็กๆ ขนาดใกล้เคียงกัน (monomorphic) และมักมีอาการคัน ซึ่งแตกต่างจากสิวทั่วไป (Acne vulgaris) ที่มักไม่มีอาการคันและไม่มีหัวสิวอุดตัน (comedones) เช่น สิวหัวดำหรือสิวหัวขาว

การสวมหมวกหรือไว้ผมหน้าม้าทำให้เกิดสิวผดได้จริงหรือ?

จริง การสวมหมวกเป็นเวลานานหรือการไว้ผมหน้าม้าสามารถกระตุ้นให้เกิดสิวผด (Malassezia folliculitis) หรือทำให้อาการแย่ลงได้ เนื่องจากเป็นการสร้างสภาวะที่เอื้อต่อการเจริญเติบโตของเชื้อรา

  • หมวกและอุปกรณ์สวมศีรษะ: ทำให้เกิดการอับชื้นจากการกักเก็บความร้อน เหงื่อ และน้ำมันไว้ที่ผิวหนัง ซึ่งเป็นสภาวะที่เชื้อรามาลาสซีเซีย (Malassezia) เจริญเติบโตได้ดี นอกจากนี้ การเสียดสียังอาจระคายเคืองรูขุมขน
  • ผมหน้าม้า: ทำหน้าที่คล้ายกันโดยจะปกคลุมหน้าผาก ทำให้อากาศไม่ถ่ายเท และกักเก็บเหงื่อและน้ำมันจากเส้นผมไว้บนผิวหนัง ซึ่งเป็นการสร้างสภาพแวดล้อมที่เหมาะกับการเติบโตของเชื้อรา

สิวผดที่หน้าผากแตกต่างจากสิวอุดตันอย่างไร?

สิวผดที่หน้าผากเกิดจากการอักเสบของรูขุมขนที่เกิดจากเชื้อรายีสต์และมักมีอาการคัน ในขณะที่สิวอุดตันเป็นเพียงการอุดตันของรูขุมขนที่ไม่มีการอักเสบและไม่คัน ความแตกต่างที่สำคัญ ได้แก่

  • สาเหตุ: สิวผดเกิดจากการอักเสบที่เกิดจากเชื้อรายีสต์ *Malassezia* ส่วนสิวอุดตันเกิดจากการอุดตันของรูขุมขน ไม่ได้เกิดจากการติดเชื้อ
  • ลักษณะ: สิวผดมักเป็นตุ่มแดงเล็กๆ ขนาดใกล้เคียงกันและกระจายเป็นวงกว้าง ในขณะที่สิวอุดตันเป็นตุ่มสีเนื้อหรือสีขาวที่ไม่มีอาการแดง
  • อาการ: สิวผดมีอาการคันเป็นลักษณะเด่น แต่สิวอุดตันจะไม่มีอาการคัน

ควรใช้ผลิตภัณฑ์อะไรเพื่อดูแลสิวผดที่หน้าผากเบื้องต้น?

สำหรับการดูแลสิวผดที่หน้าผากเบื้องต้น ควรใช้ผลิตภัณฑ์ที่มีส่วนผสมออกฤทธิ์ต้านเชื้อรา ซึ่งมักพบในแชมพูขจัดรังแคที่นำมาใช้ล้างหน้า

ผลิตภัณฑ์ที่แนะนำเบื้องต้น ได้แก่:

  • ผลิตภัณฑ์ล้างหน้าที่มีส่วนผสมต้านเชื้อรา: เช่น คีโตโคนาโซล (Ketoconazole), ซิงค์ ไพริไธโอน (Zinc Pyrithione) หรือซีลีเนียม ซัลไฟด์ (Selenium Sulfide) ซึ่งมักอยู่ในรูปแบบแชมพูขจัดรังแคที่สามารถนำมาใช้เป็นโฟมล้างหน้าได้ (ทิ้งไว้ 2-5 นาทีก่อนล้างออก)
  • ผลิตภัณฑ์ผลัดเซลล์ผิว: เลือกใช้ผลิตภัณฑ์ที่มีกรดซาลิไซลิก (Salicylic Acid) หรือกรดแมนเดลิก (Mandelic Acid) เพื่อช่วยทำความสะอาดรูขุมขนและลดการอุดตัน
  • มอยส์เจอไรเซอร์ที่เชื้อราไม่สามารถใช้เป็นอาหารได้ (Fungal Acne-Safe): เลือกใช้ผลิตภัณฑ์ที่ให้ความชุ่มชื้นแต่ปราศจากน้ำมันและกรดไขมันบางชนิด โดยมองหาส่วนผสม เช่น สควาเลน (Squalane) หรือกลีเซอรีน (Glycerin)

สิวผดที่หน้าผากสามารถหายเองได้หรือไม่?

