Skip to content

TEL : 081-841-5075, 02-258-4050

Facebook Instagram YouTube
Privato Clinic – Innovation Of Beauty  |  Bangkok
  • หน้าหลัก
  • เกี่ยวกับพรีวาโต
  • บริการทั้งหมดExpand
    • ชะลอวัย
    • ยกกระชับผิวExpand
      • XERF
      • Potenza
      • Sofwave
      • Ulthera
      • Thermage-FLX
    • รักษาสิว
    • เลเซอร์
    • โปรแกรมฉีด
    • บำรุงผิว
  • บทความExpand
    • สิว
    • ยกกระชับ
    • ดูแลผิว
    • ทำเลเซอร์
  • ผลิตภัณฑ์ดูแลผิว
  • โปรโมชั่น
  • ผลลัพธ์การรักษา
  • วิดีโอรีวิวจากเคสจริง
  • สาขาของเรา
  • ไทยExpand
    • ไทย
    • English
    • 中文 (中国)
  • ปรึกษาแพทย์
Privato Clinic – Innovation Of Beauty  |  Bangkok
Consult a Doctor
Acne

สิวหัวดำบีบไม่ออก ทำไมบีบยาก? แนวทางดูแลและทางเลือกแทนการบีบ

Byadmin กันยายน 20, 2025กันยายน 20, 2025
By นายแพทย์เลอพงษ์ กรุดเงิน Updated on กันยายน 20, 2025
✦ Medically reviewed by  นายแพทย์เลอพงษ์ กรุดเงิน

สิวหัวดํา บีบไม่ออก ต้องทำอย่างไรดี

Table of Contents

Toggle
  • ทำไมสิวหัวดำบีบยาก: กลไกการอุดตันและปัจจัยสำคัญ
    • การอุดตันฝังลึกและคอมีโดนแข็งตัวในรูขุมขน
    • รูขุมขนแคบ รูเปิดเล็ก ทำให้ดันออกยาก
    • ความหนืดของซีบัม ออกซิไดซ์กลายเป็นสีดำ
    • อายุสิวและการซ้อนทับของเซลล์ผิวที่ตายแล้ว
  • วิธีดูแลอย่างปลอดภัยที่บ้าน: ลดอุดตันโดยไม่บีบ
    • การดูแลดังกล่าวอาศัยความอดทนและวินัย โดยมีแนวทางหลักดังนี้
    • เรตินอยด์/อะดาพาลีน: ช่วยผลัดคอมีโดนและป้องกันเกิดใหม่
    • ซาลิไซลิกแอซิด (BHA) และเบนโซอิลเปอร์ออกไซด์
    • คลีนเซอร์อ่อนโยนและมอยส์เจอร์ไรเซอร์ไม่อุดตันรูขุมขน
    • ไทม์ไลน์การเปลี่ยนแปลงและการค่อยๆ ปรับความถี่
  • ข้อห้ามและความเสี่ยงจากการบีบ: รอย หลุมสิว และติดเชื้อ
    • ภาวะอักเสบลุกลาม เลือดออก และ PIH/รอยคล้ำตามมา
    • ใครควรหลีกเลี่ยงการบีบ: ผิวอักเสบง่าย ผิวเข้ม กลุ่มเสี่ยงแผลเป็น
  • เมื่อไหร่ควรพบแพทย์ผิวหนัง: เกณฑ์ประเมินและทางเลือกการรักษา
    • กดไม่ออกซ้ำๆ เจ็บ บวม แดง หรือเป็นก้อนแข็งฝังลึก
    • สงสัยภาวะอื่น: รูขุมขนอักเสบหรือสิวเชื้อรา
  • ทางเลือกแทนการบีบโดยผู้เชี่ยวชาญ: ปลอดภัยและได้มาตรฐาน
    • การกดสิวทางการแพทย์ด้วยเครื่องมือปลอดเชื้อ
    • ลอกผิวด้วยกรด/มาสก์คอมิโดไลติกและการดูแลร่วม
    • ยาเฉพาะทางตามใบสั่งแพทย์และแนวทางติดตามผล
    • เกณฑ์เลือกบริการและแพทย์: มาตรฐาน ความสะอาด และการติดตาม
  • พฤติกรรมที่ทำให้สิวหัวดำแย่ลงและเสี่ยงทิ้งรอย
    • บีบซ้ำ ใช้เครื่องมือไม่ถูกวิธี หรือสครับรุนแรง
    • มาสก์ลอกสิวเสี้ยนถี่เกินไป ทำให้รูขุมขนช้ำ
    • ผลิตภัณฑ์อุดตันรูขุมขน และกันแดดที่ไม่เหมาะสม
  • การป้องกันระยะยาวและการดูแลหลังสิวดีขึ้น
    • รูทีนทำความสะอาด ผลัดเซลล์ และกันแดดสม่ำเสมอ
    • ปรับผลิตภัณฑ์ตามสภาพผิวและฤดูกาล ลดโอกาสเกิดซ้ำ
  • คำถามที่พบบ่อยเกี่ยวกับสิวหัวดำบีบไม่ออก
    • ทำยังไงให้สิวหัวดำหลุด โดยไม่เสี่ยงทิ้งรอย?
    • สิวหัวดำบีบไม่ออก ควรพยายามกดต่อไหม?
    • สิวหัวดำแข็งเหมือนหิน เกิดจากอะไร แก้ยังไง?
    • สิวหัวดำหายเองได้ไหม หรือควรรักษา?
    • ยาละลายสิวหัวดำช่วยได้จริงไหม ต้องใช้นานเท่าไหร่?
    • สิวยีสต์หน้าตาเป็นยังไง แยกจากสิวหัวดำอย่างไร?
  • References:
  • Author

ทำไมสิวหัวดำบีบยาก: กลไกการอุดตันและปัจจัยสำคัญ

การอุดตันฝังลึกและคอมีโดนแข็งตัวในรูขุมขน

การอุดตันฝังลึกและคอมีโดนที่แข็งตัวคือสิวอุดตันที่อยู่ลึกเข้าไปในรูขุมขนและแข็งตัวจนไม่สามารถกำจัดออกได้ด้วยการทำความสะอาดหรือการบีบตามปกติ เนื่องจากหัวสิวที่อุดตันอยู่ภายในอาจขยายใหญ่และลึกลงไปใต้ผิวหนัง ประกอบกับปากรูขุมขนที่แคบ ทำให้การนำหัวสิวออกทำได้ยากขึ้น

