สิวอักเสบขึ้นไม่หยุด เกิดจากอะไร แก้ที่ต้นเหตุยังไงให้ได้ผลทันใจ
สิวอักเสบขึ้นไม่หยุดคืออะไร? สัญญาณและลักษณะที่ควรสังเกต
สิวอักเสบขึ้นไม่หยุด (Persistent Inflammatory Acne) คือภาวะผิวหนังอักเสบเรื้อรังที่เกิดจากการอุดตันของรูขุมขน การเจริญเติบโตของแบคทีเรีย และการตอบสนองของระบบภูมิคุ้มกันในร่างกาย ซึ่งทำให้เกิดสิวอักเสบขึ้นอย่างต่อเนื่องและรักษายาก
สัญญาณและลักษณะที่สังเกตได้ของสิวอักเสบขึ้นไม่หยุด ได้แก่:
- ประเภทของสิว: มีลักษณะเป็นสิวอักเสบจำนวนมาก เช่น ตุ่มแดงนูน (Papules) ตุ่มหนอง (Pustules) และในกรณีที่รุนแรงอาจเป็นสิวอักเสบก้อนลึก (Nodules) หรือสิวซีสต์ (Cysts)
- บริเวณที่เกิด: มักพบบริเวณที่มีต่อมไขมันหนาแน่น เช่น ใบหน้า หน้าอก หลัง และไหล่ โดยในผู้หญิงวัยผู้ใหญ่มักเกิดบริเวณกรอบหน้า (U-zone) ส่วนวัยรุ่นมักเกิดบริเวณทีโซน (T-zone)
- ความเสี่ยงที่เกี่ยวข้อง: มีความเสี่ยงสูงที่จะทิ้งรอยแผลเป็นและรอยดำ (Hyperpigmentation) หลังสิวหาย
- ผลกระทบทางจิตใจ: อาจส่งผลกระทบต่อความมั่นใจและคุณภาพชีวิตอย่างมาก
- การดื้อต่อการรักษา: สิวอาจไม่ตอบสนองต่อการรักษาทั่วไป เนื่องจากแบคทีเรียสามารถสร้างไบโอฟิล์ม (Biofilm) ที่ช่วยป้องกันตัวเองได้
8 สาเหตุหลักที่ทำให้สิวอักเสบขึ้นไม่หยุดและเป็นเรื้อรัง
ฮอร์โมนไม่สมดุลและปัจจัยทางพันธุกรรม
ความไม่สมดุลของฮอร์โมนและปัจจัยทางพันธุกรรมมีบทบาทสำคัญในการเกิดสิวเรื้อรัง
การเปลี่ยนแปลงของฮอร์โมน เช่น ในช่วงวัยรุ่น รอบเดือน หรือภาวะถุงน้ำรังไข่หลายใบ (PCOS) จะกระตุ้นให้ต่อมไขมันผลิตน้ำมันออกมามากขึ้น ทำให้สิวแย่ลง ในขณะเดียวกัน ปัจจัยทางพันธุกรรมก็มีบทบาทสำคัญเช่นกัน โดยสิวมักเป็นกรรมพันธุ์ในครอบครัว และมีการประเมินว่าการถ่ายทอดทางพันธุกรรมของสิวอยู่ที่ 50–90% ซึ่งบ่งชี้ถึงแนวโน้มทางพันธุกรรมที่ชัดเจนในการเกิดสิวรุนแรงและเรื้อรัง
การทำงานของต่อมไขมันที่ผลิตน้ำมันมากเกินไป
การทำงานของต่อมไขมันที่ผลิตน้ำมัน (sebum) ออกมามากเกินไปเป็นหนึ่งในปัจจัยหลักของการเกิดสิว เนื่องจากน้ำมันส่วนเกินจะรวมตัวกับเซลล์ผิวที่ตายแล้วและทำให้รูขุมขนอุดตัน (comedones)
ปัจจัยที่กระตุ้นให้ต่อมไขมันผลิตน้ำมันมากขึ้น ได้แก่
- ฮอร์โมน โดยเฉพาะฮอร์โมนแอนโดรเจน ซึ่งมักมีการเปลี่ยนแปลงในช่วงวัยรุ่น, รอบเดือน หรือในผู้ที่มีภาวะถุงน้ำรังไข่หลายใบ (PCOS)
- อาหาร อาหารที่มีค่าดัชนีน้ำตาลสูง (เช่น น้ำตาล, ขนมปังขาว) และผลิตภัณฑ์นม (โดยเฉพาะนมพร่องมันเนย) สามารถกระตุ้นการผลิตน้ำมันได้
- การดูแลผิวที่ไม่เหมาะสม การทำให้ผิวแห้งจนเกินไปอาจกระตุ้นให้ต่อมไขมันผลิตน้ำมันออกมาทดแทนมากขึ้น
เมื่อรูขุมขนอุดตันจากน้ำมันและเซลล์ผิวที่ตายแล้ว จะกลายเป็นสภาวะที่เหมาะแก่การเจริญเติบโตของเชื้อแบคทีเรีย *C. acnes* ซึ่งนำไปสู่การอักเสบ บวม แดง และเกิดเป็นสิวอักเสบในที่สุด
