เป็นตุ่มแข็งๆ เหมือนสิว คืออะไร? สาเหตุและการรักษา
เป็นตุ่มแข็งๆ เหมือน สิว คือก้อนใต้ผิวที่พบได้จากสิวไต ซีสต์ไขมัน รูขุมขนอักเสบ หรือภาวะต่อมไขมันโต ซึ่งแต่ละชนิดมีลักษณะและความเสี่ยงต่างกัน คุณหมอช่วยจำแนกอาการที่สังเกตได้ง่าย เกณฑ์แยกสิวไตกับซีสต์ และสัญญาณอันตรายที่ควรพบแพทย์ โดยหากก้อนไม่ยุบใน 2–3 สัปดาห์ โตเร็ว หรือมีเลือดออก ควรเข้ารับการตรวจ.
ลักษณะและประเภทของตุ่มแข็งที่พบบ่อย
สิวอักเสบชนิดไม่มีหัว (สิวไต)
สิวอักเสบชนิดไม่มีหัวหรือสิวไต คือสิวอักเสบชนิดรุนแรงที่มีลักษณะเป็นก้อนแข็งขนาดใหญ่อยู่ใต้ผิวหนัง ซึ่งเกิดจากการอุดตันและการอักเสบอย่างรุนแรงในรูขุมขนชั้นลึก สิวชนิดนี้มักมีอาการเจ็บเมื่อสัมผัส ใช้เวลาหลายสัปดาห์หรือหลายเดือนในการยุบตัว และมีความเสี่ยงสูงที่จะทิ้งรอยแผลเป็นไว้หากไม่ได้รับการรักษา
ซีสต์ไขมันใต้ผิวหนัง (Epidermoid Cyst)
ซีสต์ไขมันใต้ผิวหนัง (Epidermoid Cyst) คือถุงน้ำที่เกิดจากการอุดตันของรูขุมขน ทำให้เซลล์ผิวหนังและเคราตินสะสมอยู่ข้างใต้จนกลายเป็นก้อนกลมๆ ที่สามารถเคลื่อนที่ได้อิสระใต้ผิวหนัง
โดยปกติแล้วซีสต์ชนิดนี้จะไม่เจ็บปวด ยกเว้นในกรณีที่มีการอักเสบหรือติดเชื้อ และมักจะไม่หายไปเอง แต่อาจมีขนาดเท่าเดิมหรือค่อยๆ ใหญ่ขึ้นเมื่อเวลาผ่านไป
รูขุมขนอักเสบ (Folliculitis)
รูขุมขนอักเสบ (Folliculitis) คือการติดเชื้อที่รูขุมขน ซึ่งมักเกิดจากแบคทีเรียหรือเชื้อรา ทำให้เกิดตุ่มแดงแข็งหรือตุ่มหนองจำนวนมาก โดยแต่ละตุ่มจะมีเส้นขนอยู่ตรงกลาง
อาการที่พบบ่อยคืออาการคันหรือแสบร้อน และมักเกิดขึ้นในบริเวณที่มีขน เช่น หนวดเครา, หนังศีรษะ หรือต้นขา โดยเฉพาะหลังการโกนหรือการเสียดสี
ต่อมไขมันโต (Sebaceous Hyperplasia)
ภาวะต่อมไขมันโตคือการที่ต่อมไขมันขยายใหญ่ขึ้นจนเกิดเป็นตุ่มเล็กๆ บนผิวหนัง ซึ่งมักพบในผู้ใหญ่อายุ 40 ปีขึ้นไป ตุ่มเหล่านี้มีลักษณะนิ่มหรือแข็ง มีรอยบุ๋มตรงกลาง แต่ไม่มีอาการอักเสบหรือเจ็บปวด สาเหตุเกิดจากการเปลี่ยนแปลงของฮอร์โมนตามวัย
แม้ว่าภาวะนี้จะไม่เป็นอันตราย แต่ลักษณะของตุ่มอาจคล้ายกับมะเร็งผิวหนังบางชนิด จึงควรให้แพทย์ผิวหนังตรวจวินิจฉัยเพื่อความแน่ใจ
