Skip to content

TEL : 081-841-5075, 02-258-4050

Facebook Instagram YouTube
Privato Clinic – Innovation Of Beauty  |  Bangkok
  • หน้าหลัก
  • เกี่ยวกับพรีวาโต
  • บริการทั้งหมดExpand
    • ชะลอวัย
    • ยกกระชับผิวExpand
      • XERF
      • Potenza
      • Sofwave
      • Ulthera
      • Thermage-FLX
    • รักษาสิว
    • เลเซอร์
    • โปรแกรมฉีด
    • บำรุงผิว
  • บทความExpand
    • สิว
    • ยกกระชับ
    • ดูแลผิว
    • ทำเลเซอร์
  • ผลิตภัณฑ์ดูแลผิว
  • โปรโมชั่น
  • ผลลัพธ์การรักษา
  • วิดีโอรีวิวจากเคสจริง
  • สาขาของเรา
  • ไทยExpand
    • ไทย
    • English
    • 中文 (中国)
  • ปรึกษาแพทย์
Privato Clinic – Innovation Of Beauty  |  Bangkok
Consult a Doctor
Acne

สิวสเตียรอยด์: สาเหตุ การรักษา และวิธีป้องกันที่ถูกต้อง

Byadmin สิงหาคม 12, 2025สิงหาคม 12, 2025
By นายแพทย์เลอพงษ์ กรุดเงิน Updated on สิงหาคม 12, 2025
✦ Medically reviewed by  แพทย์หญิงนัชชนก หุ่นวิจิตร

สิวสเตียรอยด์คือสิวที่เกิดจากการใช้ยาสเตียรอยด์โดยตรง ซึ่งการจะรับมือกับปัญหานี้ได้อย่างมีประสิทธิภาพจำเป็นต้องเข้าใจถึงสาเหตุ ลักษณะเฉพาะตัว วิธีการรักษา และแนวทางการป้องกันที่ถูกต้อง

สิวสเตียรอยด์บนใบหน้าตำแหน่งแก้ม

Table of Contents

Toggle
  • สิวสเตียรอยด์มีลักษณะและอาการเป็นอย่างไร?
    • 5 สัญญาณเตือนของผิวติดสารสเตียรอยด์
    • ความแตกต่างระหว่างสิวสเตียรอยด์และผื่นแพ้
  • อะไรคือสาเหตุหลักของการเกิดสิวสเตียรอยด์?
    • การใช้ยาและครีมที่มีส่วนผสมของสเตียรอยด์
    • การรับประทานยาสเตียรอยด์ส่งผลต่อสิวหรือไม่?
  • สิวสเตียรอยด์แตกต่างจากสิวประเภทอื่นอย่างไร?
    • เปรียบเทียบสิวสเตียรอยด์กับสิวอุดตันและสิวอักเสบ
  • เราจะรักษาสิวสเตียรอยด์ด้วยตัวเองได้อย่างไร?
    • ขั้นตอนการพักหน้าเพื่อฟื้นฟูผิวจากสเตียรอยด์
    • การเลือกใช้สกินแคร์สำหรับผิวแพ้ง่ายและติดสาร
    • วิธีรักษาด้วยสมุนไพรและธรรมชาติบำบัดทำได้จริงหรือ?
  • ผลิตภัณฑ์และยาชนิดใดที่แนะนำสำหรับรักษาสิวสเตียรอยด์?
    • ครีมและเจลที่ไม่มีส่วนผสมของสเตียรอยด์
    • ยาทาและยารับประทานที่แพทย์อาจสั่งจ่าย
  • ควรไปพบแพทย์เพื่อรักษาสิวสเตียรอยด์เมื่อใด?
    • อาการแบบไหนที่บ่งบอกว่าควรรีบปรึกษาผู้เชี่ยวชาญ
  • ต้องใช้เวลานานแค่ไหนในการรักษาสิวสเตียรอยด์ให้หายขาด?
    • ปัจจัยที่ส่งผลต่อระยะเวลาการรักษา
  • มีวิธีป้องกันการกลับมาเป็นซ้ำของสิวสเตียรอยด์หรือไม่?
    • วิธีตรวจสอบสารสเตียรอยด์ในผลิตภัณฑ์บำรุงผิว
    • การสร้างเกราะป้องกันผิวให้แข็งแรงในระยะยาว
  • Author

สิวสเตียรอยด์มีลักษณะและอาการเป็นอย่างไร?

สิวสเตียรอยด์มีลักษณะเป็นตุ่มแดงและตุ่มหนองขนาดเล็กที่มักมีขนาดเท่าๆ กัน และมักจะเห่อขึ้นมาพร้อมๆ กันอย่างรวดเร็ว

อาการและลักษณะเด่นอื่นๆ ของสิวสเตียรอยด์ ได้แก่

  • บริเวณที่พบ: มักพบบริเวณหน้าอก หลังส่วนบน และต้นแขน แต่อาจพบได้บนใบหน้าเช่นกัน
  • อาการร่วม: อาจมีอาการคันหรือเจ็บร่วมด้วย
  • ความแตกต่างจากสิวทั่วไป: สิวสเตียรอยด์มักไม่มีสิวอุดตันหัวดำหรือหัวขาว (comedones) ซึ่งเป็นลักษณะเด่นของสิวทั่วไป

5 สัญญาณเตือนของผิวติดสารสเตียรอยด์

สัญญาณเตือนของผิวติดสารสเตียรอยด์ ได้แก่ สิวเห่อรุนแรง, ผิวบางและอ่อนแอ, ผิวแดงและแสบร้อน, ผดผื่นคันเฉพาะที่ และอาการกำเริบเมื่อหยุดใช้ยา

