Skip to content

TEL : 081-841-5075, 02-258-4050

Facebook Instagram YouTube
Privato Clinic – Innovation Of Beauty  |  Bangkok
  • หน้าหลัก
  • เกี่ยวกับพรีวาโต
  • บริการทั้งหมดExpand
    • ชะลอวัย
    • ยกกระชับผิวExpand
      • XERF
      • Potenza
      • Sofwave
      • Ulthera
      • Thermage-FLX
    • รักษาสิว
    • เลเซอร์
    • โปรแกรมฉีด
    • บำรุงผิว
  • บทความExpand
    • สิว
    • ยกกระชับ
    • ดูแลผิว
    • ทำเลเซอร์
  • ผลิตภัณฑ์ดูแลผิว
  • โปรโมชั่น
  • ผลลัพธ์การรักษา
  • วิดีโอรีวิวจากเคสจริง
  • สาขาของเรา
  • ไทยExpand
    • ไทย
    • English
    • 中文 (中国)
  • ปรึกษาแพทย์
Privato Clinic – Innovation Of Beauty  |  Bangkok
Consult a Doctor
Acne

สิวจาก PCOS: สาเหตุ อาการ แนวทางการรักษาและควบคุม

Byadmin สิงหาคม 20, 2025สิงหาคม 20, 2025
By นายแพทย์เลอพงษ์ กรุดเงิน Updated on สิงหาคม 20, 2025
✦ Medically reviewed by  แพทย์หญิงนัชชนก หุ่นวิจิตร

Table of Contents

Toggle
  • สิวจาก PCOS คืออะไร?
    • สิวจาก PCOS มีลักษณะเฉพาะที่แตกต่างจากสิวทั่วไป ดังนี้
    • ลักษณะเฉพาะของสิวฮอร์โมนจากภาวะ PCOS
    • ตำแหน่งที่พบบ่อย
  • 2. ทำไมภาวะ PCOS จึงเป็นสาเหตุหลักของการเกิดสิวในผู้หญิง?
    • กลไกฮอร์โมนที่ผิดปกติ: แอนโดรเจนและอินซูลิน
    • ปัจจัยร่วมอื่นๆ ที่กระตุ้นให้สิวจาก PCOS รุนแรงขึ้น
  • 3. อาการแสดงอื่นๆ ที่มักพบร่วมกับสิวจาก PCOS มีอะไรบ้าง?
    • ความผิดปกติของประจำเดือน
    • ภาวะขนดกและผมร่วง
    • ผิวมันและน้ำหนักที่เพิ่มขึ้น
  • 4. การวินิจฉัยสิวจาก PCOS ต้องตรวจอะไรบ้าง?
    • การซักประวัติและตรวจร่างกายโดยแพทย์
    • การตรวจเลือดเพื่อวัดระดับฮอร์โมน
    • การอัลตราซาวด์รังไข่
  • 5. รวม 5 วิธีรักษาสิวจาก PCOS ที่แพทย์แนะนำ
    • การรักษาด้วยยาเพื่อปรับสมดุลฮอร์โมน
    • การใช้ยาทาเฉพาะที่เพื่อลดการอักเสบ
    • การทำหัตถการทางผิวหนัง
    • การรักษาด้วยเลเซอร์และแสงบำบัด
    • การฉีดสิวเพื่อลดการอักเสบเฉียบพลัน
  • 6. อาหารที่ควรและไม่ควรรับประทานเพื่อควบคุมสิวจาก PCOS
    • อาหารที่ควรรับประทาน: ดัชนีน้ำตาลต่ำและต้านการอักเสบ
    • อาหารที่ควรหลีกเลี่ยง: น้ำตาล นม และอาหารแปรรูป
  • 7. การปรับเปลี่ยนไลฟ์สไตล์ช่วยลดปัญหาสิวจาก PCOS ได้จริงหรือ?
    • การออกกำลังกายสม่ำเสมอ
    • การจัดการความเครียดและการนอนหลับ
    • การเลือกใช้ผลิตภัณฑ์ดูแลผิวที่เหมาะสม
  • References:
  • Author

สิวจาก PCOS คืออะไร?

สิวจาก POS บริเวณใบหน้า

สิวจาก PCOS คือสิวอักเสบที่เกิดจากความไม่สมดุลของฮอร์โมน โดยเฉพาะภาวะฮอร์โมนเพศชายเกิน (Hyperandrogenism) ซึ่งเป็นหนึ่งในอาการแสดงทางผิวหนังของภาวะถุงน้ำรังไข่หลายใบ (Polycystic Ovary Syndrome)

สิวจาก PCOS มีลักษณะเฉพาะที่แตกต่างจากสิวทั่วไป ดังนี้

  • ลักษณะสิว: มักเป็นสิวอักเสบขนาดใหญ่และอยู่ลึกใต้ผิวหนัง เช่น สิวตุ่มนูนแดง (Papules) สิวหัวหนอง (Pustules) และสิวซีสต์ (Cysts) ซึ่งจะหายช้ากว่าสิวทั่วไป
  • ตำแหน่งที่พบบ่อย: มักขึ้นบริเวณ “โซนฮอร์โมน” คือช่วงครึ่งล่างของใบหน้า เช่น แนวกราม คาง และลำคอส่วนบน
  • ความรุนแรง: สิวอาจเห่อขึ้นเป็นพิเศษตามรอบเดือน และมักดื้อต่อยารักษาสิวทั่วไป

ลักษณะเฉพาะของสิวฮอร์โมนจากภาวะ PCOS

สิวจากภาวะ PCOS มีลักษณะเป็นสิวอักเสบขนาดใหญ่และอยู่ลึกกว่าสิวทั่วไป โดยมักจะขึ้นบริเวณใบหน้าส่วนล่าง เช่น ตามแนวขากรรไกร คาง และลำคอส่วนบน

ลักษณะเฉพาะที่สำคัญของสิวจากภาวะ PCOS ได้แก่

  • ประเภทของสิว: เป็นสิวอักเสบที่รุนแรง เช่น สิวตุ่มนูน (papules), สิวหัวหนอง (pustules), สิวหัวช้าง (nodules) และสิวซีสต์ (cysts) ซึ่งมักจะหายช้ากว่าปกติ นอกจากนี้ยังพบสิวอุดตันหัวปิด (closed comedones) จำนวนมาก
  • ตำแหน่งที่พบบ่อย: มักจะขึ้นหนาแน่นบริเวณที่ไวต่อฮอร์โมน คือ ใบหน้าส่วนล่าง (lower third of the face) ได้แก่ แนวขากรรไกร คาง และลำคอส่วนบน ซึ่งเป็นรูปแบบที่ช่วยแยกความแตกต่างจากสิวประเภทอื่น
  • ความรุนแรงและต่อเนื่อง: สิวชนิดนี้มักจะดื้อต่อการรักษาทั่วไป และอาการมักจะแย่ลงเป็นรอบๆ ตามช่วงของประจำเดือน
  • รอยหลังการอักเสบ: มีแนวโน้มที่จะทิ้งรอยแผลเป็นและรอยดำหลังการอักเสบ (post-inflammatory hyperpigmentation) ได้ง่ายกว่าสิวประเภทอื่น

ตำแหน่งที่พบบ่อย

สิวจากภาวะ PCOS มักจะขึ้นใน บริเวณ 1 ใน 3 ของใบหน้าส่วนล่าง ซึ่งเป็นบริเวณที่ไวต่อฮอร์โมน โดยตำแหน่งที่พบบ่อยที่สุด ได้แก่

  • แนวกรามและคาง
  • แก้มส่วนล่าง
  • ลำคอส่วนบน

2. ทำไมภาวะ PCOS จึงเป็นสาเหตุหลักของการเกิดสิวในผู้หญิง?

