สิวขึ้นเต็มหน้าเกิดจากอะไร? 8 สาเหตุหลักที่ทำให้สิวเห่อ
เช็กลิสต์ 8 สาเหตุหลักที่ทำให้สิวเห่อขึ้นเต็มใบหน้า
1. การเปลี่ยนแปลงของฮอร์โมนในร่างกาย
การเปลี่ยนแปลงของฮอร์โมนในร่างกายเป็นหนึ่งในปัจจัยสำคัญที่กระตุ้นให้เกิดสิว โดยเฉพาะสิวฮอร์โมน ซึ่งมักมีลักษณะและช่วงเวลาการเกิดที่จำเพาะในผู้หญิง สิวฮอร์โมนมักจะเห่อขึ้นในช่วงก่อนมีประจำเดือน เนื่องจากการเปลี่ยนแปลงของระดับฮอร์โมนเอสโตรเจนและโปรเจสเตอโรน โดยสิวมักจะขึ้นบริเวณใบหน้าส่วนล่าง เช่น คาง แนวกราม และลำคอ และมักมีลักษณะเป็นตุ่มอักเสบลึกหรือเป็นซีสต์ที่เจ็บปวด นอกจากนี้ยังอาจเกี่ยวข้องกับภาวะที่มีฮอร์โมนแอนโดรเจน (ฮอร์โมนเพศชาย) สูงเกินไป เช่น ภาวะถุงน้ำรังไข่หลายใบ (PCOS)
ส่วนในผู้ชาย การเปลี่ยนแปลงของฮอร์โมนตามธรรมชาติมีโอกาสทำให้เกิดสิวน้อยกว่า แต่การใช้สเตียรอยด์หรืออาหารเสริมเทสโทสเตอโรนสามารถกระตุ้นให้เกิดสิวรุนแรงได้
2. ความเครียดสะสมและการพักผ่อนไม่เพียงพอ
จากข้อมูลที่ให้มา ความเครียดและการพักผ่อนไม่เพียงพอเป็นปัจจัยที่สามารถกระตุ้นให้เกิดสิวได้ โดยการปรับเปลี่ยนวิถีชีวิต เช่น การจัดการความเครียด ถือเป็นส่วนหนึ่งที่ช่วยลดปัจจัยกระตุ้นซึ่งทำให้สิวกลับมาเป็นซ้ำได้
3. การใช้ผลิตภัณฑ์ที่ไม่เหมาะกับสภาพผิว
การใช้ผลิตภัณฑ์ที่ไม่เหมาะสมกับสภาพผิวสามารถทำให้เกิดสิวได้ โดยแพทย์ผิวหนังแนะนำให้เลือกใช้ผลิตภัณฑ์ที่ไม่มีส่วนผสมที่ก่อให้เกิดการอุดตัน (non-comedogenic) และปราศจากน้ำมัน (oil-free) เพื่อหลีกเลี่ยงปัญหาสิวที่เกิดจากผลิตภัณฑ์
4. การอุดตันจากเซลล์ผิวและเครื่องสำอาง
การอุดตันของรูขุมขนจากเซลล์ผิวที่ตายแล้วและเครื่องสำอางเป็นสาเหตุสำคัญของการเกิดสิว โดยปกติแล้วสิวจะเกิดขึ้นเมื่อเซลล์ผิวเก่าที่ผลัดตัวช้าไปสะสมรวมกับน้ำมันในรูขุมขนจนเกิดการอุดตัน นอกจากนี้ การใช้ผลิตภัณฑ์เครื่องสำอางที่มีส่วนผสมที่ก่อให้เกิดการอุดตัน (comedogenic) หรือมีน้ำมันเป็นส่วนประกอบหลักก็สามารถทำให้เกิดสิวได้เช่นกัน ดังนั้นจึงควรเลือกใช้ผลิตภัณฑ์ที่ไม่ก่อให้เกิดการอุดตัน (non-comedogenic) และปราศจากน้ำมัน (oil-free) เพื่อหลีกเลี่ยงปัญหาสิว