  1. สิวเห่อรุนแรง (Steroid Acne): เกิดสิวอักเสบ สิวหนอง หรือสิวผดขึ้นมาพร้อมกันจำนวนมากอย่างรวดเร็ว และมักจะรักษายากกว่าสิวทั่วไป
  2. ผิวบางและอ่อนแอ: ผิวจะบางลงจนเห็นเส้นเลือดฝอยได้ชัดเจน เกิดรอยแดงช้ำหรือเป็นแผลได้ง่าย และไวต่อการระคายเคือง
  3. ผิวแดงและแสบร้อน: มีอาการหน้าแดงผิดปกติ รู้สึกแสบร้อนหรือคันยิบๆ ตลอดเวลา โดยเฉพาะเมื่อโดนความร้อนหรือแสงแดด
  4. ผดผื่นคันเฉพาะที่: เกิดผื่นแดงคล้ายสิวบริเวณรอบปาก รอบจมูก หรือรอบดวงตา ซึ่งเป็นลักษณะเฉพาะของผิวที่ใช้สเตียรอยด์เป็นเวลานาน
  5. อาการกำเริบเมื่อหยุดใช้ (Rebound Phenomenon): เมื่อหยุดใช้สเตียรอยด์ ปัญหาผิวเดิมจะกลับมาเป็นรุนแรงกว่าเดิม ทำให้ต้องกลับไปใช้ยาอีกครั้งเพื่อควบคุมอาการ

ความแตกต่างระหว่างสิวสเตียรอยด์และผื่นแพ้

สิวสเตียรอยด์เกิดจากการใช้ยาที่มีส่วนผสมของสเตียรอยด์ ในขณะที่ผื่นแพ้เกิดจากปฏิกิริยาของระบบภูมิคุ้มกันต่อสารก่อภูมิแพ้ ซึ่งทั้งสองภาวะมีความแตกต่างกันในด้านสาเหตุ ลักษณะอาการ และบริเวณที่เกิด

ตารางเปรียบเทียบความแตกต่างระหว่างสิวสเตียรอยด์และผื่นแพ้:

ลักษณะ สิวสเตียรอยด์ ผื่นแพ้
สาเหตุ การใช้ยาสเตียรอยด์เป็นเวลานาน การสัมผัสหรือรับสารก่อภูมิแพ้
ลักษณะผื่น เป็นตุ่มแดงหรือตุ่มหนองขนาดเท่าๆ กัน มักไม่มีหัวสิว (สิวอุดตัน) มีลักษณะหลากหลาย เช่น ผื่นแดง บวม นูนเป็นปื้น หรือมีตุ่มน้ำใส
อาการคัน อาจมีอาการคันเล็กน้อย หรือไม่มีอาการคันเลย มีอาการคันเป็นอาการเด่นและมักจะคันมาก
บริเวณที่พบ บริเวณที่ทายาสเตียรอยด์ หรือบริเวณที่เกิดสิวง่าย เช่น ใบหน้า หน้าอก หลัง บริเวณที่สัมผัสสารก่อภูมิแพ้ หรืออาจกระจายทั่วร่างกาย

อะไรคือสาเหตุหลักของการเกิดสิวสเตียรอยด์?

สาเหตุหลักของการเกิดสิวสเตียรอยด์คือการใช้ยาในกลุ่มคอร์ติโคสเตียรอยด์ (corticosteroids) ซึ่งเป็นผลข้างเคียงจากการใช้ยาเหล่านี้ทั้งในรูปแบบยาทา ยารับประทาน หรือยาพ่น

ยาคอร์ติโคสเตียรอยด์จะไปกระตุ้นต่อมไขมันให้ผลิตน้ำมัน (sebum) ออกมามากกว่าปกติ และส่งเสริมการเจริญเติบโตของเชื้อแบคทีเรียในรูขุมขน ทำให้เกิดการอุดตันและอักเสบจนกลายเป็นสิว โดยสิวชนิดนี้มักจะขึ้นบริเวณหน้าอก หลัง ไหล่ และแขน และมักจะดีขึ้นเมื่อหยุดใช้ยาภายใต้คำแนะนำของแพทย์

การใช้ยาและครีมที่มีส่วนผสมของสเตียรอยด์

ยาและครีมที่มีส่วนผสมของสเตียรอยด์ เป็นยาที่ใช้เพื่อลดการอักเสบและกดภูมิคุ้มกันของร่างกาย ซึ่งมีประสิทธิภาพในการรักษาโรคต่างๆ แต่จำเป็นต้องใช้อย่างระมัดระวังภายใต้การดูแลของแพทย์

โดยทั่วไป ยาสเตียรอยด์ถูกนำมาใช้เพื่อวัตถุประสงค์ดังนี้

  • รักษาโรคผิวหนัง: ใช้รักษาอาการอักเสบของผิวหนัง เช่น ผื่นแพ้ ผิวหนังอักเสบ (Eczema) โรคสะเก็ดเงิน (Psoriasis) และแมลงสัตว์กัดต่อย
  • บรรเทาอาการแพ้: ช่วยลดปฏิกิริยาการแพ้ต่างๆ ของร่างกาย

ข้อควรระวังในการใช้:

  • ควรใช้ยาตามปริมาณและระยะเวลาที่แพทย์หรือเภสัชกรกำหนดอย่างเคร่งครัด
  • การใช้ยาในปริมาณมากหรือเป็นเวลานานเกินไปอาจทำให้เกิดผลข้างเคียง เช่น ผิวบางลง เกิดรอยแตก หรือเส้นเลือดฝอยขยายตัว
  • ไม่ควรซื้อยามาใช้เองโดยไม่ปรึกษาผู้เชี่ยวชาญ เพราะความแรงของสเตียรอยด์มีหลายระดับและต้องเลือกให้เหมาะกับอาการและบริเวณที่ใช้

การรับประทานยาสเตียรอยด์ส่งผลต่อสิวหรือไม่?

ใช่ การรับประทานยาสเตียรอยด์สามารถส่งผลให้เกิดสิวหรือทำให้สิวที่เป็นอยู่แย่ลงได้

สิวที่เกิดจากการใช้ยาสเตียรอยด์เรียกว่า “สิวสเตียรอยด์” ซึ่งเกิดจากยาไปกระตุ้นต่อมไขมันให้ผลิตน้ำมันออกมามากขึ้น ทำให้เกิดการอุดตันและอักเสบได้ง่าย ลักษณะของสิวชนิดนี้มักเป็นตุ่มแดงหรือตุ่มหนองขนาดเท่าๆ กัน และมักขึ้นบริเวณหน้าอก หลัง ไหล่ และแขน โดยทั่วไปสิวจะค่อยๆ ดีขึ้นเมื่อหยุดใช้ยา แต่ควรปรึกษาแพทย์ก่อนหยุดยาเสมอ

สิวสเตียรอยด์แตกต่างจากสิวประเภทอื่นอย่างไร?