ภาวะ PCOS เป็นสาเหตุหลักของการเกิดสิวในผู้หญิงเนื่องมาจาก ภาวะฮอร์โมนเพศชายเกิน (Hyperandrogenism) และภาวะดื้อต่ออินซูลิน (Insulin Resistance) ซึ่งส่งผลกระทบต่อผิวหนังโดยตรง

กลไกหลักที่ทำให้เกิดสิวในผู้ป่วย PCOS มีดังนี้:

  • ฮอร์โมนเพศชายเกิน (Hyperandrogenism): ระดับฮอร์โมนแอนโดรเจน (ฮอร์โมนเพศชาย) ที่สูงขึ้นจะกระตุ้นต่อมไขมันให้ผลิตน้ำมัน (ซีบัม) ออกมามากเกินไป และยังส่งผลให้เซลล์ผิวหนังแบ่งตัวผิดปกติจนเกิดการอุดตันในรูขุมขน เมื่อรวมกับแบคทีเรียจึงเกิดการอักเสบเป็นสิวในที่สุด
  • ภาวะดื้อต่ออินซูลิน (Insulin Resistance): ภาวะนี้ทำให้ร่างกายหลั่งอินซูลินออกมาในปริมาณมากเพื่อชดเชย ซึ่งอินซูลินที่สูงนี้จะไปกระตุ้นให้รังไข่ผลิตฮอร์โมนแอนโดรเจนเพิ่มขึ้น และยังไปลดระดับโปรตีนที่จับกับฮอร์โมนเพศชาย (SHBG) ทำให้มีฮอร์โมนเพศชายอิสระในกระแสเลือดสูงขึ้นไปอีก กลายเป็นวงจรที่ส่งเสริมให้เกิดสิวรุนแรงขึ้น

กลไกฮอร์โมนที่ผิดปกติ: แอนโดรเจนและอินซูลิน

กลไกฮอร์โมนที่ผิดปกติในผู้ที่เป็นสิวจากภาวะ PCOS เกิดจากภาวะฮอร์โมนเพศชายเกิน (Hyperandrogenism) และภาวะดื้อต่ออินซูลิน (Insulin Resistance) ซึ่งทำงานร่วมกัน กลไกเหล่านี้ส่งผลให้เกิดสิวผ่านกระบวนการต่างๆ ดังนี้

1. ภาวะฮอร์โมนแอนโดรเจนเกิน (Hyperandrogenism)

  • กระตุ้นการผลิตซีบัม (น้ำมัน): ฮอร์โมนแอนโดรเจนที่สูงเกินไป โดยเฉพาะเทสโทสเตอโรน (Testosterone) จะกระตุ้นให้ต่อมไขมันผลิตน้ำมันออกมามากผิดปกติ
  • การผลัดเซลล์ผิวผิดปกติ: ฮอร์โมนแอนโดรเจนส่งผลต่อการทำงานของเซลล์ผิว ทำให้เกิดการแบ่งตัวและผลัดเซลล์ที่ผิดปกติ (Hyperkeratinization) ซึ่งนำไปสู่การอุดตันของรูขุมขน
  • กระตุ้นการอักเสบ: เมื่อน้ำมันและเซลล์ผิวที่ตายแล้วอุดตันในรูขุมขน จะกลายเป็นแหล่งสะสมของแบคทีเรียและกระตุ้นให้เกิดการอักเสบกลายเป็นสิวอักเสบ เช่น ตุ่มแดง ตุ่มหนอง หรือสิวซีสต์

2. ภาวะดื้อต่ออินซูลิน (Insulin Resistance)

  • เพิ่มการผลิตแอนโดรเจน: ภาวะดื้อต่ออินซูลินทำให้ร่างกายต้องผลิตอินซูลินออกมาในปริมาณที่สูงขึ้น ซึ่งอินซูลินที่สูงนี้จะไปกระตุ้นให้รังไข่ผลิตฮอร์โมนแอนโดรเจนออกมามากขึ้น
  • เพิ่มฮอร์โมนแอนโดรเจนอิสระ: อินซูลินที่สูงจะไปลดการสร้างโปรตีน SHBG (Sex Hormone-Binding Globulin) ที่ตับ ซึ่งโปรตีนนี้ทำหน้าที่จับกับฮอร์โมนเทสโทสเตอโรนเพื่อควบคุมปริมาณ เมื่อ SHBG ลดลง ทำให้มีฮอร์โมนเทสโทสเตอโรนในรูปแบบอิสระ (Free Testosterone) ที่พร้อมจะออกฤทธิ์กับผิวหนังได้มากขึ้น
  • กระตุ้นผ่าน IGF-1: อินซูลินยังกระตุ้นการสร้างสาร IGF-1 (Insulin-like Growth Factor 1) ซึ่งเป็นปัจจัยที่กระตุ้นการทำงานของต่อมไขมันและเพิ่มการผลิตแอนโดรเจน ทำให้สิวรุนแรงขึ้น

ภาวะฮอร์โมนเพศชาย (Androgen) สูงเกินไป

ภาวะฮอร์โมนเพศชายสูงเกินไป (Hyperandrogenism) คือ ภาวะที่ร่างกายมีฮอร์โมนแอนโดรเจนในระดับที่สูงผิดปกติ ซึ่งเป็นสาเหตุหลักของสิวในผู้หญิงที่เป็นกลุ่มอาการถุงน้ำรังไข่หลายใบ (PCOS)

ภาวะนี้ส่งผลให้เกิดสิวผ่านกลไกหลัก 3 ประการ ดังนี้

  • การผลิตไขมัน (Sebum) มากเกินไป: ฮอร์โมนแอนโดรเจนที่สูงขึ้น โดยเฉพาะเทสโทสเตอโรน (Testosterone) จะกระตุ้นต่อมไขมันให้ผลิตน้ำมันออกมามากเกินความจำเป็น
  • การสร้างเซลล์ผิวที่ผิดปกติ (Hyperkeratinization): ฮอร์โมนนี้ยังเปลี่ยนแปลงการทำงานของเซลล์ผิวหนัง ทำให้เกิดการแบ่งตัวที่ผิดปกติและเกิดการอุดตันในรูขุมขน
  • การตอบสนองต่อการอักเสบ: เมื่อไขมันและเซลล์ผิวที่ตายแล้วสะสมในรูขุมขน จะทำให้แบคทีเรียเจริญเติบโตและกระตุ้นให้เกิดการอักเสบตามมา

นอกจากสิวแล้ว ภาวะนี้ยังสามารถแสดงออกทางอาการอื่น ๆ ได้ เช่น ภาวะขนดก (Hirsutism) และผมร่วงแบบผู้ชาย

ภาวะดื้อต่ออินซูลิน (Insulin Resistance)

