รักษาสิวอักเสบด้วยตัวเอง วิธีง่ายๆที่เห็นผล ปลอดภัย
รักษาสิวอักเสบด้วยตัวเองคือการดูแลสิวแดงบวมอย่างปลอดภัยเพื่อลดการอักเสบ ป้องกันแผลเป็น และควบคุมการเกิดซ้ำโดยไม่บีบเค้น คุณหมอสรุปแนวทางเป็น 4 วิธีพื้นฐาน เริ่มจากทำความสะอาดอย่างอ่อนโยน การใช้ยาทาเบื้องต้น และการประคบอุ่นครั้งละ 5–10 นาทีวันละหลายครั้ง พร้อมแก้ความเข้าใจผิดที่พบบ่อยอย่างการใช้น้ำเกลือให้ใช้ถูกที่ถูกทาง.
เข้าใจลักษณะและสาเหตุของสิวอักเสบ
ลักษณะสิวอักเสบที่พบบ่อย: ตุ่มแดง บวม ไม่มีหัว
สิวลักษณะดังกล่าวคือ สิวอักเสบไม่มีหัว (Blind Pimple) ซึ่งเป็นก้อนบวมแดงอยู่ลึกใต้ผิวหนังและไม่มีหัวหนองให้เห็น สิวชนิดนี้เกิดจากการอุดตันของรูขุมขนที่แตกออกลึกในชั้นผิวหนัง ทำให้แบคทีเรียและสิ่งสกปรกกระจายตัวและกระตุ้นให้เกิดการอักเสบที่รุนแรง จึงรู้สึกเจ็บเมื่อสัมผัส
การดูแลเบื้องต้นที่แนะนำคือ:
- ประคบอุ่น: ใช้ผ้าชุบน้ำอุ่นประคบบริเวณสิวครั้งละ 5-10 นาที วันละหลายๆ ครั้ง เพื่อลดอาการบวมและช่วยให้สิวยุบหรือระบายหนองออกได้เอง
- ใช้แผ่นแปะสิว: แผ่นแปะสิวไฮโดรคอลลอยด์ช่วยป้องกันสิ่งสกปรก ป้องกันการแกะเกา และช่วยดูดซับของเหลวจากสิว
- ห้ามบีบหรือเค้น: การบีบจะยิ่งทำให้การอักเสบลุกลามและเสี่ยงต่อการเกิดรอยแผลเป็น หากสิวไม่ยุบหรือมีขนาดใหญ่ขึ้น ควรปรึกษาแพทย์
สาเหตุหลักที่ทำให้เกิดการอักเสบใต้ผิวหนัง
การอักเสบใต้ผิวหนังเกิดจากการที่ผนังรูขุมขนที่อุดตันแตกออกลึกใต้ผิวหนัง ซึ่งทำให้สิ่งสกปรกและแบคทีเรีย (Cutibacterium acnes) ที่อยู่ภายในกระจายเข้าสู่เนื้อเยื่อโดยรอบ ร่างกายจะมองว่าสิ่งเหล่านี้เป็นสิ่งแปลกปลอมและกระตุ้นให้ระบบภูมิคุ้มกันตอบสนองอย่างรุนแรง ส่งผลให้เกิดอาการบวม แดง และเจ็บปวดบริเวณนั้น
4 วิธีพื้นฐานในการดูแลสิวอักเสบด้วยตัวเอง
1. ทำความสะอาดผิวอย่างถูกวิธีเพื่อลดการอักเสบ
ควรทำความสะอาดผิวอย่างอ่อนโยน โดยหลีกเลี่ยงการล้างหน้าบ่อยเกินไปหรือใช้สครับที่รุนแรง และซับผิวให้แห้งอย่างเบามือ การดูแลเช่นนี้จะช่วยลดสิ่งสกปรกที่อุดตันรูขุมขนโดยไม่ทำให้เกิดการระคายเคืองหรือผิวแห้งจนเกินไป ซึ่งอาจทำให้อาการอักเสบแย่ลงได้
2. เลือกใช้ยาทาเฉพาะที่สำหรับสิวอักเสบเบื้องต้น
ยาทาเฉพาะที่เบื้องต้นสำหรับสิวอักเสบที่ไม่รุนแรงคือกรดซาลิไซลิกและเรตินอยด์ ซึ่งถือเป็นการรักษาลำดับแรกที่สามารถช่วยลดขนาดสิวและป้องกันการเกิดสิวใหม่ได้อย่างมีนัยสำคัญเมื่อใช้อย่างสม่ำเสมอ