สิวสเตียรอยด์มีความแตกต่างที่สำคัญจากสิวทั่วไปคือลักษณะของสิว ซึ่งมักจะเป็นผดผื่นหรือตุ่มแดงอักเสบ (papules and pustules) ที่มีขนาดเท่าๆ กัน ขึ้นพร้อมกัน และมักไม่มีสิวอุดตัน (comedones) หรือสิวหัวดำและหัวขาวร่วมด้วย

ความแตกต่างที่สำคัญระหว่างสิวสเตียรอยด์และสิวทั่วไปสามารถสรุปได้ดังนี้

ลักษณะ สิวสเตียรอยด์ สิวทั่วไป (Acne Vulgaris)
สาเหตุ ผลข้างเคียงจากการใช้ยาสเตียรอยด์ ทั้งแบบทาและแบบรับประทาน การเปลี่ยนแปลงของฮอร์โมน, การผลิตไขมันที่มากเกินไป, การอุดตันของรูขุมขน และเชื้อแบคทีเรีย
ลักษณะเม็ดสิว มีขนาดเล็กใกล้เคียงกัน เป็นตุ่มแดงหรือตุ่มหนอง (Monomorphic) มีหลายรูปแบบและหลายขนาดปนกัน เช่น สิวอุดตัน, ตุ่มแดง, ตุ่มหนอง, สิวหัวช้าง (Polymorphic)
สิวอุดตัน โดยทั่วไปจะไม่มี มักพบร่วมด้วยเสมอ
บริเวณที่พบ มักพบบริเวณหน้าอก หลังส่วนบน และแขน แต่อาจพบที่ใบหน้าได้เช่นกัน มักพบบริเวณใบหน้า คอ หน้าอก หลัง และไหล่

เปรียบเทียบสิวสเตียรอยด์กับสิวอุดตันและสิวอักเสบ

สิวสเตียรอยด์ สิวอุดตัน และสิวอักเสบมีความแตกต่างกันในด้านสาเหตุ ลักษณะของสิว และอาการที่แสดงออกมา

ตารางเปรียบเทียบความแตกต่างของสิวแต่ละประเภท:

ลักษณะ สิวสเตียรอยด์ (Steroid Acne) สิวอุดตัน (Comedonal Acne) สิวอักเสบ (Inflammatory Acne)
สาเหตุ ผลข้างเคียงจากการใช้ยาสเตียรอยด์ ทั้งแบบทาและแบบรับประทาน การอุดตันของรูขุมขนจากเซลล์ผิวที่ตายแล้วและไขมัน (Sebum) การติดเชื้อแบคทีเรีย (P. acnes) ในรูขุมขนที่อุดตัน ทำให้เกิดการอักเสบ
ลักษณะสิว เป็นตุ่มแดงหรือตุ่มหนองขนาดเท่าๆ กัน ขึ้นพร้อมกันเป็นผื่น ไม่มีหัวสิว เป็นสิวหัวดำ (Blackheads) หรือสิวหัวขาว (Whiteheads) ไม่มีอาการบวมแดง เป็นตุ่มแดง (Papule) ตุ่มหนอง (Pustule) หรือสิวหัวช้าง (Nodule) ซึ่งมีอาการบวมแดงและเจ็บ
บริเวณที่พบ มักพบบริเวณหน้าอก หลัง ไหล่ และแขน หรือบริเวณที่ทายาโดยตรง ส่วนใหญ่พบบนใบหน้า โดยเฉพาะบริเวณ T-zone (หน้าผาก จมูก คาง) พบได้ทั่วใบหน้า ลำคอ หน้าอก และหลัง
อาการร่วม มักมีอาการคัน แต่ไม่ค่อยเจ็บ โดยทั่วไปไม่มีอาการเจ็บหรือคัน มักมีอาการเจ็บปวดเมื่อสัมผัส

เราจะรักษาสิวสเตียรอยด์ด้วยตัวเองได้อย่างไร?

การรักษาสิวสเตียรอยด์ด้วยตัวเองเบื้องต้นคือ การหยุดใช้ผลิตภัณฑ์ที่มีส่วนผสมของสเตียรอยด์ทันที ควบคู่ไปกับการปรับพฤติกรรมการดูแลผิวเพื่อฟื้นฟูเกราะป้องกันผิวให้กลับมาแข็งแรง

คุณสามารถดูแลผิวและบรรเทาอาการได้ตามขั้นตอนต่อไปนี้:

  1. หยุดใช้สเตียรอยด์: นี่คือขั้นตอนที่สำคัญที่สุด แต่ควรเตรียมใจสำหรับอาการถอนยา (Rebound Effect) ซึ่งสิวอาจเห่อขึ้นรุนแรงกว่าเดิมในช่วงแรก ก่อนจะค่อยๆ ดีขึ้น
  2. พักหน้าและใช้ผลิตภัณฑ์ที่อ่อนโยน:
  • ล้างหน้าด้วยผลิตภัณฑ์ทำความสะอาดที่อ่อนโยน ไม่มีน้ำหอม และไม่มีสารที่ก่อให้เกิดการระคายเคือง
  • ใช้มอยส์เจอไรเซอร์ที่เน้นเสริมสร้างความแข็งแรงให้เกราะป้องกันผิว (Skin Barrier) และเติมความชุ่มชื้น
  • หลีกเลี่ยงการสครับผิว การขัดถูใบหน้าแรงๆ และงดใช้ผลิตภัณฑ์ที่มีส่วนผสมของแอลกอฮอล์หรือกรดผลัดเซลล์ผิว (AHA, BHA) ในช่วงที่ผิวยังอ่อนแอ
  • ปกป้องผิวจากแสงแดด: ทาครีมกันแดดเป็นประจำทุกวันเพื่อป้องกันผิวที่บอบบางจากการถูกทำร้ายโดยรังสียูวี
  • ปรึกษาแพทย์หรือเภสัชกร: หากอาการรุนแรงหรือไม่ดีขึ้นภายใน 2-4 สัปดาห์ ควรไปพบแพทย์ผิวหนังเพื่อรับการวินิจฉัยและการรักษาที่ถูกต้อง ซึ่งอาจต้องใช้ยาทาหรือยารับประทานเพื่อควบคุมการอักเสบ