เกณฑ์การสังเกตและจำแนกประเภทเบื้องต้น
เกณฑ์การสังเกตและจำแนกประเภทเบื้องต้น อาศัยการประเมินจากลักษณะต่างๆ เช่น ความเจ็บปวด การเคลื่อนที่ได้ของก้อน และลักษณะที่ปรากฏ
- สิวอักเสบหัวแข็ง (Nodule): เป็นส่วนหนึ่งของการเกิดสิว มักพบร่วมกับสิวประเภทอื่น มีลักษณะเป็นก้อนแข็งอยู่ใต้ผิวหนัง ไม่สามารถเคลื่อนที่ได้ และเจ็บปวดมากเมื่อสัมผัส
- ซีสต์/ถุงน้ำใต้ผิวหนัง (Epidermoid Cyst): มักเป็นก้อนเดี่ยวๆ สามารถขยับไปมาได้เหมือนลูกแก้วใต้ผิวหนัง โดยปกติจะไม่เจ็บปวดนอกจากจะเกิดการอักเสบ และอาจมองเห็นรูเปิดเล็กๆ ตรงกลาง
- รูขุมขนอักเสบ (Folliculitis): เกิดขึ้นในบริเวณที่มีขน เช่น หนวด เครา หรือต้นขา มีลักษณะเป็นตุ่มแดงหลายๆ ตุ่มที่เหมือนกัน ตรงกลางตุ่มจะมีเส้นขน และมักมีอาการคันหรือแสบร้อน
- ต่อมไขมันโต (Sebaceous Hyperplasia): เป็นตุ่มขนาดเล็ก ไม่มีการอักเสบหรือเจ็บปวด ตรงกลางมีรอยบุ๋ม มักพบในผู้ใหญ่วัย 40 ปีขึ้นไป
สาเหตุหลักที่ทำให้เกิดตุ่มแข็งคล้ายสิว
การอุดตันและการอักเสบของต่อมไขมัน
การอุดตันของรูขุมขนทำให้ผนังรูขุมขนแตกออก และเมื่อแบคทีเรียเข้าไปบุกรุกจะกระตุ้นให้เกิดการอักเสบที่รุนแรง ทำให้เกิดตุ่มแดงแข็งและเจ็บใต้ผิวหนัง
เมื่อแบคทีเรียเข้าไปในรูขุมขนที่อุดตัน การตอบสนองของภูมิคุ้มกันจะทำให้เกิดรอยแดง อาการบวม และรู้สึกเป็น “ตุ่มแข็ง” ใต้ผิวหนัง นอกจากนี้ ปัจจัยทางพันธุกรรมและฮอร์โมนก็มีส่วนสำคัญ โดยผู้ที่มีประวัติครอบครัวเป็นสิวรุนแรงจะมีความเสี่ยงสูงกว่า เนื่องจากต่อมไขมันมีความไวต่อการกระตุ้นมากกว่า การระคายเคืองจากภายนอก เช่น การขัดผิวแรงๆ หรือการสวมใส่อุปกรณ์ที่รัดแน่น ก็สามารถกระตุ้นให้เกิดตุ่มอักเสบลึกได้เช่นกัน
การติดเชื้อแบคทีเรียใต้ชั้นผิว
การติดเชื้อแบคทีเรียใต้ชั้นผิวเกิดขึ้นเมื่อแบคทีเรียเข้าสู่รูขุมขนหรือต่อมไขมันที่อุดตัน ซึ่งกระตุ้นให้ระบบภูมิคุ้มกันของร่างกายตอบสนองจนเกิดการอักเสบ บวม แดง และรู้สึกเป็นก้อนแข็งใต้ผิวหนัง