การสะสมของแบคทีเรีย C. acnes และการอุดตันรูขุมขน
การอุดตันของรูขุมขนและการสะสมของแบคทีเรีย C. acnes เป็นพยาธิสภาพหลักของสิวอักเสบเรื้อรัง โดยเริ่มต้นจากการที่รูขุมขน (pilosebaceous follicles) อุดตันด้วยน้ำมันและเซลล์ผิวที่ตายแล้ว ทำให้เกิดสิวอุดตัน (comedones)
เมื่อรูขุมขนอุดตัน จะกลายเป็นแหล่งเพาะพันธุ์ของแบคทีเรีย Cutibacterium acnes (C. acnes) ซึ่งเมื่อแบคทีเรียเจริญเติบโตจะกระตุ้นการตอบสนองของภูมิคุ้มกัน ทำให้เกิดการอักเสบเฉพาะที่ เช่น รอยแดง อาการบวม และหนอง นอกจากนี้ C. acnes ยังสามารถสร้างไบโอฟิล์ม (biofilm) ซึ่งเป็นเกราะป้องกันที่ทำให้แบคทีเรียทนทานต่อยาปฏิชีวนะและยาทา ส่งผลให้สิวบางเม็ดดื้อยาและกลับมาอักเสบซ้ำได้ง่าย
ความเครียด การพักผ่อน และพฤติกรรมการใช้ชีวิต
ความเครียด การพักผ่อนไม่เพียงพอ และพฤติกรรมการใช้ชีวิตบางอย่างสามารถทำให้สิวที่เป็นอยู่แย่ลงได้ แม้ว่าปัจจัยเหล่านี้มักไม่ใช่สาเหตุโดยตรงของการเกิดสิว แต่ก็เป็นปัจจัยกระตุ้นที่สำคัญ
- ความเครียดและการนอนหลับ: ความเครียดสามารถทำให้สิวหายช้าลงและกระตุ้นให้เกิดสิวใหม่ได้ ส่วนการนอนหลับไม่เพียงพอ (น้อยกว่า 7-8 ชั่วโมงต่อคืน) จะรบกวนการทำงานของฮอร์โมนและระบบภูมิคุ้มกัน ซึ่งส่งผลให้สิวเห่อขึ้นได้
- อาหาร: อาหารที่มีค่าดัชนีน้ำตาลสูง (เช่น ของหวาน, ขนมปังขาว) และผลิตภัณฑ์นม (โดยเฉพาะนมพร่องมันเนย) มีความเชื่อมโยงกับการเกิดสิวที่รุนแรงขึ้น เนื่องจากสามารถกระตุ้นการผลิตน้ำมันและการอักเสบ
- การดูแลผิวและผลิตภัณฑ์: การล้างหน้าบ่อยหรือขัดถูผิวแรงเกินไป รวมถึงการใช้ผลิตภัณฑ์ที่อุดตันรูขุมขน (comedogenic) เช่น เครื่องสำอางหรือครีมกันแดดบางชนิด สามารถทำให้อาการแย่ลงได้
- พฤติกรรมอื่นๆ: การบีบหรือแกะสิวจะเพิ่มการอักเสบและเสี่ยงต่อการเกิดรอยแผลเป็น นอกจากนี้ การเสียดสีจากเสื้อผ้าหรืออุปกรณ์กีฬาที่สวมใส่เป็นประจำก็สามารถกระตุ้นให้เกิดสิวในบริเวณนั้นๆ ได้เช่นกัน
การเลือกใช้สกินแคร์และเครื่องสำอางที่ไม่เหมาะสม
การเลือกใช้สกินแคร์และเครื่องสำอางที่ไม่เหมาะสมอาจทำให้รูขุมขนอุดตันและเกิดสิวได้ โดยเฉพาะผลิตภัณฑ์ที่มีส่วนผสมของน้ำมันหรือมีเนื้อครีมที่หนักและอุดตันผิว
พฤติกรรมการใช้ผลิตภัณฑ์ที่ไม่เหมาะสมซึ่งอาจทำให้สิวแย่ลง ได้แก่
- การใช้ผลิตภัณฑ์ที่อุดตันผิว: เครื่องสำอางหรือโลชั่นที่มีส่วนผสมของน้ำมันหรือเนื้อครีมที่หนักสามารถเข้าไปอุดตันรูขุมขนได้ จึงควรเลือกใช้ผลิตภัณฑ์ที่ระบุว่า “non-comedogenic” (ไม่ก่อให้เกิดการอุดตัน) หรือ “oil-free” (ปราศจากน้ำมัน)
- การละเลยผลิตภัณฑ์สำหรับเส้นผม: ผลิตภัณฑ์จัดแต่งทรงผมที่มีความมัน เช่น โพเมด อาจไหลลงมาโดนผิวหน้าและกระตุ้นให้เกิดสิวได้ ที่เรียกว่า “pomade acne”
- การล้างหน้ามากเกินไปหรือรุนแรงเกินไป: การล้างหน้ามากกว่าวันละ 2 ครั้ง หรือการขัดถูผิวอย่างรุนแรง จะทำลายน้ำมันตามธรรมชาติและเกราะป้องกันผิว ทำให้ผิวระคายเคืองและอาจกระตุ้นให้สิวแย่ลง