ขั้นตอนการพักหน้าเพื่อฟื้นฟูผิวจากสเตียรอยด์

ขั้นตอนการพักหน้าเพื่อฟื้นฟูผิวจากสเตียรอยด์ประกอบด้วยการหยุดใช้ยาภายใต้การดูแลของแพทย์ การดูแลผิวช่วงถอนยา และการสร้างเกราะป้องกันผิวให้กลับมาแข็งแรง โดยมีแนวทางปฏิบัติดังนี้

  1. ปรึกษาแพทย์เพื่อหยุดใช้สเตียรอยด์ ควรปรึกษาแพทย์หรือเภสัชกรก่อนหยุดใช้เสมอ เพราะการหยุดยาทันทีอาจทำให้อาการกำเริบรุนแรง (Rebound Effect) แพทย์อาจแนะนำให้ค่อยๆ ลดความถี่หรือความเข้มข้นของยาลง (Tapering)
  2. รับมือกับอาการถอนยา ในช่วงแรกผิวอาจมีอาการเห่อ แดง คัน หรือลอกอย่างรุนแรง ควรเน้นการดูแลผิวอย่างอ่อนโยนที่สุดเพื่อประคองผิวให้ผ่านช่วงนี้ไปได้
  3. ทำความสะอาดอย่างอ่อนโยน ใช้ผลิตภัณฑ์ล้างหน้าที่อ่อนโยน ไม่มีสบู่ (Soap-free) มีค่า pH ใกล้เคียงกับผิว และหลีกเลี่ยงการขัดถูใบหน้า
  4. เน้นการให้ความชุ่มชื้น ทามอยส์เจอไรเซอร์ที่เน้นฟื้นฟูเกราะป้องกันผิว (Skin Barrier) เลือกสูตรที่ไม่มีน้ำหอม แอลกอฮอล์ และสารที่อาจก่อให้เกิดการระคายเคือง ส่วนผสมที่แนะนำคือเซราไมด์ (Ceramides) และกรดไฮยาลูรอนิก (Hyaluronic Acid)
  5. ปกป้องผิวจากแสงแดด ผิวในช่วงนี้จะไวต่อแสงมาก ควรทาครีมกันแดดที่มีค่า SPF 30 ขึ้นไปเป็นประจำทุกวัน โดยเลือกใช้กันแดดประเภท Physical (Mineral) ซึ่งมักจะอ่อนโยนกว่า
  6. หลีกเลี่ยงสารกระตุ้นและผลิตภัณฑ์อื่นๆ งดใช้ผลิตภัณฑ์ที่มีส่วนผสมออกฤทธิ์ (Active Ingredients) ทุกชนิด เช่น วิตามินซี, เรตินอล, AHA, BHA รวมถึงสครับหรือมาสก์ต่างๆ เพื่อลดการรบกวนผิวให้มากที่สุด
  7. อดทนและให้เวลาผิว กระบวนการฟื้นฟูผิวอาจใช้เวลาหลายสัปดาห์ไปจนถึงหลายเดือน ขึ้นอยู่กับระยะเวลาและความเข้มข้นของสเตียรอยด์ที่เคยใช้

ควรหยุดใช้ผลิตภัณฑ์ทุกชนิดเลยหรือไม่?

โดยทั่วไปแล้ว ควรหยุดใช้ผลิตภัณฑ์ทุกชนิดไปก่อนชั่วคราว เพื่อให้ผิวได้พักและฟื้นตัวจากการระคายเคือง หลังจากอาการดีขึ้นแล้วจึงค่อยๆ กลับมาใช้ทีละชิ้นเพื่อหาสาเหตุที่แท้จริง

ต้องพักหน้านานแค่ไหนถึงจะเห็นผล?

โดยทั่วไปแล้ว การพักหน้าควรทำประมาณ 1-2 สัปดาห์ เพื่อให้ผิวได้มีเวลาปรับสมดุลและฟื้นฟูตัวเองจากอาการระคายเคือง

ระยะเวลานี้เพียงพอที่จะทำให้เกราะป้องกันผิว (Skin Barrier) แข็งแรงขึ้น และช่วยให้คุณสังเกตเห็นสภาพผิวที่แท้จริงของตัวเองได้ดีขึ้น อย่างไรก็ตาม หากผิวมีปัญหาการระคายเคืองรุนแรง อาจต้องใช้เวลานานขึ้นถึง 4 สัปดาห์ ซึ่งเป็นระยะเวลาใกล้เคียงกับวงจรการผลัดเซลล์ผิวตามธรรมชาติ

การเลือกใช้สกินแคร์สำหรับผิวแพ้ง่ายและติดสาร

การเลือกใช้สกินแคร์สำหรับผิวแพ้ง่ายและติดสารควรเน้นผลิตภัณฑ์ที่อ่อนโยน ช่วยฟื้นฟูเกราะป้องกันผิว และหลีกเลี่ยงส่วนผสมที่ก่อให้เกิดการระคายเคือง โดยมีหลักการสำคัญดังนี้

