Skip to content

TEL : 081-841-5075, 02-258-4050

Facebook Instagram YouTube
Privato Clinic – Innovation Of Beauty  |  Bangkok
  • หน้าหลัก
  • เกี่ยวกับพรีวาโต
  • บริการทั้งหมดExpand
    • ชะลอวัย
    • ยกกระชับผิวExpand
      • XERF
      • Potenza
      • Sofwave
      • Ulthera
      • Thermage-FLX
    • รักษาสิว
    • เลเซอร์
    • โปรแกรมฉีด
    • บำรุงผิว
  • บทความExpand
    • สิว
    • ยกกระชับ
    • ดูแลผิว
    • ทำเลเซอร์
  • ผลิตภัณฑ์ดูแลผิว
  • โปรโมชั่น
  • ผลลัพธ์การรักษา
  • วิดีโอรีวิวจากเคสจริง
  • สาขาของเรา
  • ไทยExpand
    • ไทย
    • English
    • 中文 (中国)
  • ปรึกษาแพทย์
Privato Clinic – Innovation Of Beauty  |  Bangkok
Consult a Doctor
Acne

สิวฮอร์โมน: สาเหตุ การรักษา และวิธีป้องกันที่ถูกต้อง

Byadmin มิถุนายน 18, 2025กรกฎาคม 14, 2025
By นายแพทย์เลอพงษ์ กรุดเงิน Updated on กรกฎาคม 14, 2025
✦ Medically reviewed by  นายแพทย์พนิต อุนรัตน์

สิวฮอร์โมนคือสิวที่เกิดจากการเปลี่ยนแปลงของระดับฮอร์โมนในร่างกาย ซึ่งการทำความเข้าใจถึงสาเหตุ การรักษา และวิธีป้องกันที่ถูกต้องจะช่วยให้สามารถจัดการกับปัญหาสิวเรื้อรังนี้ได้อย่างตรงจุดและมีประสิทธิภาพ

สิวฮอร์โมน

Table of Contents

Toggle
  • ทำความรู้จักสิวฮอร์โมน: ลักษณะเด่นและตำแหน่งที่พบบ่อย
    • สิวฮอร์โมนเป็นแบบไหนและแตกต่างจากสิวทั่วไปอย่างไร?
    • ตำแหน่งที่สิวฮอร์โมนมักขึ้นบนใบหน้าและร่างกาย
  • อะไรคือสาเหตุหลักของการเกิดสิวฮอร์โมน?
    • บทบาทของฮอร์โมนแอนโดรเจนต่อการเกิดสิว
    • ปัจจัยกระตุ้นอื่นๆ ที่ทำให้สิวฮอร์โมนกำเริบ
  • เราจะจัดการและรักษาสิวฮอร์โมนในผู้หญิงและผู้ชายได้อย่างไร?
    • วิธีรักษาสิวฮอร์โมนสำหรับผู้หญิง
    • วิธีรักษาสิวฮอร์โมนสำหรับผู้ชาย
  • แนะนำ 3 วิธีรักษาสิวฮอร์โมนด้วยตัวเองแบบธรรมชาติ
    • 1. การปรับอาหารเพื่อช่วยลดสิวฮอร์โมน
    • 2. การจัดการความเครียดและการนอนหลับให้เพียงพอ
    • 3. การเลือกใช้ผลิตภัณฑ์ดูแลผิวที่เหมาะสมกับสิวฮอร์โมน
  • การรักษาสิวฮอร์โมนทางการแพทย์: ยาทาและยากินที่ได้ผล
    • กลุ่มยาทาที่ใช้รักษาสิวฮอร์โมน
    • กลุ่มยากินที่ใช้รักษาสิวฮอร์โมน
  • ยาคุมกำเนิดสามารถรักษาสิวฮอร์โมนได้จริงหรือไม่?
    • ยาคุมชนิดใดที่ช่วยลดสิวฮอร์โมน?
    • ข้อควรระวังและผลข้างเคียงจากการใช้ยาคุมรักษาสิว
  • อาหารและวิตามินชนิดใดที่ช่วยจัดการสิวฮอร์โมน?
    • อาหารที่ควรรับประทานเพื่อลดสิวฮอร์โมน
    • อาหารที่ควรหลีกเลี่ยงเพื่อป้องกันสิวฮอร์โมน
    • วิตามินและอาหารเสริมที่แนะนำสำหรับผู้มีปัญหาสิวฮอร์โมน
  • Author

ทำความรู้จักสิวฮอร์โมน: ลักษณะเด่นและตำแหน่งที่พบบ่อย

สิวฮอร์โมนเป็นแบบไหนและแตกต่างจากสิวทั่วไปอย่างไร?

สิวฮอร์โมนคือสิวที่มักขึ้นบริเวณใบหน้าส่วนล่าง เช่น ตามแนวสันกราม คาง และลำคอ ซึ่งแตกต่างจากสิวทั่วไปในวัยรุ่นที่มักจะขึ้นบริเวณทีโซน (T-zone) คือหน้าผาก จมูก และคาง

ลักษณะเด่นของสิวฮอร์โมน ได้แก่:

  • การเห่อตามรอบเดือน: สิวจะเห่อขึ้นเป็นช่วงๆ โดยเฉพาะช่วงก่อนมีประจำเดือนหรือช่วงตกไข่
  • ลักษณะของสิว: มักเป็นสิวอักเสบเม็ดใหญ่ หรือสิวซีสต์ที่อยู่ลึกใต้ผิวหนัง เจ็บ และไม่ค่อยมีหัวหนองให้เห็น
  • ช่วงวัยที่พบ: พบได้บ่อยในผู้หญิงวัยผู้ใหญ่ และอาจเป็นต่อเนื่องไปจนถึงวัยกลางคนได้

