Skip to content

TEL : 081-841-5075, 02-258-4050

Facebook Instagram YouTube
Privato Clinic – Innovation Of Beauty  |  Bangkok
  • หน้าหลัก
  • เกี่ยวกับพรีวาโต
  • บริการทั้งหมดExpand
    • ชะลอวัย
    • ยกกระชับผิวExpand
      • XERF
      • Potenza
      • Sofwave
      • Ulthera
      • Thermage-FLX
    • รักษาสิว
    • เลเซอร์
    • โปรแกรมฉีด
    • บำรุงผิว
  • บทความExpand
    • สิว
    • ยกกระชับ
    • ดูแลผิว
    • ทำเลเซอร์
  • ผลิตภัณฑ์ดูแลผิว
  • โปรโมชั่น
  • ผลลัพธ์การรักษา
  • วิดีโอรีวิวจากเคสจริง
  • สาขาของเรา
  • ไทยExpand
    • ไทย
    • English
    • 中文 (中国)
  • ปรึกษาแพทย์
Privato Clinic – Innovation Of Beauty  |  Bangkok
Consult a Doctor
Acne

สิวอักเสบขึ้นไม่หยุด เกิดจากอะไร แก้ที่ต้นเหตุยังไงให้ได้ผลทันใจ

Byadmin กันยายน 17, 2025
By นายแพทย์เลอพงษ์ กรุดเงิน Updated on กันยายน 17, 2025
✦ Medically reviewed by  แพทย์หญิงนัชชนก หุ่นวิจิตร

สิวอักเสบขึ้นไม่หยุด ต้องทำอย่างไร

Table of Contents

Toggle
  • สิวอักเสบขึ้นไม่หยุดคืออะไร? สัญญาณและลักษณะที่ควรสังเกต
    • สัญญาณและลักษณะที่สังเกตได้ของสิวอักเสบขึ้นไม่หยุด ได้แก่:
  • 8 สาเหตุหลักที่ทำให้สิวอักเสบขึ้นไม่หยุดและเป็นเรื้อรัง
    • ฮอร์โมนไม่สมดุลและปัจจัยทางพันธุกรรม
    • การทำงานของต่อมไขมันที่ผลิตน้ำมันมากเกินไป
    • การสะสมของแบคทีเรีย C. acnes และการอุดตันรูขุมขน
    • ความเครียด การพักผ่อน และพฤติกรรมการใช้ชีวิต
    • การเลือกใช้สกินแคร์และเครื่องสำอางที่ไม่เหมาะสม
    • อาหารบางชนิดที่อาจกระตุ้นการอักเสบของสิว
  • แนวทางการรักษาสิวอักเสบเรื้อรังให้ได้ผล
    • การดูแลตัวเองเบื้องต้นเพื่อควบคุมสิวอักเสบ
    • การรักษาด้วยยาทาและยารับประทานโดยแพทย์
    • การรักษาด้วยหัตถการในคลินิกเพื่อลดการอักเสบเร่งด่วน
    • เกณฑ์การเลือกวิธีรักษาที่เหมาะสมกับความรุนแรงของสิว
  • ก่อนตัดสินใจรักษา: ปัจจัยสำคัญที่ต้องพิจารณา
    • การประเมินความรุนแรงและประเภทของสิวที่เป็นอยู่
    • ผลลัพธ์ที่คาดหวังและระยะเวลาในการรักษา
    • การเลือกคลินิกและแพทย์ผู้มีประสบการณ์ในการรักษาสิว
  • ข้อควรระวังและพฤติกรรมที่ควรเลี่ยงเพื่อไม่ให้สิวแย่ลง
    • ความเข้าใจผิดเกี่ยวกับการกดหรือบีบสิวอักเสบด้วยตัวเอง
    • การละเลยการใช้ครีมกันแดดและความชุ่มชื้นที่จำเป็น
    • การทดลองใช้ผลิตภัณฑ์หลายชนิดพร้อมกันโดยไม่จำเป็น
  • คำถามที่พบบ่อยเกี่ยวกับสิวอักเสบขึ้นไม่หยุด
    • ทำไมสิวอักเสบขึ้นซ้ำๆ ที่เดิมไม่หายสักที?
    • สิวอักเสบกี่วันถึงจะยุบและหายสนิท?
    • การกดหรือบีบสิวอักเสบทำให้หายเร็วขึ้นจริงไหม?
    • สิวอักเสบสามารถหายเองได้หรือไม่หากไม่รักษา?
    • ควรพบแพทย์เมื่อไหร่หากสิวอักเสบขึ้นไม่หยุด?
    • อาหารชนิดใดที่กระตุ้นให้เกิดสิวอักเสบมากขึ้น?
  • References:

สิวอักเสบขึ้นไม่หยุดคืออะไร? สัญญาณและลักษณะที่ควรสังเกต

สิวอักเสบขึ้นไม่หยุด (Persistent Inflammatory Acne) คือภาวะผิวหนังอักเสบเรื้อรังที่เกิดจากการอุดตันของรูขุมขน การเจริญเติบโตของแบคทีเรีย และการตอบสนองของระบบภูมิคุ้มกันในร่างกาย ซึ่งทำให้เกิดสิวอักเสบขึ้นอย่างต่อเนื่องและรักษายาก

สัญญาณและลักษณะที่สังเกตได้ของสิวอักเสบขึ้นไม่หยุด ได้แก่:

  • ประเภทของสิว: มีลักษณะเป็นสิวอักเสบจำนวนมาก เช่น ตุ่มแดงนูน (Papules) ตุ่มหนอง (Pustules) และในกรณีที่รุนแรงอาจเป็นสิวอักเสบก้อนลึก (Nodules) หรือสิวซีสต์ (Cysts)
  • บริเวณที่เกิด: มักพบบริเวณที่มีต่อมไขมันหนาแน่น เช่น ใบหน้า หน้าอก หลัง และไหล่ โดยในผู้หญิงวัยผู้ใหญ่มักเกิดบริเวณกรอบหน้า (U-zone) ส่วนวัยรุ่นมักเกิดบริเวณทีโซน (T-zone)
  • ความเสี่ยงที่เกี่ยวข้อง: มีความเสี่ยงสูงที่จะทิ้งรอยแผลเป็นและรอยดำ (Hyperpigmentation) หลังสิวหาย
  • ผลกระทบทางจิตใจ: อาจส่งผลกระทบต่อความมั่นใจและคุณภาพชีวิตอย่างมาก
  • การดื้อต่อการรักษา: สิวอาจไม่ตอบสนองต่อการรักษาทั่วไป เนื่องจากแบคทีเรียสามารถสร้างไบโอฟิล์ม (Biofilm) ที่ช่วยป้องกันตัวเองได้

8 สาเหตุหลักที่ทำให้สิวอักเสบขึ้นไม่หยุดและเป็นเรื้อรัง

ฮอร์โมนไม่สมดุลและปัจจัยทางพันธุกรรม

ความไม่สมดุลของฮอร์โมนและปัจจัยทางพันธุกรรมมีบทบาทสำคัญในการเกิดสิวเรื้อรัง

การเปลี่ยนแปลงของฮอร์โมน เช่น ในช่วงวัยรุ่น รอบเดือน หรือภาวะถุงน้ำรังไข่หลายใบ (PCOS) จะกระตุ้นให้ต่อมไขมันผลิตน้ำมันออกมามากขึ้น ทำให้สิวแย่ลง ในขณะเดียวกัน ปัจจัยทางพันธุกรรมก็มีบทบาทสำคัญเช่นกัน โดยสิวมักเป็นกรรมพันธุ์ในครอบครัว และมีการประเมินว่าการถ่ายทอดทางพันธุกรรมของสิวอยู่ที่ 50–90% ซึ่งบ่งชี้ถึงแนวโน้มทางพันธุกรรมที่ชัดเจนในการเกิดสิวรุนแรงและเรื้อรัง

การทำงานของต่อมไขมันที่ผลิตน้ำมันมากเกินไป

การทำงานของต่อมไขมันที่ผลิตน้ำมัน (sebum) ออกมามากเกินไปเป็นหนึ่งในปัจจัยหลักของการเกิดสิว เนื่องจากน้ำมันส่วนเกินจะรวมตัวกับเซลล์ผิวที่ตายแล้วและทำให้รูขุมขนอุดตัน (comedones)

ปัจจัยที่กระตุ้นให้ต่อมไขมันผลิตน้ำมันมากขึ้น ได้แก่

  • ฮอร์โมน โดยเฉพาะฮอร์โมนแอนโดรเจน ซึ่งมักมีการเปลี่ยนแปลงในช่วงวัยรุ่น, รอบเดือน หรือในผู้ที่มีภาวะถุงน้ำรังไข่หลายใบ (PCOS)
  • อาหาร อาหารที่มีค่าดัชนีน้ำตาลสูง (เช่น น้ำตาล, ขนมปังขาว) และผลิตภัณฑ์นม (โดยเฉพาะนมพร่องมันเนย) สามารถกระตุ้นการผลิตน้ำมันได้
  • การดูแลผิวที่ไม่เหมาะสม การทำให้ผิวแห้งจนเกินไปอาจกระตุ้นให้ต่อมไขมันผลิตน้ำมันออกมาทดแทนมากขึ้น

เมื่อรูขุมขนอุดตันจากน้ำมันและเซลล์ผิวที่ตายแล้ว จะกลายเป็นสภาวะที่เหมาะแก่การเจริญเติบโตของเชื้อแบคทีเรีย *C. acnes* ซึ่งนำไปสู่การอักเสบ บวม แดง และเกิดเป็นสิวอักเสบในที่สุด

การสะสมของแบคทีเรีย C. acnes และการอุดตันรูขุมขน

การอุดตันของรูขุมขนและการสะสมของแบคทีเรีย C. acnes เป็นพยาธิสภาพหลักของสิวอักเสบเรื้อรัง โดยเริ่มต้นจากการที่รูขุมขน (pilosebaceous follicles) อุดตันด้วยน้ำมันและเซลล์ผิวที่ตายแล้ว ทำให้เกิดสิวอุดตัน (comedones)

เมื่อรูขุมขนอุดตัน จะกลายเป็นแหล่งเพาะพันธุ์ของแบคทีเรีย Cutibacterium acnes (C. acnes) ซึ่งเมื่อแบคทีเรียเจริญเติบโตจะกระตุ้นการตอบสนองของภูมิคุ้มกัน ทำให้เกิดการอักเสบเฉพาะที่ เช่น รอยแดง อาการบวม และหนอง นอกจากนี้ C. acnes ยังสามารถสร้างไบโอฟิล์ม (biofilm) ซึ่งเป็นเกราะป้องกันที่ทำให้แบคทีเรียทนทานต่อยาปฏิชีวนะและยาทา ส่งผลให้สิวบางเม็ดดื้อยาและกลับมาอักเสบซ้ำได้ง่าย

ความเครียด การพักผ่อน และพฤติกรรมการใช้ชีวิต

ความเครียด การพักผ่อนไม่เพียงพอ และพฤติกรรมการใช้ชีวิตบางอย่างสามารถทำให้สิวที่เป็นอยู่แย่ลงได้ แม้ว่าปัจจัยเหล่านี้มักไม่ใช่สาเหตุโดยตรงของการเกิดสิว แต่ก็เป็นปัจจัยกระตุ้นที่สำคัญ