การติดเชื้อที่พบบ่อยคือโรครูขุมขนอักเสบ (Folliculitis) ซึ่งเกิดจากเชื้อแบคทีเรียสแตปฟิโลคอคคัส (Staphylococcus) หากการติดเชื้อลึกลงไปอาจทำให้เกิดก้อนคล้ายฝีได้ การพยายามบีบหรือเจาะก้อนตุ่มอาจทำให้แบคทีเรียจากภายนอกเข้าสู่ผิวหนังและนำไปสู่การติดเชื้อในชั้นเซลล์ผิว (Cellulitis) ซึ่งเป็นการติดเชื้อที่ลุกลามได้ หากมีอาการติดเชื้อรุนแรง เช่น รอยแดงขยายวงกว้าง ปวดมาก หรือมีไข้ ควรไปพบแพทย์ทันที
ปัจจัยทางพันธุกรรมและฮอร์โมน
ปัจจัยทางพันธุกรรมและฮอร์โมนมีบทบาทสำคัญในการเกิดตุ่มแข็งใต้ผิวหนังบางชนิด โดยพันธุกรรมอาจทำให้บางคนมีแนวโน้มเป็นสิวรุนแรงหรือซีสต์ได้ง่ายกว่าปกติ ในขณะที่การเปลี่ยนแปลงของฮอร์โมนสามารถกระตุ้นให้เกิดสิวหรือต่อมไขมันโตได้
- พันธุกรรม: ผู้ที่มีประวัติคนในครอบครัวเป็นสิวอักเสบรุนแรงชนิดก้อนลึก (Nodular acne) จะมีความเสี่ยงสูงกว่า เนื่องจากได้รับการถ่ายทอดความไวของต่อมไขมันที่ง่ายต่อการอักเสบ นอกจากนี้ พันธุกรรมยังอาจทำให้บางคนมีแนวโน้มที่จะเกิดซีสต์ได้ง่าย
- ฮอร์โมน: การเปลี่ยนแปลงของฮอร์โมน เช่น ในช่วงวัยหมดประจำเดือนหรือวัยทองในผู้ชาย มีความเชื่อมโยงกับการเกิดภาวะต่อมไขมันโต (Sebaceous hyperplasia) นอกจากนี้ ฮอร์โมนที่เกี่ยวข้องกับการผลิตน้ำมันยังเป็นสาเหตุสำคัญของการเกิดสิวอักเสบชนิดก้อนลึกและสิวซีสต์ได้
การระคายเคืองและการเสียดสีของผิวหนัง
การระคายเคืองและการเสียดสีของผิวหนังสามารถกระตุ้นให้เกิดตุ่มแข็งใต้ผิวหนังได้ โดยเฉพาะในบริเวณที่มีการโกนหรือเสียดสีบ่อยๆ เช่น บริเวณที่ไว้หนวดเครา, หนังศีรษะ หรือต้นขา การกระทำต่างๆ เช่น การขัดถูผิวหนังซ้ำๆ, การสวมใส่อุปกรณ์ที่รัดแน่น (เช่น อุปกรณ์กีฬา) หรือเสื้อผ้าที่รัดรูป สามารถทำให้รูขุมขนระคายเคืองและกระตุ้นให้เกิดรอยโรคที่ลึกลงไป เช่น สิวหัวช้าง (acne nodules) หรือรูขุมขนอักเสบ (folliculitis) การลดการระคายเคืองโดยการดูแลผิวอย่างอ่อนโยนและหลีกเลี่ยงเสื้อผ้าที่รัดแน่นจะช่วยป้องกันตุ่มที่เกิดจากการเสียดสีได้
การดูแลเบื้องต้นและข้อห้ามที่ไม่ควรทำ
วิธีดูแลผิวเพื่อลดการอักเสบในเบื้องต้น
ควรดูแลผิวเบื้องต้นด้วยการทำความสะอาดบริเวณที่เป็นสิวอย่างอ่อนโยน และใช้ผลิตภัณฑ์รักษาสิวที่หาซื้อได้เอง เช่น เจลกรดซาลิไซลิกหรือครีมเบนโซอิลเพอร์ออกไซด์ เพื่อช่วยฆ่าเชื้อแบคทีเรียและเปิดรูขุมขน
