Skip to content

TEL : 081-841-5075, 02-258-4050

Facebook Instagram YouTube
Privato Clinic – Innovation Of Beauty  |  Bangkok
  • หน้าหลัก
  • เกี่ยวกับพรีวาโต
  • บริการทั้งหมดExpand
    • ชะลอวัย
    • ยกกระชับผิวExpand
      • XERF
      • Potenza
      • Sofwave
      • Ulthera
      • Thermage-FLX
    • รักษาสิว
    • เลเซอร์
    • โปรแกรมฉีด
    • บำรุงผิว
  • บทความExpand
    • สิว
    • ยกกระชับ
    • ดูแลผิว
    • ทำเลเซอร์
  • ผลิตภัณฑ์ดูแลผิว
  • โปรโมชั่น
  • ผลลัพธ์การรักษา
  • วิดีโอรีวิวจากเคสจริง
  • สาขาของเรา
  • ไทยExpand
    • ไทย
    • English
    • 中文 (中国)
  • ปรึกษาแพทย์
Privato Clinic – Innovation Of Beauty  |  Bangkok
Consult a Doctor
Acne

สิวรอบปาก: สาเหตุ วิธีรักษา และวิธีป้องกันที่ถูกต้อง

Byadmin สิงหาคม 2, 2025สิงหาคม 2, 2025
By นายแพทย์เลอพงษ์ กรุดเงิน Updated on สิงหาคม 2, 2025
✦ Medically reviewed by  นายแพทย์พนิต อุนรัตน์

Table of Contents

Toggle
  • สิวรอบปากคืออะไร และมีลักษณะอย่างไร?
    • ประเภทของสิวที่พบบริเวณรอบปาก
    • อาการร่วมที่อาจเกิดขึ้นกับสิวรอบปาก
  • 5 สาเหตุหลักที่ทำให้เกิดสิวรอบปาก
    • สาเหตุจากปัจจัยภายใน: ฮอร์โมนและความเครียด
    • สาเหตุจากปัจจัยภายนอก: การระคายเคืองและสุขอนามัย
  • วิธีรักษาสิวรอบปากให้ได้ผลดีที่สุด
    • การดูแลผิวเบื้องต้นเมื่อเป็นสิวรอบปาก
    • การเลือกใช้ยารักษาสิวรอบปากที่เหมาะสม
    • การรักษาโดยแพทย์ผิวหนัง: เมื่อไหร่ที่ควรไปพบแพทย์?
  • วิธีป้องกันไม่ให้สิวกลับมาขึ้นรอบปากซ้ำ
    • การปรับพฤติกรรมการใช้ชีวิตเพื่อลดความเสี่ยง
    • การเลือกผลิตภัณฑ์บำรุงผิวและเครื่องสำอาง
  • สิวรอบปากแตกต่างจากเริมหรือผื่นชนิดอื่นอย่างไร?
    • วิธีสังเกตความแตกต่างระหว่างตุ่มสิวและตุ่มเริม
  • คำถามที่พบบ่อยเกี่ยวกับสิวรอบปาก
    • บีบสิวที่ปากแล้วบวมทำอย่างไร?
    • สิวรอบปากเกี่ยวข้องกับสิวที่คางหรือไม่?
  • Author

สิวรอบปากคืออะไร และมีลักษณะอย่างไร?

กลุ่มของสิวอักเสบรอบริมฝีปากกับผิวหน้าที่เป็นผื่นแดงและเม็ดเล็กๆ

สิวรอบปาก (Perioral acne) คือการเกิดสิวที่กระจุกตัวอยู่บริเวณรอบปากและคาง โดยมีลักษณะเป็นสิวประเภทต่างๆ ที่พบได้ทั่วไป เช่น สิวอุดตันและสิวอักเสบ ซึ่งบริเวณดังกล่าวอาจมีอาการแดงและเจ็บเมื่อสัมผัส

ลักษณะสำคัญของสิวรอบปาก ได้แก่:

  • สิวอุดตัน: มีทั้งสิวหัวดำ (open comedones) และสิวหัวขาว (closed comedones)
  • สิวอักเสบ: มีลักษณะเป็นตุ่มแดง (papules) และตุ่มหนอง (pustules)
  • บริเวณที่เกิด: สิวจะขึ้นหนาแน่นรอบปาก และอาจลามไปถึงคางหรือแนวกรามได้

ประเภทของสิวที่พบบริเวณรอบปาก

ประเภทของสิวที่พบบริเวณรอบปากโดยทั่วไปคือสิวอุดตัน ตุ่มแดงอักเสบ และตุ่มหนอง

สิวที่พบบ่อยบริเวณรอบปากมีลักษณะดังนี้:

  • สิวอุดตัน (Comedones): ได้แก่ สิวหัวดำและสิวหัวขาว
  • ตุ่มแดงอักเสบ (Papules): ตุ่มแดงที่อาจมีอาการเจ็บเมื่อสัมผัส
  • ตุ่มหนอง (Pustules): ตุ่มนูนสีขาวที่เต็มไปด้วยหนอง
  • สิวซีสต์หรือสิวหัวช้าง (Cystic nodules): พบได้ไม่บ่อย แต่สามารถเกิดขึ้นได้ในกรณีที่รุนแรง

อาการร่วมที่อาจเกิดขึ้นกับสิวรอบปาก

อาการร่วมที่อาจเกิดขึ้นกับสิวรอบปากคือรอยแดง ความเจ็บปวดเมื่อสัมผัส และความรู้สึกไวต่อสิ่งกระตุ้น บริเวณที่เป็นสิวมักจะดูแดงและอักเสบ

5 สาเหตุหลักที่ทำให้เกิดสิวรอบปาก

สาเหตุจากปัจจัยภายใน: ฮอร์โมนและความเครียด

ความผันผวนของฮอร์โมนและความเครียดเป็นสาเหตุภายในที่สำคัญของสิวรอบปาก เนื่องจากทั้งสองปัจจัยนี้กระตุ้นการผลิตน้ำมันและการอักเสบของผิวหนัง

  • ฮอร์โมน: การเพิ่มขึ้นของฮอร์โมนแอนโดรเจน (ฮอร์โมนเพศชาย) จะกระตุ้นการผลิตไขมัน (sebum) มากเกินไป ทำให้เกิดสิวอุดตันบริเวณรอบปากและคาง ซึ่งมักพบในผู้หญิงช่วงมีประจำเดือน ตั้งครรภ์ หรือมีภาวะถุงน้ำรังไข่หลายใบ (PCOS)
  • ความเครียด: ความเครียดเรื้อรังจะเพิ่มระดับฮอร์โมนคอร์ติซอล ซึ่งไปกระตุ้นต่อมไขมันให้ทำงานมากขึ้นและเพิ่มการอักเสบ ทำให้สิวที่เป็นอยู่แย่ลงได้

สิวรอบปากในผู้หญิงและผู้ชายแตกต่างกันหรือไม่?

ใช่ สิวรอบปากพบได้บ่อยในผู้หญิงที่เป็นผู้ใหญ่มากกว่าผู้ชาย โดยเฉพาะอย่างยิ่งเมื่อมีสาเหตุมาจากปัจจัยทางฮอร์โมน

ในผู้หญิง สิวรอบปากมักมีความเชื่อมโยงกับการเปลี่ยนแปลงของฮอร์โมน เช่น ช่วงมีประจำเดือน การตั้งครรภ์ หรือภาวะถุงน้ำรังไข่หลายใบ (PCOS) ซึ่งมักเรียกว่า “สิวฮอร์โมน” ในทางกลับกัน สิวรอบปากในผู้ชายที่มีสาเหตุจากฮอร์โมนนั้นพบได้น้อยกว่า

ความสัมพันธ์ระหว่างประจำเดือนกับการเกิดสิวรอบปาก

การเปลี่ยนแปลงของฮอร์โมนในช่วงรอบเดือนเป็นสาเหตุสำคัญที่ทำให้เกิดสิวรอบปากในผู้หญิง

