Skip to content

TEL : 081-841-5075, 02-258-4050

Facebook Instagram YouTube
Privato Clinic – Innovation Of Beauty  |  Bangkok
  • หน้าหลัก
  • เกี่ยวกับพรีวาโต
  • บริการทั้งหมดExpand
    • ชะลอวัย
    • ยกกระชับผิวExpand
      • XERF
      • Potenza
      • Sofwave
      • Ulthera
      • Thermage-FLX
    • รักษาสิว
    • เลเซอร์
    • โปรแกรมฉีด
    • บำรุงผิว
  • บทความExpand
    • สิว
    • ยกกระชับ
    • ดูแลผิว
    • ทำเลเซอร์
  • ผลิตภัณฑ์ดูแลผิว
  • โปรโมชั่น
  • ผลลัพธ์การรักษา
  • วิดีโอรีวิวจากเคสจริง
  • สาขาของเรา
  • ไทยExpand
    • ไทย
    • English
    • 中文 (中国)
  • ปรึกษาแพทย์
Privato Clinic – Innovation Of Beauty  |  Bangkok
Consult a Doctor
Acne

ยาแต้มสิวเหมาะกับสิวแบบไหน วิธีเลือกใช้ให้ตรงจุด

Byadmin กันยายน 17, 2025กันยายน 18, 2025
By นายแพทย์เลอพงษ์ กรุดเงิน Updated on กันยายน 18, 2025
✦ Medically reviewed by  แพทย์หญิงนัชชนก หุ่นวิจิตร

ยาแต้มสิวอักเสบได้ผลไหม

Table of Contents

Toggle
  • ยาแต้มสิวคืออะไรและทำงานอย่างไร
  • ยาแต้มสิวใช้ได้กับสิวประเภทใดบ้าง
    • สิวอักเสบ: สิวตุ่มนูนแดงและสิวหัวหนอง
    • สิวอุดตัน: สิวหัวดำและสิวหัวขาว
    • สิวอักเสบไม่มีหัวหรือสิวไต
    • ลักษณะสิวที่ไม่ควรใช้ยาแต้มสิวด้วยตนเอง
  • ส่วนผสมสำคัญในยาแต้มสิว: เลือกอย่างไรให้ได้ผล
    • Benzoyl Peroxide (BP) สำหรับสิวอักเสบและอุดตัน
    • Salicylic Acid (BHA) สำหรับสิวอุดตันและอักเสบเล็กน้อย
    • Clindamycin สำหรับสิวอักเสบติดเชื้อ
    • Azelaic Acid สำหรับลดการอักเสบและรอยแดง
    • เกณฑ์การเลือกส่วนผสมให้ตรงกับสภาพผิวและชนิดสิว
  • เจลแต้มสิว vs ครีมแต้มสิว: เลือกเนื้อสัมผัสแบบไหนดี
  • ข้อควรพิจารณาก่อนตัดสินใจเลือกใช้ยาแต้มสิว
    • วิธีใช้ยาแต้มสิวให้ปลอดภัยและได้ผลลัพธ์สูงสุด
    • ระยะเวลาเห็นผลและผลลัพธ์ที่คาดหวังได้
    • การเลือกซื้อ: ร้านขายยา คลินิก หรือร้านสะดวกซื้อ
  • ผลข้างเคียงและข้อควรระวังในการใช้ยาแต้มสิว
    • อาการระคายเคือง ผิวแห้งลอกที่อาจเกิดขึ้น
    • ความเสี่ยงภาวะดื้อยาจากการใช้ยาปฏิชีวนะ
  • เมื่อไหร่ที่ควรหยุดใช้ยาแต้มสิวและปรึกษาแพทย์
  • คำถามที่พบบ่อยเกี่ยวกับยาแต้มสิวอักเสบ
    • ยาแต้มสิวทำให้สิวยุบในคืนเดียวจริงหรือไม่
    • สามารถใช้ยาแต้มสิวทุกวันได้หรือไม่
    • ควรทาเจลแต้มสิวก่อนหรือหลังมอยส์เจอไรเซอร์
    • สิวอักเสบไม่มีหัว ควรใช้ยาแต้มสิวชนิดใด
    • ใช้ยาแต้มสิวร่วมกับการรักษาอื่นได้ไหม
    • ยาแต้มสิวจากร้านขายยากับคลินิกต่างกันอย่างไร
  • References:

ยาแต้มสิวคืออะไรและทำงานอย่างไร

ยาแต้มสิวคือ ผลิตภัณฑ์ที่ใช้ทาเฉพาะจุดบนสิวที่อักเสบโดยตรง เพื่อช่วยลดขนาดและรอยแดงของสิวให้ยุบเร็วขึ้น

ยาแต้มสิวทำงานโดยใช้ส่วนผสมออกฤทธิ์ เช่น เบนโซอิลเพอร์ออกไซด์ (Benzoyl Peroxide) หรือกรดซาลิไซลิก (Salicylic Acid) เพื่อจัดการกับสิวที่มองเห็นผ่านกลไกต่างๆ ได้แก่:

  • ฆ่าเชื้อแบคทีเรียที่ก่อให้เกิดสิว (C. acnes)
  • ลดการอักเสบและอาการบวมแดง
  • ช่วยผลัดเซลล์ผิวเพื่อลดการอุดตันในรูขุมขน