ข้อควรปฏิบัติเพิ่มเติมมีดังนี้:
- ล้างหน้าด้วยผลิตภัณฑ์ทำความสะอาดสูตรอ่อนโยนและหลีกเลี่ยงการสครับผิว
- หากตุ่มมีอาการเจ็บมาก สามารถใช้ผ้าชุบน้ำอุ่นประคบวันละ 2-3 ครั้ง
- ห้ามแกะ บีบ หรือใช้เข็มเจาะตุ่มเด็ดขาด เพราะจะทำให้อาการแย่ลงและเสี่ยงต่อการติดเชื้อและเกิดแผลเป็น
ทำไมไม่ควรบีบ กด หรือเจาะตุ่มแข็งด้วยตัวเอง
ไม่ควรบีบ กด หรือเจาะตุ่มแข็งด้วยตัวเอง เพราะจะยิ่งดันสิ่งสกปรกและแบคทีเรียให้ลึกลงไปในผิวหนัง ซึ่งจะทำให้อาการอักเสบรุนแรงและเจ็บปวดมากขึ้น เพิ่มความเสี่ยงต่อการติดเชื้อ และอาจทิ้งรอยแผลเป็นถาวรไว้ได้ นอกจากนี้ยังทำให้ตุ่มหายช้าลงอีกด้วย
แนวทางการรักษาโดยแพทย์ผิวหนัง
การวินิจฉัยแยกโรคที่ถูกต้องโดยผู้เชี่ยวชาญ
แพทย์ผิวหนังจะวินิจฉัยตุ่มแข็งโดยการประเมินลักษณะทางกายภาพ เช่น ความแข็ง การมีรูเปิด หรือสิวอื่นๆ ที่เกี่ยวข้อง
ในกรณีที่ไม่ชัดเจน อาจมีการตรวจเพิ่มเติมเพื่อยืนยันการวินิจฉัย เช่น การทำอัลตราซาวนด์เพื่อดูส่วนประกอบภายในของซีสต์ หรือการตัดชิ้นเนื้อไปตรวจ (biopsy) เพื่อแยกโรคเนื้องอกที่พบได้ยาก การวินิจฉัยที่แม่นยำนี้มีความสำคัญอย่างยิ่งในการเลือกวิธีการรักษาที่เหมาะสม เนื่องจากตุ่มแต่ละชนิดมีวิธีรักษาที่แตกต่างกัน
การใช้ยาทาและยารับประทานเพื่อควบคุมการอักเสบ
การรักษาตุ่มแข็งอักเสบมักใช้ยาปฏิชีวนะชนิดรับประทาน, การรักษาด้วยฮอร์โมน, และยาทาเฉพาะที่ ซึ่งยาเหล่านี้มักใช้ร่วมกันเพื่อควบคุมการอักเสบและส่งเสริมให้ตุ่มแข็งค่อยๆ ยุบลง
- ยาปฏิชีวนะชนิดรับประทาน: เช่น doxycycline ช่วยฆ่าเชื้อแบคทีเรียและลดการอักเสบของสิวอุดตันลึก
- การรักษาด้วยฮอร์โมน: เช่น ยาคุมกำเนิดหรือ spironolactone (ในผู้หญิง) ช่วยลดการผลิตน้ำมันที่เกิดจากฮอร์โมนแอนโดรเจน ซึ่งช่วยลดสิวอักเสบและสิวหัวช้าง
- ยาทาเฉพาะที่: มักใช้เป็นการรักษาร่วม เช่น เบนโซอิลเพอร์ออกไซด์และเจลยาปฏิชีวนะช่วยยับยั้งแบคทีเรียบนผิวหนัง ส่วนครีมกลุ่มเรตินอยด์ช่วยให้การผลัดเซลล์ผิวเป็นปกติเพื่อป้องกันการอุดตันของรูขุมขน
