Skip to content

TEL : 081-841-5075, 02-258-4050

Facebook Instagram YouTube
Privato Clinic – Innovation Of Beauty  |  Bangkok
  • หน้าหลัก
  • เกี่ยวกับพรีวาโต
  • บริการทั้งหมดExpand
    • ชะลอวัย
    • ยกกระชับผิวExpand
      • XERF
      • Potenza
      • Sofwave
      • Ulthera
      • Thermage-FLX
    • รักษาสิว
    • เลเซอร์
    • โปรแกรมฉีด
    • บำรุงผิว
  • บทความExpand
    • สิว
    • ยกกระชับ
    • ดูแลผิว
    • ทำเลเซอร์
  • ผลิตภัณฑ์ดูแลผิว
  • โปรโมชั่น
  • ผลลัพธ์การรักษา
  • วิดีโอรีวิวจากเคสจริง
  • สาขาของเรา
  • ไทยExpand
    • ไทย
    • English
    • 中文 (中国)
  • ปรึกษาแพทย์
Privato Clinic – Innovation Of Beauty  |  Bangkok
Consult a Doctor
Acne

สิวข้าวสาร คืออะไร? วิธีจัดการและวิธีรักษา

Byadmin สิงหาคม 13, 2025
By นายแพทย์เลอพงษ์ กรุดเงิน Updated on สิงหาคม 13, 2025
✦ Medically reviewed by  แพทย์หญิงนัชชนก หุ่นวิจิตร

Table of Contents

Toggle
  • สิวข้าวสาร (Milia): ลักษณะและประเภทที่พบบ่อย
  • สิวข้าวสารเกิดจากอะไร? 5 สาเหตุหลักที่ควรรู้
  • สิวข้าวสารแตกต่างจากสิวหินและสิวอุดตันอย่างไร?
    • ตารางเปรียบเทียบ: สิวข้าวสาร vs สิวหิน vs สิวหัวขาว
  • มีวิธีรักษาและจัดการสิวข้าวสารอย่างไรบ้าง?
    • การรักษาสิวข้าวสารด้วยตัวเองที่บ้าน
    • การรักษาสิวข้าวสารโดยผู้เชี่ยวชาญ
  • วิธีจัดการสิวข้าวสารใต้ตาและบนเปลือกตาอย่างปลอดภัย
  • เราจะป้องกันการเกิดสิวข้าวสารซ้ำได้อย่างไร?
  • เมื่อไหร่ควรพบแพทย์เพื่อรักษาสิวข้าวสาร?
  • References
  • Author

สิวข้าวสาร (Milia): ลักษณะและประเภทที่พบบ่อย

สิวข้าวสารบนจมูก

สิวข้าวสาร (Milia) คือซีสต์เคราตินขนาดเล็กสีขาว ที่มีลักษณะเป็นตุ่มแข็งขนาด 1-3 มิลลิเมตร อยู่ใต้ผิวหนัง โดยไม่ก่อให้เกิดอาการเจ็บหรือคัน และมักปรากฏเป็นกลุ่มบริเวณรอบดวงตา แก้ม จมูก และหน้าผาก

สิวข้าวสารแบ่งออกเป็น 2 ประเภทหลักตามสาเหตุการเกิด ได้แก่

  • สิวข้าวสารชนิดปฐมภูมิ (Primary Milia): เกิดขึ้นเองตามธรรมชาติบนผิวที่แข็งแรงโดยไม่มีสาเหตุนำมาก่อน พบได้บ่อยในทารกแรกเกิดและผู้ใหญ่
  • สิวข้าวสารชนิดทุติยภูมิ (Secondary Milia): เกิดขึ้นบริเวณผิวหนังที่เคยได้รับบาดเจ็บหรือเป็นโรค เช่น หลังเกิดแผลไหม้ ผื่นพุพอง หรือจากการใช้สเตียรอยด์เป็นเวลานาน

สิวข้าวสารเกิดจากอะไร? 5 สาเหตุหลักที่ควรรู้

สิวข้าวสาร (Milia) เกิดจากการที่เคราตินซึ่งเป็นโปรตีนในผิวหนังถูกกักเก็บอยู่ใต้ผิวหนังชั้นนอกจนกลายเป็นซีสต์ขนาดเล็กสีขาว ไม่ได้เกิดจากการอุดตันของรูขุมขนเหมือนสิวทั่วไป