  • ความเครียดและการนอนหลับ: ความเครียดสามารถทำให้สิวหายช้าลงและกระตุ้นให้เกิดสิวใหม่ได้ ส่วนการนอนหลับไม่เพียงพอ (น้อยกว่า 7-8 ชั่วโมงต่อคืน) จะรบกวนการทำงานของฮอร์โมนและระบบภูมิคุ้มกัน ซึ่งส่งผลให้สิวเห่อขึ้นได้
  • อาหาร: อาหารที่มีค่าดัชนีน้ำตาลสูง (เช่น ของหวาน, ขนมปังขาว) และผลิตภัณฑ์นม (โดยเฉพาะนมพร่องมันเนย) มีความเชื่อมโยงกับการเกิดสิวที่รุนแรงขึ้น เนื่องจากสามารถกระตุ้นการผลิตน้ำมันและการอักเสบ
  • การดูแลผิวและผลิตภัณฑ์: การล้างหน้าบ่อยหรือขัดถูผิวแรงเกินไป รวมถึงการใช้ผลิตภัณฑ์ที่อุดตันรูขุมขน (comedogenic) เช่น เครื่องสำอางหรือครีมกันแดดบางชนิด สามารถทำให้อาการแย่ลงได้
  • พฤติกรรมอื่นๆ: การบีบหรือแกะสิวจะเพิ่มการอักเสบและเสี่ยงต่อการเกิดรอยแผลเป็น นอกจากนี้ การเสียดสีจากเสื้อผ้าหรืออุปกรณ์กีฬาที่สวมใส่เป็นประจำก็สามารถกระตุ้นให้เกิดสิวในบริเวณนั้นๆ ได้เช่นกัน

การเลือกใช้สกินแคร์และเครื่องสำอางที่ไม่เหมาะสม

การเลือกใช้สกินแคร์และเครื่องสำอางที่ไม่เหมาะสมอาจทำให้รูขุมขนอุดตันและเกิดสิวได้ โดยเฉพาะผลิตภัณฑ์ที่มีส่วนผสมของน้ำมันหรือมีเนื้อครีมที่หนักและอุดตันผิว

พฤติกรรมการใช้ผลิตภัณฑ์ที่ไม่เหมาะสมซึ่งอาจทำให้สิวแย่ลง ได้แก่

  • การใช้ผลิตภัณฑ์ที่อุดตันผิว: เครื่องสำอางหรือโลชั่นที่มีส่วนผสมของน้ำมันหรือเนื้อครีมที่หนักสามารถเข้าไปอุดตันรูขุมขนได้ จึงควรเลือกใช้ผลิตภัณฑ์ที่ระบุว่า “non-comedogenic” (ไม่ก่อให้เกิดการอุดตัน) หรือ “oil-free” (ปราศจากน้ำมัน)
  • การละเลยผลิตภัณฑ์สำหรับเส้นผม: ผลิตภัณฑ์จัดแต่งทรงผมที่มีความมัน เช่น โพเมด อาจไหลลงมาโดนผิวหน้าและกระตุ้นให้เกิดสิวได้ ที่เรียกว่า “pomade acne”
  • การล้างหน้ามากเกินไปหรือรุนแรงเกินไป: การล้างหน้ามากกว่าวันละ 2 ครั้ง หรือการขัดถูผิวอย่างรุนแรง จะทำลายน้ำมันตามธรรมชาติและเกราะป้องกันผิว ทำให้ผิวระคายเคืองและอาจกระตุ้นให้สิวแย่ลง
  • การไม่ใช้มอยส์เจอไรเซอร์: การปล่อยให้ผิวแห้งเกินไปจะกระตุ้นให้ต่อมไขมันผลิตน้ำมันออกมามากขึ้นเพื่อชดเชย ควรใช้มอยส์เจอไรเซอร์ชนิดไม่ก่อให้เกิดการอุดตันเพื่อรักษาความชุ่มชื้นของผิว
  • การไม่ล้างเครื่องสำอางก่อนนอน: การนอนหลับโดยไม่ล้างเครื่องสำอางออกจะทำให้รูขุมขนอุดตันและไม่สามารถฟื้นฟูตัวเองได้

อาหารบางชนิดที่อาจกระตุ้นการอักเสบของสิว

อาหารที่มีหลักฐานชัดเจนว่าอาจกระตุ้นการอักเสบของสิวได้คือ อาหารที่มีค่าดัชนีน้ำตาลสูงและผลิตภัณฑ์จากนม โดยเฉพาะนมพร่องมันเนย

อาหารเหล่านี้ส่งผลต่อการเกิดสิวได้ ดังนี้

  • อาหารที่มีค่าดัชนีน้ำตาลสูง: เช่น เครื่องดื่มรสหวาน ขนมปังขาว ของหวาน และคาร์โบไฮเดรตขัดสีอื่นๆ อาหารเหล่านี้จะเพิ่มระดับอินซูลินในเลือดอย่างรวดเร็ว ซึ่งไปกระตุ้นการผลิตน้ำมันบนผิวหนังให้มากขึ้น
  • ผลิตภัณฑ์จากนม: โดยเฉพาะนมพร่องมันเนย (skim milk) มีความเชื่อมโยงกับการเกิดสิว เนื่องจากในน้ำนมมีฮอร์โมนและสารกระตุ้นการเจริญเติบโตที่อาจทำให้อาการสิวแย่ลง

ในทางกลับกัน ความเชื่อที่ว่าอาหารมันๆ หรือช็อกโกแลตเป็นสาเหตุหลักของสิวนั้นยังไม่มีหลักฐานทางวิทยาศาสตร์ที่ชัดเจนมารองรับ

แนวทางการรักษาสิวอักเสบเรื้อรังให้ได้ผล

การดูแลตัวเองเบื้องต้นเพื่อควบคุมสิวอักเสบ

การดูแลตัวเองเบื้องต้นเพื่อควบคุมสิวอักเสบประกอบด้วยการทำความสะอาดอย่างอ่อนโยน การให้ความชุ่มชื้น การทาครีมกันแดด และการใช้ยาที่หาซื้อได้เองอย่างสม่ำเสมอ

แนวทางการดูแลผิวด้วยตนเองสำหรับผู้มีปัญหาสิวอักเสบมีดังนี้:

  • การทำความสะอาด: ล้างหน้าวันละ 2 ครั้ง (เช้าและเย็น) ด้วยผลิตภัณฑ์ทำความสะอาดที่อ่อนโยน หลีกเลี่ยงการขัดถูผิวแรงๆ เพราะจะทำให้การอักเสบแย่ลง
  • การให้ความชุ่มชื้น: ใช้มอยส์เจอไรเซอร์ที่ไม่มีส่วนผสมที่อุดตันรูขุมขน (non-comedogenic) เพื่อรักษาความแข็งแรงของเกราะป้องกันผิว แม้ว่าคุณจะมีผิวมันก็ตาม
  • การป้องกันแสงแดด: ทาครีมกันแดดชนิด broad-spectrum ที่มีค่า SPF 30 ขึ้นไปทุกเช้า เพื่อป้องกันรอยดำหลังสิวหายและลดโอกาสการเกิดแผลเป็น
  • การใช้ยาที่หาซื้อได้เอง (OTC): ใช้ผลิตภัณฑ์ที่มีส่วนผสม เช่น เบนโซอิลเพอร์ออกไซด์ (Benzoyl Peroxide) เพื่อลดเชื้อแบคทีเรียและการอักเสบ หรือกรดซาลิไซลิก (Salicylic Acid) เพื่อช่วยผลัดเซลล์ผิวและลดการอุดตัน
  • ความสม่ำเสมอ: ควรใช้ผลิตภัณฑ์ดูแลสิวอย่างต่อเนื่องเป็นเวลาอย่างน้อย 4-6 สัปดาห์จึงจะเริ่มเห็นผล การเปลี่ยนผลิตภัณฑ์บ่อยเกินไปอาจทำให้การรักษาไม่ได้ผลดีเท่าที่ควร

การรักษาด้วยยาทาและยารับประทานโดยแพทย์

การรักษาโดยแพทย์สำหรับสิวอักเสบเรื้อรังมักใช้ยาทาเฉพาะที่ เช่น เรตินอยด์และเบนโซอิลเพอร์ออกไซด์ ควบคู่ไปกับยารับประทาน เช่น ยาปฏิชีวนะ ยาคุมกำเนิด หรือไอโซเตรติโนอิน โดยแพทย์จะเลือกใช้ยาตามความรุนแรงของสิวและการตอบสนองต่อการรักษา

ยาทาเฉพาะที่ตามใบสั่งแพทย์

  • เรตินอยด์ (Retinoids): เป็นยาหลักในการรักษาสิว ช่วยผลัดเซลล์ผิวและลดการอุดตันของรูขุมขน มักใช้ทาตอนกลางคืน
  • เบนโซอิลเพอร์ออกไซด์ (Benzoyl Peroxide – BPO): ช่วยฆ่าเชื้อแบคทีเรีย *C. acnes* และลดการอักเสบ ข้อดีคือไม่ทำให้เกิดการดื้อยา
  • ยาปฏิชีวนะชนิดทา (Topical Antibiotics): เช่น คลินดามัยซิน (Clindamycin) ช่วยลดแบคทีเรียและการอักเสบ แต่ต้องใช้ร่วมกับ BPO เพื่อป้องกันการดื้อยา
  • การรักษาแบบผสมผสาน: แพทย์มักสั่งยาหลายชนิดร่วมกัน เช่น เรตินอยด์คู่กับ BPO เพื่อจัดการสาเหตุของสิวได้หลายทาง ซึ่งให้ผลการรักษาที่ดีที่สุด

ยารับประทาน

  • ยาปฏิชีวนะ (Oral Antibiotics): ใช้สำหรับสิวระดับปานกลางถึงรุนแรง เพื่อลดการอักเสบและเชื้อแบคทีเรียจากภายใน โดยทั่วไปจะใช้ในระยะเวลาจำกัด (ประมาณ 3 เดือน)
  • การรักษาด้วยฮอร์โมน (Hormonal Therapy): เหมาะสำหรับผู้หญิงที่มีสิวจากฮอร์โมน เช่น ยาคุมกำเนิดชนิดฮอร์โมนรวม หรือยา สไปโรโนแลคโตน (Spironolactone) ซึ่งช่วยลดการทำงานของฮอร์โมนแอนโดรเจนที่กระตุ้นต่อมไขมัน
  • ไอโซเตรติโนอิน (Isotretinoin): เป็นยาสำหรับรักษาสิวที่รุนแรงมาก ดื้อต่อการรักษาอื่น หรือสิวที่ทำให้เกิดแผลเป็นรุนแรง ยานี้มีประสิทธิภาพสูงมากแต่มีผลข้างเคียงและข้อควรระวังที่ต้องอยู่ภายใต้การดูแลของแพทย์อย่างใกล้ชิด

การรักษาด้วยหัตถการในคลินิกเพื่อลดการอักเสบเร่งด่วน

การฉีดคอร์ติโคสเตียรอยด์เข้าไปในตุ่มสิวโดยตรง เป็นหัตถการในคลินิกที่สามารถลดการอักเสบของสิวขนาดใหญ่ที่เจ็บปวดได้อย่างรวดเร็ว ซึ่งมักจะเห็นผลภายใน 24-48 ชั่วโมง

นอกจากนี้ยังมีหัตถการอื่นๆ ที่ช่วยควบคุมสิวได้ เช่น:

  • การกดสิว (Comedo extraction): ช่วยกำจัดสิวอุดตันเพื่อเร่งให้สิวยุบเร็วขึ้น
  • การบำบัดด้วยแสงและเลเซอร์: เช่น การบำบัดด้วยแสงสีฟ้า-แดง (Blue-red light therapy) และการรักษาด้วยแสงไดนามิก (Photodynamic therapy – PDT) เพื่อฆ่าเชื้อแบคทีเรียและลดการอักเสบ
  • การลอกผิวด้วยสารเคมี (Chemical peels): ช่วยผลัดเซลล์ผิวและลดการอุดตันของรูขุมขน