หัตถการทางการแพทย์: การฉีดสิวและการระบายหนอง
การฉีดสิวและการระบายหนองเป็นหัตถการทางการแพทย์ที่แพทย์ผิวหนังใช้เพื่อรักษาสิวอักเสบก้อนลึกหรือซีสต์อย่างรวดเร็ว โดยทั้งสองวิธีต้องทำโดยผู้เชี่ยวชาญในสถานพยาบาลที่สะอาดและปลอดเชื้อเท่านั้น
- การฉีดสิว (Cortisone Injection): แพทย์จะฉีดสเตียรอยด์เข้าไปในสิวอักเสบก้อนแข็ง (Nodule) เพื่อลดการอักเสบอย่างรวดเร็ว ทำให้สิวยุบตัวลงภายในไม่กี่วัน มักใช้เป็นวิธีแก้ไขฉุกเฉิน แต่จะใช้เท่าที่จำเป็นเพื่อหลีกเลี่ยงผลข้างเคียง เช่น ผิวบางหรือยุบตัว
- การระบายหนอง (Incision and Drainage): สำหรับซีสต์ขนาดใหญ่หรือมีของเหลวข้างใน แพทย์จะใช้ยาชาเฉพาะที่ จากนั้นใช้ใบมีดหรือเข็มที่ปลอดเชื้อเปิดแผลเล็กๆ เพื่อระบายของเหลวหรือหนองที่อยู่ภายในออกอย่างระมัดระวัง
การรักษาด้วยเลเซอร์เพื่อลดรอยและป้องกันการเกิดซ้ำ
การรักษาด้วยเลเซอร์มักใช้เพื่อลดรอยแดง รอยดำ และรอยแผลเป็นหลังจากสิวอักเสบหายแล้ว แต่ไม่ใช่การรักษาหลักเพื่อป้องกันการเกิดซ้ำ
โดยทั่วไป เลเซอร์ เช่น pulsed-dye laser หรือ fractionated laser จะถูกนำมาใช้หลังจากตุ่มสิวหายดีแล้วเพื่อปรับปรุงสภาพผิว ในขณะที่การป้องกันการเกิดสิวใหม่มักจะใช้ยาเป็นหลัก เช่น ยาทาหรือยารับประทาน ซึ่งแพทย์ผิวหนังจะเป็นผู้พิจารณาว่าเลเซอร์เหมาะสมกับแต่ละบุคคลหรือไม่ โดยมักจะเป็นการรักษาร่วมกับวิธีอื่น
จากอาการสู่การเลือกแนวทาง: สิ่งที่ต้องพิจารณา
การประเมินความรุนแรงและผลกระทบต่อชีวิตประจำวัน
การประเมินความรุนแรงของตุ่มแข็งจะพิจารณาจากปัจจัยทางกายภาพและผลกระทบทางจิตใจ โดยปัจจัยทางกายภาพจะดูที่ความถี่และระยะเวลาที่เป็นตุ่ม รวมถึงความเจ็บปวด ส่วนผลกระทบทางจิตใจจะประเมินจากความวิตกกังวล ความอับอาย หรือภาวะซึมเศร้าที่เกิดจากตุ่มเหล่านั้น โดยสรุปคือ หากตุ่มแข็งเป็นต่อเนื่อง เจ็บปวด หรือส่งผลกระทบต่อจิตใจ ก็ถือว่ามีความรุนแรงและควรไปพบแพทย์
การเลือกสถานพยาบาลและแพทย์ผู้เชี่ยวชาญ
ควรเลือกสถานพยาบาลที่เป็นคลินิกผิวหนังหรือโรงพยาบาล และเลือกแพทย์ผู้เชี่ยวชาญที่มีประสบการณ์ในการรักษาสิวที่ซับซ้อนหรือรอยแผลเป็นโดยตรง