สิวผดที่หน้าผากสามารถหายเองได้ในบางกรณี แต่เกิดขึ้นได้ไม่บ่อยนัก และมักจะเกิดขึ้นเมื่อปัจจัยกระตุ้นที่ทำให้เกิดสิวหมดไป

การที่สิวผดจะหายไปเองได้นั้นมักขึ้นอยู่กับการเปลี่ยนแปลงของปัจจัยต่างๆ ดังนี้

  • การเปลี่ยนแปลงของฤดูกาล เมื่ออากาศเปลี่ยนจากร้อนชื้นเป็นเย็นและแห้ง เชื้อราจะเติบโตได้ไม่ดี ทำให้สิวผดลดลงได้เอง
  • การหยุดใช้ยาบางชนิด หากสิวผดถูกกระตุ้นจากการใช้ยาปฏิชีวนะหรือสเตียรอยด์ เมื่อหยุดใช้ยาเหล่านั้นแล้ว สิวผดอาจค่อยๆ หายไป
  • การกำจัดปัจจัยกระตุ้นอื่นๆ เช่น การย้ายจากพื้นที่อากาศร้อนชื้นไปยังที่ที่อากาศเย็นกว่า หรือการปรับเปลี่ยนพฤติกรรมที่ทำให้เกิดการอับชื้นบนหน้าผาก

อย่างไรก็ตาม หากไม่ได้รับการรักษาและปัจจัยกระตุ้นยังคงอยู่ สิวผดมักจะกลายเป็นปัญหาเรื้อรังและเป็นๆ หายๆ ดังนั้นการรักษาจึงเป็นทางเลือกที่ดีกว่าการรอให้หายเอง

ใช้เวลานานแค่ไหนในการรักษาสิวผดที่หน้าผากให้หาย?

โดยทั่วไปแล้ว สิวผดที่หน้าผากจะดีขึ้นอย่างเห็นได้ชัดภายใน 2-4 สัปดาห์ เมื่อได้รับการรักษาที่เหมาะสม ซึ่งระยะเวลาจะขึ้นอยู่กับความรุนแรงและวิธีการรักษา

  • การรักษาด้วยยาทาเฉพาะที่: อาการคันและตุ่มผดจะเริ่มลดลงใน 2 สัปดาห์ และจะดีขึ้นอย่างมากใน 4 สัปดาห์
  • การรักษาด้วยยารับประทาน: จะเห็นผลเร็วกว่า โดยอาการจะดีขึ้นอย่างมากใน 7-10 วัน และอาจหายสนิทหลังจากครบคอร์สการรักษา 2 สัปดาห์

References:

  1. Cleveland Clinic. (n.d.). Forehead Acne. my.clevelandclinic.org.
  2. Chalupczak NV & Lipner SR. (2025). Malassezia Folliculitis: An Underdiagnosed Mimicker of Acneiform Eruptions. Journal of Fungi (MDPI). mdpi.com
  3. Pinney SS. (2024). Malassezia (Pityrosporum) Folliculitis Guidelines – EADV Recommendations. Medscape Dermatology. medscape.com
  4. Providence Health. (2021). 5 Skin Conditions That Commonly Thrive at the Gym—and How to Avoid Them. Providence Health Blog. providence.org

แนะแนวเรื่อง

Previous Previous
ฉีดอะไรลดรอยสิว? เปิดราคาทุกหัตถการยอดนิยมที่เห็นผลจริง

สาขาพรีวาโต คลินิก

    สาขาอโศก ตั้งอยู่ที่ ชั้น 2 อาคารมิดทาวน์
    Phone: 02-258-4050 , 081-841-5075
    สาขาสีลม ตั้งอยู่ที่ ชั้น 1 อาคารซี.พี.ทาวเวอร์
    Phone: 02-780-2011 , 098-272-5244
    สาขาราชพฤกษ์ ตั้งอยู่ที่ ชั้น 2 ศูนย์การค้า เดอะคริสตัล เอสบี (ด้านบนร้านสตาร์บัคส์)
    Phone: 02-102-2778 , 098-272-5244

ติดต่อเรา

    Facebook: Privato Clinic
    Messenger: Privato Clinic
    Instagram: privatoclinic
    Email: privatoclinic@gmail.com
    Line: @privatoclinic

Copyright© 2022-2024. All Rights Reserved

Scroll to top
  • หน้าหลัก
  • เกี่ยวกับพรีวาโต
  • บริการทั้งหมด
    • ชะลอวัย
    • ยกกระชับผิว
      • XERF
      • Potenza
      • Sofwave
      • Ulthera
      • Thermage-FLX
    • รักษาสิว
    • เลเซอร์
    • โปรแกรมฉีด
    • บำรุงผิว
  • บทความ
    • สิว
    • ยกกระชับ
    • ดูแลผิว
    • ทำเลเซอร์
  • ผลิตภัณฑ์ดูแลผิว
  • โปรโมชั่น
  • ผลลัพธ์การรักษา
  • วิดีโอรีวิวจากเคสจริง
  • สาขาของเรา
  • ไทย
    • ไทย
    • English
    • 中文 (中国)
  • ปรึกษาแพทย์
Facebook Instagram YouTube