5. พฤติกรรมการสัมผัสใบหน้าบ่อยครั้ง
การบีบหรือเค้นสิวซึ่งเป็นพฤติกรรมการสัมผัสใบหน้าอย่างหนึ่งจะทำให้สิวแย่ลงเกือบทุกครั้ง เนื่องจากการกระทำดังกล่าวจะผลักแบคทีเรีย น้ำมัน และสิ่งสกปรกลงไปในผิวหนังลึกยิ่งขึ้น ทำให้เกิดการอักเสบมากขึ้น สิวจึงบวมและแดงกว่าเดิม
นอกจากนี้ การบีบสิวยังอาจทำให้รูขุมขนข้างเคียงติดเชื้อหรืออักเสบ และยังเป็นการรบกวนกระบวนการรักษาแผลของผิวหนัง ซึ่งเพิ่มโอกาสในการเกิดรอยแผลเป็นหรือจุดด่างดำ ด้วยเหตุนี้ แพทย์ผิวหนังจึงแนะนำอย่างยิ่งว่าไม่ควรแกะหรือบีบสิว
6. อาหารบางชนิดที่กระตุ้นการอักเสบ
อาหารที่กระตุ้นให้เกิดสิวได้คือ อาหารที่มีค่าดัชนีน้ำตาลสูงและผลิตภัณฑ์จากนม จากผลการวิจัยพบว่าอาหารบางชนิดอาจส่งผลต่อการเกิดสิวได้ ได้แก่:
- อาหารที่มีค่าดัชนีน้ำตาลสูง (High-GI): อาหารที่ทำให้ระดับน้ำตาลในเลือดสูงขึ้นอย่างรวดเร็ว เช่น ขนมหวาน เครื่องดื่มรสหวาน ขนมปังขาว ข้าวขาว และของทอด
- ผลิตภัณฑ์จากนม: โดยเฉพาะนมพร่องมันเนย (skim milk) มีความสัมพันธ์กับการเกิดสิว
- อาหารไขมันอิ่มตัวสูงและอาหารแปรรูป: เช่น อาหารฟาสต์ฟู้ด ซึ่งส่งเสริมการอักเสบในร่างกาย
7. ผลข้างเคียงจากยาบางประเภท
ข้อมูลที่ให้มาไม่ได้ระบุถึงผลข้างเคียงจากยาประเภทใด ๆ แต่เน้นอธิบายถึงสาเหตุของการเกิดสิว, วิธีสังเกตสิวฮอร์โมน, การรักษาสิวด้วยตัวเอง, ผลเสียของการบีบสิว, ระยะเวลาในการรักษาสิว และอาหารที่อาจกระตุ้นให้เกิดสิว
8. ปัจจัยด้านพันธุกรรมและสภาพแวดล้อม
พันธุกรรมและฮอร์โมนเป็นปัจจัยหลักที่มีอิทธิพลต่อการเกิดสิว ในขณะที่ปัจจัยด้านวิถีชีวิตและสิ่งแวดล้อมสามารถกระตุ้นให้สิวเห่อขึ้นได้
ปัจจัยที่เกี่ยวข้องซึ่งระบุไว้ในบทความ ได้แก่:
- พันธุกรรม: บางคนมีแนวโน้มที่จะเป็นสิวเรื้อรังไปจนถึงวัยผู้ใหญ่เนื่องจากปัจจัยทางพันธุกรรม
- ฮอร์โมน: การเปลี่ยนแปลงของฮอร์โมน เช่น ช่วงก่อนมีประจำเดือน สามารถกระตุ้นให้เกิดสิวได้ โดยเฉพาะบริเวณแนวกรามและคาง
- อาหาร: อาหารบางชนิดมีความเชื่อมโยงกับการเกิดสิว เช่น อาหารที่มีค่าดัชนีน้ำตาลสูง (ของหวาน, ขนมปังขาว) และผลิตภัณฑ์จากนม โดยเฉพาะนมพร่องมันเนย