สำหรับขั้นตอนการรักษา เช่น การผ่าตัดซีสต์หรือการทำเลเซอร์ ควรทำในสถานพยาบาลทางการแพทย์ ไม่ใช่สปา เพื่อให้มั่นใจในความสะอาดปลอดเชื้อและการดูแลที่เหมาะสม นอกจากนี้ คุณสามารถสอบถามเกี่ยวกับประสบการณ์ของแพทย์ในการรักษาเคสที่คล้ายกัน และการขอความเห็นที่สองก็เป็นทางเลือกที่ดีหากจำเป็น
ความคาดหวังต่อผลลัพธ์และระยะเวลาการรักษา
ระยะเวลาในการรักษาและผลลัพธ์จะแตกต่างกันอย่างมาก ขึ้นอยู่กับประเภทของตุ่มและวิธีการรักษาที่เลือกใช้
โดยทั่วไปแล้ว การรักษาจะให้ผลลัพธ์ที่แตกต่างกันไปตามระยะเวลาดังนี้:
- การฉีดสเตียรอยด์: สามารถทำให้สิวอักเสบยุบลงได้อย่างรวดเร็วภายในไม่กี่วัน
- การรักษาด้วยยา: การใช้ยาปฏิชีวนะหรือยาฮอร์โมนสำหรับสิวอักเสบชนิดรุนแรงจะเห็นผลดีขึ้นอย่างค่อยเป็นค่อยไปในเวลาหลายสัปดาห์ถึงหลายเดือน
- การผ่าตัดซีสต์: สามารถกำจัดตุ่มออกได้ทันที แต่อาจทิ้งรอยแผลเป็นเล็กน้อยไว้
- การรักษารอยแผลเป็น: เป็นกระบวนการที่ช้ากว่า โดยมักจะเริ่มทำหลังจากควบคุมสิวอักเสบได้แล้ว และอาจต้องทำเลเซอร์หรือหัตถการอื่นๆ หลายครั้งเป็นเวลาหลายเดือน
ความเสี่ยงและภาวะแทรกซ้อนที่อาจเกิดขึ้น
การเกิดแผลเป็นและรอยดำหลังการอักเสบ
ตุ่มแข็งใต้ผิวหนังสามารถทิ้งรอยแผลเป็นนูน (คีลอยด์) หรือรอยดำหลังการอักเสบไว้ได้ โดยเฉพาะในผู้ที่มีสีผิวปานกลางถึงเข้ม รอยดำเหล่านี้อาจคงอยู่นานหลายเดือนหากไม่ได้รับการรักษา การบีบหรือแกะตุ่มจะเพิ่มความเสี่ยงของการเกิดแผลเป็นและรอยดำอย่างมาก ดังนั้นจึงแนะนำให้พบแพทย์ผิวหนังแต่เนิ่นๆ เพื่อลดโอกาสการเกิดปัญหาเหล่านี้
สัญญาณของการติดเชื้อที่ต้องรีบพบแพทย์
สัญญาณของการติดเชื้อที่ต้องรีบพบแพทย์ ได้แก่ รอยแดงที่ลุกลามเกินขอบเขตของตุ่ม อาการปวดอย่างรุนแรง หรือมีอาการทางร่างกายอื่นๆ เช่น เป็นไข้
นอกจากนี้ หากตุ่มมีหนอง หรือขยายขนาดขึ้นอย่างรวดเร็ว ก็ควรรีบไปพบแพทย์ทันที เนื่องจากอาจเป็นสัญญาณของการติดเชื้อที่รุนแรง เช่น ฝี หรือเซลล์เนื้อเยื่ออักเสบ (cellulitis) ซึ่งจำเป็นต้องได้รับการรักษาอย่างเร่งด่วน
คำถามที่พบบ่อย
ตุ่มแข็งเหมือนสิวเกิดจากอะไรได้บ้าง?
