สิวฮอร์โมนในผู้หญิง วิธีดูแลตัวเองขั้นพื้นฐาน ลดเสี่ยงกำเริบ
สิวฮอร์โมนในผู้หญิงรักษายังไง — สิวฮอร์โมนในผู้หญิงคือสิวเรื้อรังหลังอายุ 25 ปีที่เห่อก่อนมีประจำเดือนและเกี่ยวข้องกับภาวะแอนโดรเจน โดยพบร่วมกับภาวะถุงน้ำรังไข่หลายใบได้ถึง 70% แพทย์แนะนำการดูแลที่ถูกต้องเพื่อลดการกำเริบ.
สิวฮอร์โมนในผู้หญิงคืออะไร ลักษณะและตำแหน่งที่พบบ่อย
สิวฮอร์โมนในผู้หญิงคือสิวที่มักเกิดขึ้นซ้ำๆ หรือเรื้อรังหลังอายุ 25 ปี ซึ่งอาจต่อเนื่องมาจากช่วงวัยรุ่นหรือเพิ่งเริ่มเป็นในวัยผู้ใหญ่ สิวชนิดนี้มักตอบสนองต่อยาที่หาซื้อได้ทั่วไปเพียงเล็กน้อย
ลักษณะและตำแหน่งที่พบบ่อยของสิวฮอร์โมน ได้แก่:
- ลักษณะสิว: มักเป็นสิวอักเสบชนิดซีสต์ (Cyst) หรือสิวหัวช้าง (Nodule) ที่อยู่ลึกใต้ผิวหนัง ทำให้รู้สึกเจ็บและหายช้า
- ตำแหน่ง: สิวจะขึ้นหนาแน่นบริเวณกรอบหน้าส่วนล่าง หรือที่เรียกว่า “U-zone” ซึ่งได้แก่ บริเวณกราม คาง และอาจลามไปถึงลำคอ ซึ่งแตกต่างจากสิววัยรุ่นที่มักขึ้นบริเวณ “T-zone” (หน้าผาก จมูก และแก้มส่วนบน)
- ช่วงเวลา: สิวชนิดนี้มักเห่อขึ้นเป็นพิเศษในช่วงก่อนมีประจำเดือน และจะค่อยๆ ดีขึ้นเมื่อประจำเดือนหมดไป
ความแตกต่างระหว่างสิวฮอร์โมนกับสิวทั่วไป
สิวฮอร์โมนแตกต่างจากสิวทั่วไปในด้านตำแหน่งที่เกิด ลักษณะของสิว และรูปแบบการเกิดที่สัมพันธ์กับรอบเดือน โดยสิวฮอร์โมนในผู้ใหญ่มักมีลักษณะเป็นสิวอักเสบชนิดซีสต์ที่อยู่ลึกใต้ผิวหนังและเจ็บ ในขณะที่สิวทั่วไปมักเป็นสิวอุดตันและสิวหนองที่อยู่ตื้นกว่า
ความแตกต่างที่สำคัญ ได้แก่
- ตำแหน่ง: สิวฮอร์โมนมักเกิดบริเวณกรอบหน้า คาง และกราม (U-zone) ส่วนสิวทั่วไปมักพบบริเวณหน้าผากและจมูก (T-zone)
- ลักษณะสิว: สิวฮอร์โมนมักเป็นสิวซีสต์หรือตุ่มนูนแดงขนาดใหญ่ใต้ผิวหนังซึ่งหายช้า ในขณะที่สิวทั่วไปมักเป็นสิวอุดตัน (สิวหัวดำ สิวหัวขาว) และสิวหนอง
- รูปแบบการเกิด: สิวฮอร์โมนมักเห่อขึ้นเป็นรอบๆ สัมพันธ์กับช่วงก่อนมีประจำเดือน แต่สิวทั่วไปสามารถเกิดขึ้นได้ตลอดเวลาโดยไม่มีรูปแบบที่ชัดเจน
- การตอบสนองต่อยา: สิวฮอร์โมนมักไม่ค่อยตอบสนองต่อยาทาที่หาซื้อได้ทั่วไปซึ่งมักใช้ได้ผลกับสิวในวัยรุ่น
ตำแหน่งสิวฮอร์โมนขึ้นตรงไหนบ้าง
สิวฮอร์โมนมักขึ้นบริเวณแนวขากรรไกร คาง และลำคอ ซึ่งเป็นตำแหน่งที่บ่งชี้ถึงสาเหตุจากฮอร์โมนได้อย่างชัดเจน นอกจากนี้ สิวอาจขึ้นบริเวณแก้มส่วนล่างร่วมด้วย ทำให้เกิดการกระจายตัวของสิวในลักษณะรูปตัวยู (U-shaped distribution) หรือที่เรียกว่า “U-zone” ซึ่งแตกต่างจากสิวในวัยรุ่นที่มักจะขึ้นบริเวณทีโซน (T-zone) เช่น หน้าผากและจมูก
ลักษณะสิวฮอร์โมนเป็นแบบไหน
สิวฮอร์โมนมักมีลักษณะเป็นสิวอักเสบชนิดลึก เช่น สิวซีสต์และสิวหัวช้างที่เจ็บปวด ซึ่งมักขึ้นบริเวณแนวขากรรไกร คาง และลำคอ สิวประเภทนี้มักเป็นเรื้อรังในผู้ใหญ่ และดื้อต่อยาทาที่หาซื้อได้ทั่วไป
ลักษณะเด่นอื่นๆ ของสิวฮอร์โมน ได้แก่:
- ตำแหน่งที่ขึ้น: มักจะขึ้นบริเวณกรอบหน้าส่วนล่าง หรือที่เรียกว่า “U-zone” (แนวขากรรไกร คาง และแก้มส่วนล่าง) ซึ่งต่างจากสิววัยรุ่นที่มักขึ้นบริเวณ “T-zone” (หน้าผาก จมูก)
- ชนิดของสิว: เป็นสิวอักเสบใต้ผิวหนังที่เจ็บปวดและใช้เวลาในการรักษานาน ต่างจากสิวทั่วไปที่มักเป็นสิวหัวดำ สิวหัวขาว หรือตุ่มหนองที่ผิวชั้นบน
- การเห่อตามรอบเดือน: สิวจะเห่อขึ้นเป็นรอบๆ สัมพันธ์กับรอบเดือน โดยมักจะรุนแรงที่สุดในช่วง 7-10 วันก่อนมีประจำเดือน และจะค่อยๆ ดีขึ้นเมื่อประจำเดือนมา
สาเหตุและปัจจัยที่ทำให้เกิดสิวฮอร์โมนในผู้หญิง
การเปลี่ยนแปลงของฮอร์โมนช่วงประจำเดือน
ช่วงที่สิวมักจะเห่อมากที่สุดในรอบเดือนมี 2 ช่วงหลักๆ คือ ช่วงตกไข่และช่วงก่อนมีประจำเดือน ซึ่งเกิดจากการเปลี่ยนแปลงของระดับฮอร์โมน
- ช่วงตกไข่: ร่างกายจะมีการเพิ่มขึ้นของฮอร์โมนแอนโดรเจนเล็กน้อย และระดับฮอร์โมนเทสโทสเตอโรนจะขึ้นสู่จุดสูงสุด ซึ่งกระตุ้นการผลิตไขมันบนผิวหนัง (ซีบัม) และอาจทำให้เกิดสิวได้
- ช่วงก่อนมีประจำเดือน (Luteal Phase): ประมาณ 7-10 วันก่อนมีประจำเดือน ฮอร์โมนโปรเจสเตอโรนจะสูงขึ้นในขณะที่เอสโตรเจนลดลง ทำให้ผิวผลิตน้ำมันมากขึ้นและเกิดสิวได้ง่าย โดยเฉพาะบริเวณคางและกราม สิวจะเห่อมากที่สุดในช่วงนี้และมักจะดีขึ้นเมื่อประจำเดือนมา