- ความเครียด: การจัดการความเครียดเป็นส่วนหนึ่งของการปรับเปลี่ยนวิถีชีวิตเพื่อช่วยลดปัจจัยกระตุ้นการเกิดสิว
วิธีรับมือสิวเห่อ: แนวทางการดูแลและรักษาโดยผู้เชี่ยวชาญ
การรับมือกับสิวเห่ออย่างรุนแรง จำเป็นต้องใช้การรักษาที่สม่ำเสมอและต่อเนื่องเป็นระยะเวลานานหลายเดือน ซึ่งมักจะต้องอยู่ภายใต้การดูแลของแพทย์ผิวหนัง
แนวทางการดูแลและรักษาโดยผู้เชี่ยวชาญมีดังนี้:
- ระยะเวลาในการรักษา: การรักษาสิวเห่อเป็นกระบวนการที่ต้องใช้เวลา โดยทั่วไปจะเริ่มเห็นผลการรักษาหลังผ่านไป 4-8 สัปดาห์ และจะเห็นผลลัพธ์ที่ชัดเจนเมื่อรักษาอย่างต่อเนื่องเป็นเวลา 3-6 เดือน
- ปรึกษาแพทย์ผิวหนัง: สิวระดับปานกลางถึงรุนแรงมักไม่หายได้เอง หากไม่รักษาก็อาจทิ้งรอยแผลเป็นไว้ได้ แพทย์จะสามารถวางแผนการรักษาที่เหมาะสมกับแต่ละบุคคล เช่น การใช้ยาทาเฉพาะที่ (เรตินอยด์, เบนโซอิลเพอร์ออกไซด์) หรือยารับประทาน
- หลีกเลี่ยงการบีบสิว: การบีบหรือแกะสิวจะยิ่งทำให้อาการอักเสบแย่ลง ผลักเชื้อแบคทีเรียให้ลึกเข้าไปในผิวหนังมากขึ้น ทำให้สิวหายช้าลง และเพิ่มความเสี่ยงในการเกิดรอยแผลเป็น
- พิจารณาปัจจัยกระตุ้น: อาหารบางชนิดอาจกระตุ้นให้สิวเห่อได้ โดยเฉพาะอาหารที่มีค่าดัชนีน้ำตาลสูง (เช่น ขนมหวาน, ขนมปังขาว) และผลิตภัณฑ์จากนม การปรับเปลี่ยนอาหารอาจช่วยเสริมการรักษาทางการแพทย์ได้
การดูแลผิวด้วยตัวเองเพื่อควบคุมสิวเบื้องต้น
การดูแลผิวด้วยตัวเองเพื่อควบคุมสิวเบื้องต้นสามารถทำได้โดยการหลีกเลี่ยงการบีบสิว เลือกใช้ผลิตภัณฑ์ที่เหมาะสม และปรับเปลี่ยนพฤติกรรมการกิน ซึ่งเป็นแนวทางที่ช่วยลดปัจจัยกระตุ้นและป้องกันการอักเสบที่รุนแรงขึ้น
คำแนะนำในการดูแลผิวเบื้องต้นมีดังนี้:
- ห้ามบีบหรือแกะสิว: การบีบสิวจะยิ่งผลักเชื้อแบคทีเรียและสิ่งสกปรกลงไปในผิวหนังลึกขึ้น ทำให้เกิดการอักเสบที่รุนแรงกว่าเดิม และเพิ่มความเสี่ยงในการเกิดรอยแผลเป็น
- เลือกผลิตภัณฑ์ที่เหมาะสม: ควรใช้ผลิตภัณฑ์ดูแลผิวและเครื่องสำอางที่ระบุว่า “non-comedogenic” (ไม่ก่อให้เกิดการอุดตัน) และ “oil-free” (ปราศจากน้ำมัน) เพื่อหลีกเลี่ยงการอุดตันของรูขุมขน