- การไม่ใช้มอยส์เจอไรเซอร์: การปล่อยให้ผิวแห้งเกินไปจะกระตุ้นให้ต่อมไขมันผลิตน้ำมันออกมามากขึ้นเพื่อชดเชย ควรใช้มอยส์เจอไรเซอร์ชนิดไม่ก่อให้เกิดการอุดตันเพื่อรักษาความชุ่มชื้นของผิว
- การไม่ล้างเครื่องสำอางก่อนนอน: การนอนหลับโดยไม่ล้างเครื่องสำอางออกจะทำให้รูขุมขนอุดตันและไม่สามารถฟื้นฟูตัวเองได้
อาหารบางชนิดที่อาจกระตุ้นการอักเสบของสิว
อาหารที่มีหลักฐานชัดเจนว่าอาจกระตุ้นการอักเสบของสิวได้คือ อาหารที่มีค่าดัชนีน้ำตาลสูงและผลิตภัณฑ์จากนม โดยเฉพาะนมพร่องมันเนย
อาหารเหล่านี้ส่งผลต่อการเกิดสิวได้ ดังนี้
- อาหารที่มีค่าดัชนีน้ำตาลสูง: เช่น เครื่องดื่มรสหวาน ขนมปังขาว ของหวาน และคาร์โบไฮเดรตขัดสีอื่นๆ อาหารเหล่านี้จะเพิ่มระดับอินซูลินในเลือดอย่างรวดเร็ว ซึ่งไปกระตุ้นการผลิตน้ำมันบนผิวหนังให้มากขึ้น
- ผลิตภัณฑ์จากนม: โดยเฉพาะนมพร่องมันเนย (skim milk) มีความเชื่อมโยงกับการเกิดสิว เนื่องจากในน้ำนมมีฮอร์โมนและสารกระตุ้นการเจริญเติบโตที่อาจทำให้อาการสิวแย่ลง
ในทางกลับกัน ความเชื่อที่ว่าอาหารมันๆ หรือช็อกโกแลตเป็นสาเหตุหลักของสิวนั้นยังไม่มีหลักฐานทางวิทยาศาสตร์ที่ชัดเจนมารองรับ
แนวทางการรักษาสิวอักเสบเรื้อรังให้ได้ผล
การดูแลตัวเองเบื้องต้นเพื่อควบคุมสิวอักเสบ
การดูแลตัวเองเบื้องต้นเพื่อควบคุมสิวอักเสบประกอบด้วยการทำความสะอาดอย่างอ่อนโยน การให้ความชุ่มชื้น การทาครีมกันแดด และการใช้ยาที่หาซื้อได้เองอย่างสม่ำเสมอ
แนวทางการดูแลผิวด้วยตนเองสำหรับผู้มีปัญหาสิวอักเสบมีดังนี้:
- การทำความสะอาด: ล้างหน้าวันละ 2 ครั้ง (เช้าและเย็น) ด้วยผลิตภัณฑ์ทำความสะอาดที่อ่อนโยน หลีกเลี่ยงการขัดถูผิวแรงๆ เพราะจะทำให้การอักเสบแย่ลง
- การให้ความชุ่มชื้น: ใช้มอยส์เจอไรเซอร์ที่ไม่มีส่วนผสมที่อุดตันรูขุมขน (non-comedogenic) เพื่อรักษาความแข็งแรงของเกราะป้องกันผิว แม้ว่าคุณจะมีผิวมันก็ตาม
- การป้องกันแสงแดด: ทาครีมกันแดดชนิด broad-spectrum ที่มีค่า SPF 30 ขึ้นไปทุกเช้า เพื่อป้องกันรอยดำหลังสิวหายและลดโอกาสการเกิดแผลเป็น
- การใช้ยาที่หาซื้อได้เอง (OTC): ใช้ผลิตภัณฑ์ที่มีส่วนผสม เช่น เบนโซอิลเพอร์ออกไซด์ (Benzoyl Peroxide) เพื่อลดเชื้อแบคทีเรียและการอักเสบ หรือกรดซาลิไซลิก (Salicylic Acid) เพื่อช่วยผลัดเซลล์ผิวและลดการอุดตัน
- ความสม่ำเสมอ: ควรใช้ผลิตภัณฑ์ดูแลสิวอย่างต่อเนื่องเป็นเวลาอย่างน้อย 4-6 สัปดาห์จึงจะเริ่มเห็นผล การเปลี่ยนผลิตภัณฑ์บ่อยเกินไปอาจทำให้การรักษาไม่ได้ผลดีเท่าที่ควร
การรักษาด้วยยาทาและยารับประทานโดยแพทย์
การรักษาโดยแพทย์สำหรับสิวอักเสบเรื้อรังมักใช้ยาทาเฉพาะที่ เช่น เรตินอยด์และเบนโซอิลเพอร์ออกไซด์ ควบคู่ไปกับยารับประทาน เช่น ยาปฏิชีวนะ ยาคุมกำเนิด หรือไอโซเตรติโนอิน โดยแพทย์จะเลือกใช้ยาตามความรุนแรงของสิวและการตอบสนองต่อการรักษา