สาเหตุหลักที่ทำให้เกิดสิวข้าวสารมี 5 ประการ ดังนี้

  1. การเกิดขึ้นเอง (Primary Milia) เป็นชนิดที่พบบ่อยที่สุด เกิดขึ้นได้เองตามธรรมชาติเมื่อเคราตินอุดตันในท่อของต่อมไขมันหรือรูขุมขนอ่อน มักพบในทารกแรกเกิดและผู้ใหญ่
  2. ผิวหนังได้รับความเสียหาย (Secondary Milia) เกิดขึ้นในบริเวณที่ผิวหนังเคยบาดเจ็บ เช่น หลังเกิดแผลไฟไหม้ ผื่นพุพอง การขัดผิวด้วยวิธีรุนแรง (Dermabrasion) หรือหลังโดนแดดเผา โดยเคราตินจะถูกกักไว้ในระหว่างกระบวนการซ่อมแซมผิว
  3. การใช้ผลิตภัณฑ์ที่อุดตันผิว การใช้ครีมหรือเครื่องสำอางที่มีเนื้อหนักและก่อให้เกิดการอุดตัน (Occlusive) โดยเฉพาะบริเวณผิวบอบบางอย่างรอบดวงตา อาจเป็นปัจจัยกระตุ้นให้เกิดสิวข้าวสารได้
  4. การใช้ยาสเตียรอยด์ชนิดทาเป็นเวลานาน การใช้ยาสเตียรอยด์ติดต่อกันเป็นเวลานานอาจทำให้ผิวบางลงและกระตุ้นให้เกิดสิวข้าวสารชนิดทุติยภูมิ (Secondary Milia)
  5. ปัจจัยทางพันธุกรรม แม้จะพบได้ไม่บ่อย แต่โรคผิวหนังทางพันธุกรรมบางชนิดอาจทำให้ผู้ป่วยมีสิวข้าวสารขึ้นเป็นจำนวนมากและเรื้อรังได้

สิวข้าวสารแตกต่างจากสิวหินและสิวอุดตันอย่างไร?

สิวข้าวสาร สิวหิน และสิวอุดตันหัวขาวแตกต่างกันที่สาเหตุการเกิด สี และสิ่งที่อยู่ภายในตุ่ม โดยสิวข้าวสารเกิดจากเคราตินที่ติดอยู่ใต้ผิวหนัง สิวหินเป็นเนื้องอกของต่อมเหงื่อ ในขณะที่สิวอุดตันเป็นรูขุมขนที่อุดตันด้วยไขมัน

  • สิวข้าวสาร (Milia): เกิดจากเคราติน (โปรตีนผิวหนัง) ที่ถูกกักอยู่ใต้ผิวหนัง มีลักษณะเป็นตุ่มแข็งสีขาวมุกขนาดเล็ก ไม่ใช่การอุดตันในรูขุมขนและไม่สามารถบีบออกได้ง่าย
  • สิวหิน (Syringoma): เป็นเนื้องอกที่ไม่ร้ายแรงของต่อมเหงื่อ มีลักษณะเป็นตุ่มนูนสีเดียวกับผิวหรือสีเหลือง มักพบบริเวณใต้ตาเป็นกลุ่มๆ
  • สิวอุดตันหัวขาว (Whitehead): เป็นสิวชนิดหนึ่งที่เกิดจากรูขุมขนอุดตันด้วยไขมัน (ซีบัม) และเซลล์ผิวที่ตายแล้ว มีลักษณะเป็นตุ่มนูนที่มีหัวสีขาว และอาจเกิดการอักเสบได้

ตารางเปรียบเทียบ: สิวข้าวสาร vs สิวหิน vs สิวหัวขาว

ตารางนี้เปรียบเทียบความแตกต่างที่สำคัญระหว่างสิวข้าวสาร สิวหิน และสิวหัวขาว

ลักษณะ สิวข้าวสาร (Milia) สิวหิน (Syringoma) สิวหัวขาว (Whitehead)
สาเหตุ เคราติน (โปรตีนผิวหนัง) ที่ติดอยู่ใต้ผิวหนัง ไม่ใช่รูขุมขนอุดตัน เนื้องอกที่ไม่ร้ายแรงของต่อมเหงื่อ รูขุมขนอุดตันจากไขมัน (ซีบัม) และเซลล์ผิวที่ตายแล้ว
สีและสิ่งที่อยู่ภายใน สีขาวมุกหรือเหลือง ภายในเป็นก้อนเคราตินแข็ง ไม่มีหนอง สีเดียวกับผิว สีเหลือง หรือโปร่งแสง ภายในเป็นโครงสร้างของท่อต่อมเหงื่อ หัวสิวสีขาวหรือขาวขุ่น ภายในเป็นไขมันและเคราติน อาจอักเสบได้
ขนาดและความแข็ง 1–3 มม. เป็นตุ่มแข็งทรงโดม รู้สึกเหมือนเม็ดทรายใต้ผิวหนัง 1–3 มม. ตุ่มแข็งหรือหยุ่นๆ มักขึ้นเป็นกลุ่ม 1–3 มม. นิ่มกว่าสิวข้าวสาร อาจบีบออกเป็นเส้นสีขาวได้
บริเวณที่พบบ่อย ใบหน้า โดยเฉพาะรอบดวงตา แก้ม หน้าผาก และจมูก ใต้ตาและโหนกแก้ม มักขึ้นสมมาตรกันทั้งสองข้าง บริเวณที่มัน เช่น T-zone (จมูก คาง หน้าผาก) รวมถึงหน้าอกและหลัง
อายุและกลุ่มที่พบ พบได้ทุกวัย พบบ่อยมากในทารกแรกเกิด (40-50%) มักเกิดในวัยรุ่นหรือผู้ใหญ่ (อายุ 20-40 ปี) พบในผู้หญิงบ่อยกว่า วัยรุ่นและผู้ใหญ่ตอนต้น มักเกิดกับคนผิวมันหรือมีการเปลี่ยนแปลงของฮอร์โมน