ภาวะดื้อต่ออินซูลินคือ ภาวะที่เซลล์ของร่างกายไม่ตอบสนองต่อฮอร์โมนอินซูลินอย่างที่ควรจะเป็น ส่งผลให้ตับอ่อนต้องผลิตอินซูลินออกมาในปริมาณที่มากขึ้นเพื่อชดเชย ภาวะอินซูลินในเลือดสูงนี้จะไปกระตุ้นให้รังไข่ผลิตฮอร์โมนแอนโดรเจน (androgen) มากเกินไป ซึ่งเป็นสาเหตุสำคัญของการเกิดสิวในผู้ป่วย PCOS โดยภาวะนี้พบได้ในผู้หญิงที่เป็น PCOS ประมาณ 65-70%

ปัจจัยร่วมอื่นๆ ที่กระตุ้นให้สิวจาก PCOS รุนแรงขึ้น

ปัจจัยร่วมอื่นๆ ที่กระตุ้นให้สิวจาก PCOS รุนแรงขึ้น ได้แก่ การอักเสบเรื้อรัง, ความผิดปกติของระบบเผาผลาญ, และปัจจัยทางพันธุกรรมและสิ่งแวดล้อม ซึ่งปัจจัยเหล่านี้ทำงานร่วมกันเพื่อทำให้ความไม่สมดุลของฮอร์โมนแย่ลง

ปัจจัยเสริมที่สำคัญ ได้แก่

  • การอักเสบเรื้อรัง (Chronic Inflammation): ภาวะ PCOS เกี่ยวข้องกับการอักเสบระดับต่ำอย่างต่อเนื่องทั่วร่างกาย ซึ่งสารไซโตไคน์ที่ก่อให้เกิดการอักเสบนี้จะไปกระตุ้นให้ต่อมไขมันทำงานผิดปกติและทำให้อาการสิวรุนแรงขึ้น
  • ความผิดปกติของระบบเผาผลาญ (Metabolic Dysfunction): ภาวะแอนโดรเจนเกินส่งผลกระทบต่อเนื้อเยื่อที่สำคัญต่อระบบเผาผลาญ เช่น เนื้อเยื่อไขมัน ตับ และกล้ามเนื้อ ทำให้เกิดภาวะดื้อต่ออินซูลินและส่งผลกระทบต่อการเกิดสิว
  • พันธุกรรมและสิ่งแวดล้อม (Genetic and Environmental Factors): ประวัติครอบครัวที่มีภาวะ PCOS หรือความผิดปกติของฮอร์โมนจะเพิ่มความเสี่ยงในการเกิดสิวจาก PCOS นอกจากนี้ ความเครียดเรื้อรังยังเพิ่มระดับคอร์ติซอล ซึ่งทำให้ความไม่สมดุลของฮอร์โมนแย่ลง
  • ความไม่สมดุลของจุลินทรีย์ในลำไส้ (Gut Microbiome Dysbiosis): การเปลี่ยนแปลงของจุลินทรีย์ในลำไส้มีความเชื่อมโยงกับการเผาผลาญแอนโดรเจนและการอักเสบในร่างกาย ซึ่งส่งผลต่อความรุนแรงของสิว
  • อาหารและไลฟ์สไตล์ (Dietary and Lifestyle Factors): การบริโภคอาหารที่มีค่าดัชนีน้ำตาลสูง, ผลิตภัณฑ์นม, และอาหารแปรรูป สามารถกระตุ้นการอักเสบและภาวะดื้อต่ออินซูลินให้รุนแรงขึ้นได้

3. อาการแสดงอื่นๆ ที่มักพบร่วมกับสิวจาก PCOS มีอะไรบ้าง?

อาการแสดงอื่นๆ ที่มักพบร่วมกับสิวจากภาวะ PCOS ได้แก่ ความผิดปกติของประจำเดือน, ภาวะขนดกและผมร่วง, ผิวมัน และน้ำหนักตัวเพิ่มขึ้น

  • ความผิดปกติของประจำเดือน: เป็นอาการที่พบบ่อยที่สุด (75-85% ของผู้ป่วย) รวมถึงภาวะประจำเดือนมาน้อย (รอบเดือนนานกว่า 35 วัน) และภาวะขาดประจำเดือน (ไม่มีประจำเดือนติดต่อกันหลายเดือน)
  • ภาวะขนดกและผมร่วง: ภาวะขนดก (Hirsutism) คือการมีขนขึ้นมากผิดปกติในบริเวณที่ไวต่อฮอร์โมนเพศชาย เช่น ใบหน้า หน้าอก และหน้าท้อง พบได้ในผู้ป่วย 65-75% ในขณะที่ภาวะผมร่วงแบบแอนโดรเจน (Androgenetic Alopecia) หรือผมบางกลางศีรษะก็สามารถพบได้เช่นกัน
  • ผิวมันและน้ำหนักตัวเพิ่มขึ้น: ภาวะฮอร์โมนแอนโดรเจนเกินทำให้ต่อมไขมันผลิตน้ำมันออกมามากเกินไป ส่งผลให้ผิวมันเยิ้ม นอกจากนี้ ผู้ป่วยจำนวนมาก (38-88%) ประสบปัญหาน้ำหนักตัวเพิ่มขึ้น โดยเฉพาะบริเวณช่วงกลางลำตัว และมักลดน้ำหนักได้ยาก

ความผิดปกติของประจำเดือน

ความผิดปกติของประจำเดือนเป็นอาการที่พบบ่อยที่สุดอย่างหนึ่งของภาวะ PCOS ซึ่งเกิดจากภาวะไม่ตกไข่เรื้อรัง โดยสามารถแบ่งออกเป็นประเภทต่างๆ ได้ดังนี้

  • ภาวะประจำเดือนมาน้อย (Oligomenorrhea): เป็นลักษณะที่พบบ่อยที่สุดในผู้ป่วย PCOS (75-85%) คือมีรอบเดือนนานกว่า 35 วัน หรือมีประจำเดือนน้อยกว่า 8-9 ครั้งต่อปี
  • ภาวะขาดประจำเดือน (Amenorrhea): คือการไม่มีประจำเดือนติดต่อกันตั้งแต่ 3 เดือนขึ้นไป พบได้ในผู้ป่วย PCOS ประมาณ 30-50%
  • ภาวะไม่ตกไข่ (Anovulatory Cycles): เป็นกลไกพื้นฐานที่ทำให้ประจำเดือนผิดปกติ ซึ่งเป็นสาเหตุถึง 80% ของภาวะมีบุตรยากที่เกิดจากการไม่ตกไข่

ภาวะขนดกและผมร่วง

ภาวะขนดกและผมร่วงเป็นอาการแสดงที่พบบ่อยของภาวะฮอร์โมนแอนโดรเจนเกินในผู้หญิงที่เป็น PCOS ซึ่งมีลักษณะแตกต่างกันดังนี้

  • ภาวะขนดก (Hirsutism) คือการมีขนขึ้นมากผิดปกติในบริเวณที่ไวต่อฮอร์โมนเพศชาย เช่น ใบหน้า หน้าอก หลัง และหน้าท้อง โดยพบได้ในผู้หญิงที่เป็น PCOS ประมาณ 65-75%
  • ผมร่วง (Androgenetic Alopecia) คือภาวะผมร่วงตามรูปแบบของผู้หญิง (female pattern hair loss) ซึ่งมักมีลักษณะผมบางลงบริเวณกลางศีรษะ พบได้ในผู้หญิงที่เป็น PCOS ประมาณ 16-42.5%

