สิวที่แก้มไม่หายสักที เกิดจากอะไร รักษาอย่างไรดี

เป็นสิวที่แก้ม ไม่หายสักที คือภาวะสิวเรื้อรังที่ต้องจัดการทั้งสาเหตุภายในและพฤติกรรมภายนอก โดยปรับความสะอาด การสัมผัสหน้า และใช้ยาทากลุ่มเบนโซอิลเพอร์ออกไซด์หรือเรตินอยด์ภายใต้คำแนะนำแพทย์ เพื่อควบคุมการอักเสบและลดรอย โดยทั่วไปจะเห็นผลชัดเจนใน 8–12 สัปดาห์ เมื่อทำอย่างสม่ำเสมอ
เช็กลักษณะสิวที่แก้ม: สิวเรื้อรังมีกี่ประเภท
สิวอุดตัน (Comedones)
สิวอุดตันคือตุ่มเล็กๆ ที่ไม่มีรอยแดงหรืออาการเจ็บปวดอย่างชัดเจน และโดยทั่วไปไม่ทำให้เกิดอาการบวมหรือรู้สึกไม่สบาย สิวประเภทนี้มักจะหายได้เองโดยไม่ทิ้งรอยแผลเป็น แต่อาจเป็นเรื้อรังได้หากไม่ได้รับการรักษาที่เหมาะสม เนื่องจากน้ำมันส่วนเกินและเซลล์ผิวที่ตายแล้วยังคงอุดตันรูขุมขนต่อไป
สิวอักเสบ (Inflammatory Acne)
สิวอักเสบคือสิวที่เกิดจากการติดเชื้อแบคทีเรียในรูขุมขนที่อุดตัน ซึ่งทำให้เกิดรอยแดง ความเจ็บปวด และอาจทิ้งรอยดำหรือรอยแดงไว้ชั่วคราวหลังจากสิวหาย ในกรณีที่เป็นสิวระดับปานกลาง สิวอักเสบอาจขึ้นเป็นกลุ่ม และจำเป็นต้องได้รับการรักษาที่เหมาะสมเพื่อป้องกันการเกิดแผลเป็น
สิวไม่มีหัว หรือสิวไต (Nodules and Cysts)
สิวไม่มีหัวหรือสิวไต (Nodules and Cysts) คือสิวอักเสบชนิดรุนแรงที่มีลักษณะเป็นก้อนแข็ง (Nodules) หรือเป็นถุงหนอง (Cysts) อยู่ใต้ผิวหนัง สิวชนิดนี้มักมีอาการเจ็บปวดและอาจมีขนาดใหญ่หลายเซนติเมตร สามารถคงอยู่ได้นานหลายสัปดาห์และมักจะทิ้งรอยแผลเป็นไว้หากไม่ได้รับการรักษาอย่างเหมาะสม แพทย์ผิวหนังจัดให้สิวชนิดนี้เป็นสิวที่มีความรุนแรงที่สุดและจำเป็นต้องได้รับการรักษาอย่างจริงจังเพื่อป้องกันแผลเป็นถาวร
สาเหตุหลักที่ทำให้สิวขึ้นแก้มไม่หายขาด
ปัจจัยภายใน: ฮอร์โมน พันธุกรรม และความเครียด
ปัจจัยภายในที่ทำให้เกิดสิวที่แก้มอย่างต่อเนื่อง ได้แก่ ฮอร์โมน พันธุกรรม และความเครียด ซึ่งแต่ละปัจจัยมีส่วนกระตุ้นให้เกิดสิวในลักษณะที่แตกต่างกัน
- ฮอร์โมน: การเปลี่ยนแปลงของฮอร์โมน เช่น ในช่วงวัยแรกรุ่นหรือรอบเดือน เป็นสาเหตุหลัก นอกจากนี้ ภาวะที่เกี่ยวข้องกับฮอร์โมน เช่น โรคถุงน้ำรังไข่หลายใบ (PCOS) ก็สามารถทำให้เกิดสิวเรื้อรังได้
- พันธุกรรม: หากคนในครอบครัวมีประวัติเป็นสิวรุนแรงหรือเป็นสิวระยะยาว ก็มีแนวโน้มที่จะเป็นสิวเรื้อรังที่แก้มได้เช่นกัน เนื่องจากลักษณะทางพันธุกรรมมีผลต่อการเกิดสิว