การเปลี่ยนแปลงของระดับฮอร์โมนเอสโตรเจนและโปรเจสเตอโรนในช่วงก่อนมีประจำเดือน สามารถกระตุ้นการทำงานของฮอร์โมนแอนโดรเจน (Androgen) ซึ่งเป็นฮอร์โมนเพศชายให้เด่นขึ้น ฮอร์โมนแอนโดรเจนนี้จะไปกระตุ้นต่อมไขมันให้ผลิตน้ำมัน (ซีบัม) ออกมามากกว่าปกติ ทำให้เกิดการอุดตันและสิวอักเสบบริเวณรอบปาก คาง และแนวกรามได้ง่ายขึ้น ซึ่งสิวประเภทนี้มักถูกเรียกว่า “สิวฮอร์โมน” (hormonal acne) และพบได้บ่อยในผู้หญิงวัยผู้ใหญ่

สาเหตุจากปัจจัยภายนอก: การระคายเคืองและสุขอนามัย

สาเหตุภายนอกของสิวรอบปากที่เกี่ยวข้องกับการระคายเคืองและสุขอนามัย ได้แก่ การเสียดสีจากหน้ากากอนามัย การใช้ผลิตภัณฑ์ที่ก่อให้เกิดการระคายเคือง และพฤติกรรมด้านสุขอนามัยที่ไม่เหมาะสม

ปัจจัยเหล่านี้สามารถกระตุ้นให้เกิดสิวรอบปากได้จากสาเหตุต่อไปนี้

  • การเสียดสีและระคายเคือง:
    • หน้ากากอนามัย (Maskne): การใส่หน้ากากเป็นเวลานานสร้างสภาพแวดล้อมที่อุ่นและชื้น ร่วมกับการเสียดสีที่ดักจับเหงื่อและน้ำมัน ทำให้รูขุมขนระคายเคืองและอุดตัน
    • ผลิตภัณฑ์ที่ก่อให้เกิดการระคายเคือง: ยาสีฟันที่มีฟลูออไรด์หรือสารโซเดียมลอริลซัลเฟต (SLS) รวมถึงลิปบาล์มเนื้อหนักหรือเครื่องสำอางที่มีน้ำมันมากเกินไป สามารถระคายเคืองผิวและอุดตันรูขุมขนบริเวณรอบปากได้
    • การเสียดสีทางกายภาพ: การสัมผัสหรือเสียดสีซ้ำๆ จากวัตถุต่างๆ เช่น สายรัดคางของหมวกกันน็อก การเล่นเครื่องดนตรีที่ต้องค้ำคาง (เช่น ไวโอลิน) หรือการถือโทรศัพท์แนบกับใบหน้าเป็นเวลานาน
  • สุขอนามัยและพฤติกรรมประจำวัน:
    • การสัมผัสใบหน้า: การใช้มือเท้าคางหรือสัมผัสใบหน้าบ่อยๆ สามารถนำพาแบคทีเรียและสิ่งสกปรกมาสู่ผิวได้
    • ของใช้ที่ไม่สะอาด: การไม่เปลี่ยนปลอกหมอน การไม่ทำความสะอาดหน้าจอโทรศัพท์ หรือการใช้แปรงแต่งหน้าที่สกปรก ล้วนเป็นแหล่งสะสมของแบคทีเรียที่ก่อให้เกิดสิว
    • การโกนหนวด: การใช้มีดโกนที่ไม่คมหรือไม่สะอาดอาจทำให้เกิดการระคายเคืองและขนคุดคล้ายสิวได้

การแพ้หน้ากากอนามัย (Maskne) ทำให้เกิดสิวรอบปากได้หรือไม่?

ใช่ การแพ้หน้ากากอนามัย (Maskne) สามารถทำให้เกิดสิวรอบปากได้ การใส่หน้ากากอนามัยเป็นเวลานานจะสร้างสภาพแวดล้อมที่อุ่นและชื้นใต้หน้ากาก อีกทั้งยังเกิดการเสียดสีกับผิวหนัง ซึ่งเป็นการดักจับเหงื่อและไขมัน ทำให้รูขุมขนระคายเคืองและเกิดสิวขึ้นในบริเวณที่ถูกหน้ากากปิดไว้ โดยเฉพาะบริเวณแนวกราม คาง และรอบปาก

ยาสีฟันและผลิตภัณฑ์ดูแลช่องปากเป็นตัวการจริงหรือ?