เมื่อเวลาผ่านไป สิ่งสกปรกและเซลล์ผิวจะสะสมอัดแน่นอยู่ด้านหลัง ทำให้หัวสิวแข็งเหมือนหินและคงอยู่ได้เรื่อยๆ หากไม่ได้รับการรักษา การพยายามบีบออกต้องใช้แรงมาก ซึ่งเสี่ยงต่อการทำร้ายผิวหนังโดยรอบ

รูขุมขนแคบ รูเปิดเล็ก ทำให้ดันออกยาก

ใช่ รูขุมขนที่แคบหรือมีรูเปิดเล็กจะขัดขวางการหลุดออกมาของสิวอุดตัน เนื่องจากสิวอุดตันที่อยู่ข้างในอาจมีขนาดใหญ่และลึกกว่าที่เห็นจากภายนอก เมื่อรูเปิดของรูขุมขนเล็กกว่าขนาดของสิวอุดตันที่แข็งตัว จึงต้องใช้แรงกดอย่างมากในการดันออก ซึ่งเสี่ยงต่อการทำให้ผิวหนังโดยรอบบาดเจ็บได้

ความหนืดของซีบัม ออกซิไดซ์กลายเป็นสีดำ

น้ำมัน (ซีบัม) และเมลานินที่อุดตันอยู่ในรูขุมขนทำปฏิกิริยากับออกซิเจนในอากาศ (Oxidation) จึงเปลี่ยนเป็นสีดำ

สิวหัวดำ (Blackheads) คือสิวอุดตันชนิดหัวเปิด (Open Comedones) เมื่อสิ่งที่อุดตันอยู่ภายในสัมผัสกับอากาศจึงเกิดการออกซิไดซ์และเปลี่ยนเป็นสีดำ ในทางตรงกันข้าม สิวอุดตันหัวปิด (Closed Comedones) หรือสิวหัวขาว จะมีชั้นผิวหนังปิดอยู่ ทำให้ไม่สัมผัสกับอากาศและไม่เกิดการออกซิไดซ์ จึงยังคงเป็นสีขาวหรือสีเดียวกับผิวหนัง

อายุสิวและการซ้อนทับของเซลล์ผิวที่ตายแล้ว

สิวหัวดำที่เกิดขึ้นเป็นเวลานานจะกำจัดออกได้ยากขึ้น เนื่องจากเซลล์ผิวที่ตายแล้วและสิ่งสกปรกจะยังคงสะสมและอัดแน่นอยู่ด้านหลังหัวสิว ทำให้หัวสิวแข็งตัวเหมือนหินและฝังลึกอยู่ในรูขุมขน

การสะสมตัวนี้ทำให้การกดออกด้วยวิธีธรรมดามักไม่ได้ผล และอาจต้องใช้แรงกดมากเกินไปจนเสี่ยงต่อการทำร้ายผิวหนังโดยรอบได้

วิธีดูแลอย่างปลอดภัยที่บ้าน: ลดอุดตันโดยไม่บีบ

การดูแลสิวเสี้ยนอุดตันที่บ้านอย่างปลอดภัยโดยไม่บีบคือ การใช้ผลิตภัณฑ์ดูแลผิวที่มีส่วนผสมช่วยผลัดเซลล์ผิวและละลายการอุดตันในรูขุมขนอย่างสม่ำเสมอ

การดูแลดังกล่าวอาศัยความอดทนและวินัย โดยมีแนวทางหลักดังนี้

  • ใช้เรตินอยด์ (Topical Retinoids): ผลิตภัณฑ์เช่น Adapalene ช่วยเร่งการผลัดเซลล์ผิวและสลายสิวอุดตัน ควรเริ่มใช้แบบวันเว้นวันเพื่อลดการระคายเคือง
  • ใช้กรดซาลิไซลิก (Salicylic Acid): ส่วนผสมนี้สามารถซึมลึกลงไปในรูขุมขนเพื่อช่วยละลายไขมันและเซลล์ผิวที่อุดตันอยู่
  • ดูแลผิวอย่างอ่อนโยน: หลีกเลี่ยงการสครับที่รุนแรงหรือการล้างหน้าบ่อยเกินไป และควรใช้มอยส์เจอไรเซอร์ที่ไม่ก่อให้เกิดการอุดตัน (non-comedogenic) เพื่อให้ผิวชุ่มชื้นและสมดุล
  • มีความอดทน: การรักษาสิวเสี้ยนด้วยวิธีนี้ต้องใช้เวลา โดยทั่วไปจะเห็นผลลัพธ์ที่ชัดเจนหลังจากการใช้อย่างต่อเนื่องประมาณ 2-3 เดือน

เรตินอยด์/อะดาพาลีน: ช่วยผลัดคอมีโดนและป้องกันเกิดใหม่

เรตินอยด์ (Retinoids) เช่น อะดาพาลีน (Adapalene) เป็นหัวใจสำคัญในการรักษาสิวหัวดำที่ฝังแน่น โดยจะช่วยเพิ่มการผลัดเซลล์ผิวและสลายหัวสิว (comedolysis) เพื่อทำให้รูขุมขนไม่อุดตัน

การใช้เรตินอยด์อย่างสม่ำเสมอจะช่วยกำจัดสิวหัวดำที่มีอยู่และป้องกันการเกิดใหม่โดยทำให้การหลุดลอกของเซลล์ผิวเป็นปกติ ในช่วงแรกอาจทำให้ผิวลอกเล็กน้อย จึงควรเริ่มใช้แบบวันเว้นวันก่อนแล้วค่อยๆ เพิ่มความถี่เมื่อผิวปรับตัวได้ การใช้ต่อเนื่องประมาณ 2-3 เดือนจะเห็นผลลัพธ์ที่ชัดเจนในการลดสิวหัวดำ นอกจากนี้ยังช่วยลดเลือนรอยดำหลังสิวได้อีกด้วย