อย่างไรก็ตาม ยาแต้มสิวจะรักษาเฉพาะสิวที่มีอยู่เท่านั้น แต่ไม่ได้ช่วยป้องกันการเกิดสิวใหม่ในบริเวณใกล้เคียง จึงเหมาะสำหรับผู้ที่เป็นสิวเพียงครั้งคราว

ยาแต้มสิวใช้ได้กับสิวประเภทใดบ้าง

สิวอักเสบ: สิวตุ่มนูนแดงและสิวหัวหนอง

สิวอักเสบ ซึ่งรวมถึงสิวตุ่มนูนแดง (Papules) และสิวหัวหนอง (Pustules) คือสิวที่มองเห็นได้ชัดเจนซึ่งเกิดจากการอักเสบเฉพาะที่ สิวประเภทนี้ตอบสนองต่อการรักษาด้วยส่วนผสมที่มีคุณสมบัติต้านเชื้อแบคทีเรียและต้านการอักเสบ

ส่วนผสมที่แนะนำสำหรับรักษาสิวอักเสบ ได้แก่

  • เบนโซอิลเพอร์ออกไซด์ (Benzoyl Peroxide): ทำลายเชื้อแบคทีเรียที่ก่อให้เกิดสิวและลดการอักเสบ
  • กรดอะซีลาอิก (Azelaic Acid): มีประสิทธิภาพในการรักษาสิวอักเสบและมักจะอ่อนโยนต่อผิว
  • ยาปฏิชีวนะชนิดทาเฉพาะที่ (Topical Antibiotics): เช่น คลินดามัยซิน (Clindamycin) ช่วยลดเชื้อแบคทีเรียและการอักเสบ แต่ต้องใช้ร่วมกับเบนโซอิลเพอร์ออกไซด์เสมอเพื่อป้องกันการดื้อยา

สิวอุดตัน: สิวหัวดำและสิวหัวขาว

สิวอุดตัน (สิวหัวดำและสิวหัวขาว) ควรใช้สารที่ช่วยผลัดเซลล์ผิวและทำความสะอาดรูขุมขน เช่น กรดซาลิไซลิก (salicylic acid) หรือยาทากลุ่มเรตินอยด์ (topical retinoid) อย่าง adapalene

สารเหล่านี้มีประสิทธิภาพในการรักษาปัญหาสิวอุดตันโดยเฉพาะ เนื่องจากช่วยผลัดเซลล์ผิวที่อุดตันอยู่ภายในรูขุมขนและควบคุมการหลุดลอกของเซลล์ผิวให้เป็นปกติ กรดซาลิไซลิกเป็นตัวเลือกที่ดีในการทำความสะอาดรูขุมขนอย่างอ่อนโยน ในขณะที่เรตินอยด์จะช่วยปรับกระบวนการผลัดเซลล์ผิวให้กลับมาเป็นปกติเพื่อป้องกันการอุดตันในระยะยาว

สิวอักเสบไม่มีหัวหรือสิวไต

การรักษาสิวอักเสบไม่มีหัวหรือสิวไตควรเน้นที่การลดการอักเสบเป็นหลัก เนื่องจากการรักษาแบบเดิมที่ทำให้สิวแห้งมักไม่ค่อยได้ผลกับสิวประเภทนี้

วิธีที่แนะนำในการดูแลสิวอักเสบไม่มีหัว ได้แก่

  • ประคบอุ่น: การประคบด้วยผ้าชุบน้ำอุ่นครั้งละ 2-3 นาที วันละหลายๆ ครั้ง จะช่วยให้สิวนุ่มลงและยุบเร็วขึ้น
  • ใช้เบนโซอิลเพอร์ออกไซด์ (Benzoyl Peroxide): ส่วนผสมนี้สามารถซึมลงไปใต้ผิวเพื่อช่วยฆ่าเชื้อแบคทีเรียและลดการอักเสบได้
  • ใช้แผ่นแปะสิวไฮโดรคอลลอยด์ (Hydrocolloid Patch): แผ่นแปะสิวสามารถช่วยดูดซับของเหลวและลดการอักเสบได้บ้าง อีกทั้งยังช่วยป้องกันการสัมผัสหรือบีบสิว
  • พบแพทย์ผิวหนังเพื่อฉีดสเตียรอยด์: สำหรับสิวไตเม็ดใหญ่ที่เจ็บมาก การฉีดคอร์ติโซนโดยแพทย์เป็นวิธีที่ได้ผลเร็วที่สุด โดยสิวจะยุบลงอย่างเห็นได้ชัดภายใน 48–72 ชั่วโมง

ลักษณะสิวที่ไม่ควรใช้ยาแต้มสิวด้วยตนเอง

สิวที่มีลักษณะติดเชื้อรุนแรง สิวอักเสบขนาดใหญ่ที่เป็นก้อนลึกใต้ผิวหนัง หรือสิวที่ขึ้นเป็นบริเวณกว้างและต่อเนื่อง เป็นลักษณะสิวที่ไม่ควรใช้ยาแต้มสิวด้วยตนเองและควรไปพบแพทย์

ลักษณะสิวที่ควรไปพบแพทย์แทนการรักษาด้วยตนเอง ได้แก่

  • สิวที่มีการติดเชื้อ: มีอาการแดงจัด รู้สึกอุ่น มีหนองสีเหลือง หรือรอยแดงลุกลาม
  • สิวอักเสบที่เป็นก้อนแข็งหรือซีสต์ (Cyst/Nodule): เป็นสิวขนาดใหญ่ที่อยู่ลึกใต้ผิวหนัง มักมีอาการเจ็บปวด และเสี่ยงต่อการเกิดแผลเป็น
  • สิวที่ขึ้นเป็นจำนวนมากและต่อเนื่อง: การใช้ยาแต้มสิวอย่างเดียวมักไม่ได้ผล เพราะไม่สามารถป้องกันการเกิดสิวใหม่ในบริเวณใกล้เคียงได้
  • สิวที่ขึ้นใกล้บริเวณที่บอบบาง: เช่น บริเวณรอบดวงตา