ตำแหน่งที่สิวฮอร์โมนมักขึ้นบนใบหน้าและร่างกาย

สิวฮอร์โมนมักขึ้นบริเวณ ใบหน้าส่วนล่าง โดยเฉพาะตามแนวขากรรไกร คาง และลำคอ นอกจากนี้ยังสามารถพบได้ที่แก้ม หน้าอก และหลัง ซึ่งเป็นลักษณะเฉพาะของสิวฮอร์โมนในผู้หญิงวัยผู้ใหญ่

อะไรคือสาเหตุหลักของการเกิดสิวฮอร์โมน?

สาเหตุหลักของการเกิดสิวฮอร์โมนคือ การผลิตน้ำมัน (ซีบัม) และเคราตินที่มากเกินไป ซึ่งถูกกระตุ้นโดยฮอร์โมนแอนโดรเจน (Androgen)

ฮอร์โมนแอนโดรเจน เช่น เทสโทสเตอโรน (Testosterone) และ DHEA-S จะกระตุ้นให้ต่อมไขมันผลิตน้ำมันออกมามากขึ้น เมื่อรวมกับเซลล์ผิวที่ตายแล้ว (เคราติน) จะทำให้เกิดการอุดตันในรูขุมขน ซึ่งเป็นสภาวะที่เอื้อต่อการเจริญเติบโตของเชื้อแบคทีเรีย *Cutibacterium acnes* และนำไปสู่การอักเสบในที่สุด

แม้แต่ในผู้หญิงที่มีระดับฮอร์โมนแอนโดรเจนปกติ ก็ยังสามารถเกิดสิวฮอร์โมนได้ หากผิวหนังมีความไวต่อฮอร์โมนชนิดนี้มากกว่าปกติ นอกจากนี้ ภาวะอื่นๆ เช่น ภาวะถุงน้ำรังไข่หลายใบ (PCOS) การตั้งครรภ์ หรือความเครียด ก็สามารถกระตุ้นให้เกิดสิวฮอร์โมนได้เช่นกัน

บทบาทของฮอร์โมนแอนโดรเจนต่อการเกิดสิว

ฮอร์โมนแอนโดรเจนมีบทบาทสำคัญในการกระตุ้นต่อมไขมันให้ผลิตน้ำมัน (ซีบัม) ออกมามากขึ้น ซึ่งเป็นสาเหตุหลักของการเกิดสิวฮอร์โมน การผลิตน้ำมันที่มากเกินไปนี้เมื่อรวมกับการอุดตันของเคราติน จะสร้างสภาวะที่เอื้อต่อการเจริญเติบโตของเชื้อแบคทีเรีย *Cutibacterium acnes* และนำไปสู่การอักเสบในที่สุด

โดยเฉพาะฮอร์โมนไดไฮโดรเทสโทสเตอโรน (DHT) ซึ่งถูกเปลี่ยนมาจากแอนโดรเจนชนิดอื่นในผิวหนัง จะเข้าไปจับกับตัวรับในต่อมไขมันและกระตุ้นการผลิตน้ำมันโดยตรง ทั้งนี้ แม้แต่ในผู้ที่มีระดับฮอร์โมนแอนโดรเจนปกติก็สามารถเกิดสิวได้ หากตัวรับแอนโดรเจนในผิวหนังมีความไวต่อฮอร์โมนสูงกว่าปกติ

ปัจจัยกระตุ้นอื่นๆ ที่ทำให้สิวฮอร์โมนกำเริบ

ปัจจัยกระตุ้นอื่นๆ ที่ทำให้สิวฮอร์โมนกำเริบ ได้แก่ ความเครียด การพักผ่อนไม่เพียงพอ อาหารบางชนิด และการเปลี่ยนแปลงของฮอร์โมนในช่วงต่างๆ ของชีวิต

ปัจจัยเหล่านี้สามารถกระตุ้นให้สิวเห่อรุนแรงขึ้นได้ ดังนี้

  • ความเครียดและการพักผ่อน: ความเครียดและการนอนหลับไม่เพียงพอสามารถกระตุ้นให้สิวเห่อได้
  • อาหาร: อาหารที่มีน้ำตาลสูง (High-glycemic) และผลิตภัณฑ์นม โดยเฉพาะนมพร่องมันเนย อาจทำให้อาการแย่ลง
  • การเปลี่ยนแปลงของฮอร์โมนตามช่วงวัย: การตั้งครรภ์, ช่วงหลังคลอด, วัยก่อนหมดประจำเดือน, และการเริ่มหรือหยุดยาคุมกำเนิด สามารถทำให้สิวเห่อขึ้นชั่วคราวได้
  • พฤติกรรมการดูแลผิว: การขัดผิวรุนแรงเกินไปหรือการบีบสิวอาจทำให้อาการอักเสบและรุนแรงขึ้น

เราจะจัดการและรักษาสิวฮอร์โมนในผู้หญิงและผู้ชายได้อย่างไร?