การฉีดสิวเพื่อลดการอักเสบและอาการบวมแดง

การฉีดสิวคือการฉีดคอร์ติโคสเตียรอยด์เข้าไปในตุ่มสิวอักเสบขนาดใหญ่โดยตรง เช่น สิวหัวช้าง (Nodules) หรือสิวซีสต์ (Cysts) เพื่อลดการอักเสบและป้องกันการเกิดรอยแผลเป็น

วิธีนี้มักถูกเรียกว่า “การฉีดคอร์ติโซน” (Cortisone shots) ซึ่งสามารถช่วยบรรเทาอาการได้ทันที และมักใช้เพื่อควบคุมการเห่อของสิวเฉพาะจุด เช่น การฉีดสิวซีสต์ขนาดใหญ่ก่อนวันงานสำคัญ หรือเพื่อรักษาสิวที่มักเกิดซ้ำในตำแหน่งเดิม

การทำทรีตเมนต์และเลเซอร์เพื่อควบคุมเชื้อและลดรอย

การทำทรีตเมนต์และเลเซอร์สามารถใช้เป็นทรีตเมนต์เสริมเพื่อควบคุมเชื้อ ลดการอักเสบ และลดรอยสิวได้ โดยมักใช้ควบคู่ไปกับการรักษาทางการแพทย์อื่นๆ ทรีตเมนต์ที่นิยมใช้ ได้แก่

  • การบำบัดด้วยแสง (Light Therapy): การใช้แสงสีฟ้าเพื่อฆ่าเชื้อแบคทีเรีย C. acnes และแสงสีแดงเพื่อลดการอักเสบ นอกจากนี้ยังมีการบำบัดด้วยแสงที่เรียกว่า Photodynamic Therapy (PDT) ซึ่งช่วยลดขนาดต่อมไขมันและฆ่าเชื้อแบคทีเรียได้
  • เลเซอร์ (Laser): เลเซอร์บางชนิด เช่น เลเซอร์อินฟราเรด สามารถมุ่งเป้าไปที่ต่อมไขมันเพื่อลดการผลิตน้ำมัน และยังใช้ในการรักษารอยแผลเป็นจากสิวได้อีกด้วย
  • การฉีดสเตียรอยด์ (Steroid Injections): แพทย์ผิวหนังอาจฉีดสเตียรอยด์เข้าไปในสิวอักเสบขนาดใหญ่ เช่น สิวซีสต์หรือสิวหัวช้าง เพื่อลดการอักเสบอย่างรวดเร็วและป้องกันการเกิดแผลเป็น
  • การลอกผิวด้วยสารเคมี (Chemical Peels): การใช้กรดความเข้มข้นสูง เช่น กรดไกลโคลิกหรือกรดซาลิไซลิก เพื่อช่วยผลัดเซลล์ผิวและลดการอุดตันของรูขุมขน

โดยทั่วไปแล้ว การรักษาเหล่านี้มักใช้เป็นทางเลือกเสริมเมื่อการรักษาด้วยยาไม่ได้ผลเต็มที่ หรือใช้เพื่อควบคุมการอักเสบเฉพาะจุด แต่สำหรับสิวอักเสบรุนแรง การใช้ยาตามที่แพทย์สั่งยังคงเป็นมาตรฐานการรักษาหลัก

เกณฑ์การเลือกวิธีรักษาที่เหมาะสมกับความรุนแรงของสิว

เกณฑ์การเลือกวิธีรักษาสิวจะพิจารณาจากความรุนแรงของสิว โดยเริ่มตั้งแต่การใช้ยาทาสำหรับสิวที่ไม่รุนแรง ไปจนถึงการใช้ยารับประทานและไอโซเตรติโนอินสำหรับสิวที่รุนแรงหรือเกิดรอยแผลเป็น

  • สิวระดับไม่รุนแรง (Mild Acne): มีลักษณะเป็นสิวอุดตันและสิวอักเสบเล็กน้อย สามารถดูแลได้ด้วยผลิตภัณฑ์ที่หาซื้อได้เอง (OTC) เช่น เบนโซอิลเพอร์ออกไซด์ (Benzoyl Peroxide) และกรดซาลิไซลิก (Salicylic Acid)
  • สิวระดับปานกลาง (Moderate Acne): มีสิวอักเสบ (ตุ่มแดงและตุ่มหนอง) จำนวนมากขึ้น จะใช้ยาทาตามใบสั่งแพทย์ เช่น กลุ่มเรตินอยด์ (Retinoids) ร่วมกับเบนโซอิลเพอร์ออกไซด์ หรืออาจพิจารณาให้ยาปฏิชีวนะแบบรับประทานหรือยาปรับฮอร์โมนร่วมด้วยหากใช้ยาทาอย่างเดียวไม่ได้ผล
  • สิวระดับรุนแรง (Severe Acne): มีลักษณะเป็นสิวหัวช้าง (Nodules) หรือซีสต์ (Cysts) หรือเป็นสิวที่ไม่ตอบสนองต่อการรักษาอื่น มีแนวโน้มเกิดรอยแผลเป็น หรือส่งผลกระทบทางจิตใจอย่างรุนแรง มีข้อบ่งชี้ในการใช้ยาไอโซเตรติโนอิน (Isotretinoin) ชนิดรับประทาน ซึ่งเป็นการรักษาที่มีประสิทธิภาพสูงสุด

ก่อนตัดสินใจรักษา: ปัจจัยสำคัญที่ต้องพิจารณา

การประเมินความรุนแรงและประเภทของสิวที่เป็นอยู่

การประเมินความรุนแรงของสิวจะพิจารณาจากชนิดและจำนวนของสิวเป็นหลัก โดยแบ่งออกเป็นระดับต่างๆ เพื่อเป็นแนวทางในการรักษา

  • สิวเล็กน้อย (Mild): ส่วนใหญ่เป็นสิวอุดตัน (comedones) และอาจมีสิวหนอง (pustules) เล็กน้อย
  • สิวปานกลาง (Moderate): มีสิวอักเสบชนิดตุ่มนูนแดง (papules) และสิวหนองจำนวนมากขึ้น
  • สิวรุนแรง (Severe): มีสิวขนาดใหญ่ที่เป็นก้อนลึกใต้ผิวหนัง (nodules), สิวซีสต์ (cysts) หรือสิวอักเสบขนาดใหญ่ที่รวมกันเป็นก้อน (conglobate lesions) กระจายในบริเวณกว้าง