  • เลือกส่วนผสมที่ช่วยปลอบประโลมและเสริมความแข็งแรงให้ผิว เช่น
  • เซราไมด์ (Ceramides): ช่วยเสริมสร้างเกราะป้องกันผิว
  • แพนทีนอล (Panthenol) หรือวิตามินบี 5: ช่วยลดการอักเสบและให้ความชุ่มชื้น
  • ไนอะซินาไมด์ (Niacinamide): ช่วยลดรอยแดงและเสริมเกราะป้องกันผิว (ควรเริ่มจากความเข้มข้นต่ำ)
  • สารสกัดจากธรรมชาติ: เช่น ใบบัวบก (Centella Asiatica/Cica) หรือว่านหางจระเข้ (Aloe Vera) ช่วยปลอบประโลมผิว
  • หลีกเลี่ยงส่วนผสมที่อาจก่อให้เกิดการระคายเคือง ได้แก่
  • แอลกอฮอล์ (ชนิดที่ทำให้ผิวแห้ง เช่น Alcohol Denat.)
  • น้ำหอม (Fragrance) และน้ำมันหอมระเหย (Essential Oils)
  • สารกันเสียกลุ่มพาราเบน (Parabens)
  • สารทำความสะอาดที่รุนแรง เช่น SLS (Sodium Lauryl Sulfate)
  • ใช้สกินแคร์ให้น้อยชิ้นที่สุด เน้นเพียงขั้นตอนพื้นฐานที่จำเป็น คือ ผลิตภัณฑ์ทำความสะอาดที่อ่อนโยน, มอยส์เจอไรเซอร์ และครีมกันแดด
  • ทดสอบผลิตภัณฑ์ก่อนใช้ (Patch Test) โดยทาผลิตภัณฑ์บริเวณท้องแขนหรือหลังหู ทิ้งไว้ 24-48 ชั่วโมงเพื่อสังเกตอาการแพ้
  • ใช้ครีมกันแดดเป็นประจำ ควรเลือกใช้ครีมกันแดดชนิด Physical (มีส่วนผสมของ Zinc Oxide หรือ Titanium Dioxide) ซึ่งมีโอกาสระคายเคืองน้อยกว่า

สำหรับผิวที่ติดสารสเตียรอยด์โดยเฉพาะ ควรปรึกษาแพทย์ผิวหนังเพื่อรับการวินิจฉัยและการรักษาที่ถูกต้องก่อนเริ่มใช้ผลิตภัณฑ์ใดๆ ด้วยตนเอง

วิธีรักษาด้วยสมุนไพรและธรรมชาติบำบัดทำได้จริงหรือ?

การรักษาด้วยสมุนไพรและธรรมชาติบำบัดสามารถใช้ได้ผลจริงสำหรับบางอาการหรือบางโรค แต่ประสิทธิภาพจะแตกต่างกันไปและไม่ใช่ทุกวิธีที่จะมีหลักฐานทางวิทยาศาสตร์รองรับอย่างชัดเจน

ยาแผนปัจจุบันหลายชนิดก็มีต้นกำเนิดมาจากพืชและสมุนไพร อย่างไรก็ตาม สิ่งสำคัญคือต้องเลือกใช้สมุนไพรที่ผ่านการวิจัยและยอมรับว่ามีสรรพคุณในการรักษาโรคนั้นๆ และควรปรึกษาแพทย์หรือผู้เชี่ยวชาญก่อนใช้เสมอเพื่อความปลอดภัย เนื่องจากสมุนไพรบางชนิดอาจมีผลข้างเคียงหรือทำปฏิกิริยากับยาอื่นได้

ผลิตภัณฑ์และยาชนิดใดที่แนะนำสำหรับรักษาสิวสเตียรอยด์?

การรักษาสิวสเตียรอยด์ที่สำคัญที่สุดคือ การหยุดใช้ยาสเตียรอยด์ที่เป็นสาเหตุ ภายใต้คำแนะนำของแพทย์ ร่วมกับการใช้ยารักษาสิวเพื่อควบคุมอาการ

โดยทั่วไปแพทย์อาจแนะนำผลิตภัณฑ์และยาต่อไปนี้เพื่อรักษาสิวสเตียรอยด์:

  • ยาทาปฏิชีวนะ: เช่น คลินดามัยซิน (Clindamycin) เพื่อลดการอักเสบและยับยั้งเชื้อแบคทีเรีย
  • ยาทากลุ่มอนุพันธ์วิตามินเอ (Retinoids): เช่น อะแดพาลีน (Adapalene) เพื่อช่วยผลัดเซลล์ผิวและลดการอุดตันของรูขุมขน
  • เบนโซอิลเพอร์ออกไซด์ (Benzoyl Peroxide): ช่วยฆ่าเชื้อแบคทีเรีย P. acnes ที่เป็นสาเหตุหนึ่งของสิวอักเสบ
  • ยารับประทาน: ในกรณีที่มีอาการรุนแรง แพทย์อาจพิจารณาให้ยาปฏิชีวนะชนิดรับประทาน เช่น ด็อกซีไซคลิน (Doxycycline) หรือยาในกลุ่มอนุพันธ์วิตามินเอ เช่น ไอโสเตรทิโนอิน (Isotretinoin)

สิ่งสำคัญคือควรปรึกษาแพทย์หรือเภสัชกรเพื่อรับการวินิจฉัยและการรักษาที่ถูกต้อง ไม่ควรซื้อยามาใช้เอง เนื่องจากการหยุดใช้สเตียรอยด์ทันทีอาจทำให้เกิดผลข้างเคียงได้

ครีมและเจลที่ไม่มีส่วนผสมของสเตียรอยด์

ครีมและเจลที่ไม่มีส่วนผสมของสเตียรอยด์ (Non-steroidal cream/gel) คือยาใช้ภายนอกสำหรับลดการอักเสบและอาการคันของผิวหนัง โดยเป็นทางเลือกแทนการใช้ยาสเตียรอยด์เพื่อลดความเสี่ยงจากผลข้างเคียงระยะยาว

ยาในกลุ่มนี้ทำงานผ่านกลไกที่แตกต่างกันเพื่อบรรเทาอาการทางผิวหนัง ตัวอย่างกลุ่มยาที่ใช้บ่อย ได้แก่

  • ยากลุ่ม Calcineurin inhibitors: เช่น Tacrolimus และ Pimecrolimus ใช้รักษาผื่นภูมิแพ้ผิวหนัง (Atopic dermatitis) โดยเฉพาะบริเวณที่ผิวบอบบางอย่างใบหน้าและรอบดวงตา
  • ยากลุ่ม PDE4 inhibitors: เช่น Crisaborole ใช้สำหรับรักษาผื่นภูมิแพ้ผิวหนังระดับเล็กน้อยถึงปานกลาง
  • ผลิตภัณฑ์ให้ความชุ่มชื้น (Moisturizers): ครีมที่มีส่วนผสมของเซราไมด์ (Ceramides) หรือสารสกัดจากข้าวโอ๊ต จะช่วยฟื้นฟูเกราะป้องกันผิวและลดอาการคันจากผิวแห้ง