ยาทาเฉพาะที่ตามใบสั่งแพทย์
- เรตินอยด์ (Retinoids): เป็นยาหลักในการรักษาสิว ช่วยผลัดเซลล์ผิวและลดการอุดตันของรูขุมขน มักใช้ทาตอนกลางคืน
- เบนโซอิลเพอร์ออกไซด์ (Benzoyl Peroxide – BPO): ช่วยฆ่าเชื้อแบคทีเรีย *C. acnes* และลดการอักเสบ ข้อดีคือไม่ทำให้เกิดการดื้อยา
- ยาปฏิชีวนะชนิดทา (Topical Antibiotics): เช่น คลินดามัยซิน (Clindamycin) ช่วยลดแบคทีเรียและการอักเสบ แต่ต้องใช้ร่วมกับ BPO เพื่อป้องกันการดื้อยา
- การรักษาแบบผสมผสาน: แพทย์มักสั่งยาหลายชนิดร่วมกัน เช่น เรตินอยด์คู่กับ BPO เพื่อจัดการสาเหตุของสิวได้หลายทาง ซึ่งให้ผลการรักษาที่ดีที่สุด
ยารับประทาน
- ยาปฏิชีวนะ (Oral Antibiotics): ใช้สำหรับสิวระดับปานกลางถึงรุนแรง เพื่อลดการอักเสบและเชื้อแบคทีเรียจากภายใน โดยทั่วไปจะใช้ในระยะเวลาจำกัด (ประมาณ 3 เดือน)
- การรักษาด้วยฮอร์โมน (Hormonal Therapy): เหมาะสำหรับผู้หญิงที่มีสิวจากฮอร์โมน เช่น ยาคุมกำเนิดชนิดฮอร์โมนรวม หรือยา สไปโรโนแลคโตน (Spironolactone) ซึ่งช่วยลดการทำงานของฮอร์โมนแอนโดรเจนที่กระตุ้นต่อมไขมัน
- ไอโซเตรติโนอิน (Isotretinoin): เป็นยาสำหรับรักษาสิวที่รุนแรงมาก ดื้อต่อการรักษาอื่น หรือสิวที่ทำให้เกิดแผลเป็นรุนแรง ยานี้มีประสิทธิภาพสูงมากแต่มีผลข้างเคียงและข้อควรระวังที่ต้องอยู่ภายใต้การดูแลของแพทย์อย่างใกล้ชิด
การรักษาด้วยหัตถการในคลินิกเพื่อลดการอักเสบเร่งด่วน
การฉีดคอร์ติโคสเตียรอยด์เข้าไปในตุ่มสิวโดยตรง เป็นหัตถการในคลินิกที่สามารถลดการอักเสบของสิวขนาดใหญ่ที่เจ็บปวดได้อย่างรวดเร็ว ซึ่งมักจะเห็นผลภายใน 24-48 ชั่วโมง
นอกจากนี้ยังมีหัตถการอื่นๆ ที่ช่วยควบคุมสิวได้ เช่น:
- การกดสิว (Comedo extraction): ช่วยกำจัดสิวอุดตันเพื่อเร่งให้สิวยุบเร็วขึ้น
- การบำบัดด้วยแสงและเลเซอร์: เช่น การบำบัดด้วยแสงสีฟ้า-แดง (Blue-red light therapy) และการรักษาด้วยแสงไดนามิก (Photodynamic therapy – PDT) เพื่อฆ่าเชื้อแบคทีเรียและลดการอักเสบ
- การลอกผิวด้วยสารเคมี (Chemical peels): ช่วยผลัดเซลล์ผิวและลดการอุดตันของรูขุมขน
การฉีดสิวเพื่อลดการอักเสบและอาการบวมแดง
การฉีดสิวคือการฉีดคอร์ติโคสเตียรอยด์เข้าไปในตุ่มสิวอักเสบขนาดใหญ่โดยตรง เช่น สิวหัวช้าง (Nodules) หรือสิวซีสต์ (Cysts) เพื่อลดการอักเสบและป้องกันการเกิดรอยแผลเป็น
วิธีนี้มักถูกเรียกว่า “การฉีดคอร์ติโซน” (Cortisone shots) ซึ่งสามารถช่วยบรรเทาอาการได้ทันที และมักใช้เพื่อควบคุมการเห่อของสิวเฉพาะจุด เช่น การฉีดสิวซีสต์ขนาดใหญ่ก่อนวันงานสำคัญ หรือเพื่อรักษาสิวที่มักเกิดซ้ำในตำแหน่งเดิม
การทำทรีตเมนต์และเลเซอร์เพื่อควบคุมเชื้อและลดรอย
การทำทรีตเมนต์และเลเซอร์สามารถใช้เป็นทรีตเมนต์เสริมเพื่อควบคุมเชื้อ ลดการอักเสบ และลดรอยสิวได้ โดยมักใช้ควบคู่ไปกับการรักษาทางการแพทย์อื่นๆ ทรีตเมนต์ที่นิยมใช้ ได้แก่