ใช่ ยาสีฟันและผลิตภัณฑ์ดูแลช่องปากบางชนิดสามารถกระตุ้นให้เกิดสิวรอบปากได้ โดยเฉพาะส่วนผสมอย่างฟลูออไรด์และสารที่ทำให้เกิดฟอง เช่น โซเดียมลอริลซัลเฟต (SLS) ซึ่งอาจก่อให้เกิดการระคายเคืองและอักเสบของผิวหนังบริเวณรอบปาก

ในความเป็นจริง ฟลูออไรด์ในยาสีฟันมีความเชื่อมโยงกับการเกิดผื่นผิวหนังอักเสบชนิดหนึ่งที่เรียกว่า Perioral Dermatitis ซึ่งมีลักษณะคล้ายสิวมาก แพทย์ผิวหนังมักแนะนำให้ลองเปลี่ยนไปใช้ยาสีฟันที่ไม่มีฟลูออไรด์หรือไม่มีสาร SLS เพื่อดูว่าอาการดีขึ้นหรือไม่

วิธีรักษาสิวรอบปากให้ได้ผลดีที่สุด

การรักษาสิวรอบปากให้ได้ผลดีที่สุดคือ การดูแลผิวอย่างสม่ำเสมอและอ่อนโยน ควบคู่กับการใช้ยาทาเฉพาะที่ที่หาซื้อได้เอง และปรึกษาแพทย์ผิวหนังหากอาการไม่ดีขึ้น การดูแลผิวเบื้องต้นประกอบด้วยการล้างหน้าวันละสองครั้งด้วยผลิตภัณฑ์ที่อ่อนโยนและใช้มอยส์เจอไรเซอร์ชนิดที่ไม่ก่อให้เกิดการอุดตัน (non-comedogenic)

สำหรับยาทาเฉพาะที่ซึ่งหาซื้อได้เอง (OTC) ที่มีประสิทธิภาพ ได้แก่:

  • เบนโซอิลเพอร์ออกไซด์ (Benzoyl Peroxide): ช่วยฆ่าเชื้อแบคทีเรียที่ก่อให้เกิดสิวและลดการอักเสบ
  • กรดซาลิไซลิก (Salicylic Acid): ช่วยผลัดเซลล์ผิวและทำความสะอาดรูขุมขนที่อุดตัน
  • อะแดพาลีน (Adapalene): เป็นอนุพันธ์ของวิตามินเอ (retinoid) ที่ช่วยควบคุมการผลัดเซลล์ผิวและป้องกันการเกิดสิวใหม่

หากอาการไม่ดีขึ้นหลังจากใช้ผลิตภัณฑ์เหล่านี้ประมาณ 6-8 สัปดาห์ หรือสิวมีความรุนแรง ควรปรึกษาแพทย์ผิวหนังเพื่อรับการรักษาด้วยยาตามใบสั่งแพทย์ เช่น ยาปฏิชีวนะ, ยาปรับฮอร์โมน หรือไอโซเตรติโนอิน (Isotretinoin)

การดูแลผิวเบื้องต้นเมื่อเป็นสิวรอบปาก

การดูแลผิวเบื้องต้นเมื่อเป็นสิวรอบปากคือ การสร้างกิจวัตรการดูแลผิวที่อ่อนโยนและสม่ำเสมอ ซึ่งเป็นขั้นตอนแรกในการจัดการสิว

คุณสามารถปฏิบัติตามขั้นตอนต่อไปนี้ได้:

  • ทำความสะอาดอย่างอ่อนโยน: ล้างหน้าวันละสองครั้งด้วยผลิตภัณฑ์ทำความสะอาดที่ไม่ก่อให้เกิดการระคายเคือง และหลีกเลี่ยงการขัดถูผิวแรงๆ
  • ให้ความชุ่มชื้น: ทามอยส์เจอไรเซอร์ชนิดที่ไม่ก่อให้เกิดการอุดตัน (non-comedogenic) เพื่อรักษาเกราะป้องกันผิวและลดความแห้งกร้าน
  • ห้ามสัมผัส: หลีกเลี่ยงการแกะหรือบีบสิว เพราะจะทำให้อาการอักเสบแย่ลงและเพิ่มความเสี่ยงในการเกิดรอยแผลเป็น