ส่วนผสมสำคัญในยาแต้มสิว: เลือกอย่างไรให้ได้ผล

ส่วนผสมสำคัญในยาแต้มสิว ได้แก่ เบนโซอิลเพอร์ออกไซด์ (Benzoyl Peroxide), กรดซาลิไซลิก (Salicylic Acid), กรดอะซีลาอิก (Azelaic Acid) และยาปฏิชีวนะชนิดทา ซึ่งการเลือกใช้จะขึ้นอยู่กับประเภทของสิวและความไวต่อการระคายเคืองของผิว การเลือกส่วนผสมที่เหมาะสมควรพิจารณาจากลักษณะของสิวเป็นหลัก

  • เบนโซอิลเพอร์ออกไซด์ (Benzoyl Peroxide – BP): เหมาะสำหรับสิวอักเสบ (inflammatory acne) โดยจะช่วยฆ่าเชื้อแบคทีเรียและลดการอักเสบ ควรเริ่มต้นที่ความเข้มข้นต่ำ (2.5%) เพื่อลดการระคายเคือง
  • กรดซาลิไซลิก (Salicylic Acid – BHA): เหมาะสำหรับสิวอุดตัน (comedonal acne) และผิวมัน ช่วยผลัดเซลล์ผิวและทำความสะอาดรูขุมขน
  • กรดอะซีลาอิก (Azelaic Acid): เป็นทางเลือกที่ดีสำหรับผู้ที่มีผิวแพ้ง่าย ผิวคล้ำ หรือหญิงตั้งครรภ์ ช่วยลดการอักเสบและรอยดำจากสิวได้ดี
  • ยาปฏิชีวนะชนิดทา (Topical Antibiotics): เช่น คลินดามัยซิน (Clindamycin) ใช้สำหรับสิวระดับปานกลาง แต่ต้องใช้ร่วมกับเบนโซอิลเพอร์ออกไซด์เสมอเพื่อป้องกันการดื้อยา และควรใช้ในระยะเวลาจำกัด

Benzoyl Peroxide (BP) สำหรับสิวอักเสบและอุดตัน

เบนโซอิลเพอร์ออกไซด์ (Benzoyl Peroxide หรือ BP) เป็นส่วนผสมที่มีประสิทธิภาพสูงในการรักษาสิวอักเสบ เนื่องจากออกฤทธิ์โดยการปล่อยออกซิเจนเพื่อฆ่าเชื้อแบคทีเรีย *C. acnes* ซึ่งเป็นสาเหตุของสิว และช่วยลดการอักเสบได้โดยตรง

สำหรับสิวอุดตันนั้น ส่วนผสมอื่น เช่น กรดซาลิไซลิก (salicylic acid) หรือเรตินอยด์ (retinoids) มักจะให้ผลดีกว่า เนื่องจากมีคุณสมบัติช่วยผลัดเซลล์ผิวและสลายสิ่งอุดตันในรูขุมขนโดยเฉพาะ

คำแนะนำเพิ่มเติมในการใช้ BP:

  • ความเข้มข้น: ควรเริ่มต้นที่ความเข้มข้นต่ำ เช่น 2.5% เนื่องจากมีประสิทธิภาพเทียบเท่ากับความเข้มข้นที่สูงกว่า (5% และ 10%) แต่ก่อให้เกิดการระคายเคืองน้อยกว่า
  • การใช้ร่วมกับยาอื่น: BP มีความสำคัญอย่างยิ่งในการป้องกันเชื้อดื้อยาเมื่อใช้ร่วมกับยาปฏิชีวนะชนิดทา เช่น คลินดามัยซิน (clindamycin)

Salicylic Acid (BHA) สำหรับสิวอุดตันและอักเสบเล็กน้อย

กรดซาลิไซลิก (BHA) เป็นส่วนผสมที่ช่วยผลัดเซลล์ผิวภายในรูขุมขน (comedolytic) และมีคุณสมบัติต้านการอักเสบเล็กน้อย ทำให้เหมาะสำหรับสิวอุดตันและสิวอักเสบที่ไม่รุนแรง

กรดซาลิไซลิกทำงานโดยการช่วยผลัดเซลล์ผิวที่อุดตันในรูขุมขนและลดอาการบวม จึงเป็นตัวเลือกที่ดีสำหรับผู้ที่มีสิวอุดตันหรือผิวมัน ความเข้มข้นที่ใช้โดยทั่วไปในผลิตภัณฑ์รักษาสิวเฉพาะจุดคือ 0.5–2% โดยผู้เชี่ยวชาญแนะนำให้เริ่มต้นที่ความเข้มข้นต่ำ (0.5–1%) เพื่อลดความเสี่ยงของการระคายเคืองหรือผิวแห้ง

Clindamycin สำหรับสิวอักเสบติดเชื้อ

ไม่ควรใช้ยาคลินดามัยซิน (Clindamycin) เพียงตัวเดียวในการรักษาสิวอักเสบติดเชื้อ เนื่องจากจะทำให้เชื้อแบคทีเรียดื้อยาได้อย่างรวดเร็วและทำให้ยาใช้ไม่ได้ผลในที่สุด