ผิวมันและน้ำหนักที่เพิ่มขึ้น

ผิวมันและน้ำหนักที่เพิ่มขึ้นเป็นอาการร่วมที่พบได้บ่อยในผู้ป่วย PCOS ซึ่งเกิดจากภาวะฮอร์โมนแอนโดรเจนเกินและความผิดปกติทางเมตาบอลิซึม

  • ผิวมัน (Oily Skin): เกิดจากภาวะฮอร์โมนแอนโดรเจนเกิน (Hyperandrogenism) ซึ่งกระตุ้นให้ต่อมไขมันทำงานมากขึ้นและผลิตซีบัม (น้ำมันบนผิว) ออกมามากเกินไป ทำให้ผิวมันเยิ้มและมักเกิดร่วมกับสิว
  • น้ำหนักเพิ่มขึ้น (Weight Gain): ภาวะฮอร์โมนแอนโดรเจนเกินส่งผลต่อระบบเผาผลาญ ทำให้เกิดภาวะดื้อต่ออินซูลินและโรคอ้วนได้ง่าย ผู้ป่วย PCOS จำนวนมากจึงประสบปัญหาในการควบคุมน้ำหนัก อย่างไรก็ตาม ผู้ป่วยบางรายอาจมีน้ำหนักปกติหรือน้อยกว่าเกณฑ์ได้เช่นกัน

4. การวินิจฉัยสิวจาก PCOS ต้องตรวจอะไรบ้าง?

การวินิจฉัยสิวจากภาวะ PCOS ต้องอาศัยการซักประวัติทางการแพทย์ การตรวจร่างกาย การตรวจเลือดวัดระดับฮอร์โมน และการอัลตราซาวด์รังไข่ เพื่อประเมินตามเกณฑ์การวินิจฉัยสากล

โดยมีขั้นตอนการตรวจวินิจฉัยหลักดังนี้:

  1. การซักประวัติและตรวจร่างกาย: แพทย์จะสอบถามเกี่ยวกับประวัติประจำเดือน (มาไม่สม่ำเสมอหรือขาดหายไป) ประวัติครอบครัว และตรวจร่างกายเพื่อหาสัญญาณของภาวะฮอร์โมนเพศชายเกิน (Hyperandrogenism) เช่น
  • สิวอักเสบที่ขึ้นบริเวณใบหน้าส่วนล่าง แนวขากรรไกร และคาง
  • ภาวะขนดก (Hirsutism)
  • ภาวะผมร่วงแบบเพศชาย
  • ตรวจหารอยดำคล้ำที่ผิวหนัง (Acanthosis Nigricans) ซึ่งบ่งชี้ภาวะดื้อต่ออินซูลิน
  • การตรวจเลือด: เพื่อวัดระดับฮอร์โมนที่สำคัญ ได้แก่
  • เทสโทสเตอโรน (Testosterone): ตรวจวัดระดับฮอร์โมนเพศชายทั้งแบบรวมและแบบอิสระ
  • อัตราส่วน LH ต่อ FSH (LH:FSH Ratio): ในผู้ป่วย PCOS อัตราส่วนนี้มักสูงกว่าปกติ (อาจเป็น 2:1 หรือ 3:1)
  • DHEA-S: เพื่อประเมินการทำงานของต่อมหมวกไต
  • การอัลตราซาวด์รังไข่: เพื่อตรวจหาลักษณะถุงน้ำจำนวนมากในรังไข่ (Polycystic Ovarian Morphology) ซึ่งตามเกณฑ์ล่าสุดคือพบฟอลลิเคิล (follicle) ขนาด 2-9 มม. จำนวน 20 ฟองขึ้นไปในรังไข่อย่างน้อยหนึ่งข้าง

การวินิจฉัยจะได้รับการยืนยันเมื่อผู้ป่วยเข้าเกณฑ์อย่างน้อย 2 ใน 3 ข้อของ Rotterdam Criteria ซึ่งได้แก่ ประจำเดือนมาผิดปกติ, ภาวะฮอร์โมนเพศชายเกิน (จากอาการหรือผลเลือด) และลักษณะถุงน้ำในรังไข่จากการอัลตราซาวด์

การซักประวัติและตรวจร่างกายโดยแพทย์

การซักประวัติและตรวจร่างกายโดยแพทย์เป็นขั้นตอนสำคัญในการวินิจฉัยสิวจากภาวะ PCOS โดยมุ่งเน้นที่การรวบรวมข้อมูลเกี่ยวกับอาการและตรวจหาสัญญาณของภาวะฮอร์โมนแอนโดรเจนเกิน (hyperandrogenism)

  1. การซักประวัติ (Medical History)
  • ประวัติประจำเดือน: อายุที่เริ่มมีประจำเดือน ความสม่ำเสมอ ความถี่ และระยะเวลาของรอบเดือน
  • ประวัติครอบครัว: ประวัติภาวะ PCOS, เบาหวาน หรือความผิดปกติของฮอร์โมนในครอบครัว
  • ลำดับเวลาของอาการ: อายุที่เริ่มเป็นสิว การลุกลาม และความสัมพันธ์กับรอบเดือน
  • อาการร่วมอื่นๆ: การมีขนดก (hirsutism) ผมร่วง น้ำหนักเปลี่ยนแปลง และปัญหาการมีบุตรยาก
  • การรักษาที่เคยได้รับ: การตอบสนองต่อยาคุมกำเนิดและยารักษาสิวที่เคยใช้
  • การตรวจร่างกาย (Physical Examination)
  • สัญญาณของภาวะฮอร์โมนแอนโดรเจนเกิน: ตรวจหาภาวะขนดก ลักษณะการกระจายตัวของสิว (โดยเฉพาะบริเวณใบหน้าส่วนล่างและกราม) และผมร่วงแบบแอนโดรเจน
  • ภาวะผิวดำหนาคล้ายกำมะหยี่ (Acanthosis Nigricans): ตรวจหาแผ่นผิวหนังสีคล้ำที่พบบริเวณคอ รักแร้ และขาหนีบ ซึ่งเป็นสัญญาณของภาวะดื้อต่ออินซูลิน
  • ดัชนีมวลกาย (BMI) และสัดส่วนร่างกาย: การวัดน้ำหนักและรูปแบบการกระจายตัวของไขมัน
  • การประเมินสภาพผิว: ตรวจความรุนแรง การกระจายตัว และชนิดของรอยสิว

การตรวจเลือดเพื่อวัดระดับฮอร์โมน

การตรวจเลือดเพื่อวินิจฉัยสิวจากภาวะ PCOS นั้นจะเน้นไปที่ การวัดระดับฮอร์โมนที่สำคัญเพื่อประเมินภาวะฮอร์โมนเพศชายเกิน (Hyperandrogenism) และตัดโรคอื่นๆ ที่มีอาการคล้ายกันออกไป การตรวจหลักๆ ประกอบด้วย

  • เทสโทสเตอโรน (Testosterone): ตรวจวัดระดับฮอร์โมนเทสโทสเตอโรนทั้งแบบรวม (Total) และแบบอิสระ (Free) ซึ่งมักมีค่าสูงขึ้นในผู้ป่วย PCOS
  • ฮอร์โมน LH และ FSH: ประเมินอัตราส่วนระหว่างฮอร์โมน Luteinizing Hormone (LH) และ Follicle-Stimulating Hormone (FSH) โดยอัตราส่วนที่สูงกว่า 2:1 หรือ 3:1 อาจบ่งชี้ถึงภาวะ PCOS
  • ฮอร์โมน DHEA-S: ช่วยระบุว่าฮอร์โมนเพศชายที่เกินนั้นมาจากต่อมหมวกไตหรือไม่
  • การตรวจอื่นๆ: อาจมีการตรวจเพิ่มเติมเพื่อประเมินภาวะเมตาบอลิก เช่น ภาวะดื้อต่ออินซูลิน หรือเพื่อตัดโรคอื่นๆ ที่มีอาการคล้ายคลึงกัน เช่น ความผิดปกติของต่อมไทรอยด์ หรือระดับฮอร์โมนโปรแลคตินสูง