- กรดซาลิไซลิก (Salicylic acid) ความเข้มข้น 0.5%–2% ช่วยผลัดเซลล์ผิวและลดการอุดตันของรูขุมขน
- เรตินอยด์ (Retinoids) เช่น อะแดพาลีน (Adapalene) ในรูปแบบเจล 0.1% ช่วยให้การผลัดเซลล์ผิวเป็นปกติและลดการอุดตัน
3. ใช้การประคบอุ่นเพื่อช่วยให้สิวยุบเร็วขึ้น
การประคบอุ่นสามารถช่วยให้สิวอักเสบยุบเร็วขึ้นได้ โดยเฉพาะกับสิวอักเสบไม่มีหัว (blind pimple) ความร้อนจะช่วยเพิ่มการไหลเวียนโลหิต บรรเทาอาการปวด ช่วยให้วัสดุที่อุดตันอ่อนตัวลง และกระตุ้นให้สิวระบายหนองออกมาหรือยุบลงได้เองตามธรรมชาติ ควรประคบด้วยผ้าชุบน้ำอุ่นครั้งละ 5-10 นาที วันละหลายๆ ครั้ง
4. ปกป้องสิวด้วยแผ่นแปะสิวเพื่อป้องกันเชื้อโรค
การใช้แผ่นแปะสิวเป็นวิธีที่มีประสิทธิภาพในการปกป้องสิวอักเสบ โดยช่วยให้บริเวณสิวสะอาด ป้องกันการสัมผัสหรือแกะสิว ซึ่งจะช่วยลดการอักเสบและทำให้สิวหายเร็วขึ้น พร้อมทั้งลดความเสี่ยงของการติดเชื้อและการเกิดแผลเป็น แผ่นแปะบางชนิดมีส่วนผสมของยาเพื่อเพิ่มประสิทธิภาพ ในขณะที่แผ่นแปะไฮโดรคอลลอยด์แบบธรรมดาเหมาะสำหรับผิวแพ้ง่าย
ปรับมุมมองก่อนเริ่มรักษาสิวอักเสบด้วยตัวเอง
สัญญาณเตือน: เมื่อไหร่ควรหยุดรักษาเองและไปพบแพทย์
ควรไปพบแพทย์เมื่อการรักษาด้วยตัวเองไม่ดีขึ้นภายใน 2-3 เดือน หรือเมื่อสิวอักเสบเริ่มทิ้งรอยแผลเป็น รอยดำ หรือส่งผลกระทบต่อจิตใจอย่างรุนแรง
ไม่ควรรอจนเกิดแผลเป็นก่อนจึงไปพบแพทย์ หากสิวอักเสบยังคงเกิดขึ้นต่อเนื่อง หรือทำให้เกิดความทุกข์ใจ ควรปรึกษาผู้เชี่ยวชาญเพื่อรับการรักษาที่เหมาะสมและมีประสิทธิภาพยิ่งขึ้น
การปรับพฤติกรรมการกินและการนอนเพื่อลดสิว
การปรับพฤติกรรมการกินและการนอนสามารถช่วยลดสิวอักเสบได้ โดยการลดอาหารบางชนิดและนอนหลับให้เพียงพอจะช่วยควบคุมฮอร์โมนความเครียดและลดการอักเสบในร่างกาย
- การกิน: การลดน้ำตาลและคาร์โบไฮเดรตขัดสีอาจช่วยให้อาการสิวดีขึ้นในบางคน นอกจากนี้ การรับประทานอาหารที่สมดุลซึ่งอุดมไปด้วยผัก โปรตีนไขมันต่ำ และโอเมก้า 3 พร้อมทั้งจำกัดอาหารที่มีค่าดัชนีน้ำตาลสูง จะช่วยลดการอักเสบได้
- การนอนหลับ: ควรนอนหลับให้มีคุณภาพ 7-9 ชั่วโมงต่อคืน เนื่องจากการอดนอนและความเครียดสามารถกระตุ้นให้สิวเห่อได้ การนอนที่เพียงพอจะช่วยควบคุมฮอร์โมนความเครียดและสนับสนุนระบบภูมิคุ้มกันให้ทำงานได้ดีขึ้น
การเลือกสกินแคร์สำหรับผิวเป็นสิวอักเสบโดยเฉพาะ