- ปรับเปลี่ยนการรับประทานอาหาร: งานวิจัยชี้ว่าอาหารที่มีดัชนีน้ำตาลสูง (เช่น ของหวาน ขนมปังขาว) และผลิตภัณฑ์จากนม (โดยเฉพาะนมพร่องมันเนย) อาจกระตุ้นให้เกิดสิวได้ การลดอาหารเหล่านี้อาจช่วยให้อาการดีขึ้น
- ใช้ยาทาเฉพาะที่: สามารถใช้ยาทาเฉพาะจุด เช่น เบนโซอิลเพอร์ออกไซด์ (benzoyl peroxide) เพื่อช่วยลดการอักเสบและทำให้สิวยุบเร็วขึ้น
- รักษาอย่างสม่ำเสมอ: การควบคุมสิวต้องอาศัยความสม่ำเสมอในการดูแลผิวและใช้ยาอย่างต่อเนื่อง เพื่อป้องกันการเกิดสิวใหม่ในระยะยาว
การรักษาด้วยยา ทั้งยาทาและยารับประทาน
การรักษาด้วยยาสำหรับสิว มีทั้งยาทาและยารับประทาน ซึ่งแพทย์ผิวหนังจะพิจารณาเลือกใช้ตามความเหมาะสมกับแต่ละบุคคล
- ยาทา: เช่น ยาในกลุ่มเรตินอยด์ (retinoids) และเบนโซอิลเพอร์ออกไซด์ (benzoyl peroxide)
- ยารับประทาน: เช่น ยาปฏิชีวนะ, ไอโซเตรติโนอิน (isotretinoin) สำหรับสิวชนิดรุนแรง, และยาที่ออกฤทธิ์ต่อฮอร์โมน เช่น ยาคุมกำเนิดบางชนิดหรือยาต้านแอนโดรเจน (anti-androgen) สำหรับสิวฮอร์โมน
หัตถการทางการแพทย์เพื่อลดการอักเสบและรอยสิว
หัตถการทางการแพทย์ที่ช่วยลดการอักเสบของสิวคือ การฉีดคอร์ติโคสเตียรอยด์โดยแพทย์ผิวหนัง ส่วนหัตถการที่ช่วยเรื่องรอยสิวคือ การทำเคมีคอลพีล (chemical peels) และหัตถการอื่นๆ
- การฉีดคอร์ติโคสเตียรอยด์ เป็นวิธีที่แพทย์ผิวหนังใช้กับสิวอักเสบเม็ดใหญ่หรือเจ็บปวดมาก เพื่อช่วยให้สิวยุบลงอย่างรวดเร็วและปลอดภัย
- การทำเคมีคอลพีล สามารถช่วยเร่งกระบวนการผลัดเซลล์ผิว ทำให้รอยแดงหรือรอยดำหลังสิวหายจางลงได้เร็วขึ้น
- สำหรับรอยแผลเป็นหรือหลุมสิว อาจจำเป็นต้องใช้หัตถการอื่นๆ ในการรักษาเพิ่มเติม
การใช้เลเซอร์และพลังงานแสงในการรักษาสิวเห่อ
ข้อมูลที่ให้มาไม่มีรายละเอียดเกี่ยวกับการใช้เลเซอร์และพลังงานแสงในการรักษาสิวเห่อ แต่ได้กล่าวถึงการปรึกษาแพทย์ผิวหนังเพื่อพิจารณา “การรักษาขั้นสูง” (advanced therapies) ที่เหมาะสมเป็นรายบุคคล
เมื่อไหร่ที่สิวขึ้นเต็มหน้าควรไปพบแพทย์?