การอัลตราซาวด์รังไข่

การอัลตราซาวด์รังไข่ เป็นเครื่องมือในการวินิจฉัยภาวะถุงน้ำรังไข่หลายใบ (PCOS) โดยใช้เพื่อยืนยันลักษณะทางสัณฐานวิทยาของรังไข่ที่ผิดปกติ ซึ่งเป็นหนึ่งในเกณฑ์หลักของ Rotterdam Criteria

ตามเกณฑ์การวินิจฉัยล่าสุดปี 2023-2024 การตรวจจะพิจารณาจากลักษณะอย่างใดอย่างหนึ่งต่อไปนี้ในรังไข่อย่างน้อยหนึ่งข้าง:

  • จำนวนฟอลลิเคิล (Follicle Number): มีฟอลลิเคิล 20 ใบหรือมากกว่าต่อรังไข่ (FNPO) ซึ่งมีขนาดเส้นผ่านศูนย์กลาง 2-9 มม.
  • ปริมาตรรังไข่ (Ovarian Volume): มีปริมาตร 10 ลบ.ซม. หรือมากกว่า

เกณฑ์ใหม่นี้ได้เพิ่มจำนวนฟอลลิเคิลขึ้นจากเกณฑ์เดิม (12 ใบ) เพื่อลดการวินิจฉัยที่ผิดพลาดเนื่องจากเทคโนโลยีอัลตราซาวด์ที่ดีขึ้น โดยทั่วไปจะใช้หัวตรวจอัลตราซาวด์ผ่านทางช่องคลอดที่มีความถี่ 8 MHz หรือสูงกว่าเพื่อความแม่นยำ อย่างไรก็ตาม ไม่แนะนำให้ใช้อัลตราซาวด์เพื่อวินิจฉัย PCOS ในวัยรุ่นที่ประจำเดือนมาไม่ถึง 8 ปี หรืออายุต่ำกว่า 20 ปี

5. รวม 5 วิธีรักษาสิวจาก PCOS ที่แพทย์แนะนำ

การรักษาด้วยยาเพื่อปรับสมดุลฮอร์โมน

การรักษาด้วยยาเพื่อปรับสมดุลฮอร์โมนสำหรับสิวจากภาวะ PCOS ประกอบด้วยยาคุมกำเนิดชนิดรับประทาน (OCPs), ยาต้านแอนโดรเจน (Anti-androgens) และยารักษาภาวะดื้อต่ออินซูลิน (Insulin-sensitizing agents)

  1. ยาคุมกำเนิดชนิดรับประทาน (Oral Contraceptive Pills – OCPs): ยาจะช่วยยับยั้งการผลิตฮอร์โมนแอนโดรเจนจากรังไข่ และเพิ่มโปรตีนที่จับกับฮอร์โมนเพศ (SHBG) เพื่อลดระดับฮอร์โมนเทสโทสเตอโรนอิสระในร่างกาย สูตรยาที่มีโปรเจสตินซึ่งมีคุณสมบัติต้านแอนโดรเจน เช่น drospirenone หรือ cyproterone acetate จะมีประสิทธิภาพมากที่สุด
  2. ยาต้านแอนโดรเจน (Anti-androgens): ยาที่นิยมใช้คือ สไปโรโนแลคโตน (Spironolactone) ซึ่งออกฤทธิ์โดยการขัดขวางตัวรับแอนโดรเจนและยับยั้งเอนไซม์ที่เปลี่ยนเทสโทสเตอโรนไปเป็นรูปแบบที่ออกฤทธิ์รุนแรงขึ้น จึงช่วยลดผลของฮอร์โมนแอนโดรเจนต่อผิวหนัง
  3. ยารักษาภาวะดื้อต่ออินซูลิน (Insulin-sensitizing Agents): ยาที่ใช้บ่อยคือ เมทฟอร์มิน (Metformin) ซึ่งช่วยให้ร่างกายตอบสนองต่ออินซูลินได้ดีขึ้น เมื่อระดับอินซูลินลดลง การผลิตฮอร์โมนแอนโดรเจนที่ถูกกระตุ้นโดยอินซูลินก็จะลดลงตามไปด้วย

การใช้ยาทาเฉพาะที่เพื่อลดการอักเสบ

ยาทาเฉพาะที่ที่แนะนำเพื่อลดการอักเสบของสิวจากภาวะ PCOS ได้แก่ กลุ่มยาเรตินอยด์ ยาปฏิชีวนะเฉพาะที่ร่วมกับเบนโซอิลเพอร์ออกไซด์ และกรดอะซีลาอิก

ยาเหล่านี้ช่วยจัดการสิวจากภาวะ PCOS ผ่านกลไกที่แตกต่างกัน ดังนี้

  • เรตินอยด์ (Retinoids): เช่น Tretinoin และ Adapalene ช่วยปรับการผลัดเซลล์ผิวให้เป็นปกติ ลดการเกิดสิวอุดตัน (microcomedone) และมีคุณสมบัติต้านการอักเสบ
  • ยาปฏิชีวนะเฉพาะที่และเบนโซอิลเพอร์ออกไซด์ (Topical Antibiotics and Benzoyl Peroxide): ยาปฏิชีวนะ เช่น Clindamycin ช่วยลดเชื้อแบคทีเรีย C. acnes และลดการอักเสบ การใช้ร่วมกับเบนโซอิลเพอร์ออกไซด์จะช่วยป้องกันการดื้อยาของเชื้อแบคทีเรีย
  • กรดอะซีลาอิก (Azelaic Acid): มีคุณสมบัติทั้งต้านการอักเสบและช่วยปรับการผลัดเซลล์ผิว (anti-keratinizing) นอกจากนี้ยังช่วยลดรอยดำหลังการอักเสบ (post-inflammatory hyperpigmentation) ซึ่งเป็นประโยชน์อย่างยิ่งสำหรับผู้ป่วย PCOS ที่มีผิวคล้ำ

การทำหัตถการทางผิวหนัง

หัตถการทางผิวหนังที่แนะนำสำหรับสิวจากภาวะ PCOS ได้แก่ การทำเคมีคอล พีลลิ่ง (Chemical Peels), การรักษาด้วยเลเซอร์และแสงบำบัด (Laser and Light Therapy) และการฉีดคอร์ติโซน (Cortisone Injections) เพื่อจัดการกับสิวอักเสบและรอยสิวโดยตรง