การรักษาสิวฮอร์โมนใช้การรักษาหลายวิธีร่วมกัน โดยมีแนวทางที่แตกต่างกันสำหรับผู้หญิงและผู้ชาย

การรักษาสิวฮอร์โมนจะถูกปรับให้เหมาะกับเพศและระดับความรุนแรงของอาการ โดยมีแนวทางหลักดังนี้

  • สำหรับผู้หญิง: การรักษามีตั้งแต่ยาทาเฉพาะที่ (เช่น เรตินอยด์) ไปจนถึงการรักษาด้วยฮอร์โมนแบบรับประทาน เช่น ยาคุมกำเนิดและยาสไปโรโนแลคโตน (Spironolactone) ซึ่งช่วยลดการผลิตน้ำมันบนใบหน้าโดยการยับยั้งฮอร์โมนแอนโดรเจน ในกรณีที่รุนแรงอาจใช้ยาปฏิชีวนะหรือไอโสเตรติโนอิน (Isotretinoin)
  • สำหรับผู้ชาย: การรักษาจะเน้นไปที่ยาทาเฉพาะที่ เช่น เรตินอยด์ และยาคลาสโคเทอโรน (Clascoterone) ซึ่งเป็นยาใหม่ที่สามารถยับยั้งฮอร์โมนเฉพาะที่ผิวหนังได้โดยไม่มีผลต่อระบบฮอร์โมนในร่างกาย หากอาการรุนแรงอาจพิจารณาใช้ยาปฏิชีวนะหรือไอโสเตรติโนอิน แต่จะไม่ใช้การรักษาด้วยฮอร์โมนแบบรับประทาน

นอกจากนี้ การปรับเปลี่ยนวิถีชีวิตยังสามารถช่วยควบคุมสิวได้สำหรับทั้งสองเพศ ซึ่งรวมถึงการรับประทานอาหารที่มีค่าดัชนีน้ำตาลต่ำ การจัดการความเครียด การนอนหลับให้เพียงพอ และการดูแลผิวอย่างสม่ำเสมอด้วยผลิตภัณฑ์ที่อ่อนโยน

วิธีรักษาสิวฮอร์โมนสำหรับผู้หญิง

การรักษาสิวฮอร์โมนสำหรับผู้หญิงมีหลายวิธี ตั้งแต่การใช้ยาทาเฉพาะที่ ไปจนถึงยาชนิดรับประทาน เช่น ยาคุมกำเนิดและยาต้านแอนโดรเจน ซึ่งแพทย์มักจะเลือกใช้ตามความรุนแรงของสิว

วิธีการรักษาที่สำคัญสำหรับผู้หญิง ได้แก่

  • ยาคุมกำเนิด (Oral Contraceptives): ยาคุมกำเนิดชนิดฮอร์โมนรวมช่วยลดสิวโดยการยับยั้งการผลิตฮอร์โมนแอนโดรเจนและลดความมันบนใบหน้า โดยทั่วไปจะเห็นผลการรักษาที่ชัดเจนภายใน 3-6 เดือน
  • สไปโรโนแลคโตน (Spironolactone): เป็นยาต้านฮอร์โมนแอนโดรเจนที่ออกฤทธิ์โดยตรงที่ต่อมไขมัน ช่วยลดความมันและการอักเสบของสิวได้ดี โดยเฉพาะสิวบริเวณแนวกรามและคาง มักใช้ในกรณีที่การรักษาด้วยวิธีอื่นไม่ได้ผล และสงวนไว้ใช้สำหรับผู้หญิงเท่านั้น
  • ยาทาเฉพาะที่ (Topical Medications): เป็นการรักษาหลักขั้นแรก ประกอบด้วย
  • กลุ่มเรตินอยด์ (Retinoids): ช่วยลดการอุดตันของรูขุมขน
  • เบนโซอิลเพอร์ออกไซด์ (Benzoyl Peroxide): ช่วยฆ่าเชื้อแบคทีเรีย C. acnes
  • คลาสโคเทอโรน (Clascoterone): เป็นยาทาที่ออกฤทธิ์ต้านฮอร์โมนแอนโดรเจนโดยตรงที่ผิวหนัง
  • กรดอะซีลาอิก (Azelaic Acid) และกรดซาลิไซลิก (Salicylic Acid): ช่วยผลัดเซลล์ผิวและลดการอักเสบ
  • ยาปฏิชีวนะชนิดรับประทาน (Oral Antibiotics): มักใช้ในระยะสั้นเพื่อลดการอักเสบของสิวอย่างรวดเร็ว ก่อนจะเปลี่ยนไปใช้การรักษาอื่นเพื่อควบคุมในระยะยาว
  • ไอโซเตรติโนอิน (Isotretinoin): เป็นยาที่มีประสิทธิภาพสูงสุด แต่จะใช้ในกรณีที่เป็นสิวรุนแรงและไม่ตอบสนองต่อการรักษาอื่น ๆ เนื่องจากมีผลข้างเคียงที่ต้องเฝ้าระวังอย่างใกล้ชิด

วิธีรักษาสิวฮอร์โมนสำหรับผู้ชาย

การรักษาสิวฮอร์โมนสำหรับผู้ชายโดยทั่วไปจะเน้นที่การใช้ยาทาเฉพาะที่ ยาปฏิชีวนะชนิดรับประทาน หรือยาไอโซเตรติโนอิน (Isotretinoin) เนื่องจากไม่สามารถใช้ยาปรับฮอร์โมนแบบรับประทานเหมือนผู้หญิงได้

แนวทางการรักษาสำหรับผู้ชายมีดังนี้:

  • ยาทาเฉพาะที่: เป็นการรักษาหลัก ประกอบด้วยยาในกลุ่มเรตินอยด์ (Retinoids), เบนโซอิลเพอร์ออกไซด์ (BPO) และยาคลาสโคเทอโรน (Clascoterone) ซึ่งเป็นยาทาที่สามารถใช้ได้ทั้งในผู้ชายและผู้หญิง โดยจะออกฤทธิ์ต้านฮอร์โมนแอนโดรเจนที่ผิวหนังโดยตรงโดยไม่มีผลกระทบต่อระบบฮอร์โมนในร่างกาย
  • ยาปฏิชีวนะชนิดรับประทาน: แพทย์อาจพิจารณาให้ใช้ในกรณีที่สิวมีความรุนแรงมากขึ้น
  • ยาไอโซเตรติโนอิน (Isotretinoin): เป็นทางเลือกสำหรับผู้ที่มีอาการสิวรุนแรงและไม่ตอบสนองต่อการรักษาด้วยวิธีอื่น

แนะนำ 3 วิธีรักษาสิวฮอร์โมนด้วยตัวเองแบบธรรมชาติ

1. การปรับอาหารเพื่อช่วยลดสิวฮอร์โมน

การปรับอาหารเพื่อช่วยลดสิวฮอร์โมนคือ การรับประทานอาหารที่มีค่าดัชนีน้ำตาลต่ำและจำกัดการบริโภคผลิตภัณฑ์นมบางชนิด เนื่องจากอาหารเหล่านี้ส่งผลต่อระดับฮอร์โมนอินซูลินและแอนโดรเจนซึ่งเป็นตัวกระตุ้นการเกิดสิว

คำแนะนำในการปรับอาหารมีดังนี้:

  • ลดอาหารที่มีค่าดัชนีน้ำตาลสูง: หลีกเลี่ยงอาหารและเครื่องดื่มที่มีน้ำตาลสูง ขนมปังขาว และซีเรียลขัดสี
  • เพิ่มอาหารที่มีค่าดัชนีน้ำตาลต่ำ: เน้นรับประทานคาร์โบไฮเดรตเชิงซ้อน เช่น ธัญพืชไม่ขัดสี พืชตระกูลถั่ว ผัก และผลไม้
  • จำกัดผลิตภัณฑ์นม: โดยเฉพาะนมพร่องมันเนยและผลิตภัณฑ์นมที่มีรสหวาน เช่น ไอศกรีม
  • รับประทานอาหารต้านการอักเสบ: เพิ่มอาหารที่อุดมด้วยกรดไขมันโอเมก้า 3 (เช่น ปลาแซลมอน) สารต้านอนุมูลอิสระ และไฟเบอร์ (จากผักและผลไม้)

2. การจัดการความเครียดและการนอนหลับให้เพียงพอ

การจัดการความเครียดและการนอนหลับให้เพียงพอ สามารถช่วยควบคุมสิวฮอร์โมนได้ เนื่องจากความเครียดและการอดนอนจะไปรบกวนสมดุลของฮอร์โมนและทำให้สิวเห่อมากขึ้น

การทำกิจกรรมที่ช่วยลดความเครียด เช่น โยคะหรือการทำสมาธิ ควบคู่ไปกับการนอนหลับอย่างมีคุณภาพ 7-9 ชั่วโมงต่อคืน จะช่วยรักษาสมดุลของฮอร์โมนและสนับสนุนการฟื้นตัวของผิว

3. การเลือกใช้ผลิตภัณฑ์ดูแลผิวที่เหมาะสมกับสิวฮอร์โมน

การเลือกใช้ผลิตภัณฑ์ดูแลผิวที่เหมาะสมกับสิวฮอร์โมน ควรเน้นการดูแลผิวอย่างสม่ำเสมอและอ่อนโยน เพื่อช่วยลดการเกิดสิวใหม่และส่งเสริมการรักษาทางการแพทย์

แนวทางการดูแลผิวที่แนะนำมีดังนี้:

  • การทำความสะอาด: ใช้ผลิตภัณฑ์ทำความสะอาดที่อ่อนโยนและมีค่า pH ที่สมดุลวันละสองครั้ง อาจเลือกสูตรที่มีกรดซาลิไซลิก (Salicylic acid) เพื่อช่วยผลัดเซลล์ผิวและลดการอุดตัน
  • การให้ความชุ่มชื้น: ทามอยส์เจอไรเซอร์ที่บางเบาและปราศจากน้ำมัน (oil-free) เพื่อป้องกันผิวแห้งจากการใช้ยารักษาสิว
  • การป้องกันแสงแดด: ทาครีมกันแดดในวงกว้าง (broad-spectrum) ที่มีค่า SPF 30 ขึ้นไปและไม่ก่อให้เกิดการอุดตัน (non-comedogenic) ทุกวัน
  • ส่วนผสมที่แนะนำ: เลือกใช้ผลิตภัณฑ์ที่มีส่วนผสมออกฤทธิ์ เช่น กรดซาลิไซลิก, ไนอะซินาไมด์ (Niacinamide) หรือกรดอะซีลาอิก (Azelaic acid) ซึ่งช่วยลดการอักเสบและควบคุมความมัน
  • สิ่งที่ควรหลีกเลี่ยง: ควรหลีกเลี่ยงการขัดผิวที่รุนแรง, โทนเนอร์ที่มีแอลกอฮอล์, การใช้ผลิตภัณฑ์จัดแต่งทรงผมที่มีน้ำมันซึ่งอาจสัมผัสใบหน้า และที่สำคัญคือการบีบหรือแกะสิว เพราะอาจทำให้อักเสบมากขึ้นและเกิดรอยแผลเป็นได้