ตามคำแนะนำจากผู้เชี่ยวชาญ ควรใช้ยาคลินดามัยซินคู่กับเบนโซอิลเพอร์ออกไซด์ (Benzoyl Peroxide) เสมอ เพราะการใช้ร่วมกันจะช่วยเพิ่มประสิทธิภาพในการรักษาสิวและป้องกันการเกิดเชื้อดื้อยา นอกจากนี้ การใช้ยาปฏิชีวนะควรจำกัดระยะเวลา เช่น ใช้ติดต่อกันประมาณ 6–8 สัปดาห์ แล้วจึงหยุดยาเพื่อหลีกเลี่ยงปัญหาการดื้อยาในระยะยาว

Azelaic Acid สำหรับลดการอักเสบและรอยแดง

กรดอะซีลาอิก (Azelaic acid) มีประสิทธิภาพในการรักษาสิวอักเสบ โดยสามารถลดการอักเสบและรอยแดงได้ดีเทียบเท่ากับยารักษาสิวในกลุ่มเรตินอยด์บางชนิด

กรดอะซีลาอิกที่ความเข้มข้น 15-20% สามารถลดสิวอักเสบได้ดี และมักจะอ่อนโยนต่อผิวแม้แต่ในผู้ที่มีผิวแพ้ง่าย นอกจากนี้ยังไม่ทำให้ผิวไวต่อแสงแดด จึงเป็นตัวเลือกที่ดีสำหรับผู้ที่มีผิวแพ้ง่าย, ผู้ที่มีสีผิวเข้มที่ต้องการลดรอยสิว หรือหญิงตั้งครรภ์ เนื่องจากมีความปลอดภัยสูง

เกณฑ์การเลือกส่วนผสมให้ตรงกับสภาพผิวและชนิดสิว

ควรเลือกส่วนผสมออกฤทธิ์ตามประเภทของสิวและความทนทานของผิว โดยสิวอักเสบเหมาะกับส่วนผสมที่ช่วยต้านเชื้อแบคทีเรียและลดการอักเสบ ส่วนสิวอุดตันเหมาะกับส่วนผสมที่ช่วยผลัดเซลล์ผิว

เกณฑ์การเลือกส่วนผสมสำหรับสิวแต่ละประเภทมีดังนี้

  • สิวอักเสบ (Inflammatory Acne): ควรใช้ส่วนผสมที่ช่วยต้านเชื้อแบคทีเรียและลดการอักเสบ
  • เบนโซอิลเพอร์ออกไซด์ (Benzoyl Peroxide): ช่วยฆ่าเชื้อแบคทีเรีย *C. acnes* และลดการอักเสบ เหมาะสำหรับสิวอักเสบ ควรเริ่มต้นที่ความเข้มข้นต่ำ (2.5%) เพื่อลดการระคายเคือง
  • กรดอะซีลาอิก (Azelaic Acid): เป็นทางเลือกที่ดีสำหรับผู้ที่มีผิวแพ้ง่าย ผิวคล้ำ หรือหญิงตั้งครรภ์ เนื่องจากมีความอ่อนโยนและช่วยลดรอยดำได้
  • ยาปฏิชีวนะชนิดทา (Topical Antibiotics): เช่น คลินดามัยซิน (Clindamycin) ต้องใช้ร่วมกับเบนโซอิลเพอร์ออกไซด์เสมอเพื่อป้องกันการดื้อยา
  • สิวอุดตัน (Comedonal Acne): ควรใช้ส่วนผสมที่ช่วยผลัดเซลล์ผิวและทำความสะอาดรูขุมขน
  • กรดซาลิไซลิก (Salicylic Acid): เหมาะสำหรับสิวอุดตันและคนผิวมัน เพราะช่วยผลัดเซลล์ผิวภายในรูขุมขน
  • เรตินอยด์ชนิดทา (Topical Retinoids): เช่น อะแดพาลีน (Adapalene) ช่วยปรับการผลัดเซลล์ผิวให้เป็นปกติ จึงมีประสิทธิภาพในการรักษาสิวอุดตัน

เจลแต้มสิว vs ครีมแต้มสิว: เลือกเนื้อสัมผัสแบบไหนดี

การเลือกใช้ระหว่างเจลแต้มสิวและครีมแต้มสิวขึ้นอยู่กับสภาพผิวของคุณ โดยทั่วไปเจลจะเหมาะกับผิวมัน ส่วนครีมจะเหมาะกับผิวแห้งหรือผิวแพ้ง่าย

  • เจลแต้มสิว (Gel):
  • เหมาะสำหรับ: ผิวมันหรือผิวที่เป็นสิวง่าย
  • ลักษณะ: เนื้อบางเบา แห้งเร็ว ไม่ทิ้งความมันหรือเหนอะหนะ
  • ข้อดี: ช่วยควบคุมความมันส่วนเกินและให้ความรู้สึกสบายผิว แต่บางสูตรที่มีแอลกอฮอล์อาจทำให้ผิวแห้งหรือระคายเคืองได้
  • ครีมแต้มสิว (Cream):
  • เหมาะสำหรับ: ผิวแห้งหรือผิวแพ้ง่าย
  • ลักษณะ: เนื้อหนักกว่าและให้ความชุ่มชื้นสูงกว่าเจล
  • ข้อดี: ช่วยลดอาการแห้ง แดง หรือลอกที่อาจเกิดจากการใช้ยาแต้มสิว และมีความอ่อนโยนต่อผิวมากกว่า