  • เคมีคอล พีลลิ่ง (Chemical Peels): เป็นการใช้กรด เช่น กรดไกลโคลิก (Glycolic Acid) หรือกรดซาลิไซลิก (Salicylic Acid) เพื่อผลัดเซลล์ผิวที่เสียหาย ช่วยลดการอุดตันของรูขุมขน ลดความมัน และทำให้รอยสิวดูจางลง
  • เลเซอร์และแสงบำบัด (Laser and Light Therapy): ใช้พลังงานแสงเพื่อลดการอักเสบและทำลายเชื้อแบคทีเรียที่ก่อให้เกิดสิว เช่น Pulsed Dye Laser ช่วยลดรอยแดง หรือ Blue Light Therapy ที่มุ่งเป้าไปที่การทำลายเชื้อแบคทีเรีย C. acnes โดยตรง
  • การฉีดคอร์ติโซน (Cortisone Injections): เป็นการฉีดสเตียรอยด์ชนิดเจือจางเข้าไปในสิวอักเสบขนาดใหญ่หรือสิวซีสต์โดยตรง เพื่อลดอาการบวม อักเสบ และความเจ็บปวดได้อย่างรวดเร็วภายใน 24-48 ชั่วโมง เหมาะสำหรับใช้รักษาสิวอักเสบเม็ดใหญ่เป็นครั้งคราว

การรักษาด้วยเลเซอร์และแสงบำบัด

การรักษาด้วยเลเซอร์และแสงบำบัดเป็นหัตถการทางผิวหนังที่ใช้ในการรักษาสิวจากภาวะ PCOS โดยมีเป้าหมายเพื่อลดแบคทีเรีย ลดการอักเสบ และควบคุมการทำงานของต่อมไขมัน

การรักษาด้วยเลเซอร์และแสงบำบัดมีหลายประเภทและกลไกการออกฤทธิ์ที่แตกต่างกัน ดังนี้

ประเภทของเลเซอร์และแสงบำบัด:

  • Pulsed Dye Laser: มุ่งเป้าไปที่หลอดเลือดเพื่อลดรอยแดงและการอักเสบของสิว
  • Fractional Radiofrequency: มีแนวโน้มที่ดีในการรักษารอยแผลเป็นจากสิว
  • Blue Light Therapy (แสงสีฟ้า): ทำลายแบคทีเรีย C. acnes ซึ่งเป็นสาเหตุหนึ่งของการเกิดสิว
  • Photodynamic Therapy (PDT): ใช้สารไวแสงร่วมกับการฉายแสงเพื่อมุ่งเป้าไปที่ต่อมไขมันและลดการผลิตน้ำมัน

กลไกการทำงานทางคลินิก:

  • ลดแบคทีเรีย: แหล่งกำเนิดแสงพลังงานสูงช่วยยับยั้งการเจริญเติบโตของแบคทีเรียที่ก่อให้เกิดสิว
  • ลดการอักเสบ: ช่วยลดการอักเสบของสิวที่มีอยู่
  • ควบคุมต่อมไขมัน: เลเซอร์บางชนิดสามารถลดการทำงานของต่อมไขมันได้
  • กระตุ้นคอลลาเจน: ส่งเสริมการฟื้นฟูผิวตามธรรมชาติและการสร้างเซลล์ผิวใหม่

โดยทั่วไป การรักษาประเภทนี้ต้องทำหลายครั้งเพื่อให้ได้ผลลัพธ์ที่ดีที่สุด และมักใช้ร่วมกับการรักษาเฉพาะที่อื่นๆ เพื่อเพิ่มประสิทธิภาพ

การฉีดสิวเพื่อลดการอักเสบเฉียบพลัน

การฉีดคอร์ติโซน (Intralesional Corticosteroid Injections) คือการฉีดสเตียรอยด์ชนิดเจือจางเข้าไปในตุ่มสิวอักเสบขนาดใหญ่ที่เป็นก้อนแข็งหรือซีสต์โดยตรง เพื่อลดการอักเสบ ความเจ็บปวด และอาการบวมอย่างรวดเร็ว ซึ่งมักจะเห็นผลภายใน 24-48 ชั่วโมง

วิธีนี้สงวนไว้สำหรับสิวอักเสบที่เป็นก้อนบวมและเจ็บซึ่งไม่ตอบสนองต่อการรักษาด้วยยาทา และใช้สำหรับสิวเม็ดใหญ่เป็นครั้งคราว ไม่ใช่สำหรับสิวทั่วใบหน้า อย่างไรก็ตาม การฉีดอาจมีความเสี่ยงทำให้ผิวหนังยุบตัวหรือเกิดรอยบุ๋มได้หากฉีดในปริมาณที่เข้มข้นเกินไป

6. อาหารที่ควรและไม่ควรรับประทานเพื่อควบคุมสิวจาก PCOS

อาหารที่ควรรับประทาน: ดัชนีน้ำตาลต่ำและต้านการอักเสบ

อาหารที่มีดัชนีน้ำตาลต่ำ (low-GI) และมีคุณสมบัติต้านการอักเสบเป็นอาหารที่แนะนำสำหรับผู้ที่มีสิวจากภาวะ PCOS เนื่องจากช่วยป้องกันการพุ่งสูงของอินซูลิน ซึ่งเป็นสาเหตุของการผลิตฮอร์โมนแอนโดรเจนที่เพิ่มขึ้น

อาหารที่แนะนำประกอบด้วย:

  • อาหารที่มีดัชนีน้ำตาลต่ำ (Low Glycemic Index Foods)
  • ธัญพืชไม่ขัดสี: ข้าวกล้อง ควินัว ข้าวโอ๊ต
  • พืชหัว: มันเทศ
  • พืชตระกูลถั่ว: ถั่วชนิดต่างๆ ถั่วเลนทิล ถั่วชิกพี
  • ผักและผลไม้: ผักใบเขียว บรอกโคลี ผลไม้ตระกูลเบอร์รี่ แอปเปิล
  • อาหารต้านการอักเสบ (Anti-inflammatory Foods)
  • กรดไขมันโอเมก้า 3: ปลาแซลมอน ปลาซาร์ดีน วอลนัท เมล็ดเจีย และเมล็ดแฟลกซ์
  • อาหารที่อุดมด้วยสารต้านอนุมูลอิสระ: ผลไม้ตระกูลเบอร์รี่ ชาเขียว และผักใบเขียว
  • เครื่องเทศ: ขมิ้น อบเชย และขิง

อาหารที่ควรหลีกเลี่ยง: น้ำตาล นม และอาหารแปรรูป

อาหารที่ควรหลีกเลี่ยงสำหรับผู้มีภาวะ PCOS ที่เป็นสิวคืออาหารที่มีค่าดัชนีน้ำตาลสูง ผลิตภัณฑ์นม และอาหารแปรรูป เนื่องจากอาหารเหล่านี้สามารถกระตุ้นความไม่สมดุลของฮอร์โมนและการอักเสบในร่างกายให้รุนแรงขึ้นได้

  • อาหารที่มีค่าดัชนีน้ำตาลสูง (High Glycemic Load Foods): อาหารจำพวกน้ำตาลทรายขาว, ขนมปังขาว, ข้าวขาว, ขนมอบ และเครื่องดื่มที่มีน้ำตาล จะทำให้ระดับน้ำตาลในเลือดและอินซูลินพุ่งสูงขึ้นอย่างรวดเร็ว ซึ่งนำไปสู่การผลิตฮอร์โมนแอนโดรเจนที่เพิ่มขึ้นและทำให้อาการสิวแย่ลง
  • ผลิตภัณฑ์นม (Dairy Products): โดยเฉพาะนมพร่องมันเนยและนมขาดมันเนย มีความเชื่อมโยงกับการเกิดสิว การอักเสบ และภาวะดื้อต่ออินซูลินในผู้หญิงที่มีภาวะ PCOS เนื่องจากนมจะไปกระตุ้นระดับอินซูลินและ IGF-1 (Insulin-like growth factor 1) ซึ่งเป็นปัจจัยที่ทำให้เกิดสิว
  • อาหารแปรรูปและคาร์โบไฮเดรตเชิงเดี่ยว (Processed Foods and Simple Carbohydrates): อาหารจำพวกของทอดและอาหารที่มีส่วนผสมของน้ำตาลฟรุกโตสและกลูโคส เป็นสาเหตุสำคัญของภาวะดื้อต่ออินซูลินและกระตุ้นการอักเสบในร่างกาย

7. การปรับเปลี่ยนไลฟ์สไตล์ช่วยลดปัญหาสิวจาก PCOS ได้จริงหรือ?