การเลือกใช้ยารักษาสิวรอบปากที่เหมาะสม

การเลือกใช้ยารักษาสิวรอบปากที่เหมาะสมขึ้นอยู่กับความรุนแรงของสิว โดยมีตั้งแต่ยาที่หาซื้อได้เองสำหรับสิวที่ไม่รุนแรง ไปจนถึงยาที่ต้องสั่งโดยแพทย์สำหรับสิวที่รุนแรงขึ้น

  • ยาที่หาซื้อได้เอง (OTC): เหมาะสำหรับสิวระดับเริ่มต้นถึงปานกลาง
    • เบนโซอิลเพอร์ออกไซด์ (Benzoyl Peroxide): ช่วยฆ่าเชื้อแบคทีเรียและลดการอุดตัน
    • กรดซาลิไซลิก (Salicylic Acid): ช่วยผลัดเซลล์ผิวและสลายสิ่งอุดตันในรูขุมขน
    • อะแดพาลีน (Adapalene): เป็นอนุพันธ์วิตามินเอ (Retinoid) ที่ช่วยปรับการผลัดเซลล์ผิวให้เป็นปกติและป้องกันการเกิดสิวใหม่
  • ยาที่ต้องสั่งโดยแพทย์: ควรพบแพทย์ผิวหนังหากใช้ยา OTC แล้วไม่ดีขึ้นใน 6-8 สัปดาห์ หรือมีอาการรุนแรง
    • ยาปฏิชีวนะชนิดทา: เช่น คลินดามัยซิน (Clindamycin) เพื่อลดเชื้อแบคทีเรียและการอักเสบ
    • ยาฮอร์โมน: เช่น สไปโรโนแลคโตน (Spironolactone) หรือยาคุมกำเนิด สำหรับผู้หญิงที่มีสิวจากฮอร์โมน
    • ยาปฏิชีวนะชนิดรับประทาน: สำหรับสิวอักเสบระดับปานกลางถึงรุนแรง
    • ไอโสเตรติโนอิน (Isotretinoin): สำหรับสิวที่เป็นซีสต์รุนแรงหรือไม่ตอบสนองต่อการรักษาอื่น

การรักษาโดยแพทย์ผิวหนัง: เมื่อไหร่ที่ควรไปพบแพทย์?

ควรไปพบแพทย์ผิวหนังเมื่อสิวรอบปากมีความรุนแรงปานกลางถึงรุนแรง ไม่ดีขึ้นหลังใช้ผลิตภัณฑ์ที่หาซื้อได้เองนาน 6-8 สัปดาห์ หรือเมื่อสิวทำให้เกิดแผลเป็นหรือความทุกข์ใจอย่างมาก แพทย์ผิวหนังสามารถวินิจฉัยและสั่งยาที่เหมาะสมได้ เช่น ยาปฏิชีวนะชนิดทา, ยารักษาตามสาเหตุทางฮอร์โมนอย่างสไปโรโนแลคโตน (spironolactone) สำหรับผู้หญิง, ยาปฏิชีวนะชนิดรับประทาน หรือยาไอโซเตรติโนอิน (isotretinoin) ในกรณีที่รุนแรงและดื้อต่อการรักษาอื่น

วิธีป้องกันไม่ให้สิวกลับมาขึ้นรอบปากซ้ำ

การป้องกันสิวรอบปากไม่ให้กลับมาเป็นซ้ำ ต้องอาศัยการดูแลอย่างสม่ำเสมอ ซึ่งประกอบด้วยการปรับเปลี่ยนไลฟ์สไตล์ การรักษาสุขอนามัย และการเลือกใช้ผลิตภัณฑ์ที่เหมาะสม

เพื่อป้องกันสิวในระยะยาว ควรปฏิบัติตามแนวทางต่อไปนี้:

  • ปรับเปลี่ยนไลฟ์สไตล์และอาหาร: รับประทานอาหารที่มีค่าดัชนีน้ำตาลต่ำ หลีกเลี่ยงอาหารหวานและผลิตภัณฑ์นมบางชนิดที่อาจกระตุ้นสิว นอกจากนี้ควรจัดการความเครียดและนอนหลับให้เพียงพอเพื่อควบคุมระดับฮอร์โมน
  • รักษาสุขอนามัยและกิจวัตรประจำวัน: ล้างหน้าเบาๆ วันละสองครั้ง ทำความสะอาดสิ่งของที่สัมผัสใบหน้า เช่น หน้ากากอนามัยและโทรศัพท์มือถือ และเปลี่ยนปลอกหมอนเป็นประจำ
  • เลือกใช้ผลิตภัณฑ์ที่ไม่ก่อให้เกิดการอุดตัน: ใช้ผลิตภัณฑ์ดูแลผิวและเครื่องสำอางที่ระบุว่า “non-comedogenic” (ไม่ทำให้อุดตัน) เพื่อหลีกเลี่ยงการอุดตันของรูขุมขน
  • ดูแลผิวอย่างต่อเนื่อง: แม้ว่าสิวจะหายแล้ว ควรใช้ผลิตภัณฑ์ป้องกันสิวต่อไป เช่น เรตินอยด์หรือเบนโซอิลเปอร์ออกไซด์ เพื่อควบคุมไม่ให้สิวกลับมาใหม่ และหมั่นสังเกตปัจจัยกระตุ้นส่วนตัว

การปรับพฤติกรรมการใช้ชีวิตเพื่อลดความเสี่ยง

การปรับเปลี่ยนพฤติกรรมการใช้ชีวิตเพื่อลดความเสี่ยงของสิวรอบปาก สามารถทำได้โดยการปรับเปลี่ยนอาหาร การจัดการความเครียด และการรักษาสุขอนามัยที่ดี

การปรับเปลี่ยนเหล่านี้ประกอบด้วย:

  • อาหาร: หลีกเลี่ยงอาหารที่มีน้ำตาลสูงและผลิตภัณฑ์นมบางชนิด เช่น นมพร่องมันเนย เนื่องจากอาจกระตุ้นการผลิตน้ำมันบนใบหน้า ควรเน้นรับประทานอาหารที่มีค่าดัชนีน้ำตาลต่ำ เช่น ผัก ผลไม้ และอาหารที่มีไขมันโอเมก้า 3
  • การจัดการความเครียด: ความเครียดเรื้อรังสามารถกระตุ้นให้เกิดสิวได้ ดังนั้นการออกกำลังกายสม่ำเสมอ การทำสมาธิ หรือการนอนหลับให้เพียงพอจึงช่วยควบคุมฮอร์โมนความเครียดและลดการเกิดสิวได้
  • สุขอนามัยและพฤติกรรมประจำวัน: หลีกเลี่ยงการสัมผัสใบหน้าบ่อยๆ ทำความสะอาดหน้ากากอนามัยและเปลี่ยนปลอกหมอนเป็นประจำ และควรล้างคราบยาสีฟันบริเวณรอบปากหลังแปรงฟันทุกครั้ง

การเลือกผลิตภัณฑ์บำรุงผิวและเครื่องสำอาง

ควรเลือกผลิตภัณฑ์บำรุงผิวและเครื่องสำอางที่ระบุว่า “non-comedogenic” (ไม่ก่อให้เกิดการอุดตัน) หรือ “oil-free” (ปราศจากน้ำมัน) เนื่องจากผลิตภัณฑ์เหล่านี้ผ่านการทดสอบแล้วว่าไม่ทำให้รูขุมขนอุดตัน

  • ผลิตภัณฑ์บำรุงผิว: เลือกมอยส์เจอไรเซอร์และครีมกันแดดสูตรเนื้อบางเบา เช่น เจลหรือโลชั่น แทนครีมเนื้อหนัก และใช้ผลิตภัณฑ์ทำความสะอาดที่อ่อนโยนเพื่อไม่ให้ผิวแห้งจนเกินไป
  • เครื่องสำอาง: เลือกใช้เครื่องสำอางชนิดฝุ่นซึ่งมีแนวโน้มอุดตันน้อยกว่ารองพื้นชนิดน้ำเนื้อหนา และควรทำความสะอาดอุปกรณ์แต่งหน้าเป็นประจำเพื่อลดการสะสมของแบคทีเรีย นอกจากนี้ ต้องล้างเครื่องสำอางออกให้หมดจดทุกครั้งก่อนนอน

สิวรอบปากแตกต่างจากเริมหรือผื่นชนิดอื่นอย่างไร?