ภาวะฮอร์โมนไม่สมดุลและโรคที่เกี่ยวข้อง
ภาวะฮอร์โมนไม่สมดุลและโรคที่เกี่ยวข้องซึ่งทำให้เกิดสิวฮอร์โมน ได้แก่ ภาวะถุงน้ำรังไข่หลายใบ (PCOS), ภาวะแอนโดรเจนเกิน (hyperandrogenism) และภาวะดื้อต่ออินซูลิน ภาวะเหล่านี้ส่งผลกระทบต่อการผลิตฮอร์โมนและกระตุ้นให้เกิดสิว
- ภาวะถุงน้ำรังไข่หลายใบ (PCOS): เป็นสาเหตุที่พบบ่อยของสิวในผู้หญิงวัยผู้ใหญ่ โดยพบในผู้หญิงที่มีภาวะแอนโดรเจนเกินและเป็นสิวถึง 70% นอกจากสิวแล้ว ผู้ป่วยมักมีอาการอื่นร่วมด้วย เช่น ประจำเดือนมาไม่ปกติ และมีขนขึ้นตามร่างกายหรือใบหน้ามากกว่าปกติ
- ภาวะแอนโดรเจนเกิน (Hyperandrogenism): คือภาวะที่มีฮอร์โมนเพศชาย (แอนโดรเจน) สูงเกินไป ซึ่งอาจมาจากรังไข่ (เช่นใน PCOS) หรือต่อมหมวกไต ทำให้ผิวผลิตน้ำมันออกมามากเกินไปและเกิดสิว
- ภาวะดื้อต่ออินซูลิน: ระดับอินซูลินที่สูงจะกระตุ้นให้รังไข่และต่อมหมวกไตผลิตแอนโดรเจนมากขึ้น นอกจากนี้ยังไปเพิ่มระดับของสาร IGF-1 (insulin-like growth factor) ซึ่งกระตุ้นต่อมไขมันโดยตรง ทำให้การผลิตน้ำมันเพิ่มขึ้นและเกิดการอักเสบ
ปัจจัยกระตุ้นจากพฤติกรรมและสิ่งแวดล้อม
ปัจจัยกระตุ้นจากพฤติกรรมและสิ่งแวดล้อมที่ทำให้เกิดสิวฮอร์โมน ได้แก่ อาหารที่มีน้ำตาลสูง ผลิตภัณฑ์นม ความเครียด การนอนหลับไม่เพียงพอ และสารเคมีในสิ่งแวดล้อม
- อาหาร: อาหารที่มีค่าดัชนีน้ำตาลสูง (เช่น อาหารที่มีน้ำตาลและคาร์โบไฮเดรตสูง) และผลิตภัณฑ์นม (โดยเฉพาะนมพร่องมันเนย) มีความสัมพันธ์กับการเกิดสิวที่รุนแรงขึ้น เนื่องจากสามารถกระตุ้นการผลิตอินซูลินและ IGF-1 ซึ่งส่งผลให้ต่อมไขมันผลิตน้ำมันออกมามากขึ้น
- ความเครียด: ความเครียดเรื้อรังจะเพิ่มระดับฮอร์โมนคอร์ติซอล ซึ่งกระตุ้นการผลิตน้ำมันในผิวหนังโดยตรง อีกทั้งยังส่งเสริมการอักเสบและทำให้การฟื้นฟูของผิวแย่ลง
- การนอนหลับ: การนอนหลับไม่เพียงพอเป็นอีกสาเหตุหนึ่งที่ทำให้ระดับฮอร์โมนคอร์ติซอลสูงขึ้น ซึ่งเป็นตัวกระตุ้นให้เกิดสิวฮอร์โมนได้
- สารเคมีในสิ่งแวดล้อม: การสัมผัสกับสารเคมีที่รบกวนการทำงานของต่อมไร้ท่อ (Endocrine Disruptors) เช่น BPA ในพลาสติก หรือ Phthalates ในเครื่องสำอาง อาจส่งผลกระทบต่อความสมดุลของฮอร์โมนและการผลิตน้ำมันของผิวได้
วิธีรักษาสิวฮอร์โมนด้วยการดูแลตัวเองขั้นพื้นฐาน
การรักษาสิวฮอร์โมนด้วยการดูแลตัวเองขั้นพื้นฐานทำได้โดย การใช้ผลิตภัณฑ์ดูแลผิวที่เหมาะสม ปรับเปลี่ยนการรับประทานอาหาร จัดการความเครียด และนอนหลับให้เพียงพอ การดูแลเหล่านี้จะช่วยควบคุมปัจจัยกระตุ้นและส่งเสริมสุขภาพผิวโดยรวม
แนวทางการดูแลตัวเองเบื้องต้นมีดังนี้
การดูแลผิว:
- ล้างหน้าอย่างอ่อนโยน: ใช้ผลิตภัณฑ์ทำความสะอาดที่อ่อนโยน ปราศจากซัลเฟต วันละ 2 ครั้ง และหลีกเลี่ยงการขัดถูผิวแรงๆ
- เลือกผลิตภัณฑ์ที่ไม่อุดตัน: ใช้มอยส์เจอไรเซอร์ ครีมกันแดด และเครื่องสำอางที่ระบุว่า “non-comedogenic” (ไม่ก่อให้เกิดการอุดตัน)
- ใช้ยาทาเฉพาะที่: ผลิตภัณฑ์ที่มีส่วนผสมของกรดซาลิไซลิก (Salicylic Acid) ช่วยลดการอุดตันในรูขุมขน และเบนโซอิลเพอร์ออกไซด์ (Benzoyl Peroxide) ช่วยฆ่าเชื้อแบคทีเรียที่ก่อให้เกิดสิวอักเสบ
- ให้ความชุ่มชื้น: แม้ผิวมันก็ควรใช้มอยส์เจอไรเซอร์ที่บางเบา เพื่อรักษาสมดุลและเสริมสร้างเกราะป้องกันผิว
- การปรับเปลี่ยนอาหาร:
- ลดอาหารที่มีน้ำตาลสูง: หลีกเลี่ยงอาหารและเครื่องดื่มที่มีน้ำตาลสูงและคาร์โบไฮเดรตขัดสี ซึ่งจะไปกระตุ้นการผลิตน้ำมันบนผิว
- ทานอาหารต้านการอักเสบ: เพิ่มการทานปลาที่มีไขมันสูง (อุดมด้วยโอเมก้า 3) ผัก และผลไม้
- พิจารณาจำกัดผลิตภัณฑ์นม: นม โดยเฉพาะนมพร่องมันเนย อาจเป็นตัวกระตุ้นให้เกิดสิวในบางคน
- การปรับเปลี่ยนวิถีชีวิต:
- จัดการความเครียด: ความเครียดทำให้ร่างกายหลั่งฮอร์โมนคอร์ติซอลซึ่งกระตุ้นการผลิตน้ำมัน ควรหาวิธีผ่อนคลาย เช่น ออกกำลังกายหรือทำสมาธิ
- นอนหลับให้เพียงพอ: การนอนหลับ 7-9 ชั่วโมงต่อคืนช่วยควบคุมระดับฮอร์โมนและสนับสนุนการซ่อมแซมผิว
- หลีกเลี่ยงการบีบแกะสิว: การสัมผัสใบหน้าหรือบีบสิวจะทำให้อาการอักเสบรุนแรงขึ้นและเสี่ยงต่อการเกิดรอยแผลเป็น
การทำความสะอาดและดูแลผิวหน้าที่ถูกวิธี
การทำความสะอาดและดูแลผิวหน้าที่ถูกวิธีคือการล้างหน้าอย่างอ่อนโยนวันละ 2 ครั้งด้วยผลิตภัณฑ์ที่ปราศจากซัลเฟตและไม่ก่อให้เกิดการระคายเคือง เพื่อรักษาสมดุลของผิวและหลีกเลี่ยงการกระตุ้นให้เกิดสิวมากขึ้น