ซาลิไซลิกแอซิด (BHA) และเบนโซอิลเปอร์ออกไซด์

กรดซาลิไซลิก (BHA) ช่วยผลัดเซลล์ผิวเพื่อสลายสิวอุดตัน ในขณะที่เบนโซอิลเปอร์ออกไซด์ช่วยฆ่าเชื้อแบคทีเรียที่เป็นสาเหตุของสิว การใช้ผลิตภัณฑ์ทั้งสองชนิดร่วมกันจึงมักถูกแนะนำสำหรับรักษาสิวอุดตัน

  • กรดซาลิไซลิก (Salicylic Acid): ทำหน้าที่แทรกซึมเข้าไปในรูขุมขนเพื่อช่วยสลายหัวสิวที่อุดตันอยู่
  • เบนโซอิลเปอร์ออกไซด์ (Benzoyl Peroxide): มีคุณสมบัติหลักในการฆ่าเชื้อแบคทีเรีย และยังช่วยป้องกันไม่ให้สิวหัวดำพัฒนาไปเป็นสิวอักเสบ

คลีนเซอร์อ่อนโยนและมอยส์เจอร์ไรเซอร์ไม่อุดตันรูขุมขน

การใช้คลีนเซอร์ที่อ่อนโยนและมอยส์เจอร์ไรเซอร์ชนิดไม่อุดตันรูขุมขน (non-comedogenic) เป็นสิ่งสำคัญในการดูแลผิวเพื่อป้องกันสิวหัวดำ เพราะจะช่วยรักษาสมดุลของผิวโดยไม่ก่อให้เกิดการระคายเคือง

การล้างหน้าบ่อยเกินไปหรือใช้สครับที่รุนแรงสามารถกระตุ้นให้ผิวผลิตน้ำมันมากขึ้นและทำให้สิวหัวดำแย่ลงได้ หลังจากทำความสะอาดผิว ควรทามอยส์เจอร์ไรเซอร์ที่เบาบางและไม่มีส่วนผสมที่อุดตันรูขุมขน เพื่อให้ผิวชุ่มชื้นอย่างเหมาะสมและป้องกันไม่ให้ผิวแห้งจนต้องผลิตน้ำมันออกมาทดแทน ควรเลือกผลิตภัณฑ์ที่มีฉลากระบุว่า “non-comedogenic,” “oil-free,” หรือ “won’t clog pores”

ไทม์ไลน์การเปลี่ยนแปลงและการค่อยๆ ปรับความถี่

การรักษาสิวหัวดำให้เห็นผลอย่างชัดเจนมักใช้เวลาประมาณ 2-3 เดือน แต่จะเริ่มสังเกตเห็นการเปลี่ยนแปลงได้ในช่วง 4-6 สัปดาห์แรก

ในช่วงเริ่มต้น ควรค่อยๆ ปรับความถี่ในการใช้ผลิตภัณฑ์เพื่อลดการระคายเคือง ดังนี้

  • เรตินอยด์ (Retinoids): เริ่มต้นด้วยการใช้คืนเว้นคืน
  • กรดซาลิไซลิก (Salicylic Acid): เริ่มต้นด้วยการใช้สัปดาห์ละ 2-3 ครั้ง

เมื่อผิวเริ่มปรับตัวและทนต่อผลิตภัณฑ์ได้แล้ว จึงค่อยๆ เพิ่มความถี่ในการใช้งาน วิธีการนี้จะช่วยให้การรักษามีประสิทธิภาพและลดผลข้างเคียงได้ดีที่สุด

ข้อห้ามและความเสี่ยงจากการบีบ: รอย หลุมสิว และติดเชื้อ

ภาวะอักเสบลุกลาม เลือดออก และ PIH/รอยคล้ำตามมา

การบีบสิวหัวดำอย่างรุนแรงอาจทำให้เกิดการอักเสบที่แย่ลง ทิ้งรอยดำหลังการอักเสบ (PIH) และอาจนำไปสู่การติดเชื้อหรือแผลเป็นถาวรได้ การใช้แรงกดเพื่อบีบสิวจะยิ่งกระตุ้นให้ผิวหนังอักเสบมากขึ้น ทำให้รอยสิวดูแดงและบวมกว่าเดิม การอักเสบนี้ยังกระตุ้นให้เกิดรอยดำ (Post-Inflammatory Hyperpigmentation หรือ PIH) ซึ่งอาจคงอยู่นานหลายสัปดาห์หรือหลายเดือน โดยเฉพาะในผู้ที่มีสีผิวปานกลางถึงเข้ม นอกจากนี้ การบีบยังทำลายเกราะป้องกันผิวและอาจทำให้เกิดแผลเปิด ซึ่งเสี่ยงต่อการติดเชื้อแบคทีเรียและอาจทิ้งรอยแผลเป็นถาวรไว้ได้ในที่สุด

ใครควรหลีกเลี่ยงการบีบ: ผิวอักเสบง่าย ผิวเข้ม กลุ่มเสี่ยงแผลเป็น

ผู้ที่มีผิวที่เกิดรอยดำง่าย มีแนวโน้มเป็นแผลเป็น และผู้ที่มีสีผิวปานกลางถึงเข้ม ควรหลีกเลี่ยงการบีบสิวหัวดำเป็นพิเศษ เนื่องจากมีความเสี่ยงสูงที่จะเกิดผลข้างเคียงที่รุนแรงกว่า

กลุ่มที่ควรระมัดระวังเป็นพิเศษ ได้แก่:

  • ผู้ที่มีประวัติรอยดำหลังการอักเสบ (PIH): การบีบสิวจะกระตุ้นการอักเสบและเพิ่มความเสี่ยงในการเกิดรอยดำที่อาจคงอยู่นานหลายสัปดาห์หรือหลายเดือน โดยเฉพาะในผู้ที่มีสีผิวปานกลางถึงเข้ม
  • ผู้ที่มีแนวโน้มเป็นแผลเป็นง่าย: หากผิวของคุณเคยมีประวัติการเกิดแผลเป็นจากสิวอยู่แล้ว การบีบสิวจะยิ่งเพิ่มความเสี่ยงที่จะทำให้เกิดแผลเป็นใหม่ได้
  • ผู้ที่เป็นสิวรุนแรง: ผู้ที่เป็นสิวซีสต์หรือสิวอักเสบชนิดก้อนแข็งไม่ควรพยายามกดหรือบีบสิวด้วยตนเอง เพราะสิวประเภทนี้อยู่ลึกใต้ผิวหนังและต้องให้แพทย์ทำการรักษาเพื่อป้องกันการเกิดแผลเป็น