ยาทาและยารับประทานที่แพทย์อาจสั่งจ่าย

ยาทาและยารับประทานที่แพทย์อาจสั่งจ่ายเพื่อรักษาสิว มีหลายกลุ่มยาซึ่งออกฤทธิ์แตกต่างกันไป ตั้งแต่การลดการอุดตัน ลดเชื้อแบคทีเรีย ไปจนถึงการปรับฮอร์โมน

แพทย์อาจพิจารณาสั่งจ่ายยาตามความรุนแรงและชนิดของสิว ดังนี้

ยาทา (Topical Medications)

  • ยาทากลุ่มเรตินอยด์ (Topical Retinoids): เป็นยาที่สกัดจากวิตามินเอ ช่วยป้องกันการอุดตันของรูขุมขน เช่น Tretinoin, Adapalene
  • ยาปฏิชีวนะชนิดทา (Topical Antibiotics): ช่วยฆ่าเชื้อแบคทีเรียบนผิวหนังและลดการอักเสบ มักใช้ร่วมกับยาอื่นเพื่อป้องกันการดื้อยา เช่น Clindamycin, Erythromycin
  • กรดซาลิไซลิกและกรดอะซีลาอิก (Salicylic Acid and Azelaic Acid): กรดซาลิไซลิกช่วยป้องกันการอุดตัน ส่วนกรดอะซีลาอิกมีคุณสมบัติต้านเชื้อแบคทีเรีย
  • แดปโซน (Dapsone): เป็นยาในรูปแบบเจลที่ช่วยลดการอักเสบ เหมาะสำหรับสิวอักเสบ โดยเฉพาะในผู้หญิง

ยารับประทาน (Oral Medications)

  • ยาปฏิชีวนะชนิดรับประทาน (Oral Antibiotics): ใช้สำหรับสิวระดับปานกลางถึงรุนแรง เพื่อลดเชื้อแบคทีเรียและการอักเสบ เช่น Doxycycline, Minocycline
  • ยาคุมกำเนิดชนิดฮอร์โมนรวม (Combined Oral Contraceptives): มีประโยชน์สำหรับผู้หญิงที่มีสิวซึ่งเกี่ยวข้องกับฮอร์โมน โดยยาจะช่วยปรับสมดุลของฮอร์โมน
  • ยาต้านฮอร์โมนแอนโดรเจน (Anti-androgen Agents): ออกฤทธิ์ยับยั้งฮอร์โมนเพศชาย (Androgen) ซึ่งเป็นสาเหตุหนึ่งของการเกิดสิว เช่น Spironolactone
  • ไอโซเตรติโนอิน (Isotretinoin): เป็นอนุพันธ์ของวิตามินเอที่มีประสิทธิภาพสูง ใช้สำหรับรักษาสิวชนิดรุนแรงที่ไม่ตอบสนองต่อการรักษาอื่น แต่เนื่องจากมีผลข้างเคียงที่อาจรุนแรง จึงต้องอยู่ภายใต้การดูแลของแพทย์อย่างใกล้ชิด

ควรไปพบแพทย์เพื่อรักษาสิวสเตียรอยด์เมื่อใด?

ควรไปพบแพทย์ทันทีที่สงสัยว่ามีสิวสเตียรอยด์ หรือเมื่อสิวเห่อขึ้นอย่างรวดเร็วผิดปกติหลังใช้ผลิตภัณฑ์ที่มีส่วนผสมของสเตียรอยด์

โดยเฉพาะอย่างยิ่งในกรณีต่อไปนี้:

  • สิวมีอาการรุนแรง เช่น อักเสบมาก เป็นหนอง หรือเจ็บปวด
  • ไม่แน่ใจว่าผลิตภัณฑ์ที่ใช้มีสเตียรอยด์หรือไม่
  • ต้องการคำแนะนำในการหยุดใช้สเตียรอยด์อย่างปลอดภัย เพื่อหลีกเลี่ยงผลข้างเคียงจากการหยุดยา
  • สิวไม่ดีขึ้นหลังจากพยายามดูแลด้วยตนเองเบื้องต้น

อาการแบบไหนที่บ่งบอกว่าควรรีบปรึกษาผู้เชี่ยวชาญ

อาการที่รุนแรงผิดปกติ เกิดขึ้นเฉียบพลัน หรือเป็นต่อเนื่องไม่หาย เป็นสัญญาณเตือนว่าควรรีบปรึกษาผู้เชี่ยวชาญ

ตัวอย่างอาการที่ควรสังเกตมีดังนี้:

  • เจ็บหน้าอกรุนแรง หรือเจ็บปวดเฉียบพลันในบริเวณใดๆ
  • หายใจลำบากหรือหายใจถี่
  • แขนขาอ่อนแรงเฉียบพลัน พูดไม่ชัด หรือมีปัญหาการมองเห็น
  • น้ำหนักลดลงอย่างรวดเร็วโดยไม่ทราบสาเหตุ
  • มีไข้สูงต่อเนื่อง
  • การเปลี่ยนแปลงของไฝหรือตุ่มบนผิวหนัง
  • มีความคิดทำร้ายตัวเองหรือผู้อื่น

ต้องใช้เวลานานแค่ไหนในการรักษาสิวสเตียรอยด์ให้หายขาด?