- การบำบัดด้วยแสง (Light Therapy): การใช้แสงสีฟ้าเพื่อฆ่าเชื้อแบคทีเรีย C. acnes และแสงสีแดงเพื่อลดการอักเสบ นอกจากนี้ยังมีการบำบัดด้วยแสงที่เรียกว่า Photodynamic Therapy (PDT) ซึ่งช่วยลดขนาดต่อมไขมันและฆ่าเชื้อแบคทีเรียได้
- เลเซอร์ (Laser): เลเซอร์บางชนิด เช่น เลเซอร์อินฟราเรด สามารถมุ่งเป้าไปที่ต่อมไขมันเพื่อลดการผลิตน้ำมัน และยังใช้ในการรักษารอยแผลเป็นจากสิวได้อีกด้วย
- การฉีดสเตียรอยด์ (Steroid Injections): แพทย์ผิวหนังอาจฉีดสเตียรอยด์เข้าไปในสิวอักเสบขนาดใหญ่ เช่น สิวซีสต์หรือสิวหัวช้าง เพื่อลดการอักเสบอย่างรวดเร็วและป้องกันการเกิดแผลเป็น
- การลอกผิวด้วยสารเคมี (Chemical Peels): การใช้กรดความเข้มข้นสูง เช่น กรดไกลโคลิกหรือกรดซาลิไซลิก เพื่อช่วยผลัดเซลล์ผิวและลดการอุดตันของรูขุมขน
โดยทั่วไปแล้ว การรักษาเหล่านี้มักใช้เป็นทางเลือกเสริมเมื่อการรักษาด้วยยาไม่ได้ผลเต็มที่ หรือใช้เพื่อควบคุมการอักเสบเฉพาะจุด แต่สำหรับสิวอักเสบรุนแรง การใช้ยาตามที่แพทย์สั่งยังคงเป็นมาตรฐานการรักษาหลัก
เกณฑ์การเลือกวิธีรักษาที่เหมาะสมกับความรุนแรงของสิว
เกณฑ์การเลือกวิธีรักษาสิวจะพิจารณาจากความรุนแรงของสิว โดยเริ่มตั้งแต่การใช้ยาทาสำหรับสิวที่ไม่รุนแรง ไปจนถึงการใช้ยารับประทานและไอโซเตรติโนอินสำหรับสิวที่รุนแรงหรือเกิดรอยแผลเป็น
- สิวระดับไม่รุนแรง (Mild Acne): มีลักษณะเป็นสิวอุดตันและสิวอักเสบเล็กน้อย สามารถดูแลได้ด้วยผลิตภัณฑ์ที่หาซื้อได้เอง (OTC) เช่น เบนโซอิลเพอร์ออกไซด์ (Benzoyl Peroxide) และกรดซาลิไซลิก (Salicylic Acid)
- สิวระดับปานกลาง (Moderate Acne): มีสิวอักเสบ (ตุ่มแดงและตุ่มหนอง) จำนวนมากขึ้น จะใช้ยาทาตามใบสั่งแพทย์ เช่น กลุ่มเรตินอยด์ (Retinoids) ร่วมกับเบนโซอิลเพอร์ออกไซด์ หรืออาจพิจารณาให้ยาปฏิชีวนะแบบรับประทานหรือยาปรับฮอร์โมนร่วมด้วยหากใช้ยาทาอย่างเดียวไม่ได้ผล
- สิวระดับรุนแรง (Severe Acne): มีลักษณะเป็นสิวหัวช้าง (Nodules) หรือซีสต์ (Cysts) หรือเป็นสิวที่ไม่ตอบสนองต่อการรักษาอื่น มีแนวโน้มเกิดรอยแผลเป็น หรือส่งผลกระทบทางจิตใจอย่างรุนแรง มีข้อบ่งชี้ในการใช้ยาไอโซเตรติโนอิน (Isotretinoin) ชนิดรับประทาน ซึ่งเป็นการรักษาที่มีประสิทธิภาพสูงสุด
ก่อนตัดสินใจรักษา: ปัจจัยสำคัญที่ต้องพิจารณา
การประเมินความรุนแรงและประเภทของสิวที่เป็นอยู่
การประเมินความรุนแรงของสิวจะพิจารณาจากชนิดและจำนวนของสิวเป็นหลัก โดยแบ่งออกเป็นระดับต่างๆ เพื่อเป็นแนวทางในการรักษา
- สิวเล็กน้อย (Mild): ส่วนใหญ่เป็นสิวอุดตัน (comedones) และอาจมีสิวหนอง (pustules) เล็กน้อย
- สิวปานกลาง (Moderate): มีสิวอักเสบชนิดตุ่มนูนแดง (papules) และสิวหนองจำนวนมากขึ้น
- สิวรุนแรง (Severe): มีสิวขนาดใหญ่ที่เป็นก้อนลึกใต้ผิวหนัง (nodules), สิวซีสต์ (cysts) หรือสิวอักเสบขนาดใหญ่ที่รวมกันเป็นก้อน (conglobate lesions) กระจายในบริเวณกว้าง