เมื่อไหร่ควรพบแพทย์ผิวหนัง: เกณฑ์ประเมินและทางเลือกการรักษา

กดไม่ออกซ้ำๆ เจ็บ บวม แดง หรือเป็นก้อนแข็งฝังลึก

หากสิวอุดตันกดไม่ออกซ้ำๆ จนเจ็บ บวม แดง หรือเป็นก้อนแข็ง ควรหยุดกดแล้วไปพบแพทย์ผิวหนังทันที เนื่องจากการพยายามกดต่อไปอาจทำให้ผิวหนังอักเสบ ติดเชื้อ ทิ้งรอยดำ หรือเกิดแผลเป็นถาวรได้

แพทย์ผิวหนังสามารถจัดการกับสิวที่ฝังลึกได้อย่างปลอดภัยและมีประสิทธิภาพด้วยวิธีต่างๆ เช่น:

  • การฉีดสเตียรอยด์: เพื่อลดการอักเสบ บวม และเจ็บของสิวที่เป็นก้อนแข็งหรือซีสต์ ให้ยุบลงอย่างรวดเร็วภายใน 48-72 ชั่วโมง
  • การกดสิวโดยผู้เชี่ยวชาญ: แพทย์จะใช้อุปกรณ์ที่ผ่านการฆ่าเชื้อ เช่น เข็มหรือเครื่องมือกดสิว (comedone extractor) เพื่อเปิดหัวสิวและนำสิ่งอุดตันออกอย่างถูกวิธี ลดความเสี่ยงของการบาดเจ็บและแผลเป็น
  • การวินิจฉัยแยกโรค: ก้อนแข็งใต้ผิวหนังอาจไม่ใช่สิวอุดตันธรรมดา แต่อาจเป็นซีสต์ (epidermoid cyst) หรือภาวะอื่นๆ ที่ต้องใช้วิธีการรักษาที่แตกต่างออกไป ซึ่งแพทย์สามารถวินิจฉัยได้อย่างแม่นยำ

สงสัยภาวะอื่น: รูขุมขนอักเสบหรือสิวเชื้อรา

สิวเชื้อรา (รูขุมขนอักเสบจากเชื้อรา) แตกต่างจากสิวหัวดำตรงที่มักมีอาการคัน เป็นตุ่มแดงเล็กๆ ขนาดใกล้เคียงกัน และไม่มีหัวสีดำ ในขณะที่สิวหัวดำจะไม่มีอาการคันและมีจุดสีดำตรงกลางอย่างชัดเจน

ข้อแตกต่างที่สำคัญอื่นๆ ได้แก่:

  • อาการ: สิวเชื้อรามักมีอาการคันหรือแสบร้อน แต่สิวหัวดำโดยทั่วไปจะไม่มีอาการคัน
  • ลักษณะ: สิวเชื้อราจะเป็นตุ่มแดงหรือตุ่มหนองเล็กๆ ขนาดเท่าๆ กัน (monomorphic) และไม่มีหัวสิวสีดำ ส่วนสิวหัวดำคือรูขุมขนที่เปิดและมีหัวอุดตันสีดำที่มองเห็นได้
  • บริเวณที่เกิด: สิวเชื้อรามักพบบริเวณหน้าผาก ไรผม หน้าอก และแผ่นหลัง ซึ่งเป็นบริเวณที่เหงื่อออกง่าย ในขณะที่สิวหัวดำมักเกิดในบริเวณที่ผิวมัน เช่น จมูกและคาง
  • การตอบสนองต่อการรักษา: สิวเชื้อราจะไม่ตอบสนองต่อยารักษาสิวทั่วไป เช่น เบนโซอิลเพอร์ออกไซด์ (Benzoyl Peroxide) หรือกรดซาลิไซลิก (Salicylic Acid) และอาจแย่ลงหากใช้ยาปฏิชีวนะ ในขณะที่สิวหัวดำจะตอบสนองต่อการรักษาเหล่านี้

หากไม่แน่ใจ ควรปรึกษาแพทย์ผิวหนังเพื่อการวินิจฉัยที่ถูกต้อง เนื่องจากวิธีการรักษาแตกต่างกันโดยสิ้นเชิง

ทางเลือกแทนการบีบโดยผู้เชี่ยวชาญ: ปลอดภัยและได้มาตรฐาน

การกดสิวทางการแพทย์ด้วยเครื่องมือปลอดเชื้อ

การกดสิวทางการแพทย์เป็นวิธีการกำจัดสิวอุดตันที่ปลอดภัยและมีประสิทธิภาพ ซึ่งดำเนินการโดยแพทย์ผิวหนังหรือผู้เชี่ยวชาญที่ได้รับใบอนุญาต โดยใช้เครื่องมือที่ผ่านการฆ่าเชื้อเพื่อลดความเสี่ยงต่อการทำลายผิวหนัง การติดเชื้อ และการเกิดรอยแผลเป็น

สำหรับสิวอุดตันที่แข็งหรืออยู่ลึก ผู้เชี่ยวชาญอาจใช้เข็มหรือมีดปลายแหลม (lancet) ที่ปลอดเชื้อเปิดหัวสิวเล็กน้อยก่อนทำการกดออก วิธีนี้ช่วยให้สิวหลุดออกมาได้ง่ายโดยใช้แรงกดน้อยที่สุด ซึ่งแตกต่างจากการบีบสิวด้วยตนเองที่มักใช้แรงมากเกินไปและอาจทำให้ผิวหนังโดยรอบเสียหายได้

ลอกผิวด้วยกรด/มาสก์คอมิโดไลติกและการดูแลร่วม

การลอกผิวด้วยสารเคมีโดยผู้เชี่ยวชาญและมาสก์สลายโคมีโดน (comedolytic) เป็นวิธีการรักษาที่แพทย์ผิวหนังใช้เพื่อกำจัดสิวหัวดำที่ฝังแน่น โดยการลอกผิวด้วยกรดซาลิไซลิกความเข้มข้นสูง (20–30%) จะช่วยสลายการอุดตันในต่อมไขมัน ในขณะที่มาสก์ เช่น มาสก์กำมะถันหรือโคลน มักใช้ในคลินิกเพื่อดูดซับความมันและทำให้สิวหัวดำนิ่มลง ซึ่งมักทำหลังจากการกดสิวหรือลอกผิว