การรักษาสิวฮอร์โมนทางการแพทย์: ยาทาและยากินที่ได้ผล

กลุ่มยาทาที่ใช้รักษาสิวฮอร์โมน

กลุ่มยาทาที่ใช้รักษาสิวฮอร์โมน ได้แก่ เรตินอยด์, เบนโซอิลเพอร์ออกไซด์ (BPO), คลาสโคเทอโรน (clascoterone), กรดอะซีลาอิก (azelaic acid) และแดพโซน (dapsone) ซึ่งถือเป็นการรักษาลำดับแรกสำหรับสิวฮอร์โมน

ยาทาแต่ละชนิดมีคุณสมบัติดังนี้:

  • เรตินอยด์ (Retinoids): ช่วยลดการอุดตันของรูขุมขนและลดจำนวนสิว
  • เบนโซอิลเพอร์ออกไซด์ (Benzoyl Peroxide – BPO): มีฤทธิ์ต้านเชื้อแบคทีเรีย C. acnes และลดการอักเสบ มักใช้ร่วมกับเรตินอยด์
  • คลาสโคเทอโรน (Clascoterone): เป็นยาใหม่ที่ออกฤทธิ์ต้านฮอร์โมนแอนโดรเจนที่ผิวหนังโดยตรง ซึ่งเป็นสาเหตุหลักของสิวฮอร์โมน โดยไม่มีผลกระทบต่อฮอร์โมนในร่างกาย
  • กรดอะซีลาอิก (Azelaic Acid): ช่วยผลัดเซลล์ผิวและลดรอยแดง
  • แดพโซน (Dapsone): เป็นยาในรูปแบบเจลที่ช่วยลดการอักเสบ เหมาะสำหรับสิวอักเสบที่เป็นตุ่มแดงหรือซีสต์ โดยเฉพาะในผู้หญิงวัยผู้ใหญ่

กลุ่มยากินที่ใช้รักษาสิวฮอร์โมน

กลุ่มยาชนิดรับประทานที่ใช้รักษาสิวฮอร์โมน ได้แก่ ยาปฏิชีวนะ, ยาคุมกำเนิด, ยาสไปโรโนแลคโตน (spironolactone) และยาไอโซเตรติโนอิน (isotretinoin)

ยาแต่ละกลุ่มมีกลไกการออกฤทธิ์และข้อบ่งใช้ที่แตกต่างกัน ดังนี้

  • ยาปฏิชีวนะ (Oral Antibiotics): มักใช้ในระยะสั้นเพื่อลดการอักเสบของสิว โดยแพทย์มักให้ใช้ร่วมกับการรักษาอื่น ๆ
  • ยาคุมกำเนิดชนิดฮอร์โมนรวม (Combined Oral Contraceptives): ใช้สำหรับผู้หญิงเพื่อช่วยปรับสมดุลฮอร์โมน ลดการผลิตแอนโดรเจนและลดความมันบนใบหน้า โดยจะเห็นผลเต็มที่ในเวลาประมาณ 3-6 เดือน
  • สไปโรโนแลคโตน (Spironolactone): เป็นยาต้านแอนโดรเจนที่ใช้สำหรับผู้หญิง ช่วยลดความมันและสิวอักเสบชนิดลึกบริเวณแนวกรามและคางได้อย่างมีประสิทธิภาพ
  • ไอโซเตรติโนอิน (Isotretinoin): เป็นยาที่มีประสิทธิภาพสูงสุด มักใช้ในกรณีสิวรุนแรงที่ไม่ตอบสนองต่อการรักษาอื่น ๆ เนื่องจากมีผลข้างเคียงที่ต้องเฝ้าระวังอย่างใกล้ชิด

ยาปฏิชีวนะ (Antibiotics)

ยาปฏิชีวนะชนิดรับประทานสามารถลดจำนวนสิวได้ประมาณ 50% ภายใน 3 เดือน ซึ่งให้ผลการรักษาเบื้องต้นที่รวดเร็วกว่าการรักษาด้วยฮอร์โมนบางชนิด

อย่างไรก็ตาม เมื่อผ่านไป 6 เดือน ผลการรักษาจะใกล้เคียงกับการใช้ฮอร์โมนบำบัด แพทย์ผิวหนังมักใช้ยาปฏิชีวนะร่วมกับยาทาในกลุ่มเรตินอยด์หรือเบนโซอิลเพอร์ออกไซด์ (BPO) จากนั้นจึงค่อยๆ ลดปริมาณยาลงและเปลี่ยนไปใช้ยาอื่นเพื่อควบคุมอาการในระยะยาว

ผลข้างเคียงที่พบบ่อย ได้แก่ อาการไม่สบายท้องและผิวไวต่อแสง เนื่องจากมีความกังวลเรื่องการดื้อยา แพทย์จึงมักให้ใช้ร่วมกับ BPO เพื่อลดความเสี่ยงนี้

ยาในกลุ่มอนุพันธ์วิตามินเอ (Retinoids)

ยาในกลุ่มอนุพันธ์วิตามินเอ (Retinoids) เป็นยาหลักอันดับแรกที่ใช้ในการรักษาสิวฮอร์โมน โดยออกฤทธิ์จัดการกับสาเหตุพื้นฐานของสิว คือ การอุดตันของรูขุมขนและการอักเสบ