หลักการดูแลผิวหน้าที่สำคัญมีดังนี้:
- หลีกเลี่ยงการล้างบ่อยหรือขัดถูแรงๆ: การทำความสะอาดที่รุนแรงเกินไปจะทำลายเกราะป้องกันผิวและกระตุ้นให้ผิวผลิตน้ำมันออกมามากกว่าเดิม
- ใช้มอยส์เจอไรเซอร์เสมอ: แม้แต่ผิวมันก็ควรใช้มอยส์เจอไรเซอร์ชนิดเบาและไม่ก่อให้เกิดการอุดตัน (non-comedogenic) เพื่อป้องกันผิวขาดน้ำและรักษาสมดุล
- เลือกผลิตภัณฑ์ที่เหมาะสม: ควรเลือกใช้ผลิตภัณฑ์บำรุงผิว ครีมกันแดด และเครื่องสำอางที่เป็นสูตร non-comedogenic เพื่อไม่ให้เกิดการอุดตันรูขุมขน
- มองหาส่วนผสมที่เป็นประโยชน์: ส่วนผสมอย่างเซราไมด์ (ceramides) และไนอะซินาไมด์ (niacinamide) ช่วยเสริมสร้างเกราะป้องกันผิวให้แข็งแรงและควบคุมความมันได้ดี
การปรับอาหารและโภชนาการเพื่อสมดุลฮอร์โมน
การปรับอาหารและโภชนาการเพื่อช่วยปรับสมดุลฮอร์โมนทำได้โดยการรับประทานอาหารต้านการอักเสบและมีค่าดัชนีน้ำตาลต่ำ ควบคู่ไปกับการเสริมสารอาหารที่จำเป็นบางชนิด
แนวทางการปรับอาหารและโภชนาการที่สำคัญมีดังนี้:
- อาหารต้านการอักเสบ: เน้นอาหารที่อุดมด้วยโอเมก้า 3 เช่น ปลาที่มีไขมันสูง (หรืออาหารเสริมน้ำมันปลา) ผลไม้ตระกูลเบอร์รี่ และผักใบเขียว ซึ่งช่วยลดการอักเสบของสิวได้
- อาหารที่มีค่าดัชนีน้ำตาลต่ำ (Low-Glycemic): จำกัดอาหารที่มีน้ำตาลสูงและคาร์โบไฮเดรตขัดสี เพื่อลดการกระตุ้นของอินซูลินและ IGF-1 ซึ่งเป็นตัวการที่ทำให้ผลิตไขมันบนผิวมากขึ้น
- ผลิตภัณฑ์นม: อาจพิจารณาจำกัดการบริโภคนม โดยเฉพาะนมพร่องมันเนย หากสังเกตเห็นว่ามีความเชื่อมโยงกับการเกิดสิว
- อาหารปรับฮอร์โมน: การดื่มชาเขียวหรือรับประทานเมล็ดแฟลกซ์บดอาจมีส่วนช่วยในการปรับสมดุลฮอร์โมนอย่างอ่อนโยน
- วิตามินและแร่ธาตุ: การเสริมสังกะสี (Zinc) และวิตามินดี (Vitamin D) อาจช่วยลดการอักเสบของสิวได้ ในขณะที่การได้รับวิตามินเอและบี 5 อย่างเพียงพอจากอาหารก็มีส่วนช่วยให้สุขภาพผิวดีขึ้น
การจัดการความเครียดและการนอนหลับ
การจัดการความเครียดและการนอนหลับให้เพียงพอเป็นสิ่งสำคัญในการควบคุมสิวฮอร์โมน เนื่องจากความเครียดและการพักผ่อนไม่เพียงพอจะกระตุ้นให้ร่างกายหลั่งฮอร์โมนคอร์ติซอล (cortisol) ซึ่งไปเพิ่มการผลิตน้ำมัน (sebum) ทำให้รูขุมขนอุดตันและเกิดการอักเสบได้ง่ายขึ้น
- ความเครียด: กระตุ้นให้เกิดการอักเสบในร่างกายและทำให้การฟื้นฟูของผิวแย่ลง การหากิจกรรมผ่อนคลาย เช่น การออกกำลังกาย หรือการทำสมาธิ สามารถช่วยลดการเห่อของสิวได้
- การนอนหลับ: การนอนหลับที่มีคุณภาพ 7-9 ชั่วโมงต่อคืน ช่วยให้ร่างกายซ่อมแซมตัวเองและควบคุมระดับฮอร์โมนคอร์ติซอลให้เป็นปกติ ซึ่งส่งผลดีต่อสุขภาพผิวโดยรวม
วิตามินและอาหารเสริมที่ช่วยลดสิวฮอร์โมน
วิตามินและอาหารเสริมที่อาจช่วยลดสิวฮอร์โมน ได้แก่ โอเมก้า 3, สังกะสี, ชาสเปียร์มินต์, โพรไบโอติก, ซอว์ปาล์มเมตโต และน้ำมันอีฟนิ่งพริมโรส โดยแต่ละชนิดมีกลไกการทำงานที่แตกต่างกัน ดังนี้
- โอเมก้า 3 (Omega-3): ช่วยลดการอักเสบในร่างกาย ซึ่งเป็นหนึ่งในปัจจัยขับเคลื่อนการเกิดสิว งานวิจัยพบว่าการเสริมโอเมก้า 3 สามารถลดจำนวนสิวอักเสบและสิวที่ไม่อักเสบได้อย่างมีนัยสำคัญ
- สังกะสี (Zinc): มีการศึกษาพบว่าสามารถช่วยลดจำนวนสิว โดยเฉพาะสิวอักเสบได้
- ชาสเปียร์มินต์ (Spearmint Tea): มีคุณสมบัติต้านแอนโดรเจน (anti-androgenic) ซึ่งอาจช่วยลดระดับฮอร์โมนเทสโทสเตอโรนอิสระ จึงเป็นประโยชน์สำหรับผู้หญิงที่มีสิวจากฮอร์โมน โดยเฉพาะผู้ที่มีภาวะ PCOS
- โพรไบโอติก (Probiotics): อาจช่วยลดการอักเสบทั่วร่างกาย ลดความมันบนผิว และปรับสมดุลจุลินทรีย์ในลำไส้ ซึ่งส่งผลทางอ้อมให้ผิวสงบลง
- ซอว์ปาล์มเมตโต (Saw Palmetto): ทำหน้าที่เป็นตัวบล็อกเอนไซม์ 5α-reductase ซึ่งช่วยลดการเปลี่ยนฮอร์โมนเทสโทสเตอโรนไปเป็น DHT ที่กระตุ้นต่อมไขมัน ทำให้การผลิตน้ำมันลดลง
- น้ำมันอีฟนิ่งพริมโรส (Evening Primrose Oil): ช่วยลดการอักเสบ เสริมสร้างเกราะป้องกันผิว และอาจช่วยบรรเทาผลข้างเคียงจากยารักษาสิวบางชนิด เช่น อาการผิวแห้ง
- วิตามินอื่นๆ: วิตามินดี, วิตามินเอ และวิตามินบี 5 ก็มีบทบาทในการสนับสนุนสุขภาพผิวโดยรวมเช่นกัน แต่ควรปรึกษาแพทย์ก่อนรับประทานอาหารเสริมในปริมาณสูง