วิธีการเหล่านี้มีความปลอดภัยและควบคุมได้มากกว่าผลิตภัณฑ์ที่หาซื้อได้เอง เช่น แผ่นลอกสิวเสี้ยน ซึ่งอาจทำให้ผิวบอบช้ำได้ การรักษาโดยผู้เชี่ยวชาญจะมีการควบคุมความเข้มข้นและระยะเวลาที่ใช้อย่างเหมาะสมเพื่อลดการระคายเคืองและให้ผลลัพธ์ที่ดีที่สุด

ยาเฉพาะทางตามใบสั่งแพทย์และแนวทางติดตามผล

ยาเฉพาะทางตามใบสั่งแพทย์สำหรับรักษาสิวหัวดำมีทั้งยาทาและยารับประทาน ซึ่งแพทย์ผิวหนังจะให้คำแนะนำและติดตามผลการรักษาอย่างใกล้ชิด เพื่อให้การรักษามีประสิทธิภาพและปลอดภัยสูงสุด

ยาที่แพทย์มักสั่งจ่าย ได้แก่ ยาทาเรตินอยด์ (Retinoids) ที่มีความเข้มข้นสูงกว่าที่จำหน่ายทั่วไป หรือยารับประทานไอโซเตรติโนอิน (Isotretinoin) ในกรณีที่รุนแรง ยาเหล่านี้จะช่วยสลายการอุดตันจากภายในและปรับการผลัดเซลล์ผิวให้เป็นปกติ

แนวทางการติดตามผลโดยแพทย์ประกอบด้วย:

  • การประเมินและปรับยา: แพทย์จะนัดติดตามผลทุก 2-3 สัปดาห์หรือทุกเดือน เพื่อประเมินการตอบสนองของผิว ปรับความถี่การใช้ยา และจัดการผลข้างเคียง
  • การดูแลต่อเนื่อง: เมื่ออาการดีขึ้น แพทย์จะวางแผนการดูแลต่อเนื่อง (Maintenance) เช่น การใช้ยาทาเรตินอยด์ในความถี่ที่ลดลง เพื่อป้องกันไม่ให้สิวกลับมาอุดตันอีก

เกณฑ์เลือกบริการและแพทย์: มาตรฐาน ความสะอาด และการติดตาม

เกณฑ์สำคัญในการเลือกบริการและแพทย์คือการพิจารณาความเชี่ยวชาญของผู้ให้บริการ มาตรฐานความสะอาดของคลินิก และการให้คำแนะนำดูแลผิวพร้อมติดตามผลหลังการรักษา

  • มาตรฐานและความเชี่ยวชาญ: ควรเลือกผู้ให้บริการที่มีคุณสมบัติเหมาะสม เช่น แพทย์ผิวหนังหรือผู้เชี่ยวชาญที่ได้รับใบอนุญาต ซึ่งมีความรู้เกี่ยวกับโครงสร้างผิวและมีชื่อเสียงที่ดี คุณสามารถสอบถามเกี่ยวกับประสบการณ์ของผู้ทำหัตถการได้
  • ความสะอาดและสุขอนามัย: ตรวจสอบให้แน่ใจว่าคลินิกใช้มาตรการฆ่าเชื้อที่เหมาะสม เช่น การใช้อุปกรณ์ที่ผ่านการฆ่าเชื้อ การสวมถุงมือ และการทำความสะอาดผิวของผู้รับบริการก่อนทำหัตถการ
  • การดูแลและติดตามผล: ผู้ให้บริการที่ดีควรให้คำแนะนำในการดูแลผิวหลังการรักษา (เช่น การทำความสะอาดอย่างอ่อนโยน การใช้ครีมกันแดด) และอาจมีการนัดหมายเพื่อติดตามผลหรือแนะนำแผนการรักษาต่อเนื่องเพื่อให้ได้ผลลัพธ์ที่ดีที่สุด

พฤติกรรมที่ทำให้สิวหัวดำแย่ลงและเสี่ยงทิ้งรอย

บีบซ้ำ ใช้เครื่องมือไม่ถูกวิธี หรือสครับรุนแรง

การบีบซ้ำๆ ใช้เครื่องมือที่ไม่ถูกวิธี หรือการสครับผิวอย่างรุนแรง อาจทำให้ผิวหนังเสียหาย เกิดรอยดำหลังการอักเสบ (post-inflammatory hyperpigmentation) แผลเป็น และเสี่ยงต่อการติดเชื้อได้ การกระทำเหล่านี้ไม่เพียงแต่ไม่ช่วยกำจัดสิวเสี้ยน แต่ยังอาจทำให้ปัญหารุนแรงขึ้น

  • การบีบซ้ำๆ: เป็นพฤติกรรมที่อันตรายที่สุด สามารถทำให้ผิวหนังอักเสบ บวม แดง และอาจผลักสิ่งสกปรกและแบคทีเรียให้ลึกลงไปในรูขุมขน ซึ่งเป็นสาเหตุหลักของการเกิดรอยดำและแผลเป็นถาวร
  • การใช้เครื่องมือที่ไม่เหมาะสม: การใช้เล็บหรืออุปกรณ์ที่ไม่สะอาดในการกดสิวสามารถสร้างบาดแผลเล็กๆ บนผิวหนัง ทำให้แบคทีเรียเข้าสู่ผิวหนังได้ง่ายขึ้น และนำไปสู่การติดเชื้อที่รุนแรงกว่าเดิม
  • การสครับรุนแรง: การขัดผิวด้วยสครับที่มีเม็ดหยาบหรือแปรงที่แข็งเกินไปจะสร้างรอยถลอกเล็กๆ (micro-tears) บนผิว ทำให้เกราะป้องกันผิวอ่อนแอลง เกิดการระคายเคือง และกระตุ้นให้ผิวผลิตน้ำมันออกมามากขึ้น ซึ่งอาจทำให้สิวเสี้ยนกลับมาเป็นซ้ำและแย่ลงกว่าเดิม