นอกจากนี้ แพทย์ยังพิจารณาปัจจัยอื่นๆ ร่วมด้วย เช่น บริเวณที่เป็นสิว (เช่น ใบหน้าหรือลำตัว), การเกิดรอยแผลเป็น, ประวัติครอบครัว และผลกระทบทางด้านจิตใจและสังคมของผู้ป่วย เพื่อวางแผนการรักษาที่เหมาะสมที่สุด
ผลลัพธ์ที่คาดหวังและระยะเวลาในการรักษา
โดยทั่วไปจะเริ่มเห็นการเปลี่ยนแปลงใน 4-6 สัปดาห์ และจะเห็นผลชัดเจนขึ้นใน 8-12 สัปดาห์
การรักษาสิวต้องใช้ความอดทน เนื่องจากสิวที่เห็นในวันนี้เริ่มก่อตัวใต้ผิวหนังมาหลายสัปดาห์แล้ว ในช่วง 2-3 สัปดาห์แรกของการรักษา โดยเฉพาะเมื่อใช้ยาในกลุ่มเรตินอยด์ อาจเกิดภาวะ “สิวเห่อ” (purging) ชั่วคราวก่อนที่ผิวจะดีขึ้น
- การเปลี่ยนแปลงที่สังเกตได้: ภายใน 1-2 เดือน
- การเปลี่ยนแปลงที่ชัดเจน: ภายใน 2-3 เดือน
- กรณีสิวรุนแรง: อาจต้องใช้เวลาถึง 3-4 เดือนจึงจะเห็นผลการรักษาที่ชัดเจน
หากไม่เห็นการเปลี่ยนแปลงใดๆ เลยหลังจากผ่านไป 2-3 เดือน ควรปรึกษาแพทย์เพื่อประเมินแผนการรักษาอีกครั้ง นอกจากนี้ รอยแดงและรอยดำจากสิวจะใช้เวลานานกว่าสิวอักเสบในการจางหายไป
การเลือกคลินิกและแพทย์ผู้มีประสบการณ์ในการรักษาสิว
การเลือกแพทย์ที่สำคัญที่สุดคือ การเลือกแพทย์ผิวหนังที่ได้รับการรับรอง (board-certified dermatologist) ซึ่งจะช่วยให้มั่นใจได้ว่าแพทย์ท่านนั้นมีความเชี่ยวชาญและผ่านการฝึกอบรมด้านการจัดการสิวมาโดยตรง
ข้อควรพิจารณาเพิ่มเติมในการเลือกแพทย์และคลินิก ได้แก่:
- เลือกคลินิกที่มีชื่อเสียง: มองหาคลินิกที่ใช้แนวทางการรักษาตามหลักฐานทางการแพทย์และมีประวัติการรักษาที่ดี
- ตรวจสอบประวัติและรีวิว: สามารถตรวจสอบประวัติและผลตอบรับจากผู้ป่วยที่เคยรักษาสิวกับคลินิกนั้นๆ
- ใช้เครื่องมือค้นหาแพทย์: สมาคมแพทย์ผิวหนังในหลายประเทศมีบริการ “ค้นหาแพทย์ผิวหนัง” เพื่อช่วยให้คุณพบแพทย์ผู้มีประสบการณ์ในพื้นที่ของคุณ
- หลีกเลี่ยงการรักษาที่ไม่น่าเชื่อถือ: ควรหลีกเลี่ยงสปาหรือสถานเสริมความงามที่โฆษณาว่ารักษาสิวรุนแรงให้หายขาดได้อย่างรวดเร็วโดยไม่มีแพทย์ผู้เชี่ยวชาญดูแล
- การประเมินที่ครอบคลุม: แพทย์ที่ดีจะทำการประเมินอย่างละเอียดก่อนเริ่มการรักษา ซึ่งอาจรวมถึงการตรวจระดับฮอร์โมนหากมีข้อบ่งชี้ เพื่อวางแผนการรักษาที่เหมาะสมกับแต่ละบุคคล
ข้อควรระวังและพฤติกรรมที่ควรเลี่ยงเพื่อไม่ให้สิวแย่ลง
ความเข้าใจผิดเกี่ยวกับการกดหรือบีบสิวอักเสบด้วยตัวเอง
การกดหรือบีบสิวด้วยตัวเองเป็นหนึ่งในสิ่งที่ไม่ควรทำที่สุด เพราะจะเพิ่มความเสี่ยงของการเกิดแผลเป็น รอยดำ และการติดเชื้อ นอกจากนี้ การบีบสิวยังทำให้สิวหายช้าลง เนื่องจากอาจไม่สามารถนำหัวสิวออกมาได้ทั้งหมด ทำให้สิวกลับมาอักเสบซ้ำที่เดิมได้อีก และยังอาจทำให้เกิดการติดเชื้อซ้ำซ้อนได้อีกด้วย การกระทำดังกล่าวจะยิ่งเพิ่มรอยแดง อาการบวม และโอกาสในการเกิดรอยแผลเป็นถาวร ทางที่ดีที่สุดคือควรปล่อยให้สิวหายเองตามกระบวนการรักษา และหากสิวเม็ดใหญ่ก่อให้เกิดความรำคาญ ควรไปพบผู้เชี่ยวชาญเพื่อทำการเจาะหรือฉีดจะปลอดภัยกว่า