ใช่ การปรับเปลี่ยนไลฟ์สไตล์สามารถช่วยลดปัญหาสิวจากภาวะ PCOS ได้อย่างมีนัยสำคัญ เนื่องจากการเปลี่ยนแปลงเหล่านี้มุ่งเน้นไปที่การแก้ไขต้นตอของปัญหา คือความไม่สมดุลของฮอร์โมนและภาวะดื้อต่ออินซูลิน

การปรับเปลี่ยนไลฟ์สไตล์ที่สำคัญประกอบด้วย:

  • การรับประทานอาหาร: เน้นอาหารที่มีค่าดัชนีน้ำตาลต่ำ (Low-GI) และมีคุณสมบัติต้านการอักเสบ เช่น ธัญพืชไม่ขัดสี ผักใบเขียว และปลาที่มีไขมันโอเมก้า 3 สูง เพื่อช่วยควบคุมระดับอินซูลินและลดการอักเสบ ควรหลีกเลี่ยงอาหารที่มีน้ำตาลสูงและผลิตภัณฑ์จากนมวัวซึ่งอาจกระตุ้นการเกิดสิว
  • การออกกำลังกาย: การออกกำลังกายอย่างสม่ำเสมอ ทั้งแบบแอโรบิกและเวทเทรนนิ่ง ช่วยเพิ่มความไวต่ออินซูลิน ลดระดับฮอร์โมนแอนโดรเจน และช่วยควบคุมน้ำหนัก ซึ่งการลดน้ำหนักเพียง 5% ก็สามารถทำให้อาการของ PCOS ดีขึ้นได้
  • การจัดการความเครียดและการนอนหลับ: ความเครียดเรื้อรังจะเพิ่มระดับฮอร์โมนคอร์ติซอล ซึ่งทำให้ความไม่สมดุลของฮอร์โมนแย่ลง การทำสมาธิ โยคะ และการนอนหลับให้เพียงพอ (ประมาณ 8 ชั่วโมง) จึงมีความสำคัญอย่างยิ่งต่อการรักษาสมดุลของฮอร์โมน
  • การดูแลผิวที่เหมาะสม: เลือกใช้ผลิตภัณฑ์ดูแลผิวที่อ่อนโยน ไม่ก่อให้เกิดการอุดตัน (Non-comedogenic) และมีส่วนผสมที่ช่วยรักษาสิว เช่น กรดซาลิไซลิก (Salicylic Acid) เพื่อช่วยจัดการกับสิวที่ผิวหนังโดยตรง

การออกกำลังกายสม่ำเสมอ

การออกกำลังกายสม่ำเสมอ ช่วยปรับปรุงภาวะดื้อต่ออินซูลินและลดการผลิตฮอร์โมนแอนโดรเจน ซึ่งส่งผลโดยตรงต่อการเกิดสิวจากภาวะ PCOS

การออกกำลังกายเป็นประจำส่งผลดีต่อผู้ที่มีภาวะ PCOS และสิว ดังนี้:

  • ปรับปรุงภาวะดื้อต่ออินซูลิน: การออกกำลังกายช่วยให้ร่างกายใช้อินซูลินได้ดีขึ้น ซึ่งจะช่วยลดระดับอินซูลินในเลือดและลดการกระตุ้นให้รังไข่ผลิตฮอร์โมนแอนโดรเจน
  • ลดระดับฮอร์โมนแอนโดรเจน: การออกกำลังกายช่วยลดระดับฮอร์โมนเพศชายที่สูงเกินไป ซึ่งเป็นสาเหตุหลักของการเกิดสิว
  • ส่งเสริมการลดน้ำหนัก: การลดน้ำหนักเพียง 5% ของน้ำหนักตัว สามารถช่วยปรับปรุงภาวะดื้อต่ออินซูลินและระดับฮอร์โมนแอนโดรเจนที่สูงได้
  • ส่งผลให้ผิวดีขึ้น: เมื่อระดับฮอร์โมนสมดุลขึ้น ปัญหาผิวและสิวก็จะดีขึ้นตามไปด้วย

คำแนะนำในการออกกำลังกาย:

  • แอโรบิก: ตั้งเป้าหมายการออกกำลังกายแบบแอโรบิกที่มีความเข้มข้นปานกลางอย่างน้อย 150 นาทีต่อสัปดาห์ เช่น การวิ่ง การปั่นจักรยาน หรือการว่ายน้ำ
  • ฝึกความแข็งแรง: ออกกำลังกายแบบฝึกความแข็งแรง (Resistance training) 2-3 ครั้งต่อสัปดาห์ เพื่อสร้างมวลกล้ามเนื้อและช่วยให้ร่างกายนำน้ำตาลไปใช้ได้ดีขึ้น

การจัดการความเครียดและการนอนหลับ

การจัดการความเครียดและการนอนหลับให้เพียงพอเป็นสิ่งสำคัญอย่างยิ่ง เนื่องจากความเครียดเรื้อรังจะเพิ่มระดับฮอร์โมนคอร์ติซอลที่ทำให้สิวและความไม่สมดุลของฮอร์โมนแย่ลง ในขณะที่การนอนหลับไม่เพียงพอก็ส่งผลเสียต่อระดับอินซูลินและคอร์ติซอลเช่นกัน

ความเชื่อมโยงทางสรีรวิทยาระหว่างความเครียดและสิว

  • การเชื่อมโยงกับคอร์ติซอล: ความเครียดเรื้อรังจะเพิ่มระดับฮอร์โมนคอร์ติซอล ซึ่งจะไปรบกวนความสมดุลของฮอร์โมนสืบพันธุ์และทำให้อาการของ PCOS แย่ลง
  • การตอบสนองต่อการอักเสบ: ระดับคอร์ติซอลที่สูงขึ้นจะเพิ่มการอักเสบทั่วร่างกาย ซึ่งเป็นสาเหตุหนึ่งของการเกิดสิว
  • ผลกระทบต่ออินซูลิน: ความเครียดเรื้อรังสามารถทำให้ภาวะดื้อต่ออินซูลินแย่ลง สร้างวงจรที่ทำให้อาการของ PCOS รุนแรงขึ้น