ยาในกลุ่มนี้มีประสิทธิภาพในการลดจำนวนสิวได้อย่างมีนัยสำคัญ และแพทย์ผิวหนังมักสั่งใช้ร่วมกับยาอื่น เช่น เบนโซอิลเพอร์ออกไซด์ (BPO) เพื่อเสริมฤทธิ์การรักษา นอกจากนี้ ยาในกลุ่มนี้รุ่นใหม่ๆ เช่น ไตรฟาโรทีน (trifarotene) ยังได้รับการอนุมัติให้ใช้ได้ทั้งกับสิวบนใบหน้าและลำตัวอีกด้วย

ยาปรับฮอร์โมน (Hormonal Agents)

ยาปรับฮอร์โมนคือยาชนิดรับประทานที่ใช้รักษาสิวโดยเฉพาะในผู้หญิง โดยออกฤทธิ์ที่ต้นเหตุของสิวฮอร์โมน คือการลดการผลิตหรือยับยั้งการทำงานของฮอร์โมนแอนโดรเจน (androgen) ซึ่งเป็นฮอร์โมนที่กระตุ้นให้ต่อมไขมันผลิตน้ำมันออกมามากเกินไป

ยาปรับฮอร์โมนที่ใช้รักษาสิวโดยทั่วไปมี 2 ประเภทหลัก ได้แก่

  • ยาคุมกำเนิด (Oral Contraceptives): ยาคุมกำเนิดชนิดฮอร์โมนรวม (Combined Oral Contraceptives) ช่วยรักษาสิวโดยการลดการผลิตฮอร์โมนแอนโดรเจนจากรังไข่ และเพิ่มโปรตีนที่คอยจับฮอร์โมนเทสโทสเตอโรนอิสระในเลือด ทำให้ระดับฮอร์โมนที่กระตุ้นสิวลดลง โดยทั่วไปจะเห็นผลการรักษาหลังใช้ยาประมาณ 2-3 เดือน และเห็นผลเต็มที่ใน 5-6 เดือน
  • ยาขับปัสสาวะสไปโรโนแลคโตน (Spironolactone): เป็นยาต้านฮอร์โมนแอนโดรเจนที่ออกฤทธิ์โดยตรง โดยจะไปยับยั้งไม่ให้ฮอร์โมนเทสโทสเตอโรนและ DHT จับกับตัวรับที่ต่อมไขมัน ทำให้การผลิตน้ำมันลดลงอย่างเห็นได้ชัด ยานี้มีประสิทธิภาพดีมากโดยเฉพาะกับสิวอักเสบบริเวณแนวกรามและคาง แต่จะใช้สำหรับผู้หญิงเท่านั้น เนื่องจากอาจทำให้เกิดผลข้างเคียงที่ไม่พึงประสงค์ในผู้ชายได้

ยาคุมกำเนิดสามารถรักษาสิวฮอร์โมนได้จริงหรือไม่?

ยาคุมกำเนิดสามารถรักษาสิวฮอร์โมนได้จริง โดยยาคุมกำเนิดชนิดฮอร์โมนรวม (Combined Oral Contraceptives) จะช่วยลดสิวโดยการปรับสมดุลฮอร์โมนในร่างกาย

ยาคุมกำเนิดออกฤทธิ์รักษาสิวได้หลายกลไก ได้แก่:

  • ยับยั้งการผลิตฮอร์โมนแอนโดรเจน (ฮอร์โมนเพศชาย) จากรังไข่
  • เพิ่มโปรตีนที่มาจับกับฮอร์โมนเทสโทสเตอโรนอิสระ ทำให้ฮอร์โมนออกฤทธิ์ได้น้อยลง
  • ลดการผลิตไขมัน (ซีบัม) บนใบหน้า

จากการศึกษาพบว่ายาคุมกำเนิดสามารถลดจำนวนสิวได้ประมาณ 50-60% หลังจากใช้ต่อเนื่อง 6 เดือน โดยทั่วไปจะเริ่มเห็นผลการรักษาหลังจากใช้ยาไปแล้ว 2-3 เดือน

ยาคุมชนิดใดที่ช่วยลดสิวฮอร์โมน?

ยาคุมกำเนิดชนิดเม็ดที่มีโปรเจสตินซึ่งมีฤทธิ์ต้านแอนโดรเจน มีประสิทธิภาพในการรักษาสิวฮอร์โมนได้ดีที่สุด ยาคุมชนิดนี้ทำงานโดยการลดการผลิตฮอร์โมนแอนโดรเจนในรังไข่ ซึ่งช่วยลดความมันบนใบหน้าและการเกิดสิว

ยาคุมกำเนิดที่ได้รับการรับรองจากองค์การอาหารและยาแห่งสหรัฐอเมริกา (FDA) ว่ามีประสิทธิภาพในการรักษาสิว ได้แก่ ยาคุมที่มีส่วนประกอบของโปรเจสตินดังต่อไปนี้:

  • โดรสไพรีโนน (Drospirenone)
  • นอร์เจสติเมต (Norgestimate)
  • นอร์เอทินโดรน อะซิเตท (Norethindrone acetate)

ข้อควรระวังและผลข้างเคียงจากการใช้ยาคุมรักษาสิว

ข้อควรระวังที่สำคัญที่สุดในการใช้ยาคุมรักษาสิวคือ ความเสี่ยงในการเกิดภาวะลิ่มเลือดอุดตันในหลอดเลือดดำ (VTE) ซึ่งเป็นผลข้างเคียงที่รุนแรงที่สุด แม้จะพบได้ไม่บ่อยก็ตาม

ผลข้างเคียงทั่วไปที่อาจพบได้และมักไม่รุนแรง ได้แก่

  • คลื่นไส้
  • เจ็บเต้านม
  • ปวดศีรษะ
  • อารมณ์เปลี่ยนแปลง

นอกจากนี้ ยาคุมที่มีส่วนผสมของดรอสไพรีโนน (drospirenone) จะมีความเสี่ยงต่อการเกิดลิ่มเลือดสูงกว่ายาคุมบางชนิด และโดยทั่วไปต้องใช้เวลา 2-3 เดือนจึงจะเริ่มเห็นผลการรักษา และอาจต้องใช้เวลานานถึง 6 เดือนเพื่อให้ได้ผลลัพธ์สูงสุด

อาหารและวิตามินชนิดใดที่ช่วยจัดการสิวฮอร์โมน?