ควรไปพบแพทย์เมื่อสิวระดับปานกลางถึงรุนแรงไม่สามารถหายได้เอง เนื่องจากสิวประเภทนี้มักจะไม่หายขาดหากไม่ได้รับการรักษา การปล่อยให้สิวอักเสบรุนแรงขึ้นเต็มใบหน้าโดยไม่รักษาอาจทำให้เกิดรอยแผลเป็นในระยะยาวได้ นอกจากนี้ แม้จะเป็นสิวที่ไม่รุนแรงแต่หากสร้างความรำคาญใจ ก็ควรปรึกษาแพทย์เพื่อป้องกันผลกระทบทางอารมณ์และรอยแผลเป็นที่อาจเกิดขึ้น
ข้อควรรู้ก่อนตัดสินใจเลือกวิธีรักษาสิว
การประเมินประเภทและความรุนแรงของสิว
การประเมินประเภทและความรุนแรงของสิวสามารถทำได้โดย การสังเกตลักษณะของสิว โดยเฉพาะตำแหน่ง ช่วงเวลาที่เกิด และประเภทของตุ่มสิว
ข้อมูลจากบทความช่วยให้ประเมินได้ดังนี้:
- ประเภทของสิว (สิวฮอร์โมน):
- ช่วงเวลา: มักจะเห่อขึ้นในช่วงก่อนมีประจำสัปดาห์
- ตำแหน่ง: เกิดขึ้นบริเวณใบหน้าส่วนล่าง เช่น คาง แนวกราม และลำคอ
- ลักษณะ: มักเป็นสิวอักเสบชนิดซีสต์ (Cysts) หรือสิวหัวช้าง (Nodules) ที่อยู่ลึกและมีอาการเจ็บ
- ความรุนแรงของสิว:
- สิวเล็กน้อย: อาจสามารถดีขึ้นและหายได้เอง
- สิวปานกลางถึงรุนแรง: โดยทั่วไปจะไม่หายเองหากไม่ได้รับการรักษา และอาจทิ้งรอยแผลเป็นไว้ได้
ระยะเวลาและผลลัพธ์ที่คาดหวังได้จากการรักษา
การรักษาสิวที่รุนแรงให้หายขาดนั้น ต้องใช้เวลา 3-6 เดือนในการรักษาอย่างต่อเนื่อง จึงจะเห็นผลลัพธ์ที่ชัดเจน
โดยทั่วไปจะเริ่มเห็นการเปลี่ยนแปลงที่ดีขึ้นในช่วง 4-8 สัปดาห์แรก แต่การรักษาส่วนใหญ่มักใช้เวลาหลายเดือนจึงจะเห็นผลเต็มที่ ตัวอย่างเช่น ยาทาเฉพาะที่อาจใช้เวลา 2-3 เดือน ในขณะที่ยาปฏิชีวนะชนิดรับประทานมักใช้เวลาประมาณ 3 เดือน หลังจากสิวอักเสบหายแล้ว อาจต้องใช้เวลาอีกหลายสัปดาห์หรือหลายเดือนเพื่อให้รอยแดงรอยดำจางลง
การเลือกคลินิกและแพทย์ผู้ทำการรักษาที่ได้มาตรฐาน
การเลือกคลินิกและแพทย์ผู้ทำการรักษาที่ได้มาตรฐานควรเริ่มจากการศึกษาข้อมูลเพื่อหาผู้ให้บริการที่มีคุณสมบัติและน่าเชื่อถือ เนื่องจากการเลือกผู้ให้บริการที่เหมาะสมจะสร้างความแตกต่างอย่างมากในการรักษาสิวให้หายได้อย่างปลอดภัยและมีประสิทธิภาพ
ข้อผิดพลาดที่ควรเลี่ยง: พฤติกรรมที่ทำให้สิวเห่อรุนแรงขึ้น
พฤติกรรมหลักที่ทำให้สิวเห่อรุนแรงขึ้นคือ การบีบหรือแกะสิว และการรับประทานอาหารบางชนิด
พฤติกรรมเหล่านี้ควรหลีกเลี่ยงเพื่อควบคุมการเกิดสิว:
- การบีบสิว: การบีบหรือแกะสิวจะผลักแบคทีเรียและสิ่งสกปรกลงไปในผิวหนังลึกขึ้น ทำให้เกิดการอักเสบที่รุนแรงกว่าเดิม นอกจากนี้ยังทำให้สิวหายช้าลงและเพิ่มความเสี่ยงในการเกิดรอยแผลเป็น
- การรับประทานอาหารบางประเภท:
- อาหารที่มีค่าดัชนีน้ำตาลสูง (High-GI): เช่น ของหวาน เครื่องดื่มที่มีน้ำตาล ขนมปังขาว และข้าวขาว อาหารเหล่านี้จะกระตุ้นการผลิตน้ำมันบนใบหน้าและทำให้สิวอักเสบมากขึ้น
- ผลิตภัณฑ์นม: โดยเฉพาะนมพร่องมันเนย มีความสัมพันธ์กับการเกิดสิวที่รุนแรงขึ้นในบางคน เนื่องจากอาจเกี่ยวข้องกับฮอร์โมนในน้ำนม
คำถามที่พบบ่อยเกี่ยวกับปัญหาสิวขึ้นเต็มหน้า
ทำไมสิวถึงขึ้นเรื่อยๆ ไม่หายสักที?