ข้อควรพิจารณาก่อนตัดสินใจเลือกใช้ยาแต้มสิว

วิธีใช้ยาแต้มสิวให้ปลอดภัยและได้ผลลัพธ์สูงสุด

ควรเริ่มใช้ยาแต้มสิวในปริมาณน้อยๆ และเลือกใช้ผลิตภัณฑ์ที่มีความเข้มข้นต่ำ จากนั้นจึงค่อยๆ เพิ่มความถี่ในการใช้ เพื่อให้ผิวปรับตัวและลดการระคายเคือง

เพื่อให้การรักษาสิวปลอดภัยและได้ผลดีที่สุด ควรปฏิบัติตามคำแนะนำต่อไปนี้:

  • เริ่มต้นอย่างค่อยเป็นค่อยไป: เลือกใช้ผลิตภัณฑ์ที่มีความเข้มข้นของตัวยาออกฤทธิ์ในระดับต่ำ เช่น Benzoyl Peroxide 2.5% และเริ่มทาทุกๆ 2-3 วันก่อนจะเพิ่มเป็นวันละครั้ง
  • ทาบางๆ: ใช้ผลิตภัณฑ์ในปริมาณเล็กน้อยและทาเป็นชั้นบางๆ บนบริเวณที่เป็นสิว การทาหนาๆ ไม่ได้ช่วยให้สิวหายเร็วขึ้น แต่อาจทำให้ผิวระคายเคืองและลอกได้
  • ทดสอบการแพ้ (Patch Test): ก่อนใช้ผลิตภัณฑ์ใหม่ ควรทดลองทาบริเวณเล็กๆ ที่ผิวหนัง (เช่น ท้องแขน) เพื่อตรวจสอบอาการแพ้
  • ใช้มอยส์เจอไรเซอร์ร่วมด้วย: ทามอยส์เจอไรเซอร์หลังจากยาแต้มสิวแห้งแล้ว เพื่อช่วยลดความแห้งกร้าน หรืออาจใช้วิธี “แซนวิช” (ทามอยส์เจอไรเซอร์-ยาแต้มสิว-มอยส์เจอไรเซอร์) เพื่อลดการระคายเคือง
  • ทาครีมกันแดดเสมอ: ส่วนผสมรักษาสิวหลายชนิด เช่น Benzoyl Peroxide และ Retinoids ทำให้ผิวไวต่อแสงแดดมากขึ้น จึงจำเป็นต้องทาครีมกันแดดทุกวันเพื่อป้องกันผิวไหม้และรอยดำ
  • อดทนรอผล: การรักษาสิวต้องใช้เวลา โดยอาจใช้เวลาประมาณ 6-12 สัปดาห์จึงจะเห็นผลลัพธ์ที่ชัดเจน และในช่วง 2-3 สัปดาห์แรกอาจมีสิวเห่อขึ้นมาได้ ซึ่งเป็นเรื่องปกติ
  • รู้ว่าเมื่อไหร่ควรหยุด: หากใช้ผลิตภัณฑ์อย่างสม่ำเสมอเป็นเวลา 2-3 เดือนแล้วอาการไม่ดีขึ้น หรือมีอาการแพ้อย่างรุนแรง ควรหยุดใช้และปรึกษาแพทย์หรือเภสัชกร

ระยะเวลาเห็นผลและผลลัพธ์ที่คาดหวังได้

การรักษาสิวต้องใช้เวลา โดยทั่วไปจะเห็นผลอย่างชัดเจนในเวลาประมาณ 6-12 สัปดาห์ และไม่สามารถคาดหวังให้สิวหายไปได้ในชั่วข้ามคืน

ผลลัพธ์ที่คาดหวังได้จากการรักษาสิวมีดังนี้:

  • ผลลัพธ์ในระยะสั้น: ยารักษาสิวเฉพาะจุดบางชนิด เช่น เบนโซอิลเพอร์ออกไซด์ (Benzoyl Peroxide) สามารถช่วยลดรอยแดงและขนาดของสิวอักเสบได้ภายในวันถัดไป แต่สิวจะไม่หายไปอย่างสมบูรณ์
  • ผลลัพธ์ในระยะกลาง: ยาอย่างเบนโซอิลเพอร์ออกไซด์หรือกลุ่มเรตินอยด์ (Retinoids) มักใช้เวลาประมาณ 6 สัปดาห์ในการกำจัดสิวส่วนใหญ่ และจะเห็นผลดีขึ้นเรื่อยๆ จนถึง 12 สัปดาห์หรือนานกว่านั้น
  • ช่วงสิวเห่อ (Purging): เป็นเรื่องปกติที่ในช่วง 2 สัปดาห์แรกของการใช้เรตินอยด์ อาจเกิดการ “ดันสิว” หรือสิวเห่อขึ้นเล็กน้อยก่อนจะค่อยๆ ดีขึ้น
  • การประเมินผล: ควรประเมินประสิทธิภาพของวิธีการรักษาหลังจากใช้งานอย่างสม่ำเสมอเป็นเวลา 2-3 เดือน
  • การควบคุมระยะยาว: สิวมีแนวโน้มที่จะกลับมาเป็นซ้ำหากหยุดการรักษา ดังนั้นจึงจำเป็นต้องใช้ยาอย่างต่อเนื่องเพื่อควบคุมและป้องกันการเกิดสิวใหม่ในระยะยาว