มาสก์ลอกสิวเสี้ยนถี่เกินไป ทำให้รูขุมขนช้ำ

ใช่ การใช้มาสก์ลอกสิวเสี้ยนบ่อยเกินไปอาจทำให้เกิดความเสียหายต่อผิวหนังได้ เนื่องจากการดึงและการลอกแผ่นมาสก์ออกอาจสร้างความเสียหายเล็กๆ น้อยๆ (micro-damage) ทำให้ผิวระคายเคือง และเมื่อใช้เป็นประจำอาจทำให้รูขุมขนกว้างขึ้นและเกิดเส้นเลือดฝอยแตกได้ แพทย์ผิวหนังจึงแนะนำให้ใช้เป็นครั้งคราวเท่านั้น ไม่ควรใช้เป็นประจำ

ผลิตภัณฑ์อุดตันรูขุมขน และกันแดดที่ไม่เหมาะสม

การใช้ผลิตภัณฑ์ที่อุดตันรูขุมขน (comedogenic) รวมถึงครีมกันแดดที่ไม่เหมาะสม เป็นสาเหตุสำคัญของการเกิดสิวหัวดำ เนื่องจากผลิตภัณฑ์เหล่านี้สามารถเข้าไปสะสมและอุดตันในรูขุมขนได้

ผลิตภัณฑ์ที่ไม่ระบุว่า “non-comedogenic” (ไม่อุดตันรูขุมขน) หรือ “oil-free” (ปราศจากน้ำมัน) เช่น สกินแคร์ เครื่องสำอาง หรือแม้แต่ผลิตภัณฑ์จัดแต่งทรงผม สามารถทำให้เกิดสิวอุดตันได้ โดยเฉพาะครีมกันแดดรุ่นเก่าบางชนิดที่มีส่วนผสมที่มันเยิ้มหรือมีซิลิโคนซึ่งอาจดักจับสิ่งสกปรกในรูขุมขน ดังนั้น การเลือกใช้ผลิตภัณฑ์ที่ระบุว่าไม่อุดตันรูขุมขนจึงเป็นส่วนสำคัญในการป้องกันสิวหัวดำ

การป้องกันระยะยาวและการดูแลหลังสิวดีขึ้น

รูทีนทำความสะอาด ผลัดเซลล์ และกันแดดสม่ำเสมอ

การทำความสะอาด ผลัดเซลล์ผิว และทาครีมกันแดดอย่างสม่ำเสมอเป็นหัวใจสำคัญในการป้องกันสิวหัวดำในระยะยาว เพราะช่วยจัดการกระบวนการผลิตน้ำมันและการผลัดเซลล์ผิวที่เกิดขึ้นอย่างต่อเนื่อง การดูแลผิวตามหลักการพื้นฐานนี้จะช่วยลดโอกาสการเกิดสิวอุดตันใหม่ได้อย่างมาก

  • การทำความสะอาด: ช่วยป้องกันการสะสมของเซลล์ผิวและสิ่งสกปรกที่อาจอุดตันรูขุมขน
  • การผลัดเซลล์ผิว: การใช้ผลิตภัณฑ์ผลัดเซลล์ผิวเคมีอย่างอ่อนโยน 1-2 ครั้งต่อสัปดาห์ จะช่วยกำจัดเซลล์ผิวที่ตายแล้วออกไปก่อนที่จะเกิดการอุดตัน
  • การป้องกันแสงแดด: การใช้ครีมกันแดดที่ไม่อุดตัน (Non-comedogenic) SPF 30+ ทุกวันเป็นสิ่งสำคัญ เพราะรังสียูวีสามารถทำให้ผิวชั้นนอกหนาขึ้น ทำให้รูขุมขนเด่นชัด และทำให้รอยสิวคล้ำลงได้

ปรับผลิตภัณฑ์ตามสภาพผิวและฤดูกาล ลดโอกาสเกิดซ้ำ

การปรับผลิตภัณฑ์ดูแลผิวตามฤดูกาลเป็นสิ่งสำคัญ เพื่อรักษาสมดุลของความชุ่มชื้นและการควบคุมความมัน ซึ่งช่วยลดการเกิดสิวหัวดำซ้ำ การปรับเปลี่ยนนี้จะช่วยป้องกันไม่ให้ผิวผลิตน้ำมันมากเกินไปหรือแห้งจนเกินไป ซึ่งทั้งสองภาวะสามารถนำไปสู่การอุดตันของรูขุมขนได้

  • ฤดูร้อนหรือสภาพอากาศชื้น: ในช่วงที่อากาศร้อนและมีความชื้นสูง ผิวจะผลิตเหงื่อและน้ำมันมากขึ้น ควรเลือกใช้ครีมกันแดดสูตรน้ำหรือมิเนอรัลเพื่อหลีกเลี่ยงความเหนียวเหนอะหนะ และอาจต้องผลัดเซลล์ผิวบ่อยขึ้นเล็กน้อย
  • ฤดูหนาวหรือสภาพอากาศแห้ง: อากาศที่แห้งและเย็นอาจทำให้ผิวขาดน้ำและลอกเป็นขุย ซึ่งเซลล์ผิวที่ตายแล้วอาจไปอุดตันรูขุมขนได้ ควรเปลี่ยนไปใช้มอยส์เจอไรเซอร์ที่เข้มข้นขึ้น (แต่ยังคงเป็นสูตรไม่อุดตัน) หรือเพิ่มเซรั่มที่ให้ความชุ่มชื้น และลดความถี่ในการผลัดเซลล์ผิวลง

คำถามที่พบบ่อยเกี่ยวกับสิวหัวดำบีบไม่ออก

ทำยังไงให้สิวหัวดำหลุด โดยไม่เสี่ยงทิ้งรอย?