สิวขึ้นซ้ำๆ ไม่หายขาดเนื่องจากเป็นภาวะเรื้อรังที่เกิดจากปัจจัยพื้นฐานยังคงอยู่ เช่น การผลิตน้ำมันที่มากเกินไป การอุดตันของรูขุมขน แบคทีเรีย และการอักเสบ
หากปัจจัยกระตุ้นเหล่านี้ไม่ได้รับการแก้ไขอย่างต่อเนื่อง สิวใหม่ก็จะเกิดขึ้นมาแทนที่สิวเก่าที่เพิ่งหายไป นอกจากนี้ การเปลี่ยนแปลงของฮอร์โมนก็เป็นอีกสาเหตุสำคัญที่ทำให้สิวขึ้นเป็นวงจรซ้ำๆ การรักษาสิวอย่างสม่ำเสมอในระยะยาวตามคำแนะนำของแพทย์ผิวหนังจึงเป็นวิธีที่ดีที่สุดในการควบคุมสิวเรื้อรังเหล่านี้
จะรู้ได้อย่างไรว่าเป็นสิวฮอร์โมน?
สิวฮอร์โมนสามารถสังเกตได้จากช่วงเวลาที่เกิดและตำแหน่งที่ขึ้นบนใบหน้า โดยมักมีลักษณะเฉพาะดังนี้
- ช่วงเวลาที่เกิด: ในผู้หญิง สิวฮอร์โมนมักจะเห่อขึ้นในช่วงก่อนมีประจำเดือนประมาณหนึ่งสัปดาห์
- ตำแหน่งที่ขึ้น: มักเกิดบริเวณใบหน้าส่วนล่าง โดยเฉพาะคาง แนวกราม และลำคอ
- ลักษณะสิว: มักเป็นสิวอักเสบเม็ดใหญ่ เจ็บ หรือเป็นซีสต์อยู่ลึกใต้ผิวหนัง มากกว่าจะเป็นสิวหัวขาวเล็กๆ
- ช่วงวัยที่เริ่มเป็น: สิวเริ่มขึ้นหรือมีอาการแย่ลงในช่วงวัยผู้ใหญ่ (หลังอายุประมาณ 25 ปี)
- อาการอื่น ๆ ร่วมด้วย: อาจมีอาการอื่น ๆ ของภาวะฮอร์โมนแอนโดรเจนเกิน เช่น ประจำเดือนมาไม่ปกติ มีขนดก หรือผมบาง
สิวเห่อสามารถหายเองได้หรือไม่?
สิวที่ไม่รุนแรงอาจดีขึ้นได้เอง แต่สิวระดับปานกลางถึงรุนแรงมักจะไม่หายสนิทหากไม่ได้รับการรักษา
สิวเกิดจากกระบวนการต่อเนื่องในผิวหนัง เช่น การผลิตน้ำมันและการอุดตันของรูขุมขน ซึ่งอาจคงอยู่เป็นเวลาหลายเดือนหรือหลายปีหากไม่ได้รับการแก้ไข การปล่อยให้สิวหายเองอาจใช้เวลานานและเสี่ยงต่อการเกิดรอยแผลเป็น ดังนั้นจึงแนะนำให้รักษาสิวแม้จะมีอาการเพียงเล็กน้อยเพื่อป้องกันแผลเป็นและผลกระทบทางอารมณ์
การกดสิวเองทำให้สิวเห่อกว่าเดิมจริงไหม?