- ความเครียด: ความเครียดที่รุนแรงมีความสัมพันธ์กับความรุนแรงของสิว โดยความเครียดสามารถทำให้เกิดการอักเสบของผิวหนังและทำให้การรักษาสิวช้าลง ซึ่งนำไปสู่วงจรการเกิดสิวที่แก้มอย่างต่อเนื่อง
ปัจจัยภายนอก: การเสียดสี สัมผัส และผลิตภัณฑ์ที่ไม่เหมาะสม
การเสียดสี การสัมผัส และผลิตภัณฑ์ที่ไม่เหมาะสมเป็นปัจจัยภายนอกที่ทำให้เกิดสิวที่แก้ม โดยการถ่ายเทแบคทีเรีย น้ำมัน และสร้างแรงกดทับที่ผิวหนัง ซึ่งนำไปสู่การอุดตันของรูขุมขน
ปัจจัยเหล่านี้รวมถึง:
- การเสียดสีและแรงกด: การกระทำต่างๆ เช่น การถือโทรศัพท์แนบแก้มเป็นเวลานาน, การเสียดสีจากสายรัดคางของเครื่องดนตรีหรือหมวกกันน็อก และการสวมหน้ากากอนามัยเป็นเวลานาน (Maskne) ล้วนทำให้เกิดการสะสมของความร้อน ความชื้น และแบคทีเรียบนผิวแก้ม
- สุขอนามัยที่ไม่ดี: การไม่ทำความสะอาดสิ่งของที่สัมผัสกับใบหน้าเป็นประจำ เช่น ปลอกหมอน, หน้าจอโทรศัพท์ หรือแปรงแต่งหน้า ทำให้สิ่งสกปรกและแบคทีเรียถูกถ่ายเทมายังผิวหนังและก่อให้เกิดสิว
- ผลิตภัณฑ์ที่ไม่เหมาะสม: การใช้ผลิตภัณฑ์บำรุงผิวหรือเครื่องสำอางที่ไม่อ่อนโยน มีส่วนผสมของน้ำมัน หรือมีคุณสมบัติอุดตันรูขุมขน (Comedogenic) จะยิ่งกระตุ้นให้เกิดสิวที่แก้มได้ง่ายขึ้น
สิวที่แก้มข้างเดียว สัญญาณเตือนพฤติกรรมเฉพาะบุคคล
สิวที่ขึ้นบนแก้มข้างเดียว มักเกิดจากปัจจัยภายนอกและพฤติกรรมส่วนตัว มากกว่าสาเหตุจากภายในร่างกาย
พฤติกรรมที่มักเป็นสาเหตุ ได้แก่:
- การใช้โทรศัพท์: การถือโทรศัพท์แนบแก้มข้างใดข้างหนึ่งเป็นประจำ ทำให้แบคทีเรียและสิ่งสกปรกจากหน้าจอสัมผัสกับผิว
- การนอน: การนอนตะแคงข้างเดิมเป็นประจำ ทำให้แก้มสัมผัสกับเหงื่อและแบคทีเรียที่สะสมอยู่บนปลอกหมอน
- การสัมผัสใบหน้า: การเท้าคางหรือใช้มือสัมผัสใบหน้าข้างใดข้างหนึ่งบ่อยๆ สามารถถ่ายเทน้ำมันและเชื้อโรคมาสู่ผิวได้
วิธีรักษาสิวที่แก้ม: จากการดูแลตัวเองสู่การรักษาโดยแพทย์
การรักษาสิวที่แก้มมีหลายวิธี ตั้งแต่การดูแลสุขอนามัยและปรับเปลี่ยนพฤติกรรมในชีวิตประจำวัน การใช้ยาทาและยารับประทาน ไปจนถึงการทำหัตถการทางการแพทย์ ซึ่งแพทย์จะเลือกแนวทางที่เหมาะสมตามความรุนแรงของสิว
1. การดูแลตัวเองและปรับเปลี่ยนพฤติกรรม
- สุขอนามัย: ล้างหน้าอย่างอ่อนโยน โดยเฉพาะหลังออกกำลังกาย และใช้ผลิตภัณฑ์ดูแลผิวที่ไม่มีส่วนผสมของน้ำมันและไม่ก่อให้เกิดการอุดตัน (non-comedogenic)