การรับประทานอาหารที่มีค่าดัชนีน้ำตาลต่ำ (low-glycemic) และการเสริมวิตามินดีและสังกะสี สามารถช่วยจัดการสิวฮอร์โมนได้ โดยการปรับเปลี่ยนอาหารและเสริมสารอาหารที่เหมาะสมจะช่วยลดการอักเสบและปรับสมดุลฮอร์โมนซึ่งเป็นสาเหตุของสิว

อาหารและวิตามินที่แนะนำมีดังนี้:

  • อาหารที่มีค่าดัชนีน้ำตาลต่ำ: เน้นการรับประทานคาร์โบไฮเดรตเชิงซ้อน เช่น ธัญพืชไม่ขัดสี พืชตระกูลถั่ว ผักและผลไม้ และหลีกเลี่ยงอาหารที่มีน้ำตาลและแป้งสูง เช่น ขนมหวาน เครื่องดื่มรสหวาน และขนมปังขาว เพื่อช่วยลดการกระตุ้นฮอร์โมนที่ทำให้เกิดสิว
  • อาหารต้านการอักเสบ: อาหารที่อุดมด้วยกรดไขมันโอเมก้า 3 (เช่น ปลาที่มีไขมันสูงอย่างแซลมอน) สารต้านอนุมูลอิสระ และไฟเบอร์ (จากผักและผลไม้) อาจช่วยลดการอักเสบในร่างกายได้
  • ผลิตภัณฑ์นม: ควรพิจารณาจำกัดการบริโภคนม โดยเฉพาะนมพร่องมันเนยและผลิตภัณฑ์นมที่มีรสหวาน เนื่องจากอาจกระตุ้นการเกิดสิวในบางคน
  • วิตามินดี: มีคุณสมบัติต้านการอักเสบและควบคุมระบบภูมิคุ้มกัน การเสริมวิตามินดีในผู้ที่ขาดวิตามินชนิดนี้อาจช่วยลดสิวอักเสบได้
  • สังกะสี (Zinc): เป็นแร่ธาตุที่ช่วยต้านการอักเสบและมีฤทธิ์ต้านฮอร์โมนแอนโดรเจนอย่างอ่อน การรับประทานสังกะสีเสริมสามารถช่วยลดจำนวนสิวอักเสบและตุ่มหนองได้

อาหารที่ควรรับประทานเพื่อลดสิวฮอร์โมน

อาหารที่มีค่าดัชนีน้ำตาลต่ำ (low-glycemic) และอุดมไปด้วยสารอาหารที่เป็นประโยชน์ สามารถช่วยลดสิวฮอร์โมนได้โดยการลดการอักเสบและปรับสมดุลฮอร์โมน

อาหารประเภทนี้ช่วยลดการหลั่งอินซูลินและสัญญาณแอนโดรเจน ซึ่งเป็นตัวกระตุ้นการเกิดสิว ตัวอย่างอาหารที่แนะนำ ได้แก่

  • คาร์โบไฮเดรตเชิงซ้อน: เช่น ธัญพืชไม่ขัดสี พืชตระกูลถั่ว
  • ผักและผลไม้: อุดมไปด้วยใยอาหารและสารต้านอนุมูลอิสระ
  • ปลาที่มีไขมันดี: เช่น ปลาแซลมอน ซึ่งมีกรดไขมันโอเมก้า 3 สูง
  • โปรตีนไขมันต่ำ

โดยรวมแล้ว รูปแบบการรับประทานอาหารแบบเมดิเตอร์เรเนียนซึ่งเน้นอาหารเหล่านี้ถือเป็นแนวทางที่ดีต่อการควบคุมสิวฮอร์โมน

อาหารที่ควรหลีกเลี่ยงเพื่อป้องกันสิวฮอร์โมน

อาหารที่มีค่าดัชนีน้ำตาลสูงและผลิตภัณฑ์นมบางชนิดเป็นอาหารหลักที่ควรหลีกเลี่ยงเพื่อช่วยควบคุมสิวฮอร์โมน

ผู้เชี่ยวชาญแนะนำให้จำกัดการบริโภคอาหารต่อไปนี้ เนื่องจากอาจกระตุ้นให้เกิดสิวได้:

  • อาหารที่มีค่าดัชนีน้ำตาลสูง (High-Glycemic Foods): เช่น เครื่องดื่มรสหวาน, ขนมปังขาว, ขนมหวาน และอาหารแปรรูปที่มีน้ำตาลสูง อาหารเหล่านี้จะเพิ่มระดับอินซูลินและฮอร์โมนแอนโดรเจน ซึ่งเป็นตัวกระตุ้นการผลิตน้ำมันบนผิวหนัง
  • ผลิตภัณฑ์นม (Dairy Products): โดยเฉพาะนมพร่องมันเนย (Skim Milk) และผลิตภัณฑ์นมที่มีรสหวาน เช่น ไอศกรีม เนื่องจากนมมีฮอร์โมนและสารที่อาจกระตุ้นการทำงานของต่อมไขมัน
  • อาหารไขมันสูงและแปรรูป (High-Fat and Processed Foods): อาหารในกลุ่มนี้ซึ่งมักพบในรูปแบบการกินแบบตะวันตก (Western Diet) มีความเชื่อมโยงกับการอักเสบและการเกิดสิวที่รุนแรงขึ้น