การรักษาสิวฮอร์โมนด้วยยาและผลิตภัณฑ์
ยาทารักษาสิวฮอร์โมนที่แพทย์นิยมใช้
ยาทาที่แพทย์นิยมใช้รักษาสิวฮอร์โมน ได้แก่ กลุ่มยาอนุพันธ์วิตามินเอ (Retinoids), คลาสโคเทอโรน (Clascoterone) และกรดอะซีลาอิก (Azelaic acid) ซึ่งมักใช้ร่วมกันเพื่อผลลัพธ์ที่ดีที่สุด
ยาแต่ละชนิดมีกลไกการออกฤทธิ์ที่แตกต่างกัน ดังนี้
- อนุพันธ์วิตามินเอ (Retinoids): เช่น Tretinoin และ Adapalene ถือเป็นยาหลักในการรักษา ช่วยผลัดเซลล์ผิว ป้องกันการอุดตันของรูขุมขน และลดการอักเสบ
- คลาสโคเทอโรน (Clascoterone): เป็นยาต้านแอนโดรเจนชนิดทา ออกฤทธิ์ยับยั้งฮอร์โมนที่ผิวหนังโดยตรงเพื่อลดการผลิตไขมัน
- กรดอะซีลาอิก (Azelaic acid): มีคุณสมบัติต้านเชื้อแบคทีเรียและลดการอักเสบ ทั้งยังช่วยลดรอยดำ และมีความปลอดภัยสำหรับใช้ในระหว่างตั้งครรภ์
ยากินรักษาสิวฮอร์โมนและยาปฏิชีวนะ
ยารับประทานสำหรับรักษาสิวฮอร์โมน ได้แก่ ยาต้านแอนโดรเจน ยาปฏิชีวนะ ยาคุมกำเนิด และไอโสเตรติโนอิน ซึ่งแต่ละชนิดมีกลไกการออกฤทธิ์และข้อบ่งใช้ที่แตกต่างกัน
- สไปโรโนแลคโตน (Spironolactone): เป็นยาต้านแอนโดรเจน (anti-androgen) ที่ช่วยยับยั้งผลของฮอร์โมนเพศชายต่อต่อมไขมัน มักใช้เป็นการรักษาต่อเนื่องในระยะยาว และจะเห็นผลชัดเจนในเวลาประมาณ 3-4 เดือน
- ยาปฏิชีวนะชนิดรับประทาน (Oral Antibiotics): เช่น กลุ่มเตตราไซคลีน (Tetracyclines) ใช้เพื่อลดการอักเสบในระยะสั้น (ประมาณ 3-6 เดือน) เพื่อป้องกันการดื้อยา และไม่ใช่การรักษาในระยะยาว
- ไอโสเตรติโนอิน (Isotretinoin): เป็นอนุพันธ์ของวิตามินเอที่ใช้รักษาสิวรุนแรงหรือสิวที่ไม่ตอบสนองต่อการรักษาอื่น สามารถช่วยให้สิวหายขาดได้ในระยะยาว แต่มีผลข้างเคียงและข้อควรระวังที่สำคัญ โดยเฉพาะเรื่องการตั้งครรภ์
- ยาคุมกำเนิดชนิดฮอร์โมนรวม (Combined Oral Contraceptives): ช่วยปรับสมดุลฮอร์โมนโดยลดการผลิตแอนโดรเจนจากรังไข่ โดยจะเห็นผลเต็มที่ในเวลา 3-6 เดือน และมักเลือกใช้ชนิดที่มีโปรเจสตินที่มีฤทธิ์ต้านแอนโดรเจน
ยาคุมกำเนิดและยาปรับฮอร์โมนเพศหญิงลดสิว
ยาคุมกำเนิดชนิดฮอร์โมนรวมและยาปรับฮอร์โมนช่วยลดสิวโดยการลดการผลิตฮอร์โมนเพศชาย (แอนโดรเจน) และลดปริมาณฮอร์โมนที่สามารถกระตุ้นต่อมไขมันบนผิวหนังได้ กลไกหลักคือการยับยั้งการตกไข่ ซึ่งช่วยลดการสร้างฮอร์โมนแอนโดรเจนจากรังไข่ นอกจากนี้ ฮอร์โมนเอสโตรเจนในยาคุมยังช่วยเพิ่มโปรตีนที่ชื่อว่า SHBG (Sex Hormone-Binding Globulin) ซึ่งจะไปจับกับฮอร์โมนเทสโทสเตอโรนอิสระในกระแสเลือด ทำให้ฮอร์โมนเหล่านี้ไม่สามารถไปกระตุ้นต่อมไขมันให้ผลิตน้ำมันออกมามากเกินไปได้
ยาคุมกำเนิดบางชนิด เช่น ยี่ห้อที่มีส่วนผสมของโดรสไพรีโนน (Drospirenone) จะมีคุณสมบัติต้านแอนโดรเจนโดยตรง ซึ่งช่วยเพิ่มประสิทธิภาพในการรักษาสิว โดยทั่วไปจะเห็นผลการรักษาที่ชัดเจนหลังจากใช้ยาต่อเนื่องประมาณ 3-6 เดือน
ครีมและผลิตภัณฑ์รักษาสิวฮอร์โมนที่เหมาะสม
ผลิตภัณฑ์ที่เหมาะสมสำหรับสิวฮอร์โมน ได้แก่ กลุ่มยาเรตินอยด์ (Retinoids), เบนโซอิลเพอร์ออกไซด์ (Benzoyl Peroxide), กรดซาลิไซลิก (Salicylic Acid), กรดอะซีลาอิก (Azelaic Acid) และคลาสโคเทอโรน (Clascoterone) ซึ่งแต่ละชนิดมีคุณสมบัติในการรักษาที่แตกต่างกันไป
- กรดซาลิไซลิก (Salicylic Acid): ช่วยผลัดเซลล์ผิวและละลายไขมันที่อุดตันในรูขุมขน เหมาะสำหรับรักษาสิวอุดตัน เช่น สิวหัวดำและสิวหัวขาว
- เบนโซอิลเพอร์ออกไซด์ (Benzoyl Peroxide): มีฤทธิ์ฆ่าเชื้อแบคทีเรียที่ก่อให้เกิดสิว (C. acnes) จึงเหมาะสำหรับรักษาสิวอักเสบ เช่น สิวตุ่มแดงและสิวมีหนอง
- กลุ่มยาเรตินอยด์ (Topical Retinoids): เป็นยาหลักในการรักษาสิว ช่วยควบคุมการผลัดเซลล์ผิวให้เป็นปกติ ป้องกันการเกิดสิวอุดตัน และมีฤทธิ์ต้านการอักเสบ
- กรดอะซีลาอิก (Azelaic Acid): ช่วยฆ่าเชื้อแบคทีเรีย ลดการอักเสบ และช่วยลดรอยดำหลังสิวหาย ทั้งยังเป็นตัวเลือกที่ปลอดภัยสำหรับผู้ที่ตั้งครรภ์
- คลาสโคเทอโรน (Clascoterone): เป็นยาทาเฉพาะที่ซึ่งออกฤทธิ์ต้านฮอร์โมนแอนโดรเจนโดยตรงที่ผิวหนัง ช่วยลดการผลิตไขมันและการอักเสบโดยไม่มีผลกระทบต่อระบบอื่น ๆ ของร่างกาย