สิวรอบปากมีลักษณะเฉพาะคือการมีสิวอุดตัน (comedones) เช่น สิวหัวดำและสิวหัวขาว ซึ่งเป็นข้อแตกต่างที่สำคัญจากเริมและผื่นผิวหนังอักเสบชนิดอื่น

สิวรอบปากแตกต่างจากภาวะอื่นๆ ที่มีลักษณะคล้ายกัน ดังนี้:

  • ผื่นผิวหนังอักเสบ (Perioral Dermatitis): เป็นตุ่มแดงเล็กๆ หรือมีขุย แต่จะไม่มีสิวอุดตัน และมักมีสาเหตุมาจากยาสีฟันฟลูออไรด์หรือครีมสเตียรอยด์
  • เริม (Cold Sores): เกิดจากเชื้อไวรัส มีลักษณะเป็นกลุ่มตุ่มน้ำใสซึ่งจะแตกและตกสะเก็ดในภายหลัง ไม่ใช่ตุ่มหนองเหมือนสิว และมักมีอาการเจ็บหรือคันนำมาก่อน
  • รูขุมขนอักเสบ (Folliculitis): เป็นตุ่มหนองที่เกิดจากการติดเชื้อที่รูขุมขน มักมีอาการคันและไม่มีสิวอุดตันร่วมด้วย

วิธีสังเกตความแตกต่างระหว่างตุ่มสิวและตุ่มเริม

ตุ่มสิวเป็นตุ่มแข็งมีหนอง ในขณะที่เริมเป็นกลุ่มตุ่มน้ำใส ซึ่งมีความแตกต่างที่สำคัญหลายประการ

คุณสามารถสังเกตความแตกต่างระหว่างตุ่มสิวและเริมได้จากตารางเปรียบเทียบนี้

ลักษณะ ตุ่มสิว (Perioral Acne) เริม (Cold Sores)
ลักษณะตุ่ม ตุ่มแดงอักเสบ ตุ่มหนอง หรือสิวอุดตัน (ไม่มีน้ำใส) กลุ่มตุ่มน้ำใส ซึ่งต่อมาจะแตกและตกสะเก็ด
อาการเริ่มต้น ไม่มีอาการเตือนล่วงหน้า มักมีอาการเจ็บแปลบ คัน หรือแสบร้อนก่อนตุ่มขึ้น
การติดต่อ ไม่ติดต่อ ติดต่อได้
ตำแหน่งที่เกิด เกิดขึ้นได้หลายตำแหน่งและไม่มีรูปแบบการเกิดซ้ำที่ชัดเจน มักเกิดซ้ำในตำแหน่งเดิม

คำถามที่พบบ่อยเกี่ยวกับสิวรอบปาก

บีบสิวที่ปากแล้วบวมทำอย่างไร?

หลังจากบีบสิวที่ปากแล้วบวม ควรทำความสะอาดบริเวณนั้นเบาๆ ทายาปฏิชีวนะ และประคบเย็นเพื่อลดอาการบวม การดูแลที่เหมาะสมจะช่วยลดการอักเสบและป้องกันการติดเชื้อ

ขั้นตอนการดูแลหลังบีบสิว:

  1. ทำความสะอาด: ล้างบริเวณที่บีบสิวเบาๆ เพื่อกำจัดสิ่งสกปรกหรือเลือด
  2. ทายา: ทายาปฏิชีวนะชนิดขี้ผึ้งบางๆ เพื่อป้องกันการติดเชื้อ
  3. ประคบเย็น: ใช้การประคบเย็นเพื่อช่วยบรรเทาอาการแดงและบวม
  4. ใช้แผ่นแปะสิว: พิจารณาใช้แผ่นแปะสิวไฮโดรคอลลอยด์เพื่อช่วยดูดซับของเหลว ปกป้องแผล และเร่งการฟื้นฟู