การเลือกสกินแคร์สำหรับสิวอักเสบคือ ควรเลือกใช้ผลิตภัณฑ์ที่ไม่ก่อให้เกิดการอุดตัน (non-comedogenic) และหลีกเลี่ยงส่วนผสมที่รุนแรงซึ่งอาจทำให้ผิวระคายเคือง
ควรหลีกเลี่ยงผลิตภัณฑ์ที่มีเนื้อหนักและมันเยิ้ม เช่น โคลด์ครีมหรือรองพื้นที่มีส่วนผสมของน้ำมัน รวมถึงส่วนผสมที่รุนแรงอย่างแอลกอฮอล์หรือเมนทอลซึ่งทำให้ผิวแห้งและระคายเคืองได้ง่าย ขั้นตอนการดูแลผิวที่แนะนำคือการทำความสะอาดอย่างอ่อนโยน ตามด้วยยารักษาสิว และทามอยส์เจอไรเซอร์เนื้อบางเบาที่ไม่ก่อให้เกิดการอุดตันเพื่อป้องกันผิวแห้งและรักษาสมดุลของเกราะป้องกันผิว
ข้อผิดพลาดที่พบบ่อยซึ่งทำให้สิวอักเสบแย่ลง
ทำไมการบีบ แกะ หรือเจาะสิวเองจึงอันตราย
การบีบ แกะ หรือเจาะสิวเองเป็นอันตรายเพราะ จะผลักเชื้อโรคและสิ่งสกปรกลงไปในผิวหนังลึกขึ้น ทำให้อาการอักเสบรุนแรงกว่าเดิม และเพิ่มความเสี่ยงของการติดเชื้อ ซึ่งนำไปสู่การเกิดแผลเป็นและรอยดำได้
การกระทำดังกล่าวส่งผลเสียหลายประการ ได้แก่:
- ทำให้อักเสบและบวมแดงมากขึ้น: การบีบเค้นจะทำให้เชื้อโรคแพร่กระจายลึกลงไปในเนื้อเยื่อโดยรอบ ทำให้สิวเม็ดเล็กกลายเป็นสิวอักเสบขนาดใหญ่หรือซีสต์ที่เจ็บปวดได้
- เสี่ยงต่อการติดเชื้อเพิ่ม: การแกะสิวทำให้เกิดแผลเปิด ซึ่งง่ายต่อการติดเชื้อแบคทีเรียจากภายนอก
- เกิดแผลเป็นและรอยดำ: การทำลายผิวหนังจากการบีบหรือแกะจะเพิ่มโอกาสในการเกิดแผลเป็นหรือรอยดำที่รักษายากและอยู่ได้นานกว่าตัวสิวเอง
- ทำให้สิวหายช้าลง: การบีบสิวจะสร้างความเสียหายให้กับผิวหนังและทำให้กระบวนการรักษาของร่างกายยาวนานขึ้น
การใช้ผลิตภัณฑ์หลายชนิดพร้อมกันมากเกินไป
การใช้ผลิตภัณฑ์ที่รุนแรงหลายชนิดพร้อมกันมากเกินไป อาจทำให้เกิดการระคายเคืองอย่างรุนแรง ซึ่งจะทำให้ผิวแห้งและมีแนวโน้มที่จะเกิดสิวได้ง่ายขึ้น ดังนั้นจึงควรใช้ผลิตภัณฑ์ดูแลผิวแบบเรียบง่าย โดยทำความสะอาดอย่างอ่อนโยนร่วมกับการใช้ผลิตภัณฑ์รักษาสิว 1-2 ชนิดตามคำแนะนำเท่านั้น
ความเชื่อผิดๆ เกี่ยวกับวิธีรักษาสิวแบบเร่งด่วน
ความเชื่อผิดๆ เกี่ยวกับวิธีรักษาสิวแบบเร่งด่วนคือการบีบสิว การใช้ผลิตภัณฑ์รุนแรงหลายชนิดพร้อมกัน และการใช้ของใช้ในบ้านมารักษาสิว ซึ่งวิธีเหล่านี้มักทำให้อาการแย่ลง
ความเชื่อที่ผิดและข้อเท็จจริงที่ถูกต้องมีดังนี้:
- การบีบสิว: เป็นความเชื่อที่ผิดว่าการบีบสิวจะช่วยให้หายเร็วขึ้น แต่ความจริงแล้วการบีบจะยิ่งดันเชื้อแบคทีเรียและสิ่งสกปรกลงไปในผิวหนังลึกกว่าเดิม ทำให้อักเสบมากขึ้นและเสี่ยงต่อการเกิดรอยแผลเป็น