- พฤติกรรม: หลีกเลี่ยงการสัมผัสหรือบีบสิวที่แก้ม และหมั่นทำความสะอาดสิ่งของที่สัมผัสใบหน้าเป็นประจำ เช่น โทรศัพท์มือถือ ปลอกหมอน และหน้ากากอนามัย
2. การรักษาโดยแพทย์
- ยาทาเฉพาะที่: แพทย์อาจสั่งยา เช่น เบนโซอิลเพอร์ออกไซด์ (Benzoyl Peroxide), เรตินอยด์ (Retinoids) หรือยาปฏิชีวนะชนิดทาเพื่อลดการอักเสบและแบคทีเรีย โดยทั่วไปต้องใช้เวลา 8-12 สัปดาห์จึงจะเห็นผล
- ยารับประทาน: สำหรับสิวที่เกิดจากฮอร์โมนในผู้หญิง อาจใช้ยาคุมกำเนิดหรือยาสไปโรโนแลคโตน (Spironolactone) ในกรณีที่เป็นสิวรุนแรงหรือไม่ตอบสนองต่อการรักษาอื่น แพทย์อาจพิจารณาให้ใช้ยาไอโสเตรติโนอิน (Isotretinoin)
- หัตถการทางการแพทย์: เมื่อสิวอักเสบเริ่มควบคุมได้แล้ว อาจใช้วิธีอื่น ๆ เพื่อรักษาสิวและรอยแผลเป็น เช่น การผลัดเซลล์ผิวด้วยสารเคมี (Chemical Peels), การรักษาด้วยเลเซอร์และแสง (Laser and Light Therapies) หรือการกดสิวโดยผู้เชี่ยวชาญ
การปรับพฤติกรรมและเลือกใช้สกินแคร์ที่ถูกต้อง
การปรับพฤติกรรมและเลือกใช้สกินแคร์ที่ถูกต้องสำหรับสิวที่แก้ม คือการรักษาความสะอาดของใบหน้าและของใช้ส่วนตัว, เลือกใช้ผลิตภัณฑ์ที่ไม่ก่อให้เกิดการอุดตัน, และหลีกเลี่ยงการสัมผัสหรือรบกวนผิว
การปรับเปลี่ยนเหล่านี้ช่วยลดการเกิดสิวซ้ำซากและเพิ่มประสิทธิภาพของการรักษาทางการแพทย์ได้
- การรักษาความสะอาด: ล้างหน้าทันทีหลังมีเหงื่อออก และทำความสะอาดของใช้ที่สัมผัสกับแก้มเป็นประจำ เช่น ปลอกหมอน, หน้าจอโทรศัพท์, หน้ากากอนามัย และแปรงแต่งหน้า
- การเลือกใช้ผลิตภัณฑ์: ใช้ผลิตภัณฑ์บำรุงผิวและกันแดดที่ปราศจากน้ำมัน (oil-free) และไม่ก่อให้เกิดการอุดตัน (non-comedogenic) รวมถึงหลีกเลี่ยงการแต่งหน้าที่หนาเกินไป
- การปรับพฤติกรรม: หลีกเลี่ยงการสัมผัส, แกะ, หรือบีบสิวบริเวณแก้ม เพราะจะเพิ่มความเสี่ยงในการเกิดรอยแผลเป็น นอกจากนี้ควรดูแลไม่ให้เส้นผมสัมผัสใบหน้า และไม่เท้าคาง
การใช้ยาทาเฉพาะที่และยารับประทานโดยแพทย์
การรักษาสิวที่แก้มโดยแพทย์จะใช้ยาทาเฉพาะที่และยารับประทาน ซึ่งจะพิจารณาตามความรุนแรงของสิว
- ยาทาเฉพาะที่: มักใช้สำหรับสิวที่ไม่รุนแรงไปจนถึงปานกลาง และมักใช้ร่วมกันเพื่อเพิ่มประสิทธิภาพ
- เบนโซอิลเปอร์ออกไซด์และเรตินอยด์: เป็นยาที่นิยมใช้ร่วมกันเพื่อรักษาสิวอุดตันและสิวอักเสบ