การละเลยการใช้ครีมกันแดดและความชุ่มชื้นที่จำเป็น
การละเลยการใช้ครีมกันแดดและมอยส์เจอไรเซอร์เป็นสิ่งที่ไม่ควรทำ เพราะจะทำให้ผิวระคายเคือง แห้ง และอาจกระตุ้นให้ต่อมไขมันผลิตน้ำมันออกมามากขึ้น อีกทั้งยังทำให้รอยสิวเข้มขึ้นและหายช้าลง
การไม่ใช้มอยส์เจอไรเซอร์จะทำให้ผิวแห้งเกินไปจนเกิดการระคายเคือง และกระตุ้นให้ต่อมไขมันผลิตน้ำมันออกมาทดแทนมากยิ่งขึ้น ในขณะที่การไม่ใช้ครีมกันแดดจะทำให้รังสียูวีทำร้ายผิว ทำให้รอยดำและรอยแดงจากสิวเข้มขึ้นและคงอยู่นานขึ้น นอกจากนี้ ยารักษาสิวบางชนิดยังทำให้ผิวไวต่อแสงแดดมากขึ้น การใช้มอยส์เจอไรเซอร์และครีมกันแดดที่ไม่มีส่วนผสมที่อุดตันรูขุมขน (non-comedogenic) จึงช่วยให้ผิวแข็งแรง ลดการระคายเคือง และช่วยให้การรักษาสิวมีประสิทธิภาพดีขึ้น
การทดลองใช้ผลิตภัณฑ์หลายชนิดพร้อมกันโดยไม่จำเป็น
การใช้ผลิตภัณฑ์รักษาสิวหลายชนิดพร้อมกันอาจทำให้ผิวเกิดความเครียดและนำไปสู่การอักเสบที่มากขึ้น การกระทำดังกล่าวอาจทำให้ผิวระคายเคืองและไม่สามารถประเมินได้ว่าผลิตภัณฑ์ใดได้ผลจริง
แพทย์ผิวหนังแนะนำให้ใช้ผลิตภัณฑ์อย่างสม่ำเสมอเป็นเวลาอย่างน้อย 4–8 สัปดาห์ก่อนที่จะตัดสินประสิทธิภาพ และควรเริ่มใช้ผลิตภัณฑ์ใหม่ทีละชนิดเพื่อสังเกตการตอบสนองของผิว
คำถามที่พบบ่อยเกี่ยวกับสิวอักเสบขึ้นไม่หยุด
ทำไมสิวอักเสบขึ้นซ้ำๆ ที่เดิมไม่หายสักที?
การที่สิวขึ้นซ้ำที่เดิมเป็นเพราะรูขุมขนบริเวณนั้นยังคงมีปัญหา โดยอาจมีสิ่งอุดตันหรือเชื้อแบคทีเรียที่ยังกำจัดออกไปไม่หมด แม้การอักเสบภายนอกจะลดลงแล้ว แต่แกนของสิ่งสกปรกหรือแบคทีเรียอาจยังคงอยู่ลึกในรูปแบบของซีสต์ขนาดเล็ก (microcyst) ซึ่งพร้อมจะทำให้เกิดการอักเสบครั้งใหม่ในอีกหลายสัปดาห์หรือหลายเดือนต่อมา
สาเหตุอื่นๆ ที่ทำให้สิวขึ้นซ้ำที่เดิม ได้แก่
- การบีบหรือแกะสิว: การกระทำดังกล่าวอาจทำให้สิ่งอุดตันถูกกำจัดออกไปไม่หมด และสร้างความเสียหายต่อรูขุมขน ทำให้เกิดการอักเสบซ้ำแล้วซ้ำเล่าในตำแหน่งเดิม
- อิทธิพลของฮอร์โมน: ในบางบริเวณ เช่น คางและแนวกราม อาจมีกลุ่มรูขุมขนที่อ่อนแอและไวต่อการอุดตันซ้ำๆ ได้ง่าย
สิวอักเสบกี่วันถึงจะยุบและหายสนิท?
โดยทั่วไปแล้ว จะเริ่มเห็นการเปลี่ยนแปลงที่ดีขึ้นในเวลาประมาณ 4-6 สัปดาห์ และจะเห็นผลการรักษาที่ชัดเจนขึ้นในเวลาประมาณ 8-12 สัปดาห์ หรือประมาณ 2-3 เดือน
สำหรับกรณีที่เป็นสิวรุนแรงอาจต้องใช้เวลาถึง 3-4 เดือนกว่าจะเห็นผลอย่างชัดเจน สาเหตุที่ใช้เวลานานเป็นเพราะกระบวนการเกิดสิวเริ่มขึ้นใต้ผิวหนังเป็นเวลาหลายสัปดาห์ก่อนที่จะปรากฏให้เห็น ดังนั้นการรักษาจึงต้องใช้เวลาในการจัดการสิวที่กำลังจะเกิดขึ้นใหม่ด้วย หากไม่เห็นการเปลี่ยนแปลงที่ดีขึ้นเลยหลังจากผ่านไป 2-3 เดือน ควรปรึกษาแพทย์เพื่อประเมินแผนการรักษาอีกครั้ง
การกดหรือบีบสิวอักเสบทำให้หายเร็วขึ้นจริงไหม?