สิ่งสำคัญคือควรหลีกเลี่ยงการสัมผัสบริเวณดังกล่าวและงดแต่งหน้าจนกว่าแผลจะหายดี หากมีอาการแดง ปวด หรือมีหนองเพิ่มขึ้น ควรไปพบแพทย์เพราะอาจเป็นสัญญาณของการติดเชื้อ

สิวรอบปากเกี่ยวข้องกับสิวที่คางหรือไม่?

ใช่ สิวรอบปากและสิวที่คางมีความเกี่ยวข้องกัน เนื่องจากสิวรอบปากคือสิวที่ขึ้นเป็นกลุ่มบริเวณรอบปาก ซึ่งมักจะลามไปถึงบริเวณคางและแนวกรามด้วย

สิวในบริเวณเหล่านี้มักเป็นส่วนหนึ่งของ “สิวฮอร์โมน” ซึ่งพบได้บ่อยในผู้หญิงวัยผู้ใหญ่ โดยจะขึ้นหนาแน่นบริเวณคาง แนวกราม และรอบปาก

Author

  • แพทย์หญิงนัชชนก หุ่นวิจิตร
    แพทย์หญิงนัชชนก หุ่นวิจิตร

    View all posts

แนะแนวเรื่อง

Previous Previous
สิวที่กราม: สาเหตุ วิธีรักษา และการป้องกัน
NextContinue
สิวที่หัว: สาเหตุ วิธีรักษา และการป้องกัน

Product Type

  • Acne Care - รักษาสิว22 สินค้า
  • Brightening - ผิวกระจ่างใส22 สินค้า
  • Dark Spot Reduction - ลดจุดด่างดำ22 สินค้า
  • Red or Dark Spots - รอยสิว11 สินค้า
  • Skin Cleansing - ทำความสะอาดผิว33 สินค้า
  • Skin Hydration - ความชุ่มชื่นผิว22 สินค้า
  • Skin Mask - มาร์สผิว22 สินค้า
  • Sun Protection - กันแดด22 สินค้า
  • Travel Size - ขนาดพกพา66 สินค้า

สาขาพรีวาโต คลินิก

    สาขาอโศก ตั้งอยู่ที่ ชั้น 2 อาคารมิดทาวน์
    Phone: 02-258-4050 , 081-841-5075
    สาขาสีลม ตั้งอยู่ที่ ชั้น 1 อาคารซี.พี.ทาวเวอร์
    Phone: 02-780-2011 , 098-272-5244
    สาขาราชพฤกษ์ ตั้งอยู่ที่ ชั้น 2 ศูนย์การค้า เดอะคริสตัล เอสบี (ด้านบนร้านสตาร์บัคส์)
    Phone: 02-102-2778 , 098-272-5244

ติดต่อเรา

    Facebook: Privato Clinic
    Messenger: Privato Clinic
    Instagram: privatoclinic
    Email: privatoclinic@gmail.com
    Line: @privatoclinic

Copyright© 2022-2024. All Rights Reserved

Scroll to top
  • หน้าหลัก
  • เกี่ยวกับพรีวาโต
  • บริการทั้งหมด
    • ชะลอวัย
    • ยกกระชับผิว
      • XERF
      • Potenza
      • Sofwave
      • Ulthera
      • Thermage-FLX
    • รักษาสิว
    • เลเซอร์
    • โปรแกรมฉีด
    • บำรุงผิว
  • บทความ
    • สิว
    • ยกกระชับ
    • ดูแลผิว
    • ทำเลเซอร์
  • ผลิตภัณฑ์ดูแลผิว
  • โปรโมชั่น
  • ผลลัพธ์การรักษา
  • วิดีโอรีวิวจากเคสจริง
  • สาขาของเรา
  • ไทย
    • ไทย
    • English
    • 中文 (中国)
  • ปรึกษาแพทย์
Facebook Instagram YouTube