การเลือกซื้อ: ร้านขายยา คลินิก หรือร้านสะดวกซื้อ

ควรซื้อผลิตภัณฑ์รักษาสิวจากร้านขายยาหรือจากผู้ผลิตโดยตรง เพื่อให้มั่นใจว่าจะได้รับผลิตภัณฑ์ของแท้ที่มีส่วนผสมและปริมาณที่ถูกต้อง การซื้อจากแหล่งที่น่าเชื่อถือจะช่วยหลีกเลี่ยงความเสี่ยงที่จะเจอผลิตภัณฑ์ของปลอมหรือหมดอายุ ซึ่งมักพบได้ในตลาดออนไลน์

ผลข้างเคียงและข้อควรระวังในการใช้ยาแต้มสิว

อาการระคายเคือง ผิวแห้งลอกที่อาจเกิดขึ้น

ควรเริ่มต้นใช้ผลิตภัณฑ์อย่างช้าๆ เช่น วันเว้นวันหรือทุกๆ สามวัน แล้วจึงค่อยๆ เพิ่มความถี่ขึ้นเมื่อผิวปรับตัวได้

เพื่อลดอาการระคายเคืองและผิวแห้งลอก ควรทามอยส์เจอไรเซอร์สูตรบางเบาและปราศจากน้ำมันหลังการใช้ยาแต้มสิว นอกจากนี้ควรหลีกเลี่ยงการใช้ผลิตภัณฑ์ที่รุนแรงหลายชนิดพร้อมกัน หากเกิดการระคายเคืองรุนแรง ให้หยุดใช้ผลิตภัณฑ์ 1-2 วันเพื่อให้ผิวได้ฟื้นตัวก่อนที่จะเริ่มใช้อีกครั้งอย่างช้าๆ

ความเสี่ยงภาวะดื้อยาจากการใช้ยาปฏิชีวนะ

การใช้ยาปฏิชีวนะชนิดทาเพียงอย่างเดียวในการรักษาสิวมีความเสี่ยงสูงที่จะทำให้เกิดเชื้อแบคทีเรียดื้อยา ซึ่งทำให้ยาปฏิชีวนะไม่ได้ผลในอนาคต แนวทางปฏิบัติทางผิวหนังจึงแนะนำอย่างยิ่งให้หลีกเลี่ยงการใช้ยาปฏิชีวนะเป็นยาเดี่ยว (monotherapy)

เพื่อลดความเสี่ยงภาวะดื้อยา ควรปฏิบัติดังนี้

  • ใช้ร่วมกับเบนโซอิลเปอร์ออกไซด์ (Benzoyl Peroxide): การใช้ยาปฏิชีวนะชนิดทา เช่น คลินดามัยซิน (Clindamycin) ควบคู่กับเบนโซอิลเปอร์ออกไซด์ จะช่วยเพิ่มประสิทธิภาพการรักษาและป้องกันการเกิดเชื้อดื้อยา
  • จำกัดระยะเวลาการใช้: ควรใช้ยาปฏิชีวนะในระยะเวลาที่จำกัด เช่น ประมาณ 6–8 สัปดาห์ แล้วหยุดใช้เพื่อหลีกเลี่ยงการสร้างเชื้อดื้อยา
  • ไม่ใช้ระยะยาว: การใช้ยาปฏิชีวนะรักษาสิวเฉพาะจุดในระยะยาวอาจทำให้การรักษาสิวหรือการติดเชื้ออื่นๆ ในอนาคตทำได้ยากขึ้น

เมื่อไหร่ที่ควรหยุดใช้ยาแต้มสิวและปรึกษาแพทย์

ควรหยุดใช้ยาแต้มสิวและปรึกษาแพทย์เมื่อสิวไม่ดีขึ้นหลังใช้ยา 2-3 เดือน สิวรุนแรงขึ้น หรือเกิดผลข้างเคียงที่รุนแรง โดยเฉพาะอย่างยิ่งในสถานการณ์ต่อไปนี้

  • ไม่เห็นผล: หากใช้ผลิตภัณฑ์อย่างสม่ำเสมอเป็นเวลา 10-12 สัปดาห์ (ประมาณ 2-3 เดือน) แล้วสิวไม่ดีขึ้นหรือแย่ลง
  • สิวรุนแรง: เมื่อเกิดสิวอักเสบขนาดใหญ่ (สิวซีสต์หรือสิวหัวช้าง) ที่ทำให้เจ็บปวดหรือเกิดรอยแผลเป็น เนื่องจากผลิตภัณฑ์ที่หาซื้อเองมักไม่สามารถรักษาได้
  • อาการติดเชื้อ: หากสิวมีอาการบวมแดงมากผิดปกติ รู้สึกอุ่น มีหนองสีเหลือง หรือรอยแดงลุกลาม รวมถึงมีไข้ร่วมด้วย
  • ผลข้างเคียงรุนแรง: หากเกิดอาการแพ้ เช่น มีผื่นแดง คัน บวม หรือมีตุ่มน้ำพองบริเวณที่ทายา
  • ผลกระทบทางจิตใจ: เมื่อสิวส่งผลกระทบต่อจิตใจอย่างรุนแรง เช่น ทำให้เกิดความวิตกกังวล ซึมเศร้า หรือหลีกเลี่ยงการเข้าสังคม

คำถามที่พบบ่อยเกี่ยวกับยาแต้มสิวอักเสบ

ยาแต้มสิวทำให้สิวยุบในคืนเดียวจริงหรือไม่

ยาแต้มสิวไม่สามารถทำให้สิวยุบหายไปได้อย่างสมบูรณ์ในคืนเดียว ซึ่งเป็นความเชื่อที่ยังไม่ถูกต้องนัก