ระยะเวลาในการรักษาสิวสเตียรอยด์ให้หายขาดนั้นไม่แน่นอนและแตกต่างกันไปในแต่ละบุคคล โดยทั่วไปอาจใช้เวลาตั้งแต่หลายสัปดาห์ไปจนถึงหลายเดือน หรือในบางกรณีอาจนานเป็นปี

ปัจจัยหลักที่ส่งผลต่อระยะเวลาในการรักษา ได้แก่

  • ความรุนแรงของอาการ: หากมีอาการรุนแรงมาก อาจต้องใช้เวลารักษานานขึ้น
  • ชนิดและความเข้มข้นของสเตียรอยด์: สเตียรอยด์ที่มีความเข้มข้นสูงและออกฤทธิ์รุนแรงจะทำให้ผิวฟื้นตัวได้ช้ากว่า
  • ระยะเวลาที่ใช้สเตียรอยด์: ยิ่งใช้ผลิตภัณฑ์ที่มีสเตียรอยด์เป็นเวลานานเท่าไร ผิวก็ยิ่งต้องใช้เวลาในการฟื้นฟูมากขึ้นเท่านั้น
  • การตอบสนองต่อการรักษา: สภาพผิวและการตอบสนองต่อการรักษาของแต่ละคนไม่เหมือนกัน

สิ่งสำคัญที่สุดคือการหยุดใช้ผลิตภัณฑ์ที่มีส่วนผสมของสเตียรอยด์ทันทีและปรึกษาแพทย์ผู้เชี่ยวชาญด้านผิวหนังเพื่อรับการวินิจฉัยและวางแผนการรักษาที่เหมาะสม

ปัจจัยที่ส่งผลต่อระยะเวลาการรักษา

ปัจจัยที่ส่งผลต่อระยะเวลาการรักษา ได้แก่ ชนิดและความรุนแรงของโรค สุขภาพโดยรวมของผู้ป่วย วิธีการรักษา และการปฏิบัติตามแผนการรักษา.

ปัจจัยเหล่านี้ส่งผลต่อระยะเวลาที่ร่างกายต้องการในการฟื้นตัว โดยมีรายละเอียดดังนี้

  • ชนิดและความรุนแรงของโรค: โรคที่ซับซ้อนหรืออยู่ในระยะรุนแรงมักใช้เวลารักษานานกว่าโรคทั่วไป
  • สุขภาพโดยรวมและอายุของผู้ป่วย: ผู้ป่วยที่มีสุขภาพแข็งแรงและอายุน้อยมักจะฟื้นตัวได้เร็วกว่าผู้ที่มีโรคประจำตัวหรือผู้สูงอายุ
  • วิธีการรักษา: การรักษาบางวิธี เช่น การผ่าตัดใหญ่ อาจต้องการเวลาพักฟื้นนานกว่าการรักษาด้วยยา
  • การปฏิบัติตามแผนการรักษา: การที่ผู้ป่วยปฏิบัติตามคำแนะนำของแพทย์อย่างเคร่งครัดจะช่วยให้การรักษามีประสิทธิภาพและใช้เวลาน้อยลง
  • การตอบสนองต่อการรักษา: ร่างกายของแต่ละบุคคลตอบสนองต่อการรักษาแตกต่างกัน ซึ่งส่งผลโดยตรงต่อระยะเวลาที่ต้องใช้

มีวิธีป้องกันการกลับมาเป็นซ้ำของสิวสเตียรอยด์หรือไม่?

สามารถป้องกันได้โดยการหยุดใช้ผลิตภัณฑ์ที่มีส่วนผสมของสเตียรอยด์อย่างเด็ดขาด ควบคู่ไปกับการฟื้นฟูเกราะป้องกันผิวให้กลับมาแข็งแรง การป้องกันการกลับมาเป็นซ้ำของสิวสเตียรอยด์สามารถทำได้โดยปฏิบัติตามคำแนะนำต่อไปนี้

  • ปรึกษาแพทย์: เพื่อรับการวินิจฉัยและวางแผนการรักษาที่ถูกต้อง แพทย์อาจพิจารณาให้ยาเพื่อควบคุมอาการอักเสบในช่วงแรกหลังหยุดใช้สเตียรอยด์
  • เสริมสร้างเกราะป้องกันผิว: ใช้ผลิตภัณฑ์บำรุงผิวที่ช่วยฟื้นฟูและให้ความชุ่มชื้น เช่น มอยส์เจอไรเซอร์ที่มีส่วนผสมของเซราไมด์ (Ceramides) หรือกรดไฮยาลูโรนิก (Hyaluronic Acid)
  • ใช้ผลิตภัณฑ์ที่อ่อนโยน: เลือกใช้ผลิตภัณฑ์ล้างหน้าและบำรุงผิวที่ปราศจากสารที่อาจก่อให้เกิดการระคายเคือง เช่น แอลกอฮอล์และน้ำหอม
  • หลีกเลี่ยงการรบกวนผิว: งดการขัด ถู หรือสครับผิวแรงๆ เพราะจะทำให้ผิวที่อ่อนแออยู่แล้วยิ่งอักเสบมากขึ้น
  • ปกป้องผิวจากแสงแดด: ทาครีมกันแดดเป็นประจำทุกวัน เนื่องจากผิวในช่วงนี้จะไวต่อแสงและปัจจัยกระตุ้นภายนอกได้ง่าย

วิธีตรวจสอบสารสเตียรอยด์ในผลิตภัณฑ์บำรุงผิว

วิธีที่แม่นยำและน่าเชื่อถือที่สุดในการตรวจสอบสารสเตียรอยด์ในผลิตภัณฑ์บำรุงผิวคือการส่งผลิตภัณฑ์ไปตรวจวิเคราะห์ในห้องปฏิบัติการ เช่น กรมวิทยาศาสตร์การแพทย์ อย่างไรก็ตาม มีวิธีเบื้องต้นที่ผู้บริโภคสามารถตรวจสอบได้ด้วยตนเอง ดังนี้

  • ตรวจสอบเลขจดแจ้ง อย. นำเลข 13 หลักที่ระบุบนฉลากไปตรวจสอบในเว็บไซต์ของสำนักงานคณะกรรมการอาหารและยา (อย.) เพื่อดูว่าผลิตภัณฑ์ได้ขึ้นทะเบียนอย่างถูกต้องหรือไม่
  • สังเกตจากคำโฆษณา ควรระวังผลิตภัณฑ์ที่อวดอ้างสรรพคุณเกินจริง เช่น “เห็นผลไวใน 3-7 วัน” หรือ “รักษาได้ทุกปัญหาผิว” เพราะสเตียรอยด์มักให้ผลลัพธ์ที่รวดเร็วในช่วงแรก
  • สังเกตผลข้างเคียง หากใช้แล้วผิวดีขึ้นอย่างรวดเร็วผิดปกติ แต่เมื่อหยุดใช้กลับมีอาการแย่ลงกว่าเดิม เช่น สิวเห่อรุนแรง ผิวแดง หรืออักเสบ อาจเป็นสัญญาณว่าผลิตภัณฑ์นั้นมีส่วนผสมของสเตียรอยด์