- ยาปฏิชีวนะชนิดทา: เช่น คลินดามัยซิน (clindamycin) ใช้เพื่อลดแบคทีเรียและรอยแดง มักใช้คู่กับเบนโซอิลเปอร์ออกไซด์เพื่อป้องกันการดื้อยา
- แดพโซน (dapsone): เป็นยาในรูปแบบเจลที่มีฤทธิ์ต้านการอักเสบและต้านเชื้อแบคทีเรีย เหมาะสำหรับสิวในผู้หญิงวัยผู้ใหญ่
- ยารับประทาน: ใช้สำหรับสิวระดับปานกลางถึงรุนแรง หรือสิวที่ไม่ตอบสนองต่อยาทา
- ยาฮอร์โมน: สำหรับผู้หญิงที่มีสิวจากฮอร์โมน เช่น ยาคุมกำเนิดบางชนิด หรือยา สไปโรโนแลคโตน (spironolactone) เพื่อช่วยควบคุมฮอร์โมนแอนโดรเจนและลดการผลิตน้ำมัน
- ไอโซเตรติโนอิน (Isotretinoin) หรือ แอคคิวเทน (Accutane): เป็นยามาตรฐานสำหรับรักษาสิวชนิดรุนแรง เช่น สิวหัวช้าง หรือสิวที่ไม่ตอบสนองต่อการรักษาอื่น ๆ โดยยามีฤทธิ์ลดขนาดต่อมไขมันและมักช่วยให้สิวหายขาดได้ในระยะยาว
หัตถการทางการแพทย์เพื่อรักษาสิวและรอยสิวที่แก้ม
หัตถการทางการแพทย์ที่ใช้รักษาสิวและรอยสิวที่แก้ม ได้แก่ การผลัดเซลล์ผิวด้วยสารเคมี, การบำบัดด้วยเลเซอร์และแสง, การกดสิว, การทำไมโครนีดลิง และการกรอผิว โดยหัตถการเหล่านี้มักจะทำเมื่อสิวอักเสบอยู่ภายใต้การควบคุมแล้ว
- การผลัดเซลล์ผิวด้วยสารเคมี (Chemical peels): ใช้กรด เช่น กรดไกลโคลิกหรือซาลิไซลิก เพื่อผลัดเซลล์ผิวชั้นบนสุด ช่วยลดการอุดตันของรูขุมขน และทำให้รอยแผลเป็นตื้นๆ นุ่มลง
- การบำบัดด้วยเลเซอร์และแสง (Laser and light therapies): สามารถลดแบคทีเรียและลดการทำงานของต่อมไขมันได้ ส่วนเลเซอร์ชนิดแฟร็กชันนัล (Fractional laser) จะมุ่งเป้าไปที่เนื้อเยื่อแผลเป็นเพื่อช่วยปรับโครงสร้างของหลุมสิว
- การกดสิว (Comedo extraction): เป็นการกำจัดสิวหัวดำและสิวหัวขาวโดยแพทย์ผิวหนังเพื่อทำให้รูขุมขนสะอาด
- การทำไมโครนีดลิง (Microneedling) และการกรอผิว (Dermabrasion): ใช้สำหรับรักษารอยแผลเป็นจากสิวที่มีลักษณะเป็นหลุมหรือผิวไม่เรียบเนียน
แพทย์ผิวหนังจะปรับแผนการรักษาให้เหมาะสมกับแต่ละบุคคล โดยอาจผสมผสานวิธีการรักษาต่างๆ เข้าด้วยกันเพื่อให้ได้ผลลัพธ์ที่ดีที่สุด
ข้อควรรู้ก่อนตัดสินใจเลือกวิธีรักษาสิวที่แก้ม
การประเมินความรุนแรงและประเภทสิวเพื่อเลือกการรักษา
การประเมินความรุนแรงและประเภทของสิวเป็นสิ่งสำคัญในการเลือกวิธีการรักษาที่เหมาะสมที่สุด เนื่องจากแพทย์ผิวหนังจะปรับแนวทางการรักษาให้ตรงกับสภาพสิวของผู้ป่วยแต่ละราย
- สิวที่ไม่รุนแรง: มักจะจัดการได้ด้วยยาทาเฉพาะที่ เช่น เรตินอยด์ (retinoids) หรือเบนโซอิลเพอร์ออกไซด์ (benzoyl peroxide)