วิธีทำให้สิวหัวดำหลุดโดยไม่ทิ้งรอยคือ การใช้ผลิตภัณฑ์ดูแลผิวที่มีส่วนผสมของเรตินอยด์ (Retinoids) หรือกรดซาลิไซลิก (Salicylic Acid) เพื่อช่วยผลัดเซลล์ผิวและสลายสิ่งอุดตันในรูขุมขน วิธีการเหล่านี้จะช่วยให้สิวหลุดออกอย่างอ่อนโยนและปลอดภัยกว่าการบีบเค้น

  • ใช้เรตินอยด์เฉพาะที่: การทาเรตินอยด์ (เช่น Adapalene) ตอนกลางคืน จะช่วยเร่งการผลัดเซลล์ผิวและสลายหัวสิวอุดตันจากภายใน ควรเริ่มใช้แบบวันเว้นวันเพื่อลดการระคายเคือง
  • ใช้กรดซาลิไซลิก (BHA): ผลิตภัณฑ์ที่มี BHA สามารถซึมเข้าสู่รูขุมขนเพื่อสลายไขมันและสิ่งสกปรกที่แข็งตัวอยู่ภายใน ทำให้หัวสิวอ่อนตัวลงและหลุดออกง่ายขึ้นเมื่อล้างหน้า
  • หลีกเลี่ยงการบีบหรือเค้น: การใช้แรงกดที่ไม่ถูกวิธีจะทำลายผิวหนังโดยรอบ ทำให้เกิดการอักเสบ รอยดำ หรือแผลเป็นถาวรได้
  • ปรึกษาแพทย์ผิวหนัง: หากสิวหัวดำฝังลึกและไม่ตอบสนองต่อการรักษา แพทย์สามารถทำการกดสิวด้วยเครื่องมือที่สะอาดและถูกหลักอนามัย ซึ่งเป็นวิธีที่ปลอดภัยและไม่ทิ้งรอยแผลเป็น

สิวหัวดำบีบไม่ออก ควรพยายามกดต่อไหม?

ไม่ควรพยายามกดหรือบีบสิวหัวดำที่บีบไม่ออกต่อไป เนื่องจากการบีบซ้ำๆ อาจทำให้ผิวหนังโดยรอบบาดเจ็บ เกิดการอักเสบ ทิ้งรอยดำที่อยู่นานหลายเดือน หรือทำให้เกิดแผลเป็นถาวรได้

การพยายามบีบสิวหัวดำที่ฝังลึกอาจทำให้สิวแตกใต้ผิวหนังและนำไปสู่การติดเชื้อได้ วิธีที่ปลอดภัยกว่าคือการใช้ผลิตภัณฑ์ที่มีส่วนผสมของกรดซาลิไซลิก (Salicylic Acid) หรือเรตินอยด์ (Retinoids) เพื่อช่วยสลายสิ่งอุดตันอย่างค่อยเป็นค่อยไป หากยังคงบีบไม่ออก ควรไปพบแพทย์ผิวหนังเพื่อทำการกดสิวอย่างถูกวิธีและปลอดภัย

สิวหัวดำแข็งเหมือนหิน เกิดจากอะไร แก้ยังไง?

สิวหัวดำแข็งเกิดจากการอุดตันของไขมันและเซลล์ผิวที่สะสมเป็นเวลานานจนแข็งตัวและฝังลึก ซึ่งการพยายามบีบเค้นเองมักไม่ได้ผลและเสี่ยงทำให้ผิวอักเสบ, ทิ้งรอยดำ หรือเกิดแผลเป็นได้ วิธีการรักษาที่ถูกต้องคือการใช้ผลิตภัณฑ์ที่ช่วยละลายการอุดตันร่วมกับการดูแลโดยผู้เชี่ยวชาญ

วิธีการรักษาที่แนะนำมีดังนี้:

วิธีดูแลด้วยตัวเอง

  • ใช้ยาทากลุ่มเรตินอยด์ (Retinoids): เช่น Adapalene ทาก่อนนอน เพื่อช่วยผลัดเซลล์ผิวและละลายหัวสิวที่อุดตัน
  • ใช้ผลิตภัณฑ์ที่มีกรดซาลิไซลิก (Salicylic Acid/BHA): ช่วยละลายไขมันที่อุดตันในรูขุมขน ทำให้หัวสิวอ่อนตัวลงและหลุดออกง่ายขึ้น
  • ทามอยส์เจอไรเซอร์ที่ไม่ก่อให้เกิดการอุดตัน (Non-Comedogenic): เพื่อให้ผิวชุ่มชื้นสมดุลและไม่ผลิตไขมันออกมามากเกินไป

การรักษาโดยผู้เชี่ยวชาญ

  • กดสิวโดยแพทย์หรือผู้เชี่ยวชาญ: เป็นวิธีที่ปลอดภัยและมีประสิทธิภาพที่สุดในการกำจัดสิวหัวดำที่ฝังลึก โดยผู้เชี่ยวชาญจะใช้อุปกรณ์ที่สะอาดและถูกหลักวิธีเพื่อไม่ให้ผิวบอบช้ำ
  • ทำทรีตเมนต์ผลัดเซลล์ผิว: เช่น การทำเคมิคอลพีล (Chemical Peel) เพื่อช่วยเร่งการผลัดเซลล์ผิวและกำจัดสิวอุดตันที่ฝังแน่น

สิวหัวดำหายเองได้ไหม หรือควรรักษา?

โดยทั่วไป สิวหัวดำมักไม่หายไปเองและอาจคงอยู่ได้เรื่อยๆ ดังนั้นจึงควรรักษาเพื่อป้องกันไม่ให้สิวอุดตันลึกและแข็งตัวมากขึ้น หากปล่อยทิ้งไว้ สิ่งสกปรกและเซลล์ผิวจะยังคงสะสมอยู่เบื้องหลังหัวสิวที่แข็งตัว ทำให้สิวหัวดำฝังลึกและเอาออกยากขึ้นเรื่อยๆ

การรักษาที่เหมาะสมจะช่วยสลายการอุดตันและป้องกันการเกิดใหม่ได้ดีกว่าการปล่อยไว้เฉยๆ:

  • การใช้ยาทาเฉพาะที่: ผลิตภัณฑ์ที่มีส่วนผสมของเรตินอยด์ (Retinoids) หรือกรดซาลิไซลิก (Salicylic acid) จะช่วยเร่งการผลัดเซลล์ผิวและสลายสิ่งอุดตันในรูขุมขน
  • การกดสิวโดยผู้เชี่ยวชาญ: หากสิวฝังลึกและเอาออกยาก แพทย์ผิวหนังหรือผู้เชี่ยวชาญสามารถนำสิวออกได้อย่างปลอดภัยด้วยเครื่องมือที่ผ่านการฆ่าเชื้อ
  • หลีกเลี่ยงการบีบเอง: การบีบหรือเค้นสิวหัวดำด้วยตัวเองมีความเสี่ยงสูงที่จะทำให้ผิวหนังอักเสบ ทิ้งรอยดำ หรือเกิดแผลเป็นถาวรได้

ยาละลายสิวหัวดำช่วยได้จริงไหม ต้องใช้นานเท่าไหร่?