แม้ว่ายาแต้มสิวบางชนิด เช่น เบนโซอิลเพอร์ออกไซด์ (benzoyl peroxide) จะช่วยลดขนาดและรอยแดงของสิวได้ในเช้าวันถัดไป แต่ก็ไม่สามารถทำให้สิวยุบหายไปได้ทันที ยาแต้มสิวทำได้เพียงช่วยเร่งกระบวนการรักษาสิวให้เร็วขึ้นเมื่อเทียบกับการไม่ทำอะไรเลย โดยผลลัพธ์จะขึ้นอยู่กับขนาดและความลึกของสิว

สำหรับสิวอักเสบขนาดใหญ่หรือสิวซีสต์ (cyst) วิธีที่รวดเร็วที่สุดคือการฉีดคอร์ติโซนโดยแพทย์ผิวหนัง ซึ่งจะช่วยให้สิวยุบลงอย่างเห็นได้ชัดภายใน 1-2 วัน

สามารถใช้ยาแต้มสิวทุกวันได้หรือไม่

การใช้ยาแต้มสิวทุกวันขึ้นอยู่กับสภาพสิวของคุณ หากคุณมีสิวขึ้นเพียงนานๆ ครั้ง ก็สามารถใช้ยาแต้มสิวเฉพาะเมื่อจำเป็นได้ แต่หากคุณมีสิวขึ้นบ่อยครั้ง ผู้เชี่ยวชาญแนะนำให้ใช้ยาทาทั่วบริเวณที่เป็นสิวเป็นประจำทุกวันเพื่อป้องกันการเกิดสิวใหม่ ซึ่งจะมีประสิทธิภาพมากกว่าการรอแต้มสิวทีละเม็ด

ควรทาเจลแต้มสิวก่อนหรือหลังมอยส์เจอไรเซอร์

โดยทั่วไปแล้ว ควรทาเจลแต้มสิวก่อนมอยส์เจอไรเซอร์

ควรทาเจลแต้มสิวบนผิวที่สะอาดและปล่อยให้แห้งก่อน เพื่อให้ตัวยาซึมซาบเข้าสู่ผิวได้อย่างเต็มที่ จากนั้นจึงทามอยส์เจอไรเซอร์ทับเพื่อช่วยลดความแห้งกร้าน อย่างไรก็ตาม สำหรับผู้ที่มีผิวแพ้ง่ายมาก อาจใช้วิธี “แซนวิช” คือทามอยส์เจอไรเซอร์บางๆ ก่อน แล้วตามด้วยเจลแต้มสิว และปิดท้ายด้วยมอยส์เจอไรเซอร์อีกชั้นเพื่อลดการระคายเคือง

สิวอักเสบไม่มีหัว ควรใช้ยาแต้มสิวชนิดใด

สำหรับสิวอักเสบไม่มีหัว ควรใช้ยาแต้มสิวที่ช่วยลดการอักเสบ เช่น เบนโซอิลเพอร์ออกไซด์ (benzoyl peroxide) เนื่องจากสามารถซึมลงไปใต้ผิวเพื่อต่อสู้กับแบคทีเรียและลดการอักเสบได้ดีกว่ายาแต้มสิวแบบดั้งเดิมที่เน้นทำให้สิวแห้ง เช่น โคลนหรือกำมะถัน ซึ่งมักไม่ค่อยได้ผลกับสิวประเภทนี้

นอกจากนี้ยังมีวิธีอื่นที่ช่วยได้ คือ

  • ประคบอุ่น: การประคบด้วยผ้าชุบน้ำอุ่นครั้งละ 2-3 นาที วันละหลายๆ ครั้ง จะช่วยให้สิวนุ่มลงและมีหัวเร็วขึ้น
  • ใช้แผ่นแปะสิว: แผ่นแปะไฮโดรคอลลอยด์ (hydrocolloid patch) สามารถช่วยดูดซับของเหลวและลดการอักเสบได้
  • พบแพทย์ผิวหนัง: หากสิวมีขนาดใหญ่และเจ็บมาก การฉีดคอร์ติโซนโดยแพทย์เป็นวิธีที่ได้ผลเร็วที่สุด โดยจะช่วยให้สิวยุบลงอย่างเห็นได้ชัดภายใน 48–72 ชั่วโมง

ใช้ยาแต้มสิวร่วมกับการรักษาอื่นได้ไหม

โดยส่วนใหญ่แล้ว สามารถใช้ยาแต้มสิวร่วมกับยารักษาสิวตามใบสั่งแพทย์ได้ เนื่องจากแพทย์ผิวหนังมักแนะนำให้ใช้การรักษาร่วมกันเพื่อผลลัพธ์ที่ดีขึ้น อย่างไรก็ตาม ควรใช้ด้วยความระมัดระวังเพื่อหลีกเลี่ยงการระคายเคืองผิวที่มากเกินไป

ตัวอย่างการใช้ยาร่วมกันที่พบบ่อย ได้แก่:

  • การใช้ยาในกลุ่มเรตินอยด์ (Retinoid) ตามใบสั่งแพทย์ในเวลากลางคืน และใช้เบนโซอิลเพอร์ออกไซด์ (Benzoyl Peroxide) ที่หาซื้อได้เองในตอนเช้า
  • การใช้เบนโซอิลเพอร์ออกไซด์ร่วมกับยาปฏิชีวนะชนิดทา เพื่อช่วยป้องกันการดื้อยา