นอกจากนี้ แพทย์ยังพิจารณาปัจจัยอื่นๆ ร่วมด้วย เช่น บริเวณที่เป็นสิว (เช่น ใบหน้าหรือลำตัว), การเกิดรอยแผลเป็น, ประวัติครอบครัว และผลกระทบทางด้านจิตใจและสังคมของผู้ป่วย เพื่อวางแผนการรักษาที่เหมาะสมที่สุด

ผลลัพธ์ที่คาดหวังและระยะเวลาในการรักษา

โดยทั่วไปจะเริ่มเห็นการเปลี่ยนแปลงใน 4-6 สัปดาห์ และจะเห็นผลชัดเจนขึ้นใน 8-12 สัปดาห์

การรักษาสิวต้องใช้ความอดทน เนื่องจากสิวที่เห็นในวันนี้เริ่มก่อตัวใต้ผิวหนังมาหลายสัปดาห์แล้ว ในช่วง 2-3 สัปดาห์แรกของการรักษา โดยเฉพาะเมื่อใช้ยาในกลุ่มเรตินอยด์ อาจเกิดภาวะ “สิวเห่อ” (purging) ชั่วคราวก่อนที่ผิวจะดีขึ้น

  • การเปลี่ยนแปลงที่สังเกตได้: ภายใน 1-2 เดือน
  • การเปลี่ยนแปลงที่ชัดเจน: ภายใน 2-3 เดือน
  • กรณีสิวรุนแรง: อาจต้องใช้เวลาถึง 3-4 เดือนจึงจะเห็นผลการรักษาที่ชัดเจน

หากไม่เห็นการเปลี่ยนแปลงใดๆ เลยหลังจากผ่านไป 2-3 เดือน ควรปรึกษาแพทย์เพื่อประเมินแผนการรักษาอีกครั้ง นอกจากนี้ รอยแดงและรอยดำจากสิวจะใช้เวลานานกว่าสิวอักเสบในการจางหายไป

การเลือกคลินิกและแพทย์ผู้มีประสบการณ์ในการรักษาสิว

การเลือกแพทย์ที่สำคัญที่สุดคือ การเลือกแพทย์ผิวหนังที่ได้รับการรับรอง (board-certified dermatologist) ซึ่งจะช่วยให้มั่นใจได้ว่าแพทย์ท่านนั้นมีความเชี่ยวชาญและผ่านการฝึกอบรมด้านการจัดการสิวมาโดยตรง

ข้อควรพิจารณาเพิ่มเติมในการเลือกแพทย์และคลินิก ได้แก่:

  • เลือกคลินิกที่มีชื่อเสียง: มองหาคลินิกที่ใช้แนวทางการรักษาตามหลักฐานทางการแพทย์และมีประวัติการรักษาที่ดี
  • ตรวจสอบประวัติและรีวิว: สามารถตรวจสอบประวัติและผลตอบรับจากผู้ป่วยที่เคยรักษาสิวกับคลินิกนั้นๆ
  • ใช้เครื่องมือค้นหาแพทย์: สมาคมแพทย์ผิวหนังในหลายประเทศมีบริการ “ค้นหาแพทย์ผิวหนัง” เพื่อช่วยให้คุณพบแพทย์ผู้มีประสบการณ์ในพื้นที่ของคุณ
  • หลีกเลี่ยงการรักษาที่ไม่น่าเชื่อถือ: ควรหลีกเลี่ยงสปาหรือสถานเสริมความงามที่โฆษณาว่ารักษาสิวรุนแรงให้หายขาดได้อย่างรวดเร็วโดยไม่มีแพทย์ผู้เชี่ยวชาญดูแล
  • การประเมินที่ครอบคลุม: แพทย์ที่ดีจะทำการประเมินอย่างละเอียดก่อนเริ่มการรักษา ซึ่งอาจรวมถึงการตรวจระดับฮอร์โมนหากมีข้อบ่งชี้ เพื่อวางแผนการรักษาที่เหมาะสมกับแต่ละบุคคล

ข้อควรระวังและพฤติกรรมที่ควรเลี่ยงเพื่อไม่ให้สิวแย่ลง

ความเข้าใจผิดเกี่ยวกับการกดหรือบีบสิวอักเสบด้วยตัวเอง

การกดหรือบีบสิวด้วยตัวเองเป็นหนึ่งในสิ่งที่ไม่ควรทำที่สุด เพราะจะเพิ่มความเสี่ยงของการเกิดแผลเป็น รอยดำ และการติดเชื้อ นอกจากนี้ การบีบสิวยังทำให้สิวหายช้าลง เนื่องจากอาจไม่สามารถนำหัวสิวออกมาได้ทั้งหมด ทำให้สิวกลับมาอักเสบซ้ำที่เดิมได้อีก และยังอาจทำให้เกิดการติดเชื้อซ้ำซ้อนได้อีกด้วย การกระทำดังกล่าวจะยิ่งเพิ่มรอยแดง อาการบวม และโอกาสในการเกิดรอยแผลเป็นถาวร ทางที่ดีที่สุดคือควรปล่อยให้สิวหายเองตามกระบวนการรักษา และหากสิวเม็ดใหญ่ก่อให้เกิดความรำคาญ ควรไปพบผู้เชี่ยวชาญเพื่อทำการเจาะหรือฉีดจะปลอดภัยกว่า

การละเลยการใช้ครีมกันแดดและความชุ่มชื้นที่จำเป็น

การละเลยการใช้ครีมกันแดดและมอยส์เจอไรเซอร์เป็นสิ่งที่ไม่ควรทำ เพราะจะทำให้ผิวระคายเคือง แห้ง และอาจกระตุ้นให้ต่อมไขมันผลิตน้ำมันออกมามากขึ้น อีกทั้งยังทำให้รอยสิวเข้มขึ้นและหายช้าลง