ไม่จริง การกดหรือบีบสิวอักเสบไม่ทำให้หายเร็วขึ้น แต่กลับจะทำให้สิวหายช้าลง เนื่องจากเป็นการเพิ่มรอยแดง อาการบวม และอาจนำไปสู่การติดเชื้อซ้ำซ้อน นอกจากนี้ยังเพิ่มความเสี่ยงในการเกิดรอยแผลเป็นถาวรอีกด้วย
สิวอักเสบสามารถหายเองได้หรือไม่หากไม่รักษา?
โดยทั่วไปแล้ว สิวอักเสบมักไม่หายไปเองหากไม่ได้รับการรักษา และอาจมีอาการรุนแรงขึ้นได้
สิวอักเสบเป็นภาวะผิวหนังเรื้อรังที่เกิดจากการอุดตัน การติดเชื้อแบคทีเรีย และการอักเสบใต้ผิวหนัง การปล่อยทิ้งไว้โดยไม่รักษาจะเพิ่มความเสี่ยงของการเกิดรอยแผลเป็นถาวรและรอยดำที่รักษายาก ดังนั้นจึงควรปรึกษาแพทย์เพื่อรับการรักษาที่เหมาะสมเพื่อควบคุมการอักเสบและป้องกันความเสียหายระยะยาวต่อผิวหนัง
ควรพบแพทย์เมื่อไหร่หากสิวอักเสบขึ้นไม่หยุด?
ควรไปพบแพทย์ผิวหนังเมื่อสิวไม่ดีขึ้นหลังใช้ยารักษาด้วยตนเอง (OTC) เป็นเวลา 2-3 เดือน, สิวมีความรุนแรง (เป็นก้อนลึกหรือซีสต์), เริ่มทิ้งรอยแผลเป็น หรือส่งผลกระทบต่อสภาพจิตใจ การไปพบแพทย์ตั้งแต่เนิ่นๆ จะช่วยป้องกันการเกิดแผลเป็นถาวรและช่วยให้ได้รับการรักษาที่เหมาะสม
สัญญาณเตือนที่บ่งบอกว่าควรไปพบแพทย์ ได้แก่:
- สิวมีลักษณะเป็นก้อนแข็งเจ็บปวดอยู่ใต้ผิวหนัง (Nodulocystic acne)
- สิวเริ่มทิ้งรอยแผลเป็นหรือรอยดำที่น่ากังวล
- สิวส่งผลกระทบต่อความมั่นใจ สภาพจิตใจ หรือการเข้าสังคม
- ผู้ใหญ่ที่เพิ่งเริ่มเป็นสิวรุนแรงอย่างกะทันหัน เพื่อตรวจหาสาเหตุพื้นฐานอื่นๆ
อาหารชนิดใดที่กระตุ้นให้เกิดสิวอักเสบมากขึ้น?
อาหารที่มีค่าดัชนีน้ำตาลสูงและผลิตภัณฑ์นม เป็นอาหารที่มีหลักฐานชัดเจนว่าสามารถกระตุ้นให้สิวอักเสบแย่ลงได้
- อาหารที่มีค่าดัชนีน้ำตาลสูง (High-GI): เช่น เครื่องดื่มรสหวาน ขนมปังขาว ของหวาน และคาร์โบไฮเดรตขัดสี จะทำให้ระดับอินซูลินในเลือดสูงขึ้น ซึ่งไปกระตุ้นต่อมไขมันให้ผลิตน้ำมันมากขึ้น
- ผลิตภัณฑ์นม (Dairy): โดยเฉพาะนมพร่องมันเนย (Skim Milk) มีความเชื่อมโยงกับการเกิดสิว เนื่องจากในนมมีฮอร์โมนและสารเร่งการเจริญเติบโตที่อาจทำให้อาการสิวแย่ลง
ในทางกลับกัน ความเชื่อที่ว่าอาหารมันๆ หรือช็อกโกแลตเป็นสาเหตุหลักของสิวนั้นยังไม่มีหลักฐานทางวิทยาศาสตร์ที่หนักแน่นมายืนยัน
References:
- American Academy of Dermatology. (n.d.). Acne: Diagnosis and Treatment. AAD. aad.org
- Mayo Clinic. (n.d.). Acne: Symptoms, Causes, and Treatment. Mayo Clinic. mayoclinic.org
- DermNet NZ. (n.d.). Acne Vulgaris: Clinical Information. DermNet New Zealand. dermnetnz.org
- Journal of the American Academy of Dermatology. (n.d.). Research on Persistent Acne. JAAD. jaad.org
- National Institutes of Health. (n.d.). Acne Treatment and Management. NIH. nih.gov
- Medical News Today. (n.d.). Why Won’t My Acne Go Away? medicalnewstoday.com
- Dermatology Times. (n.d.). Clinical Insights on Persistent Acne. dermatologytimes.com