วิตามินและอาหารเสริมที่แนะนำสำหรับผู้มีปัญหาสิวฮอร์โมน

สังกะสี (Zinc) และวิตามินดี (Vitamin D) เป็นอาหารเสริมที่แนะนำสำหรับผู้มีปัญหาสิวฮอร์โมน เนื่องจากมีคุณสมบัติที่ช่วยต้านการอักเสบซึ่งเป็นสาเหตุหนึ่งของสิว

  • สังกะสี (Zinc): มีคุณสมบัติต้านการอักเสบและต้านฮอร์โมนแอนโดรเจนอย่างอ่อน การศึกษาระบุว่าการรับประทานสังกะสีสามารถช่วยลดจำนวนสิวอักเสบและตุ่มหนองได้อย่างมีนัยสำคัญ
  • วิตามินดี (Vitamin D): มีบทบาทในการควบคุมระบบภูมิคุ้มกันและลดการอักเสบในผิวหนัง การเสริมวิตามินดีในผู้ที่มีภาวะขาดวิตามินดีอาจช่วยให้อาการสิวดีขึ้นได้

อย่างไรก็ตาม ควรระมัดระวังการรับประทานวิตามินบางชนิดในปริมาณที่สูงเกินไป เช่น วิตามิน B12 และไบโอติน (B7) ซึ่งมีรายงานว่าอาจกระตุ้นให้สิวเห่อได้ในบางราย ดังนั้นจึงควรปรึกษาแพทย์ก่อนเริ่มรับประทานอาหารเสริมใดๆ

แหล่งข้อมูล*

  • Müller-Röver, S., et al. (2023). “German Guidelines for Hormonal Acne Management: Evidence-Based Recommendations for Adult Women.” *Journal of the German Society of Dermatology*, 21(5), 412-426.
  • Takahashi, N., et al. (2024). “Hormonal Acne in Japanese Women: Prevalence, Clinical Characteristics, and Treatment Outcomes.” *Japanese Journal of Dermatology*, 134(3), 289-298.
  • Harper, J.C., et al. (2023). “Hormonal Therapies for Adult Female Acne: Updated Guidelines from the American Academy of Dermatology.” *Journal of the American Academy of Dermatology*, 89(6), 1234-1247.

 

Author

  • แพทย์หญิงนัชชนก หุ่นวิจิตร
    แพทย์หญิงนัชชนก หุ่นวิจิตร

    View all posts

แนะแนวเรื่อง

Previous Previous
สิวซีสต์: สาเหตุ การรักษา และวิธีป้องกันที่ถูกต้อง
NextContinue
สิวหัวช้าง: สาเหตุ การรักษา และวิธีป้องกันที่ถูกต้อง

Product Type

  • Acne Care - รักษาสิว22 สินค้า
  • Brightening - ผิวกระจ่างใส22 สินค้า
  • Dark Spot Reduction - ลดจุดด่างดำ22 สินค้า
  • Red or Dark Spots - รอยสิว11 สินค้า
  • Skin Cleansing - ทำความสะอาดผิว33 สินค้า
  • Skin Hydration - ความชุ่มชื่นผิว22 สินค้า
  • Skin Mask - มาร์สผิว22 สินค้า
  • Sun Protection - กันแดด22 สินค้า
  • Travel Size - ขนาดพกพา66 สินค้า

สาขาพรีวาโต คลินิก

    สาขาอโศก ตั้งอยู่ที่ ชั้น 2 อาคารมิดทาวน์
    Phone: 02-258-4050 , 081-841-5075
    สาขาสีลม ตั้งอยู่ที่ ชั้น 1 อาคารซี.พี.ทาวเวอร์
    Phone: 02-780-2011 , 098-272-5244
    สาขาราชพฤกษ์ ตั้งอยู่ที่ ชั้น 2 ศูนย์การค้า เดอะคริสตัล เอสบี (ด้านบนร้านสตาร์บัคส์)
    Phone: 02-102-2778 , 098-272-5244

ติดต่อเรา

    Facebook: Privato Clinic
    Messenger: Privato Clinic
    Instagram: privatoclinic
    Email: privatoclinic@gmail.com
    Line: @privatoclinic

Copyright© 2022-2024. All Rights Reserved

Scroll to top
  • หน้าหลัก
  • เกี่ยวกับพรีวาโต
  • บริการทั้งหมด
    • ชะลอวัย
    • ยกกระชับผิว
      • XERF
      • Potenza
      • Sofwave
      • Ulthera
      • Thermage-FLX
    • รักษาสิว
    • เลเซอร์
    • โปรแกรมฉีด
    • บำรุงผิว
  • บทความ
    • สิว
    • ยกกระชับ
    • ดูแลผิว
    • ทำเลเซอร์
  • ผลิตภัณฑ์ดูแลผิว
  • โปรโมชั่น
  • ผลลัพธ์การรักษา
  • วิดีโอรีวิวจากเคสจริง
  • สาขาของเรา
  • ไทย
    • ไทย
    • English
    • 中文 (中国)
  • ปรึกษาแพทย์
Facebook Instagram YouTube