การไม่ใช้มอยส์เจอไรเซอร์จะทำให้ผิวแห้งเกินไปจนเกิดการระคายเคือง และกระตุ้นให้ต่อมไขมันผลิตน้ำมันออกมาทดแทนมากยิ่งขึ้น ในขณะที่การไม่ใช้ครีมกันแดดจะทำให้รังสียูวีทำร้ายผิว ทำให้รอยดำและรอยแดงจากสิวเข้มขึ้นและคงอยู่นานขึ้น นอกจากนี้ ยารักษาสิวบางชนิดยังทำให้ผิวไวต่อแสงแดดมากขึ้น การใช้มอยส์เจอไรเซอร์และครีมกันแดดที่ไม่มีส่วนผสมที่อุดตันรูขุมขน (non-comedogenic) จึงช่วยให้ผิวแข็งแรง ลดการระคายเคือง และช่วยให้การรักษาสิวมีประสิทธิภาพดีขึ้น

การทดลองใช้ผลิตภัณฑ์หลายชนิดพร้อมกันโดยไม่จำเป็น

การใช้ผลิตภัณฑ์รักษาสิวหลายชนิดพร้อมกันอาจทำให้ผิวเกิดความเครียดและนำไปสู่การอักเสบที่มากขึ้น การกระทำดังกล่าวอาจทำให้ผิวระคายเคืองและไม่สามารถประเมินได้ว่าผลิตภัณฑ์ใดได้ผลจริง

แพทย์ผิวหนังแนะนำให้ใช้ผลิตภัณฑ์อย่างสม่ำเสมอเป็นเวลาอย่างน้อย 4–8 สัปดาห์ก่อนที่จะตัดสินประสิทธิภาพ และควรเริ่มใช้ผลิตภัณฑ์ใหม่ทีละชนิดเพื่อสังเกตการตอบสนองของผิว

คำถามที่พบบ่อยเกี่ยวกับสิวอักเสบขึ้นไม่หยุด

ทำไมสิวอักเสบขึ้นซ้ำๆ ที่เดิมไม่หายสักที?

การที่สิวขึ้นซ้ำที่เดิมเป็นเพราะรูขุมขนบริเวณนั้นยังคงมีปัญหา โดยอาจมีสิ่งอุดตันหรือเชื้อแบคทีเรียที่ยังกำจัดออกไปไม่หมด แม้การอักเสบภายนอกจะลดลงแล้ว แต่แกนของสิ่งสกปรกหรือแบคทีเรียอาจยังคงอยู่ลึกในรูปแบบของซีสต์ขนาดเล็ก (microcyst) ซึ่งพร้อมจะทำให้เกิดการอักเสบครั้งใหม่ในอีกหลายสัปดาห์หรือหลายเดือนต่อมา

สาเหตุอื่นๆ ที่ทำให้สิวขึ้นซ้ำที่เดิม ได้แก่

  • การบีบหรือแกะสิว: การกระทำดังกล่าวอาจทำให้สิ่งอุดตันถูกกำจัดออกไปไม่หมด และสร้างความเสียหายต่อรูขุมขน ทำให้เกิดการอักเสบซ้ำแล้วซ้ำเล่าในตำแหน่งเดิม
  • อิทธิพลของฮอร์โมน: ในบางบริเวณ เช่น คางและแนวกราม อาจมีกลุ่มรูขุมขนที่อ่อนแอและไวต่อการอุดตันซ้ำๆ ได้ง่าย

สิวอักเสบกี่วันถึงจะยุบและหายสนิท?

โดยทั่วไปแล้ว จะเริ่มเห็นการเปลี่ยนแปลงที่ดีขึ้นในเวลาประมาณ 4-6 สัปดาห์ และจะเห็นผลการรักษาที่ชัดเจนขึ้นในเวลาประมาณ 8-12 สัปดาห์ หรือประมาณ 2-3 เดือน

สำหรับกรณีที่เป็นสิวรุนแรงอาจต้องใช้เวลาถึง 3-4 เดือนกว่าจะเห็นผลอย่างชัดเจน สาเหตุที่ใช้เวลานานเป็นเพราะกระบวนการเกิดสิวเริ่มขึ้นใต้ผิวหนังเป็นเวลาหลายสัปดาห์ก่อนที่จะปรากฏให้เห็น ดังนั้นการรักษาจึงต้องใช้เวลาในการจัดการสิวที่กำลังจะเกิดขึ้นใหม่ด้วย หากไม่เห็นการเปลี่ยนแปลงที่ดีขึ้นเลยหลังจากผ่านไป 2-3 เดือน ควรปรึกษาแพทย์เพื่อประเมินแผนการรักษาอีกครั้ง

การกดหรือบีบสิวอักเสบทำให้หายเร็วขึ้นจริงไหม?

ไม่จริง การกดหรือบีบสิวอักเสบไม่ทำให้หายเร็วขึ้น แต่กลับจะทำให้สิวหายช้าลง เนื่องจากเป็นการเพิ่มรอยแดง อาการบวม และอาจนำไปสู่การติดเชื้อซ้ำซ้อน นอกจากนี้ยังเพิ่มความเสี่ยงในการเกิดรอยแผลเป็นถาวรอีกด้วย

สิวอักเสบสามารถหายเองได้หรือไม่หากไม่รักษา?

โดยทั่วไปแล้ว สิวอักเสบมักไม่หายไปเองหากไม่ได้รับการรักษา และอาจมีอาการรุนแรงขึ้นได้

สิวอักเสบเป็นภาวะผิวหนังเรื้อรังที่เกิดจากการอุดตัน การติดเชื้อแบคทีเรีย และการอักเสบใต้ผิวหนัง การปล่อยทิ้งไว้โดยไม่รักษาจะเพิ่มความเสี่ยงของการเกิดรอยแผลเป็นถาวรและรอยดำที่รักษายาก ดังนั้นจึงควรปรึกษาแพทย์เพื่อรับการรักษาที่เหมาะสมเพื่อควบคุมการอักเสบและป้องกันความเสียหายระยะยาวต่อผิวหนัง

ควรพบแพทย์เมื่อไหร่หากสิวอักเสบขึ้นไม่หยุด?