นอกจากนี้ การดูแลผิวขั้นพื้นฐานด้วยคลีนเซอร์ที่อ่อนโยนและมอยส์เจอไรเซอร์ที่ไม่ก่อให้เกิดการอุดตัน (non-comedogenic) ก็มีความสำคัญอย่างยิ่งเพื่อช่วยเสริมสร้างเกราะป้องกันผิวให้แข็งแรงและลดการระคายเคืองจากการใช้ยารักษาสิว
การรักษาสิวฮอร์โมนด้วยหัตถการและเทคโนโลยีทางการแพทย์
การฉายแสงและเลเซอร์รักษาสิวฮอร์โมน
การฉายแสงและเลเซอร์รักษาสิวฮอร์โมนโดยการลดการผลิตไขมัน ฆ่าเชื้อแบคทีเรียที่ก่อให้เกิดสิว และลดการอักเสบ การรักษาเหล่านี้ถือเป็นทางเลือกเสริมที่ดี โดยเฉพาะสำหรับผู้ที่ไม่สามารถทนต่อการใช้ยาได้
กลไกการทำงานของการรักษาแต่ละประเภทมีดังนี้:
- เลเซอร์: เช่น เลเซอร์ไดโอด 1450 นาโนเมตร จะส่งความร้อนเข้าไปในชั้นผิวหนังเพื่อลดการทำงานของต่อมไขมัน ทำให้การผลิตไขมันลดลงและช่วยต้านการอักเสบ
- แสงสีฟ้า (Blue Light): มีเป้าหมายเพื่อฆ่าเชื้อแบคทีเรีย *C. acnes* ซึ่งเป็นสาเหตุหลักของการเกิดสิวอักเสบ
- แสงสีแดง (Red Light): สามารถส่องลงไปในผิวได้ลึกกว่าเพื่อช่วยลดการอักเสบและส่งเสริมกระบวนการฟื้นฟูผิว
- การบำบัดด้วยแสง (Photodynamic Therapy – PDT): เป็นการทาสารไวแสงลงบนผิวแล้วฉายแสงเพื่อกระตุ้นให้สารนั้นทำงาน ซึ่งจะช่วยทำลายทั้งต่อมไขมันและเชื้อแบคทีเรียได้อย่างมีประสิทธิภาพ
การกดสิวและฉีดยารักษาสิวอักเสบ
การฉีดคอร์ติโซน (Intralesional Corticosteroid Injections) เป็นการรักษาเฉพาะจุดสำหรับสิวอักเสบที่เป็นซีสต์ขนาดใหญ่และเจ็บปวด เพื่อลดการอักเสบอย่างรวดเร็ว
แพทย์จะฉีดสเตียรอยด์เจือจางเข้าไปในตุ่มสิวโดยตรง ซึ่งจะช่วยให้สิวยุบลงและลดอาการเจ็บปวดได้ภายใน 24-48 ชั่วโมง วิธีนี้มักใช้เป็น “การรักษาฉุกเฉิน” สำหรับสิวเม็ดใหญ่ที่อยู่ลึกใต้ผิวหนัง เพื่อป้องกันการเกิดแผลเป็น อย่างไรก็ตาม การฉีดสิวเป็นการรักษาตามอาการ ไม่ได้ช่วยป้องกันการเกิดสิวใหม่ และมีความเสี่ยงทำให้ผิวหนังบริเวณที่ฉีดเกิดรอยบุ๋มได้หากทำไม่ถูกวิธี
ส่วนการกดสิว แม้ในบทความจะแนะนำให้หลีกเลี่ยงการบีบหรือแกะสิวด้วยตนเอง แต่ไม่ได้กล่าวถึงการกดสิวโดยผู้เชี่ยวชาญ
โปรแกรมรักษาสิวฮอร์โมนแบบผสมผสาน
โปรแกรมรักษาสิวฮอร์โมนแบบผสมผสานคือ การใช้หลายวิธีรักษาร่วมกันเพื่อให้ได้ผลลัพธ์ที่ดีที่สุด โดยมักจะครอบคลุมการรักษาจากภายในสู่ภายนอก โปรแกรมโดยทั่วไปประกอบด้วยองค์ประกอบต่อไปนี้:
- การใช้ยาทาเฉพาะที่: เป็นการรักษาร่วมกัน เช่น ใช้เรตินอยด์ในเวลากลางคืนเพื่อผลัดเซลล์ผิวและป้องกันการอุดตัน และใช้เบนโซอิลเพอร์ออกไซด์ (Benzoyl Peroxide) หรือกรดอะซีลาอิก (Azelaic Acid) ในตอนเช้าเพื่อฆ่าเชื้อแบคทีเรียและลดการอักเสบ
- การรับประทานยา: สำหรับสิวฮอร์โมนโดยเฉพาะ แพทย์มักสั่งยาที่ออกฤทธิ์ต่อฮอร์โมน เช่น ยาคุมกำเนิดชนิดฮอร์โมนรวม หรือยาขับปัสสาวะสไปโรโนแลคโตน (Spironolactone) เพื่อลดผลของฮอร์โมนแอนโดรเจน ในกรณีที่รุนแรงอาจพิจารณาใช้ยาปฏิชีวนะหรือไอโสเตรติโนอิน (Isotretinoin)
- การปรับเปลี่ยนไลฟ์สไตล์: รวมถึงการควบคุมอาหารโดยเน้นอาหารที่มีค่าดัชนีน้ำตาลต่ำ การจัดการความเครียด และการนอนหลับให้เพียงพอ เพื่อช่วยรักษาสมดุลของฮอร์โมน
- หัตถการโดยผู้เชี่ยวชาญ: อาจใช้การรักษาเสริม เช่น การฉายแสง LED (สีฟ้าและสีแดง) การทำเลเซอร์ หรือการฉีดสเตียรอยด์เข้าที่สิวโดยตรงเพื่อลดการอักเสบของสิวซีสต์ขนาดใหญ่
- การดูแลผิวขั้นพื้นฐาน: ใช้ผลิตภัณฑ์ทำความสะอาดที่อ่อนโยนและผลิตภัณฑ์บำรุงผิวที่ไม่อุดตันรูขุมขน (Non-comedogenic) เพื่อเสริมสร้างเกราะป้องกันผิวให้แข็งแรง
จากการรักษาสู่การป้องกัน: แนวทางดูแลระยะยาว
การดูแลผิวต่อเนื่องหลังสิวฮอร์โมนหาย
การดูแลผิวต่อเนื่องหลังสิวฮอร์โมนหายคือ การใช้ยาทาเฉพาะที่อย่างสม่ำเสมอเพื่อป้องกันการกลับมาเป็นซ้ำ ควบคู่ไปกับการปรับเปลี่ยนวิถีชีวิตอย่างต่อเนื่อง
แพทย์มักแนะนำให้ใช้ยาทากลุ่มเรตินอยด์ (Retinoids) เช่น Adapalene หรือ Tretinoin สัปดาห์ละ 2-3 คืน หรือใช้กรดอะซีลาอิก (Azelaic acid) เพื่อช่วยควบคุมการอุดตันของรูขุมขนและลดการอักเสบ นอกจากนี้ การป้องกันการกลับมาเป็นซ้ำยังรวมถึง:
- รับประทานอาหารที่มีค่าดัชนีน้ำตาลต่ำ
- จัดการความเครียด
- หลีกเลี่ยงผลิตภัณฑ์ดูแลผิวและเครื่องสำอางที่อุดตันรูขุมขน (Non-comedogenic)
วิธีป้องกันไม่ให้สิวฮอร์โมนกลับมาเป็นซ้ำ
วิธีป้องกันไม่ให้สิวฮอร์โมนกลับมาเป็นซ้ำคือ การใช้ยารักษาสิวอย่างต่อเนื่องในระยะยาว แม้ว่าสิวจะหายดีแล้วก็ตาม เพื่อควบคุมไม่ให้เกิดสิวใหม่