ยาละลายสิวหัวดำ สามารถช่วยได้จริง แต่ต้องใช้เวลาและความสม่ำเสมอ โดยทั่วไปจะเริ่มเห็นผลการเปลี่ยนแปลงใน 4-6 สัปดาห์ และจะเห็นผลอย่างชัดเจนเมื่อใช้ต่อเนื่องประมาณ 2-3 เดือน

ผลิตภัณฑ์ที่มีส่วนผสมสำคัญ เช่น เรตินอยด์ (Retinoids), กรดซาลิไซลิก (Salicylic Acid), และเบนโซอิลเพอร์ออกไซด์ (Benzoyl Peroxide) จะช่วยผลัดเซลล์ผิวและสลายสิ่งอุดตันในรูขุมขนอย่างค่อยเป็นค่อยไป

สิวยีสต์หน้าตาเป็นยังไง แยกจากสิวหัวดำอย่างไร?

สิวยีสต์มีลักษณะเป็นตุ่มแดงหรือตุ่มหนองขนาดเล็กๆ เท่าๆ กัน และมักมีอาการคัน แต่จะไม่มีหัวสิวสีดำเหมือนสิวหัวดำ ซึ่งสิวหัวดำคือตุ่มนูนที่มีจุดสีดำอยู่ตรงกลางและไม่มีอาการคัน

เราสามารถแยกสิวทั้งสองชนิดออกจากกันได้จากลักษณะสำคัญต่อไปนี้

ลักษณะของสิว:

  • สิวยีสต์: เป็นตุ่มแดงหรือตุ่มหนองเล็กๆ ที่มีขนาดสม่ำเสมอใกล้เคียงกัน และไม่มีหัวสิวเป็นจุดสีดำ
  • สิวหัวดำ: เป็นตุ่มนูนที่มีจุดสีดำอยู่ตรงกลาง ซึ่งเกิดจากน้ำมันและเซลล์ผิวที่อุดตันทำปฏิกิริยากับออกซิเจน
  • อาการคัน:
  • สิวยีสต์: มักมีอาการคันหรือแสบร่วมด้วย
  • สิวหัวดำ: โดยทั่วไปจะไม่มีอาการคัน
  • บริเวณที่เกิด:
  • สิวยีสต์: มักพบบริเวณหน้าผาก ไรผม หน้าอก และหลัง ซึ่งเป็นบริเวณที่เหงื่อออกง่ายหรืออับชื้น
  • สิวหัวดำ: มักพบบริเวณที่มีความมัน เช่น จมูกและคาง
  • การตอบสนองต่อการรักษา:
  • สิวยีสต์: จะไม่ตอบสนองต่อยารักษาสิวทั่วไป เช่น Salicylic Acid หรือ Benzoyl Peroxide
  • สิวหัวดำ: ตอบสนองต่อยารักษาสิวทั่วไปได้ดี

References:

  1. American Academy of Dermatology. (n.d.). Acne: Tips for managing. AAD. aad.org
  2. Cleveland Clinic. (n.d.). Acne: Types, Causes, Treatment & Prevention. Cleveland Clinic. clevelandclinic.org
  3. Mayo Clinic. (n.d.). Acne – Symptoms and causes. Mayo Clinic. mayoclinic.org
  4. National Institutes of Health. (n.d.). Acne. NIH – National Institute of Arthritis and Musculoskeletal and Skin Diseases. nih.gov
  5. Healthline. (n.d.). Everything You Want to Know About Acne. Healthline Media. healthline.com
  6. Medical News Today. (n.d.). What you need to know about acne. MNT. medicalnewstoday.com

Author

  • admin
    admin

    View all posts

แนะแนวเรื่อง

Previous Previous
4 ปัจจัยหลัก ทำไมใช้มอยเจอร์ไรเซอร์แล้วสิวขึ้น?
NextContinue
สิวขึ้นตามตัวเกิดจากอะไร? แก้ยังไงให้ยุบไว ลดโอกาสกลับมาเป็นซ้ำ

สาขาพรีวาโต คลินิก

    สาขาอโศก ตั้งอยู่ที่ ชั้น 2 อาคารมิดทาวน์
    Phone: 02-258-4050 , 081-841-5075
    สาขาสีลม ตั้งอยู่ที่ ชั้น 1 อาคารซี.พี.ทาวเวอร์
    Phone: 02-780-2011 , 098-272-5244
    สาขาราชพฤกษ์ ตั้งอยู่ที่ ชั้น 2 ศูนย์การค้า เดอะคริสตัล เอสบี (ด้านบนร้านสตาร์บัคส์)
    Phone: 02-102-2778 , 098-272-5244

ติดต่อเรา

    Facebook: Privato Clinic
    Messenger: Privato Clinic
    Instagram: privatoclinic
    Email: privatoclinic@gmail.com
    Line: @privatoclinic

Copyright© 2022-2024. All Rights Reserved

Scroll to top
  • หน้าหลัก
  • เกี่ยวกับพรีวาโต
  • บริการทั้งหมด
    • ชะลอวัย
    • ยกกระชับผิว
      • XERF
      • Potenza
      • Sofwave
      • Ulthera
      • Thermage-FLX
    • รักษาสิว
    • เลเซอร์
    • โปรแกรมฉีด
    • บำรุงผิว
  • บทความ
    • สิว
    • ยกกระชับ
    • ดูแลผิว
    • ทำเลเซอร์
  • ผลิตภัณฑ์ดูแลผิว
  • โปรโมชั่น
  • ผลลัพธ์การรักษา
  • วิดีโอรีวิวจากเคสจริง
  • สาขาของเรา
  • ไทย
    • ไทย
    • English
    • 中文 (中国)
  • ปรึกษาแพทย์
Facebook Instagram YouTube