- สิวอักเสบระดับปานกลางถึงรุนแรง: อาจต้องใช้ยาปฏิชีวนะชนิดทาหรือรับประทานร่วมด้วย
- สิวหัวช้าง (Nodulocystic acne): ซึ่งเป็นสิวชนิดรุนแรงที่สุด จำเป็นต้องได้รับการรักษาอย่างจริงจัง เช่น การใช้ยาไอโซเตรติโนอิน (isotretinoin) เพื่อป้องกันการเกิดแผลเป็นถาวร
ระยะเวลาเห็นผลและโอกาสการกลับมาเป็นซ้ำ
โดยทั่วไปจะเห็นผลการรักษาอย่างชัดเจนใน 8–12 สัปดาห์ แต่มีโอกาสกลับมาเป็นซ้ำได้สูงหากหยุดการรักษาเร็วเกินไป
การรักษาสิวที่แก้มต้องใช้เวลาและความสม่ำเสมอ โดยอาจเริ่มเห็นสิวใหม่ลดลงใน 4–6 สัปดาห์แรก แต่ต้องใช้ยาอย่างต่อเนื่อง 8–12 สัปดาห์จึงจะเห็นการเปลี่ยนแปลงที่ชัดเจน สิวเป็นภาวะเรื้อรังและสามารถกลับมาเป็นซ้ำได้ง่าย แพทย์ผิวหนังจึงมักแนะนำให้ใช้ยาบางชนิดต่อเนื่องเพื่อควบคุมอาการแม้ว่าสิวจะหายดีแล้วก็ตาม
แนวทางการป้องกันสิวที่แก้มในระยะยาว
แนวทางการป้องกันสิวที่แก้มในระยะยาวคือ การใช้ยารักษาสิวอย่างต่อเนื่องเพื่อควบคุมอาการ ควบคู่ไปกับการปรับเปลี่ยนพฤติกรรมและสุขอนามัย
การป้องกันที่มีประสิทธิภาพประกอบด้วย:
- การใช้ยาอย่างต่อเนื่อง (Maintenance Therapy): หลังจากสิวหายแล้ว แพทย์ผิวหนังมักแนะนำให้ใช้ยาทาเฉพาะที่ เช่น เรตินอยด์ (retinoid) ต่อไปเพื่อป้องกันการกลับมาเป็นซ้ำ สำหรับผู้หญิงที่มีปัญหาสิวจากฮอร์โมน อาจต้องใช้ยาคุมกำเนิดหรือสไปโรโนแลคโตน (spironolactone) เพื่อควบคุมอาการในระยะยาว
- การปรับเปลี่ยนพฤติกรรมการใช้ชีวิต: การรับประทานอาหารที่สมดุล การนอนหลับให้เพียงพอ และการจัดการความเครียด สามารถช่วยควบคุมปัจจัยกระตุ้นจากฮอร์โมนได้
- การรักษาสุขอนามัย: ทำความสะอาดของใช้ที่สัมผัสใบหน้าเป็นประจำ เช่น ปลอกหมอน โทรศัพท์ และแปรงแต่งหน้า เพื่อลดการสะสมของแบคทีเรียและสิ่งสกปรก
ข้อที่ควรเลี่ยงซึ่งทำให้สิวที่แก้มแย่ลง
1. การบีบ เค้น แกะสิวด้วยตัวเอง
การบีบ เค้น หรือแกะสิวด้วยตัวเอง เป็นสาเหตุหลักที่ทำให้สิวอักเสบแย่ลงและเพิ่มความเสี่ยงในการเกิดรอยแผลเป็นถาวร เนื่องจากการกระทำดังกล่าวสามารถผลักเชื้อโรคและสิ่งสกปรกลงไปในผิวหนังได้ลึกขึ้น ทำให้เกิดการอักเสบที่รุนแรงกว่าเดิม และอาจเปลี่ยนสิวเม็ดเล็กให้กลายเป็นก้อนที่ใหญ่และเจ็บปวดมากขึ้น นอกจากนี้ การบีบสิวยังเป็นการทำลายคอลลาเจนในผิวหนัง ซึ่งเป็นสาเหตุสำคัญของการเกิดรอยแผลเป็นหลุมหรือรอยดำที่รักษายากในภายหลัง