คุณภาพการนอนหลับและสุขภาพของฮอร์โมน

  • ความสำคัญ: การนอนหลับเพื่อการฟื้นฟูร่างกายเป็นรากฐานที่สำคัญของสุขภาพฮอร์โมน โดยผู้ป่วย PCOS ควรนอนหลับให้ได้ 8 ชั่วโมง
  • ความเชื่อมโยงกับการนอนหลับและ PCOS: การนอนหลับที่ไม่ดีในผู้ป่วย PCOS มีความเชื่อมโยงกับการเพิ่มขึ้นของภาวะดื้อต่ออินซูลิน ระดับคอร์ติซอลที่สูงขึ้น และพฤติกรรมการกินที่ไม่ดีต่อสุขภาพ
  • ผลกระทบต่อการอักเสบ: การนอนหลับไม่เพียงพอจะเพิ่มการอักเสบและรบกวนระดับอินซูลินและคอร์ติซอล ซึ่งทำให้อาการของ PCOS และปัญหาผิวหนังแย่ลง

เทคนิคการลดความเครียดและการนอนหลับ

  • การลดความเครียด: ฝึกสมาธิเจริญสติ โยคะ หรือการหายใจลึกๆ เพื่อช่วยลดระดับคอร์ติซอล
  • สุขอนามัยการนอน: รักษากำหนดเวลาการนอนให้สม่ำเสมอ สร้างกิจวัตรที่ผ่อนคลายก่อนนอน และจัดสภาพแวดล้อมในห้องนอนให้เย็น มืด และเงียบ
  • ลดแสงสีฟ้า: จำกัดการใช้อุปกรณ์อิเล็กทรอนิกส์ 1-2 ชั่วโมงก่อนนอน

การเลือกใช้ผลิตภัณฑ์ดูแลผิวที่เหมาะสม

การเลือกผลิตภัณฑ์ดูแลผิวที่เหมาะสมสำหรับผู้มีภาวะ PCOS ควรเน้นที่ ผลิตภัณฑ์ที่อ่อนโยน ไม่ก่อให้เกิดการอุดตัน (non-comedogenic) และมีส่วนผสมออกฤทธิ์ที่ช่วยจัดการสิวโดยเฉพาะ เนื่องจากผิวของผู้มีภาวะ PCOS มักจะบอบบางและอักเสบได้ง่ายจากความผันผวนของฮอร์โมน

ส่วนผสมที่แนะนำ:

  • Salicylic Acid (BHA): ช่วยผลัดเซลล์ผิว ลดการอุดตันในรูขุมขน และควบคุมความมัน
  • Benzoyl Peroxide: มีคุณสมบัติต้านเชื้อแบคทีเรียที่ก่อให้เกิดสิว
  • Niacinamide: ช่วยลดการอักเสบและควบคุมการผลิตน้ำมัน
  • Hyaluronic Acid: ให้ความชุ่มชื้นโดยไม่ทำให้ผิวมันหรืออุดตัน
  • Retinoids: ช่วยปรับการผลัดเซลล์ผิวให้เป็นปกติ (แนะนำให้ใช้ตามคำสั่งแพทย์)

สิ่งที่ควรหลีกเลี่ยง:

  • ส่วนผสมที่อุดตันรูขุมขน (Comedogenic ingredients) เช่น น้ำมันหนักๆ หรือแว็กซ์บางชนิด
  • สครับที่รุนแรงซึ่งอาจทำให้ผิวระคายเคือง
  • น้ำหอมและผลิตภัณฑ์ที่มีแอลกอฮอล์เป็นส่วนประกอบหลัก

References:

  1. Amuzescu, A., Tampa, M., Matei, C., & Georgescu, S.R. (2024). Adult Female Acne: Recent Advances in Pathophysiology and Therapeutic Approaches. Cosmetics (MDPI). mdpi.com
  2. Carmina, E., et al. (2022). Female Adult Acne and Androgen Excess: A Report from the Multidisciplinary Androgen Excess and PCOS Committee. Journal of the Endocrine Society. academic.oup.com
  3. Teede, H., et al. (2023). International Evidence-based Guideline for the Assessment and Management of Polycystic Ovary Syndrome (Summary). Monash University/AE-PCOS Society. monash.edu
  4. Okoro, C., Camera, E., Flori, E., & Ottaviani, M. (2023). Insulin and the Sebaceous Gland Function. Frontiers in Physiology. pmc.ncbi.nlm.nih.gov
  5. Cruz, S., Vecerek, N., & Elbuluk, N. (2023). Targeting Inflammation in Acne: Current Treatments and Future Prospects. American Journal of Clinical Dermatology. springer.com
  6. Fathy, R., et al. (2022). Relation of Polycystic Ovarian Syndrome Phenotypes with Cutaneous Manifestations. J. Egyptian Women’s Dermatologic Society (Wolters Kluwer). lww.com
  7. Li, X., et al. (2022). The Degree of Menstrual Disturbance Is Associated with the Severity of Insulin Resistance in PCOS. Frontiers in Endocrinology. frontiersin.org
  8. Centers for Disease Control and Prevention (CDC). (2024). Diabetes and Polycystic Ovary Syndrome (PCOS). CDC. cdc.gov
  9. Mahto, A. (2023). PCOS and Acne: What You Need to Know and Why It Matters. Hertility Health. hertilityhealth.com
  10. Rybak, I., et al. (2022). Diet and Acne: A Systematic Review. JAAD International. jaadinternational.org
  11. Juhl, C., et al. (2021). Dairy Intake and Acne Vulgaris: A Systematic Review and Meta-Analysis. Dermato-Endocrinology. tandfonline.com
  12. Guertler, A., et al. (2023). Dietary Patterns in Acne and Rosacea Patients – A Controlled Study. Nutrients. mdpi.com

Author

  • admin
    admin

    View all posts

แนะแนวเรื่อง

Previous Previous
สิวข้าวสาร คืออะไร? วิธีจัดการและวิธีรักษา
NextContinue
สิวที่แก้ม: สาเหตุ ประเภท วิธีรักษาให้หายขาด

สาขาพรีวาโต คลินิก

    สาขาอโศก ตั้งอยู่ที่ ชั้น 2 อาคารมิดทาวน์
    Phone: 02-258-4050 , 081-841-5075
    สาขาสีลม ตั้งอยู่ที่ ชั้น 1 อาคารซี.พี.ทาวเวอร์
    Phone: 02-780-2011 , 098-272-5244
    สาขาราชพฤกษ์ ตั้งอยู่ที่ ชั้น 2 ศูนย์การค้า เดอะคริสตัล เอสบี (ด้านบนร้านสตาร์บัคส์)
    Phone: 02-102-2778 , 098-272-5244

ติดต่อเรา

    Facebook: Privato Clinic
    Messenger: Privato Clinic
    Instagram: privatoclinic
    Email: privatoclinic@gmail.com
    Line: @privatoclinic

Copyright© 2022-2024. All Rights Reserved

Scroll to top
  • หน้าหลัก
  • เกี่ยวกับพรีวาโต
  • บริการทั้งหมด
    • ชะลอวัย
    • ยกกระชับผิว
      • XERF
      • Potenza
      • Sofwave
      • Ulthera
      • Thermage-FLX
    • รักษาสิว
    • เลเซอร์
    • โปรแกรมฉีด
    • บำรุงผิว
  • บทความ
    • สิว
    • ยกกระชับ
    • ดูแลผิว
    • ทำเลเซอร์
  • ผลิตภัณฑ์ดูแลผิว
  • โปรโมชั่น
  • ผลลัพธ์การรักษา
  • วิดีโอรีวิวจากเคสจริง
  • สาขาของเรา
  • ไทย
    • ไทย
    • English
    • 中文 (中国)
  • ปรึกษาแพทย์
Facebook Instagram YouTube