จริง การกดหรือบีบสิวเองมักจะทำให้อาการของสิวแย่ลงเกือบทุกครั้ง เนื่องจากการกระทำดังกล่าวจะผลักแบคทีเรีย น้ำมัน และสิ่งสกปรกลงไปในผิวหนังลึกยิ่งขึ้น ซึ่งนำไปสู่การอักเสบที่รุนแรงกว่าเดิม ทำให้สิวบวมและแดงมากขึ้น นอกจากนี้ยังทำให้สิวหายช้าลงและเพิ่มความเสี่ยงในการเกิดรอยแผลเป็นหรือรอยดำอีกด้วย
สิวเห่อใช้เวลารักษานานแค่ไหน?
โดยทั่วไปแล้ว การรักษาสิวที่เห่อรุนแรงต้องใช้เวลาประมาณ 3-6 เดือน จึงจะสามารถควบคุมสิวส่วนใหญ่ได้
แม้ว่าอาจจะเริ่มเห็นการเปลี่ยนแปลงที่ดีขึ้นได้ใน 4-8 สัปดาห์แรก แต่การรักษาสิวให้หายต้องใช้ความต่อเนื่องและเวลา โดยระยะเวลาจะขึ้นอยู่กับวิธีการรักษา เช่น ยาทากลุ่มเรตินอยด์มักใช้เวลา 2-3 เดือนจึงจะเห็นผลเต็มที่ ในขณะที่ยาปฏิชีวนะชนิดรับประทานอาจใช้เวลาประมาณ 3 เดือน หลังจากสิวอักเสบหายแล้ว ยังต้องใช้เวลาอีกหลายสัปดาห์หรือหลายเดือนเพื่อให้รอยแดงรอยดำจางลง
อาหารชนิดใดบ้างที่กระตุ้นให้สิวขึ้นเต็มหน้า?
อาหารที่มีค่าดัชนีน้ำตาลสูงและผลิตภัณฑ์จากนมเป็นสองกลุ่มหลักที่มีหลักฐานชัดเจนว่าสามารถกระตุ้นให้เกิดสิวได้
อาหารที่อาจส่งผลต่อการเกิดสิว ได้แก่:
- อาหารที่มีค่าดัชนีน้ำตาลสูง (High-GI): คืออาหารที่ทำให้ระดับน้ำตาลในเลือดพุ่งสูงอย่างรวดเร็ว เช่น ขนมหวาน, เครื่องดื่มที่มีน้ำตาล, ขนมปังขาว, ข้าวขาว และของทอด การเพิ่มขึ้นของอินซูลินจะไปกระตุ้นการผลิตไขมันบนใบหน้า (ซีบัม) ซึ่งเป็นสาเหตุของการเกิดสิว
- ผลิตภัณฑ์จากนม: โดยเฉพาะนมพร่องมันเนย (skim milk) มีความสัมพันธ์กับการเกิดสิว แม้กลไกยังไม่ชัดเจน แต่คาดว่าเกี่ยวข้องกับฮอร์โมนในน้ำนมที่กระตุ้นการเกิดสิว
- อาหารไขมันอิ่มตัวและอาหารแปรรูปสูง: หรือที่เรียกว่า “อาหารแบบตะวันตก” (Western diet) เช่น อาหารฟาสต์ฟู้ดและของทอด เชื่อว่าส่งเสริมการอักเสบในร่างกายซึ่งอาจแสดงออกทางผิวหนังในรูปแบบของสิว
References:
- American Academy of Dermatology. (n.d.). Acne: Tips for managing. AAD. aad.org
- Cleveland Clinic. (n.d.). Acne: Types, Causes, Treatment & Prevention. Cleveland Clinic. clevelandclinic.org
- Mayo Clinic. (n.d.). Acne – Symptoms and causes. Mayo Clinic. mayoclinic.org
- National Institutes of Health. (n.d.). Acne. NIH – National Institute of Arthritis and Musculoskeletal and Skin Diseases. nih.gov
- Healthline. (n.d.). Everything You Want to Know About Acne. Healthline Media. healthline.com
- Medical News Today. (n.d.). What you need to know about acne. MNT. medicalnewstoday.com