2. การใช้ผลิตภัณฑ์หลายชนิดเกินความจำเป็น
การใช้ผลิตภัณฑ์หลายชนิดเกินความจำเป็นหรือการทำความสะอาดผิวมากเกินไปจะทำให้สิวที่แก้มแย่ลง เนื่องจากมักจะนำไปสู่ภาวะผิวแห้งและการผลิตน้ำมันออกมาทดแทนมากยิ่งขึ้น
การกระทำต่างๆ เช่น การล้างหน้าหลายครั้งต่อวัน การขัดผิวอย่างรุนแรง หรือการทาครีมรักษาสิวหลายชั้นในหนึ่งวัน ล้วนแต่จะทำให้ผิวอักเสบมากขึ้น นอกจากนี้ การใช้เครื่องสำอางหลายขั้นตอน เช่น ไพรเมอร์ รองพื้น และคอนซีลเลอร์ ก็สามารถสร้างภาระให้ผิวและทำให้รูขุมขนอุดตันได้ การดูแลผิวอย่างเหมาะสมคือการใช้ผลิตภัณฑ์ทำความสะอาดที่อ่อนโยนและใช้ผลิตภัณฑ์ตามที่แพทย์สั่งเท่านั้น เพื่อให้ผิวได้ฟื้นฟูและตอบสนองต่อการรักษาได้ดีขึ้น
3. การละเลยความสะอาดของใช้ส่วนตัวที่สัมผัสใบหน้า
การละเลยความสะอาดของใช้ส่วนตัวที่สัมผัสใบหน้าเป็นสาเหตุหนึ่งที่ทำให้เกิดสิวที่แก้มเรื้อรัง เนื่องจากสิ่งของเหล่านี้สามารถสะสมสิ่งสกปรก แบคทีเรีย และน้ำมัน ซึ่งเมื่อสัมผัสกับผิวหน้าจะทำให้รูขุมขนอุดตันและเกิดการอักเสบได้
ตัวอย่างของใช้ที่ควรทำความสะอาดเป็นประจำ ได้แก่
- ปลอกหมอน
- หน้าจอโทรศัพท์
- แปรงและฟองน้ำแต่งหน้า
- หน้ากากอนามัย
คำถามที่พบบ่อยเกี่ยวกับสิวที่แก้ม
สิวที่แก้มเกิดจากฮอร์โมนใช่ไหม?
ใช่ ฮอร์โมนเป็นปัจจัยหลักอย่างหนึ่งที่ทำให้เกิดสิวที่แก้ม เนื่องจากฮอร์โมนแอนโดรเจน (ฮอร์โมนเพศชายที่พบได้ทั้งสองเพศ) จะกระตุ้นต่อมไขมันให้ผลิตน้ำมันออกมามากขึ้น ซึ่งอาจนำไปสู่การอุดตันของรูขุมขน โดยเฉพาะในช่วงที่ฮอร์โมนมีความผันผวน เช่น วัยแรกรุ่น หรือช่วงก่อนมีประจำเดือน
การใส่หน้ากากอนามัยทำให้เป็นสิวที่แก้มเพิ่มขึ้นจริงหรือไม่?
ใช่ การใส่หน้ากากอนามัยเป็นเวลานานสามารถทำให้เกิดสิวที่แก้มเพิ่มขึ้นได้ เนื่องจากจะสร้างสภาพแวดล้อมที่อุ่นและชื้น รวมถึงเกิดการเสียดสีกับผิว ซึ่งเป็นการกักเก็บเหงื่อ น้ำมัน และแบคทีเรียไว้ใต้หน้ากาก จนเกิดเป็นสิวที่เรียกว่า “maskne” (สิวจากหน้ากาก)
ควรบีบสิวที่แก้มหรือไม่?
ไม่ควร บีบสิวที่แก้ม เนื่องจากการบีบสิวอาจทำให้เชื้อโรคลงลึกสู่ผิวหนังมากขึ้นและทำให้สถานการณ์แย่ลง การกระทำดังกล่าวจะทำให้สิวอักเสบและเจ็บปวดมากขึ้น อีกทั้งยังเพิ่มความเสี่ยงสูงที่จะทิ้งรอยแผลเป็นหรือรอยดำถาวรไว้บนใบหน้า
สิวที่แก้มข้างเดียวเกิดจากสาเหตุพิเศษอะไร?