กลยุทธ์หลักในการป้องกันการกลับมาเป็นซ้ำ ได้แก่:
- การใช้ยาทา: ใช้ยาทากลุ่มเรตินอยด์ (Retinoids) หรือกรดอะซีลาอิก (Azelaic acid) อย่างสม่ำเสมอเพื่อช่วยผลัดเซลล์ผิวและป้องกันการอุดตันของรูขุมขน
- การใช้ยารับประทาน (หากจำเป็น): อาจต้องรับประทานยาที่เคยใช้ได้ผลในปริมาณต่ำๆ ต่อไป เช่น ยาสไปโรโนแลคโตน (Spironolactone) เพื่อควบคุมฮอร์โมนในระยะยาว
- การปรับเปลี่ยนวิถีชีวิต: ควบคุมอาหารโดยเน้นอาหารที่มีค่าดัชนีน้ำตาลต่ำ จัดการความเครียด และใช้ผลิตภัณฑ์ที่ไม่ก่อให้เกิดการอุดตัน (Non-comedogenic)
- การติดตามผลกับแพทย์: การพบแพทย์ตามนัดอย่างสม่ำเสมอจะช่วยให้สามารถปรับเปลี่ยนแผนการรักษาได้ทันท่วงทีหากมีสิวเริ่มกลับมา
การติดตามและประเมินผลการรักษา
ควรติดตามและประเมินผลการรักษาหลังจากปฏิบัติตามแผนอย่างสม่ำเสมอเป็นเวลา 2-3 เดือน หากไม่เห็นการเปลี่ยนแปลงที่ดีขึ้นหรืออาการแย่ลง ควรกลับไปพบแพทย์เพื่อปรับเปลี่ยนแผนการรักษา
โดยทั่วไปแพทย์ผิวหนังจะนัดติดตามผลในช่วง 2-3 เดือนหลังเริ่มการรักษาใหม่เพื่อประเมินการตอบสนอง หากอาการดีขึ้นบางส่วนอาจมีการเพิ่มการรักษาเสริม แต่หากไม่ดีขึ้นเลยอาจต้องเปลี่ยนแนวทางการรักษา เช่น การใช้ยารับประทาน เมื่อควบคุมอาการได้ดีแล้ว สามารถนัดติดตามผลทุก 6-12 เดือนเพื่อคงสภาพผิวที่ดีไว้
สิวประจำเดือนและสิวฮอร์โมนช่วงพิเศษ
สิวประจำเดือนเป็นแบบไหนและขึ้นกี่วันก่อนเมนส์
สิวประจำเดือนมักเป็น สิวอักเสบหรือสิวซีสต์ที่เจ็บและอยู่ลึกใต้ผิวหนังบริเวณคางและแนวกราม ซึ่งจะเริ่มเห่อขึ้นประมาณ 7-10 วันก่อนมีประจำเดือน
สิวประเภทนี้เกิดจากการเปลี่ยนแปลงของฮอร์โมนในช่วงท้ายของรอบเดือน (Luteal phase) ซึ่งเป็นช่วงที่ฮอร์โมนโปรเจสเตอโรนสูงขึ้น ทำให้ผิวผลิตน้ำมันออกมามากกว่าปกติ สิวที่เห่อขึ้นมามักจะค่อยๆ ดีขึ้นเมื่อประจำเดือนเริ่มมา
การดูแลสิวฮอร์โมนช่วงตั้งครรภ์และหลังคลอด
หลักการสำคัญในการดูแลสิวฮอร์โมนช่วงตั้งครรภ์และหลังคลอดคือการเลือกใช้ยาที่ปลอดภัยต่อทารกเป็นอันดับแรก โดยเน้นการรักษาเฉพาะที่และหลีกเลี่ยงยาชนิดรับประทานส่วนใหญ่
การดูแลช่วงตั้งครรภ์:
- ยาที่ปลอดภัย: สามารถใช้ยาทาเฉพาะที่ เช่น กรดอะซีลาอิก (Azelaic acid) ซึ่งมักเป็นตัวเลือกแรก, เบนโซอิลเพอร์ออกไซด์ (Benzoyl peroxide), และยาปฏิชีวนะชนิดทา เช่น คลินดามัยซิน (Clindamycin)
- ยาที่ต้องห้าม: ควรหลีกเลี่ยงยาชนิดรับประทานกลุ่มกรดวิตามินเอ (Retinoids), ยาปฏิชีวนะกลุ่มเตตราไซคลีน (Tetracyclines), และยาคุมกำเนิดหรือยาปรับฮอร์โมนทุกชนิด
การดูแลช่วงหลังคลอดและให้นมบุตร:
- สิวอาจเห่อขึ้นได้หลังคลอดเนื่องจากการเปลี่ยนแปลงของฮอร์โมนอย่างรวดเร็ว
- การรักษาสำหรับคุณแม่ที่ให้นมบุตรจะคล้ายกับช่วงตั้งครรภ์ คือเน้นใช้ยาที่ปลอดภัยและหลีกเลี่ยงยาที่สามารถผ่านทางน้ำนมได้
- หลังจากหยุดให้นมบุตรแล้ว สามารถกลับไปใช้ยารักษาสิวที่มีประสิทธิภาพ เช่น ยากลุ่มกรดวิตามินเอ หรือยาปรับฮอร์โมนได้ตามคำแนะนำของแพทย์
สิวฮอร์โมนในวัยทองและการปรับตัว
สิวฮอร์โมนในวัยทอง เกิดจากการที่ระดับฮอร์โมนเอสโตรเจนลดลงอย่างรวดเร็ว ทำให้ผลของฮอร์โมนแอนโดรเจน (ฮอร์โมนเพศชาย) ที่มีอยู่เดิมเด่นชัดขึ้น ซึ่งกระตุ้นให้เกิดสิวและขนบนใบหน้าได้
การปรับตัวและแนวทางการรักษาสามารถทำได้ดังนี้:
- การรักษาคล้ายกับวัยสาว: การรักษาสิวในวัยหมดประจำเดือนคล้ายกับการรักษาสิวฮอร์โมนในผู้หญิงที่อายุน้อยกว่า
- ยาต้านแอนโดรเจน: ยาในกลุ่มต้านแอนโดรเจน เช่น สไปโรโนแลคโตน (Spironolactone) ยังคงมีประสิทธิภาพดีในคนกลุ่มวัยนี้
- ยาทากลุ่มเรตินอยด์: ยาทากลุ่มเรตินอยด์ (Retinoids) เป็นทางเลือกที่ดี เนื่องจากช่วยรักษาสิวและลดเลือนริ้วรอยไปพร้อมกัน
- ฮอร์โมนทดแทน (HRT): หากใช้ฮอร์โมนทดแทน ควรเลือกชนิดอย่างระมัดระวังเพื่อหลีกเลี่ยงฮอร์โมนที่อาจกระตุ้นให้เกิดสิวมากขึ้น
ข้อควรระวังและความเข้าใจผิดเกี่ยวกับสิวฮอร์โมน
สิ่งที่ไม่ควรทำเมื่อเป็นสิวฮอร์โมน
สิ่งที่ไม่ควรทำเมื่อเป็นสิวฮอร์โมนคือ การล้างหน้าบ่อยหรือขัดถูผิวแรงเกินไป การบีบแกะสิว และการใช้ผลิตภัณฑ์รักษาสิวหลายชนิดพร้อมกันมากเกินความจำเป็น
พฤติกรรมเหล่านี้สามารถทำให้อาการสิวแย่ลงได้ โดยมีรายละเอียดดังนี้:
- ล้างหน้าหรือขัดผิวรุนแรงเกินไป: การทำความสะอาดผิวบ่อยเกินวันละ 2 ครั้ง หรือใช้สครับที่รุนแรง จะทำลายเกราะป้องกันผิว ทำให้ผิวระคายเคือง และกระตุ้นให้ผลิตน้ำมันออกมามากขึ้น
- บีบหรือแกะสิว: การพยายามกดหรือบีบสิว โดยเฉพาะสิวซีสต์ที่อยู่ลึกใต้ผิวหนัง จะยิ่งทำให้การอักเสบรุนแรงขึ้น เพิ่มความเสี่ยงในการเกิดรอยแผลเป็น และทำให้สิวหายช้าลง
- ใช้ผลิตภัณฑ์รักษาสิวมากเกินไป: การใช้ผลิตภัณฑ์ที่มีส่วนผสมออกฤทธิ์หลายชนิดพร้อมกัน เช่น การใช้ทั้งกรดซาลิไซลิก, เบนโซอิลเพอร์ออกไซด์ และเรตินอยด์ในเวลาเดียวกัน อาจทำให้ผิวระคายเคืองอย่างรุนแรง แห้งลอก และอักเสบ ซึ่งจะทำให้เกราะป้องกันผิวอ่อนแอลงและสิวเห่อหนักขึ้นได้
- หยุดการรักษาเร็วเกินไป: การรักษาสิวฮอร์โมนต้องใช้เวลา โดยทั่วไปจะเห็นผลชัดเจนหลังใช้ยาอย่างสม่ำเสมอประมาณ 2-3 เดือน การหยุดการรักษาก่อนเวลาอันควรอาจทำให้ไม่เห็นผลลัพธ์ที่ต้องการ
ผลข้างเคียงจากการรักษาที่อาจเกิดขึ้น
ผลข้างเคียงจากการรักษาสิวฮอร์โมนจะแตกต่างกันไปตามวิธีการรักษา ซึ่งอาจรวมถึงผลกระทบจากการใช้ยาเฉพาะที่ ยารับประทาน และการทำหัตถการต่างๆ
- ยาทา: อาจทำให้เกิดการระคายเคือง ผิวแห้ง และลอก โดยเฉพาะในช่วงแรกของการใช้ยาในกลุ่มเรตินอยด์
- ยาปฏิชีวนะชนิดรับประทาน: อาจทำให้ไวต่อแสงแดดและปวดท้อง
- ยาฮอร์โมน (เช่น Spironolactone, ยาคุมกำเนิด): อาจทำให้ปัสสาวะบ่อยขึ้น เจ็บเต้านม คลื่นไส้ และมีความเสี่ยงที่พบได้ยากคือลิ่มเลือดอุดตัน
- ยา Isotretinoin: ทำให้ผิวและริมฝีปากแห้งอย่างรุนแรง ปวดข้อ และมีความเสี่ยงสูงที่จะทำให้ทารกในครรภ์พิการ
- หัตถการ: อาจเกิดรอยแดง การลอก หรือผิวหนังยุบตัว (จากการฉีดสเตียรอยด์)
ความเชื่อผิดๆ เกี่ยวกับการรักษาสิวฮอร์โมน
ความเชื่อผิดๆ ที่พบบ่อยเกี่ยวกับการรักษาสิวฮอร์โมนคือ สิวเกิดจากความสกปรก การกินอาหารบางชนิด และการบีบสิวหรือใช้ผลิตภัณฑ์มากเกินไปจะช่วยให้สิวหายเร็วขึ้น
- สิวเกิดจากความสกปรก: ความจริงแล้วสิวฮอร์โมนเกิดจากปัจจัยภายใน (ฮอร์โมนและพันธุกรรม) ไม่ใช่สิ่งสกปรกภายนอก การล้างหน้าบ่อยหรือขัดผิวแรงเกินไปอาจทำให้ผิวระคายเคืองและผลิตน้ำมันมากขึ้น ซึ่งทำให้อาการแย่ลงได้
- อาหารบางชนิดเป็นสาเหตุของสิว: ความเชื่อที่ว่าช็อกโกแลตหรือของทอดทำให้เกิดสิวนั้นไม่มีหลักฐานชัดเจน แต่การศึกษาพบว่าอาหารที่มีน้ำตาลสูง (High-Glycemic) และผลิตภัณฑ์จากนมบางชนิดอาจกระตุ้นให้เกิดสิวได้ในบางคน
- การบีบสิวหรือใช้ผลิตภัณฑ์หลายตัวจะช่วยให้สิวหายเร็ว: การบีบหรือแกะสิวจะยิ่งทำให้อักเสบและเสี่ยงต่อการเกิดรอยแผลเป็น นอกจากนี้ การใช้ผลิตภัณฑ์รักษาสิวหลายชนิดพร้อมกันหรือใช้ในปริมาณที่มากเกินไปอาจทำให้ผิวระคายเคืองอย่างรุนแรง แห้งลอก และทำให้เกราะป้องกันผิวอ่อนแอลง
คำถามที่พบบ่อยเกี่ยวกับสิวฮอร์โมนในผู้หญิง
สิวฮอร์โมนหายเองได้ไหม
โดยทั่วไปแล้ว สิวฮอร์โมนมักไม่หายไปเอง เนื่องจากมีลักษณะเป็นๆ หายๆ และเรื้อรัง สิวชนิดนี้อาจเกิดขึ้นต่อเนื่องเป็นเวลาหลายปี และมักจะดีขึ้นหรือหายไปเมื่อเข้าสู่ช่วงวัยหมดประจำเดือน ซึ่งเป็นช่วงที่ต่อมไขมันทำงานลดลงอย่างมาก
สิวฮอร์โมนหายตอนไหน
สิวฮอร์โมนมักจะบรรเทาและหายไปเองในช่วงประมาณ 10 ปีหลังวัยหมดประจำเดือน เนื่องจากต่อมไขมันจะทำงานช้าลงอย่างมาก
ก่อนถึงวัยหมดประจำเดือน สิวฮอร์โมนมักมีลักษณะเป็นเรื้อรังหรือเป็นๆ หายๆ โดยพบได้บ่อยในผู้หญิงตั้งแต่วัย 20 ปีไปจนถึงวัย 40 ปี อย่างไรก็ตาม สิวฮอร์โมนสามารถควบคุมได้ด้วยการรักษาอย่างต่อเนื่องจนกว่าจะหายไปตามธรรมชาติ
สิวฮอร์โมนใช้อะไรดีที่สุด
การรักษาสิวฮอร์โมนที่ดีที่สุดคือการใช้หลายวิธีร่วมกัน โดยขึ้นอยู่กับความรุนแรงของสิว ซึ่งมักประกอบด้วยยาทาเฉพาะที่ ยารับประทาน และการดูแลผิวที่เหมาะสม การรักษาที่มีประสิทธิภาพสูงสุด ได้แก่
- ยารับประทาน:
- Spironolactone: เป็นยาต้านฮอร์โมนแอนโดรเจนที่ได้ผลดีมากในการรักษาสิวฮอร์โมนในผู้หญิง
- ยาคุมกำเนิดชนิดฮอร์โมนรวม: ช่วยปรับสมดุลฮอร์โมนและลดการเกิดสิว โดยเฉพาะชนิดที่มีโปรเจสตินที่ต้านแอนโดรเจน
- Isotretinoin: ใช้ในกรณีที่เป็นสิวรุนแรงและไม่ตอบสนองต่อการรักษาอื่น ถือเป็นการรักษาที่ใกล้เคียงกับการ “รักษาให้หายขาด”
- ยาทาเฉพาะที่:
- กลุ่มเรตินอยด์ (Retinoids): เช่น Tretinoin หรือ Adapalene เป็นพื้นฐานสำคัญในการรักษาระยะยาว ช่วยป้องกันการอุดตันและลดการเกิดสิวใหม่
- Clascoterone: เป็นยาทาที่ออกฤทธิ์ต้านฮอร์โมนที่ผิวหนังโดยตรง ช่วยลดการผลิตไขมันและการอักเสบ
- Azelaic Acid: ช่วยลดการอักเสบและรอยสิว ทั้งยังปลอดภัยสำหรับใช้ในระหว่างตั้งครรภ์
- ผลิตภัณฑ์ดูแลผิว:
- Benzoyl Peroxide: มีประสิทธิภาพในการฆ่าเชื้อแบคทีเรียที่ก่อให้เกิดสิวและลดการอักเสบ
- Salicylic Acid (BHA): ช่วยผลัดเซลล์ผิวและละลายไขมันที่อุดตันในรูขุมขน
กินยาคุมรักษาสิวฮอร์โมนได้ผลจริงหรือไม่
ยาคุมกำเนิดชนิดฮอร์โมนรวม (COCs) เป็นวิธีที่ได้ผลจริงในการรักษาสิวฮอร์โมน เนื่องจากยาจะช่วยลดการผลิตฮอร์โมนแอนโดรเจน (androgen) จากรังไข่ ซึ่งเป็นสาเหตุหลักของการเกิดสิว
โดยทั่วไปจะเห็นผลการรักษาอย่างเต็มที่หลังจากรับประทานยาต่อเนื่อง 3-6 เดือน ซึ่งจากการศึกษาพบว่าสามารถลดจำนวนสิวอักเสบได้ถึง 40-70% ยาคุมกำเนิดที่ได้รับการรับรองให้ใช้รักษาสิวมักมีส่วนประกอบของโปรเจสตินที่มีฤทธิ์ต้านแอนโดรเจน เช่น ดรอสไพรีโนน (drospirenone)
สิวฮอร์โมนกับสิววัยรุ่นต่างกันอย่างไร
สิวฮอร์โมนมักขึ้นบริเวณกรอบหน้าและคาง เป็นสิวอักเสบเม็ดใหญ่ใต้ผิวหนัง และเห่อตามรอบเดือน ในขณะที่สิววัยรุ่นมักขึ้นบริเวณ T-zone และเป็นสิวอุดตันหรือสิวหนองมากกว่า
ความแตกต่างที่สำคัญระหว่างสิวฮอร์โมนและสิววัยรุ่นมีดังนี้:
- ตำแหน่ง: สิวฮอร์โมนมักเกิดในบริเวณ “U-Zone” (กรอบหน้า คาง และแก้มส่วนล่าง) ส่วนสิววัยรุ่นมักเกิดในบริเวณ “T-Zone” (หน้าผาก จมูก และแก้มส่วนบน)
- ลักษณะสิว: สิวฮอร์โมนมักเป็นสิวซีสต์หรือสิวอักเสบเม็ดใหญ่ที่อยู่ลึกใต้ผิวหนัง ทำให้รู้สึกเจ็บและหายช้า ในขณะที่สิววัยรุ่นมักเป็นสิวอุดตัน (สิวหัวดำ สิวหัวขาว) และสิวหนองที่อยู่บนผิวชั้นบน
- ช่วงเวลาที่เกิด: สิวฮอร์โมนมักเห่อขึ้นเป็นช่วงๆ สัมพันธ์กับรอบเดือน โดยเฉพาะช่วงก่อนมีประจำเดือน แต่สิววัยรุ่นสามารถเกิดขึ้นได้ตลอดเวลาโดยไม่มีรูปแบบที่ชัดเจน
- การตอบสนองต่อการรักษา: ยาทาสิวทั่วไปที่หาซื้อได้เองมักไม่ค่อยได้ผลกับสิวฮอร์โมนซึ่งมีลักษณะเป็นซีสต์และอยู่ลึก แต่จะได้ผลดีกว่ากับสิววัยรุ่น
ควรไปพบแพทย์เมื่อไหร่
ควรไปพบแพทย์เมื่อ สิวมีความรุนแรง เป็นซีสต์หรือเกิดแผลเป็น, เกิดขึ้นอย่างฉับพลัน, มีอาการอื่นร่วมด้วย, หรือไม่ดีขึ้นหลังการรักษาด้วยตนเอง สัญญาณเตือนที่บ่งชี้ว่าควรปรึกษาแพทย์ ได้แก่
- สิวมีความรุนแรง เป็นซีสต์ หรือเริ่มทำให้เกิดแผลเป็น
- สิวเกิดขึ้นอย่างฉับพลันและรุนแรงในวัยผู้ใหญ่ ซึ่งอาจเป็นสัญญาณของภาวะผิดปกติภายใน
- มีอาการอื่น ๆ ของภาวะฮอร์โมนเพศชายเกินร่วมด้วย เช่น ขนดกผิดปกติ ผมร่วง หรือประจำเดือนมาไม่ปกติ
- สิวส่งผลกระทบอย่างรุนแรงต่อสภาพจิตใจ เช่น ทำให้เกิดภาวะซึมเศร้าหรือหลีกเลี่ยงการเข้าสังคม
- เมื่อลองรักษาด้วยตนเองแล้วอาการไม่ดีขึ้นภายใน 2-3 เดือน
References:
- Cleveland Clinic. (n.d.). Hormonal Acne: What Is It, Treatment, Causes & Prevention. Cleveland Clinic. clevelandclinic.org
- Schweiger Dermatology Group. (n.d.). Hormonal Acne vs. Regular Acne: How to Tell the Difference. Schweiger Dermatology Group. schweigerderm.com
- Practical Dermatology. (n.d.). Across the Lifespan: Understanding the Cutaneous Impact of Hormonal Fluctuations on Women’s Skincare. Practical Dermatology. practicaldermatology.com
- Mayo Clinic. (n.d.). Pregnancy acne: What’s the best treatment? Mayo Clinic. mayoclinic.org
- Amuzescu, A., et al. (n.d.). Adult female acne: Recent advances in pathophysiology and therapeutic approaches. Cosmetics, 11, 74. MDPI. mdpi.com
- Meixiong, J., et al. (n.d.). Diet and acne: A systematic review. JAAD International, 7, 95–112. jaadinternational.org
- Khunger, N. (n.d.). Hormone therapy in acne. Indian J. Dermatol. Venereol. Leprol., 87, 1–12. ijdvl.com
- National Center for Biotechnology Information. (n.d.). Various research articles on hormonal acne pathophysiology. PubMed. pubmed.ncbi.nlm.nih.gov