ข้อควรระวังคือไม่ควรทาผลิตภัณฑ์ที่มีฤทธิ์ระคายเคืองหลายชนิดซ้อนกันในเวลาเดียวกัน แต่ควรสลับเวลาใช้ เช่น ทาตัวหนึ่งตอนเช้าและอีกตัวตอนกลางคืน เพื่อลดการระคายเคือง และควรปรึกษาแพทย์ก่อนเพิ่มผลิตภัณฑ์ใหม่ๆ เข้าไปในขั้นตอนการดูแลผิวของคุณ

ยาแต้มสิวจากร้านขายยากับคลินิกต่างกันอย่างไร

ยาแต้มสิวจากร้านขายยาและจากคลินิก แตกต่างกันที่ความแรงของตัวยา ประเภทของยา และรูปแบบการรักษา โดยยาจากร้านขายยาเหมาะสำหรับสิวที่ไม่รุนแรง ในขณะที่การรักษาจากคลินิกจะใช้สำหรับสิวที่รุนแรงกว่าและไม่ตอบสนองต่อยาที่หาซื้อเองได้

  • ยาจากร้านขายยา (Over-the-Counter – OTC): เหมาะสำหรับสิวระดับเล็กน้อยถึงปานกลาง ประกอบด้วยตัวยา เช่น เบนโซอิลเพอร์ออกไซด์ (Benzoyl Peroxide) กรดซาลิไซลิก (Salicylic Acid) และอะแดพาลีน (Adapalene) ซึ่งเป็นจุดเริ่มต้นที่ดีในการรักษาสิวด้วยตนเอง
  • ยาและการรักษาจากคลินิก (Prescription/Clinic Treatments): เหมาะสำหรับสิวระดับปานกลางถึงรุนแรง สิวซีสต์ สิวที่เป็นต่อเนื่อง หรือเมื่อใช้ยาจากร้านขายยาแล้วไม่ได้ผลภายใน 10-12 สัปดาห์ แพทย์ผิวหนังอาจสั่งยาที่แรงขึ้น เช่น เรตินอยด์ชนิดอื่น (Tazarotene) ยาทาปฏิชีวนะร่วมกับเบนโซอิลเพอร์ออกไซด์ ยารับประทาน หรือทำหัตถการทางการแพทย์ เช่น การฉีดสเตียรอยด์เพื่อลดการอักเสบของสิว การทำเคมีลอกผิว (Chemical Peels) หรือการใช้เลเซอร์

References:

  1. National Health Service. Acne: Treatment. NHS. nhs.uk
  2. Li, J., Hu, X., Dong, Y., Wang, Y., & Liu, T. Acne treatment: research progress and new perspectives. Frontiers in Medicine. ncbi.nlm.nih.gov
  3. Liu, J., et al. Clinical efficacy of a salicylic acid–containing gel on acne management and skin barrier function: A 21-day prospective study. Journal of Cosmetic Dermatology. ncbi.nlm.nih.gov
  4. Berg, S. What doctors wish patients knew about acne treatment. American Medical Association. ama-assn.org
  5. Cleveland Clinic. How to get rid of a pimple — stat! Cleveland Clinic Health Essentials. clevelandclinic.org
  6. Wyndly. Recognizing and Treating Benzoyl Peroxide Allergy: A Guide. Wyndly. wyndly.com

แนะแนวเรื่อง

Previous Previous
เป็นสิวที่หน้าอก รักษายังไง คู่มือเช็คสาเหตุและการดูแลอย่างได้ผล
NextContinue
4 ปัจจัยหลัก ทำไมใช้มอยเจอร์ไรเซอร์แล้วสิวขึ้น?

สาขาพรีวาโต คลินิก

    สาขาอโศก ตั้งอยู่ที่ ชั้น 2 อาคารมิดทาวน์
    Phone: 02-258-4050 , 081-841-5075
    สาขาสีลม ตั้งอยู่ที่ ชั้น 1 อาคารซี.พี.ทาวเวอร์
    Phone: 02-780-2011 , 098-272-5244
    สาขาราชพฤกษ์ ตั้งอยู่ที่ ชั้น 2 ศูนย์การค้า เดอะคริสตัล เอสบี (ด้านบนร้านสตาร์บัคส์)
    Phone: 02-102-2778 , 098-272-5244

ติดต่อเรา

    Facebook: Privato Clinic
    Messenger: Privato Clinic
    Instagram: privatoclinic
    Email: privatoclinic@gmail.com
    Line: @privatoclinic

Copyright© 2022-2024. All Rights Reserved

Scroll to top
  • หน้าหลัก
  • เกี่ยวกับพรีวาโต
  • บริการทั้งหมด
    • ชะลอวัย
    • ยกกระชับผิว
      • XERF
      • Potenza
      • Sofwave
      • Ulthera
      • Thermage-FLX
    • รักษาสิว
    • เลเซอร์
    • โปรแกรมฉีด
    • บำรุงผิว
  • บทความ
    • สิว
    • ยกกระชับ
    • ดูแลผิว
    • ทำเลเซอร์
  • ผลิตภัณฑ์ดูแลผิว
  • โปรโมชั่น
  • ผลลัพธ์การรักษา
  • วิดีโอรีวิวจากเคสจริง
  • สาขาของเรา
  • ไทย
    • ไทย
    • English
    • 中文 (中国)
  • ปรึกษาแพทย์
Facebook Instagram YouTube