สิวที่แก้มข้างเดียวมักเกิดจากปัจจัยภายนอกและพฤติกรรมเฉพาะด้าน มากกว่าสาเหตุจากภายในร่างกาย
สาเหตุทั่วไปที่ทำให้เกิดสิวบนแก้มเพียงข้างเดียว ได้แก่:
- การนอนตะแคง: การนอนตะแคงข้างเดิมเป็นประจำทำให้แก้มข้างนั้นสัมผัสกับสิ่งสกปรกและแบคทีเรียที่สะสมอยู่บนปลอกหมอน
- การใช้โทรศัพท์: การถือโทรศัพท์แนบแก้มข้างใดข้างหนึ่งเป็นเวลานาน สามารถถ่ายเทแบคทีเรียและสิ่งสกปรกมาสู่ผิวหนังได้
- พฤติกรรมที่ทำโดยไม่รู้ตัว: การเท้าคางหรือใช้มือสัมผัสใบหน้าด้านใดด้านหนึ่งบ่อยๆ สามารถกระตุ้นให้เกิดสิวในบริเวณนั้นได้
สิวที่แก้มแบบไหนที่ควรไปพบแพทย์?
คุณควรไปพบแพทย์หรือแพทย์ผิวหนัง หากสิวที่แก้มมีความรุนแรงระดับปานกลางถึงรุนแรง เป็นสิวเรื้อรัง หรือทำให้เกิดรอยแผลเป็น สัญญาณที่บ่งชี้ว่าควรขอความช่วยเหลือจากผู้เชี่ยวชาญ ได้แก่
- มีสิวอักเสบจำนวนมากที่ไม่ดีขึ้นหลังการใช้ยาที่หาซื้อได้เอง
- มีสิวที่เป็นก้อนแข็งใต้ผิวหนัง (nodules) หรือสิวซีสต์ (cysts) ซึ่งอาจทำลายเนื้อเยื่อผิวหนังได้
- สิวที่ทิ้งรอยแผลเป็นหลุมหรือรอยดำไว้
- สิวที่ส่งผลกระทบต่อความมั่นใจหรือทำให้รู้สึกเจ็บปวด
- เมื่อใช้ผลิตภัณฑ์ที่หาซื้อได้เองเป็นเวลา 2-3 เดือนแล้วอาการไม่ดีขึ้น
รักษาสิวที่แก้มด้วยตัวเองใช้เวลานานเท่าไร
โดยทั่วไปจะใช้เวลาหลายสัปดาห์ถึงสองสามเดือนจึงจะเห็นผลอย่างชัดเจน ซึ่งคุณอาจสังเกตเห็นสิวใหม่ลดลงหลังจากผ่านไปประมาณ 4-6 สัปดาห์ และจะดีขึ้นอย่างเห็นได้ชัดหลังจากใช้ผลิตภัณฑ์อย่างสม่ำเสมอเป็นเวลา 8-12 สัปดาห์ หากไม่เห็นผลดีขึ้นเลยหลังจากผ่านไปประมาณ 8-10 สัปดาห์ ควรปรึกษาแพทย์
References:
- American Academy of Dermatology. Acne: Diagnosis and treatment. AAD.
- Cleveland Clinic. Acne: Types, Causes, Treatment & Prevention. Cleveland Clinic Health Library.
- Kim, H. J., & Kim, Y. H. Exploring acne treatments: From pathophysiological mechanisms to emerging therapies. International Journal of Molecular Sciences (IJMS).
- PMC NCBI. Stress and acne: relationship and management. National Center for Biotechnology Information.
- Laser Clinics Canada. What causes acne breakouts on one side of the face? Laser Clinics Blog.
- Mayo Clinic Health System. Acne: Overview, symptoms, and causes. Mayo Clinic.
- NIHR Guy’s & St Thomas’ Biomedical Research Centre. Discovery of 29 new acne risk genes provides hope for new treatments. ScienceDaily.
- Penn Medicine. Adult acne: Why you get it and how to fight it. University of Pennsylvania Health System.