ตุ่มแข็งที่ดูเหมือนสิวอาจเกิดได้จากหลายสาเหตุ ได้แก่ สิวอักเสบชนิดตุ่มแข็ง (Nodules), ซีสต์หรือถุงน้ำใต้ผิวหนัง (Epidermoid cyst), รูขุมขนอักเสบ (Folliculitis) และต่อมไขมันโต (Sebaceous hyperplasia)
- สิวอักเสบชนิดตุ่มแข็ง: เกิดจากการอุดตันและการอักเสบลึกลงไปในรูขุมขน ทำให้เกิดเป็นตุ่มแข็งและเจ็บใต้ผิวหนัง
- ซีสต์หรือถุงน้ำใต้ผิวหนัง: เป็นถุงใต้ผิวหนังที่บรรจุเคราตินอยู่ภายใน ซึ่งมักไม่เป็นอันตราย
- รูขุมขนอักเสบ: เกิดจากการติดเชื้อที่รูขุมขน มักพบบริเวณที่มีการเสียดสีหรือโกนขน
- ต่อมไขมันโต: เป็นต่อมไขมันที่ขยายใหญ่ขึ้น ซึ่งไม่ใช่สิวจริงๆ
จะรู้ได้อย่างไรว่าเป็นสิวไตหรือซีสต์ไขมัน?
สิวไต (Nodular acne) จะเป็นก้อนแข็งเจ็บมากและยึดติดอยู่ใต้ผิวหนังซึ่งมักเกิดร่วมกับสิวประเภทอื่น ในขณะที่ซีสต์ไขมัน (Epidermoid cyst) มักเป็นก้อนเดี่ยวๆ ที่ไม่ค่อยเจ็บและสามารถขยับไปมาได้เมื่อสัมผัส
คุณสามารถสังเกตความแตกต่างเพิ่มเติมได้ดังนี้
- สิวไต (Nodular Acne):
- เป็นส่วนหนึ่งของการเกิดสิว มักพบสิวหัวดำหรือสิวอักเสบอื่นๆ ในบริเวณใกล้เคียง
- รู้สึกเจ็บมากเมื่อสัมผัส
- ยึดติดแน่นอยู่กับที่ ไม่สามารถขยับได้
- ซีสต์ไขมัน (Epidermoid Cyst):
- มักเป็นก้อนเดี่ยวๆ และอาจมีรูเปิดเล็กๆ (Pore) ตรงกลาง
- โดยปกติแล้วจะไม่เจ็บ ยกเว้นมีการอักเสบหรือติดเชื้อ
- รู้สึกเหมือนเป็นลูกแก้วที่ขยับไปมาได้ใต้ผิวหนัง
ตุ่มแข็งๆ เหมือนสิวอันตรายหรือไม่?
โดยส่วนใหญ่แล้ว ตุ่มแข็งๆ ที่คล้ายสิวไม่เป็นอันตรายต่อสุขภาพโดยรวม ปัญหาหลักที่เกิดจากตุ่มเหล่านี้มักเป็นเรื่องความสวยงาม ความเจ็บปวด หรือความเสี่ยงที่จะเกิดรอยแผลเป็น
อย่างไรก็ตาม ควรสังเกตอาการ เพราะมะเร็งผิวหนังบางชนิดอาจมีลักษณะคล้ายสิวที่ไม่หาย มีเลือดออก หรือเป็นแผลได้ ดังนั้น หากพบตุ่มที่โตขึ้นเรื่อยๆ มีเลือดออกเอง หรือมีสีผิดปกติ ควรไปพบแพทย์เพื่อตรวจวินิจฉัยให้แน่ชัด
เราสามารถกดหรือบีบตุ่มแข็งๆ เองได้หรือไม่?