- การใช้ผลิตภัณฑ์รุนแรงหลายชนิดพร้อมกัน: การใช้ผลิตภัณฑ์รักษาสิวหลายตัว เช่น กรดต่างๆ หรือยารักษาสิวหลายชนิดในเวลาเดียวกัน จะทำให้ผิวระคายเคือง แห้ง และอ่อนแอลง ซึ่งจะยิ่งกระตุ้นให้เกิดสิวได้ง่ายขึ้น
- การคาดหวังผลลัพธ์ในทันที: การรักษาสิวส่วนใหญ่ต้องใช้เวลาและความสม่ำเสมอ โดยทั่วไปจะเห็นผลอย่างชัดเจนหลังจากใช้ผลิตภัณฑ์ต่อเนื่อง 6-8 สัปดาห์ การเปลี่ยนผลิตภัณฑ์บ่อยๆ เพราะไม่เห็นผลในไม่กี่วันจะทำให้การรักษาไม่ได้ผล
- การใช้ของในบ้านมารักษาสิว: ความเชื่อที่ว่ายาสีฟัน กระเทียม หรือแอลกอฮอล์ช่วยให้สิวยุบเร็วเป็นสิ่งที่ไม่ควรทำ เพราะสารเหล่านี้อาจก่อให้เกิดการระคายเคืองและทำลายผิวหนัง ทำให้อาการอักเสบแย่ลงกว่าเดิม
- การใช้น้ำเกลือรักษาสิว: แม้น้ำเกลือจะช่วยทำความสะอาดผิวได้อย่างอ่อนโยน แต่ยังไม่มีหลักฐานทางวิทยาศาสตร์ที่ชัดเจนว่าสามารถลดเชื้อแบคทีเรียหรือการอักเสบของสิวได้ดีเท่ากับผลิตภัณฑ์รักษาสิวโดยเฉพาะ
คำถามที่พบบ่อยเกี่ยวกับการรักษาสิวอักเสบ
สิวอักเสบหายเองได้ไหม?
สิวอักเสบที่ไม่รุนแรง เช่น ตุ่มแดงเล็กๆ หรือตุ่มหนอง สามารถหายเองได้ โดยทั่วไปจะใช้เวลาประมาณ 3-7 วัน
อย่างไรก็ตาม สิวอักเสบในระดับที่รุนแรงขึ้น เช่น สิวหัวช้างหรือซีสต์ มักจะไม่หายไปเองหากไม่ได้รับการรักษา และอาจคงอยู่นานเป็นสัปดาห์หรือเป็นเดือน ซึ่งอาจนำไปสู่การเกิดรอยแผลเป็นได้ ดังนั้น สิวอักเสบที่เกิดขึ้นต่อเนื่องจึงจำเป็นต้องได้รับการรักษาเพื่อช่วยให้หายได้อย่างสมบูรณ์และปลอดภัย
ควรบีบสิวอักเสบหรือไม่?
ไม่ควรบีบสิวอักเสบ เนื่องจากการบีบจะยิ่งดันเชื้อโรคและสิ่งสกปรกลงไปในผิวหนังลึกขึ้น ทำให้อาการอักเสบรุนแรงกว่าเดิม และอาจเปลี่ยนสิวเม็ดเล็กให้กลายเป็นซีสต์ขนาดใหญ่ที่เจ็บปวดได้ นอกจากนี้ยังเพิ่มความเสี่ยงต่อการติดเชื้อ ทิ้งรอยแผลเป็น และจุดด่างดำอีกด้วย
สิวอักเสบใช้เวลากี่วันถึงจะหาย?
สิวอักเสบหนึ่งเม็ดโดยทั่วไปจะใช้เวลาประมาณ 3-7 วันในการยุบตัวลง หากได้รับการดูแลอย่างเหมาะสม
อย่างไรก็ตาม สิวเป็นภาวะเรื้อรัง การรักษาสิวอักเสบในระดับปานกลางให้ดีขึ้นอย่างเห็นได้ชัดอาจต้องใช้เวลา 6-12 สัปดาห์ และอาจใช้เวลาหลายเดือนสำหรับสิวอักเสบรุนแรง การรักษาอย่างสม่ำเสมอจึงเป็นสิ่งจำเป็นเพื่อควบคุมสิวในระยะยาว
ใช้อะไรทาเพื่อให้สิวอักเสบยุบเร็วที่สุด?