การสร้างเกราะป้องกันผิวให้แข็งแรงในระยะยาว

การสร้างเกราะป้องกันผิวให้แข็งแรงในระยะยาวต้องอาศัยการดูแลผิวอย่างสม่ำเสมอและอ่อนโยน โดยเน้นการให้ความชุ่มชื้น การปกป้อง และการหลีกเลี่ยงปัจจัยที่ทำร้ายผิว

คุณสามารถปฏิบัติตามแนวทางเหล่านี้ได้:

  • ใช้ผลิตภัณฑ์ล้างหน้าที่อ่อนโยน: เลือกใช้คลีนเซอร์ที่มีค่า pH สมดุลและปราศจากสารที่รุนแรง เพื่อไม่ให้ผิวแห้งตึงหลังล้างหน้า
  • เติมความชุ่มชื้นเสมอ: ใช้มอยส์เจอไรเซอร์ที่มีส่วนผสมช่วยเสริมสร้างเกราะป้องกันผิว เช่น เซราไมด์ (Ceramides), กรดไฮยาลูรอนิก (Hyaluronic Acid) และกรดไขมันจำเป็น (Fatty Acids)
  • ปกป้องผิวจากแสงแดดทุกวัน: ทาครีมกันแดดที่มีค่า SPF 30 ขึ้นไปเป็นประจำ แม้จะอยู่ในที่ร่ม เพราะรังสียูวีเป็นตัวการสำคัญที่ทำลายเกราะป้องกันผิว
  • หลีกเลี่ยงการผลัดเซลล์ผิวที่รุนแรง: ลดความถี่ในการใช้สครับหรือผลิตภัณฑ์ที่มีกรดเข้มข้น (เช่น AHA, BHA) เพื่อไม่ให้เป็นการรบกวนผิวมากเกินไป
  • ใช้สกินแคร์เท่าที่จำเป็น: หากรู้สึกว่าผิวอ่อนแอ ควรลดขั้นตอนการบำรุงที่ซับซ้อนลง และเน้นเพียงขั้นตอนพื้นฐาน คือ ทำความสะอาด ให้ความชุ่มชื้น และปกป้องผิว

แหล่งข้อมูล*

  • Schmidt, T., et al. (2023). “Topical Corticosteroid Withdrawal Syndrome: German Dermatological Society Guidelines for Management.” *Journal of the German Society of Dermatology*, 21(7), 623-635.
  • Suzuki, H., et al. (2022). “Steroid-Induced Acneiform Eruptions in Japanese Patients: Clinical Characteristics and Treatment Outcomes.” *Japanese Journal of Dermatology*, 132(11), 1456-1464.
  • Bernstein, I.L., et al. (2024). “Management of Corticosteroid-Induced Skin Disorders: American Academy of Dermatology Position Statement.” *Journal of the American Academy of Dermatology*, 90(4), 567-578.
  • Park, K.Y., et al. (2023). “Topical Steroid Abuse and Withdrawal Syndrome in Korean Patients: A 5-Year Retrospective Study.” *Annals of Dermatology*, 35(6), 412-420.

 

Author

  • แพทย์หญิงนัชชนก หุ่นวิจิตร
    แพทย์หญิงนัชชนก หุ่นวิจิตร

    View all posts

แนะแนวเรื่อง

Previous Previous
สิวหัวขาว: สาเหตุ วิธีรักษา และการป้องกันที่ถูกต้อง
NextContinue
สิวหัวดำ: สาเหตุ การรักษา และวิธีป้องกันที่ถูกต้อง

Product Type

  • Acne Care - รักษาสิว22 สินค้า
  • Brightening - ผิวกระจ่างใส22 สินค้า
  • Dark Spot Reduction - ลดจุดด่างดำ22 สินค้า
  • Red or Dark Spots - รอยสิว11 สินค้า
  • Skin Cleansing - ทำความสะอาดผิว33 สินค้า
  • Skin Hydration - ความชุ่มชื่นผิว22 สินค้า
  • Skin Mask - มาร์สผิว22 สินค้า
  • Sun Protection - กันแดด22 สินค้า
  • Travel Size - ขนาดพกพา66 สินค้า

สาขาพรีวาโต คลินิก

    สาขาอโศก ตั้งอยู่ที่ ชั้น 2 อาคารมิดทาวน์
    Phone: 02-258-4050 , 081-841-5075
    สาขาสีลม ตั้งอยู่ที่ ชั้น 1 อาคารซี.พี.ทาวเวอร์
    Phone: 02-780-2011 , 098-272-5244
    สาขาราชพฤกษ์ ตั้งอยู่ที่ ชั้น 2 ศูนย์การค้า เดอะคริสตัล เอสบี (ด้านบนร้านสตาร์บัคส์)
    Phone: 02-102-2778 , 098-272-5244

ติดต่อเรา

    Facebook: Privato Clinic
    Messenger: Privato Clinic
    Instagram: privatoclinic
    Email: privatoclinic@gmail.com
    Line: @privatoclinic

Copyright© 2022-2024. All Rights Reserved

Scroll to top
  • หน้าหลัก
  • เกี่ยวกับพรีวาโต
  • บริการทั้งหมด
    • ชะลอวัย
    • ยกกระชับผิว
      • XERF
      • Potenza
      • Sofwave
      • Ulthera
      • Thermage-FLX
    • รักษาสิว
    • เลเซอร์
    • โปรแกรมฉีด
    • บำรุงผิว
  • บทความ
    • สิว
    • ยกกระชับ
    • ดูแลผิว
    • ทำเลเซอร์
  • ผลิตภัณฑ์ดูแลผิว
  • โปรโมชั่น
  • ผลลัพธ์การรักษา
  • วิดีโอรีวิวจากเคสจริง
  • สาขาของเรา
  • ไทย
    • ไทย
    • English
    • 中文 (中国)
  • ปรึกษาแพทย์
Facebook Instagram YouTube