โดยทั่วไปแล้ว ไม่ควรพยายามกดหรือบีบตุ่มแข็งๆ ด้วยตัวเอง เนื่องจากแพทย์ผิวหนังไม่แนะนำอย่างยิ่ง เพราะการบีบตุ่มที่อยู่ลึกใต้ผิวหนังอาจดันสิ่งสกปรกและแบคทีเรียให้ลึกลงไปอีก ทำให้ตุ่มอักเสบและใหญ่ขึ้น นอกจากนี้ยังเพิ่มความเสี่ยงต่อการติดเชื้อและการเกิดแผลเป็นถาวรอย่างมาก
ควรไปพบแพทย์เมื่อมีอาการแบบไหน?
ควรไปพบแพทย์ หากตุ่มแข็งไม่หายไปเอง มีอาการรุนแรง มีลักษณะผิดปกติ หรือมีสัญญาณของการติดเชื้อ
สัญญาณที่บ่งชี้ว่าควรไปพบแพทย์ ได้แก่:
- ตุ่มไม่หายไปเองนานกว่า 2-3 สัปดาห์
- มีเลือดออก ไม่ยอมหาย หรือกลายเป็นแผลเปิด
- ตุ่มขยายขนาดอย่างรวดเร็วหรือมีการเปลี่ยนสี
- มีตุ่มนูนแข็งเกิดขึ้นซ้ำๆ หลายตุ่มและทำให้เกิดแผลเป็น
- มีอาการเจ็บปวดอย่างรุนแรง
- มีสัญญาณของการติดเชื้อ เช่น รอยแดงลาม มีหนอง หรือมีไข้
- ตุ่มส่งผลกระทบต่อคุณภาพชีวิตอย่างมาก
สิวไตหรือตุ่มแข็งๆ หายเองได้ไหม ใช้เวลานานเท่าไร?
สิวไตหรือตุ่มแข็งๆ อาจหายเองได้หรือไม่นั้นขึ้นอยู่กับสาเหตุ โดยสิวอักเสบก้อนลึก (Nodule) สามารถยุบตัวลงได้เอง แต่อาจใช้เวลานานหลายสัปดาห์หรือหลายเดือน และมักจะทิ้งรอยแผลเป็นหรือรอยดำไว้ ในขณะที่ซีสต์ไขมันใต้ผิวหนัง (Epidermoid Cyst) มักจะไม่หายไปเอง
โดยทั่วไป หากตุ่มแข็งไม่ดีขึ้นเลยหลังจากผ่านไปประมาณ 6-8 สัปดาห์ ก็มีแนวโน้มว่าจะไม่สามารถหายไปได้เองและควรพิจารณาไปพบแพทย์เพื่อรับการรักษา ซึ่งการรักษาจะช่วยให้ตุ่มยุบเร็วขึ้นและลดความเสี่ยงของการเกิดแผลเป็นได้
References:
- Robinson, M. (n.d.). 12 Small Bumps on Your Skin That Aren’t Acne (With Images). GoodRx Health. goodrx.com
- Palmer, A. (n.d.). What Nodular Acne Looks Like and How It’s Treated. Verywell Health. verywellhealth.com
- Cleveland Clinic. (n.d.). Epidermal Inclusion Cyst (Sometimes Called Sebaceous Cyst). Cleveland Clinic – Health Library. clevelandclinic.org
- American Academy of Dermatology. (n.d.). Pimple Popping: Why Only a Dermatologist Should Do It. AAD – Public Acne Skin Care Guidelines. aad.org
- American Academy of Dermatology. (n.d.). Acne: Diagnosis and Treatment. AAD – Public Resource. aad.org
- National Health Service (UK). (n.d.). Skin Cyst. NHS Conditions Database. nhs.uk