สำหรับยาที่หาซื้อได้เอง เบนโซอิลเพอร์ออกไซด์ (benzoyl peroxide) และครีมไฮโดรคอร์ติโซน (hydrocortisone) เป็นยาแต้มสิวที่ช่วยให้สิวอักเสบยุบเร็วที่สุด
- เบนโซอิลเพอร์ออกไซด์ จะเริ่มฆ่าเชื้อแบคทีเรียและลดการอักเสบได้ทันทีที่ใช้ ซึ่งสามารถทำให้สิวยุบลงอย่างเห็นได้ชัดภายใน 1-2 วัน
- ครีมไฮโดรคอร์ติโซน 1% เป็นสเตียรอยด์ชนิดอ่อนที่ช่วยลดรอยแดงและอาการบวมได้อย่างรวดเร็ว แต่ควรใช้กับสิวเม็ดเดิมเพียง 1-2 วันเท่านั้น
นอกจากนี้ การใช้กรดซาลิไซลิก (salicylic acid) หรือการประคบเย็นด้วยน้ำแข็งก็สามารถช่วยลดอาการบวมได้เช่นกัน แต่สำหรับสิวซีสต์ขนาดใหญ่และเจ็บมาก การฉีดคอร์ติโซนโดยแพทย์จะช่วยให้ยุบเร็วที่สุด
สิวอักเสบแบบไม่มีหัวดูแลต่างกันอย่างไร?
การดูแลสิวอักเสบแบบไม่มีหัวหรือสิวไตที่ได้ผลดีที่สุดคือ การใช้ความร้อนและการปกป้องผิว เพื่อช่วยให้สิวยุบลงหรือระบายหนองออกมาเองตามธรรมชาติ
วิธีการดูแลที่แนะนำมีดังนี้:
- ประคบอุ่น: ใช้ผ้าสะอาดชุบน้ำอุ่นประคบบริเวณที่เป็นสิวครั้งละ 5-10 นาที ทำได้หลายครั้งต่อวัน ความร้อนจะช่วยลดอาการปวดและกระตุ้นให้หนองระบายออกมาได้ง่ายขึ้น
- ใช้แผ่นแปะสิว: แปะแผ่นแปะสิวชนิดไฮโดรคอลลอยด์ทับบริเวณสิว จะช่วยป้องกันสิ่งสกปรก ป้องกันการแกะเกา และช่วยดูดซับของเหลวจากสิว
- ห้ามบีบ: การพยายามบีบสิวที่ไม่มีหัวจะยิ่งทำให้ผิวหนังบาดเจ็บและอักเสบมากขึ้น หากสิวไม่ยุบลงหรือมีขนาดใหญ่ขึ้น ควรปรึกษาแพทย์ผิวหนัง
น้ำเกลือเช็ดหน้าช่วยรักษาสิวอักเสบได้จริงไหม?
การใช้น้ำเกลือเช็ดหน้าเพื่อรักษาสิวอักเสบนั้นมีประโยชน์ ค่อนข้างจำกัดและไม่ใช่วิธีการรักษาที่ได้รับการพิสูจน์ทางวิทยาศาสตร์
น้ำเกลือปราศจากเชื้อสามารถช่วยทำความสะอาดผิวหน้าและขจัดสิ่งสกปรกบนพื้นผิวได้อย่างอ่อนโยนโดยไม่ก่อให้เกิดการระคายเคือง แต่มีหลักฐานทางวิทยาศาสตร์น้อยมากที่บ่งชี้ว่าน้ำเกลือสามารถลดเชื้อแบคทีเรียหรือการอักเสบของสิวได้อย่างมีนัยสำคัญ ดังนั้น น้ำเกลือจึงเหมาะสำหรับใช้ทำความสะอาดผิวที่บอบบาง แต่ไม่สามารถทดแทนยารักษาสิวโดยเฉพาะได้
References:
- Cleveland Clinic. (n.d.). Inflammatory Acne: Symptoms, Types, Causes, Treatment. Cleveland Clinic. clevelandclinic.org
- American Academy of Dermatology. (n.d.). 10 skin care habits that can worsen acne. American Academy of Dermatology. aad.org
- Cleveland Clinic. (n.d.). 4 Ways to Treat a Blind Pimple. Cleveland Clinic Health Essentials. clevelandclinic.org
- Cleveland Clinic. (n.d.). Why You Should Never Put Toothpaste on a Pimple. Cleveland Clinic Health Essentials. clevelandclinic.org
- Robinson, M. (n.d.). 7 Ways to Get Rid of Pimples Fast. GoodRx Health. goodrx.com
- Curology Team. (n.d.). Can salt water help acne? What the research says. Curology. curology.com