ควรไปพบแพทย์ผิวหนังเมื่อสิวไม่ดีขึ้นหลังใช้ยารักษาด้วยตนเอง (OTC) เป็นเวลา 2-3 เดือน, สิวมีความรุนแรง (เป็นก้อนลึกหรือซีสต์), เริ่มทิ้งรอยแผลเป็น หรือส่งผลกระทบต่อสภาพจิตใจ การไปพบแพทย์ตั้งแต่เนิ่นๆ จะช่วยป้องกันการเกิดแผลเป็นถาวรและช่วยให้ได้รับการรักษาที่เหมาะสม

สัญญาณเตือนที่บ่งบอกว่าควรไปพบแพทย์ ได้แก่:

  • สิวมีลักษณะเป็นก้อนแข็งเจ็บปวดอยู่ใต้ผิวหนัง (Nodulocystic acne)
  • สิวเริ่มทิ้งรอยแผลเป็นหรือรอยดำที่น่ากังวล
  • สิวส่งผลกระทบต่อความมั่นใจ สภาพจิตใจ หรือการเข้าสังคม
  • ผู้ใหญ่ที่เพิ่งเริ่มเป็นสิวรุนแรงอย่างกะทันหัน เพื่อตรวจหาสาเหตุพื้นฐานอื่นๆ

อาหารชนิดใดที่กระตุ้นให้เกิดสิวอักเสบมากขึ้น?

อาหารที่มีค่าดัชนีน้ำตาลสูงและผลิตภัณฑ์นม เป็นอาหารที่มีหลักฐานชัดเจนว่าสามารถกระตุ้นให้สิวอักเสบแย่ลงได้

  • อาหารที่มีค่าดัชนีน้ำตาลสูง (High-GI): เช่น เครื่องดื่มรสหวาน ขนมปังขาว ของหวาน และคาร์โบไฮเดรตขัดสี จะทำให้ระดับอินซูลินในเลือดสูงขึ้น ซึ่งไปกระตุ้นต่อมไขมันให้ผลิตน้ำมันมากขึ้น
  • ผลิตภัณฑ์นม (Dairy): โดยเฉพาะนมพร่องมันเนย (Skim Milk) มีความเชื่อมโยงกับการเกิดสิว เนื่องจากในนมมีฮอร์โมนและสารเร่งการเจริญเติบโตที่อาจทำให้อาการสิวแย่ลง

ในทางกลับกัน ความเชื่อที่ว่าอาหารมันๆ หรือช็อกโกแลตเป็นสาเหตุหลักของสิวนั้นยังไม่มีหลักฐานทางวิทยาศาสตร์ที่หนักแน่นมายืนยัน

References:

  1. American Academy of Dermatology. (n.d.). Acne: Diagnosis and Treatment. AAD. aad.org
  2. Mayo Clinic. (n.d.). Acne: Symptoms, Causes, and Treatment. Mayo Clinic. mayoclinic.org
  3. DermNet NZ. (n.d.). Acne Vulgaris: Clinical Information. DermNet New Zealand. dermnetnz.org
  4. Journal of the American Academy of Dermatology. (n.d.). Research on Persistent Acne. JAAD. jaad.org
  5. National Institutes of Health. (n.d.). Acne Treatment and Management. NIH. nih.gov
  6. Medical News Today. (n.d.). Why Won’t My Acne Go Away? medicalnewstoday.com
  7. Dermatology Times. (n.d.). Clinical Insights on Persistent Acne. dermatologytimes.com

แนะแนวเรื่อง

Previous Previous
สิวอักเสบหัวหนอง ต้องบีบไหม คำตอบชัด พร้อมวิธีดูแลที่ถูกต้อง
NextContinue
เป็นสิวที่หน้าอก รักษายังไง คู่มือเช็คสาเหตุและการดูแลอย่างได้ผล

สาขาพรีวาโต คลินิก

    สาขาอโศก ตั้งอยู่ที่ ชั้น 2 อาคารมิดทาวน์
    Phone: 02-258-4050 , 081-841-5075
    สาขาสีลม ตั้งอยู่ที่ ชั้น 1 อาคารซี.พี.ทาวเวอร์
    Phone: 02-780-2011 , 098-272-5244
    สาขาราชพฤกษ์ ตั้งอยู่ที่ ชั้น 2 ศูนย์การค้า เดอะคริสตัล เอสบี (ด้านบนร้านสตาร์บัคส์)
    Phone: 02-102-2778 , 098-272-5244

ติดต่อเรา

    Facebook: Privato Clinic
    Messenger: Privato Clinic
    Instagram: privatoclinic
    Email: privatoclinic@gmail.com
    Line: @privatoclinic

Copyright© 2022-2024. All Rights Reserved

Scroll to top
  • หน้าหลัก
  • เกี่ยวกับพรีวาโต
  • บริการทั้งหมด
    • ชะลอวัย
    • ยกกระชับผิว
      • XERF
      • Potenza
      • Sofwave
      • Ulthera
      • Thermage-FLX
    • รักษาสิว
    • เลเซอร์
    • โปรแกรมฉีด
    • บำรุงผิว
  • บทความ
    • สิว
    • ยกกระชับ
    • ดูแลผิว
    • ทำเลเซอร์
  • ผลิตภัณฑ์ดูแลผิว
  • โปรโมชั่น
  • ผลลัพธ์การรักษา
  • วิดีโอรีวิวจากเคสจริง
  • สาขาของเรา
  • ไทย
    • ไทย
    • English
    • 中文 (中国)
  • ปรึกษาแพทย์
Facebook Instagram YouTube