มีวิธีรักษาและจัดการสิวข้าวสารอย่างไรบ้าง?

การรักษาสิวข้าวสารมี 2 วิธีหลัก คือ การดูแลด้วยตนเองที่บ้านและการกำจัดโดยผู้เชี่ยวชาญ

  • การดูแลด้วยตนเองที่บ้าน: เป็นการใช้ผลิตภัณฑ์ผลัดเซลล์ผิวเพื่อช่วยให้สิวข้าวสารค่อยๆ หลุดออกไปเอง ซึ่งอาจใช้เวลาหลายสัปดาห์ถึงหลายเดือน วิธีการที่นิยมได้แก่:
    • เรตินอยด์ (Retinoids): ช่วยเร่งการผลัดเซลล์ผิวและป้องกันการอุดตัน
    • ผลิตภัณฑ์ผลัดเซลล์ผิว (Exfoliants): เช่น กรดไกลโคลิก (AHA) หรือกรดซาลิไซลิก (BHA) ช่วยผลัดผิวชั้นนอกออกไป
    • ข้อควรระวัง: ไม่ควรพยายามบีบหรือแกะสิวข้าวสารด้วยตัวเอง เพราะอาจทำให้เกิดแผลเป็นหรือการติดเชื้อได้
  • การกำจัดโดยผู้เชี่ยวชาญ: เป็นวิธีที่เห็นผลทันทีและมีประสิทธิภาพสูง เหมาะสำหรับสิวข้าวสารที่ไม่หายไปเองหรือส่งผลต่อความสวยงาม ได้แก่:
    • การใช้เข็มสะกิดออก (Extraction): แพทย์จะใช้เข็มที่ฆ่าเชื้อแล้วสะกิดเปิดผิวหนังเล็กน้อยและกดเอาก้อนเคราตินออก
    • เลเซอร์ (Laser): ใช้เลเซอร์ทำลายตุ่มสิวข้าวสาร ซึ่งจะเกิดเป็นสะเก็ดและหลุดออกไปใน 1 สัปดาห์
    • การจี้ด้วยความเย็น (Cryotherapy): ใช้ไนโตรเจนเหลวจี้ แต่ไม่นิยมใช้บริเวณรอบดวงตา
    • การจี้ด้วยไฟฟ้า (Electrodessication): ใช้ความร้อนทำลายตุ่มสิวข้าวสาร

การรักษาสิวข้าวสารด้วยตัวเองที่บ้าน

การรักษาสิวข้าวสารด้วยตัวเองที่บ้านสามารถทำได้โดย การใช้ผลิตภัณฑ์ผลัดเซลล์ผิวที่มีส่วนผสมของเรตินอยด์ (Retinoids) หรือกรดซาลิไซลิก (Salicylic Acid) และกรดไกลโคลิก (Glycolic Acid) เพื่อช่วยให้สิวหลุดออกไปเองอย่างช้าๆ

ผลิตภัณฑ์เหล่านี้จะช่วยเร่งการผลัดเซลล์ผิวชั้นนอก ทำให้เคราตินที่อุดตันอยู่ใต้ผิวค่อยๆ ถูกดันขึ้นมาและหลุดออกไปในที่สุด ซึ่งอาจใช้เวลาหลายสัปดาห์ถึงหลายเดือนจึงจะเห็นผล

ข้อควรระวังที่สำคัญที่สุดคือ ห้ามพยายามบีบ กด หรือใช้ของแหลมเจาะสิวข้าวสารด้วยตัวเอง เพราะสิวข้าวสารเป็นซีสต์ที่อยู่ใต้ผิวหนัง ไม่ใช่สิวอุดตันแบบทั่วไป การพยายามบีบออกเองอาจทำให้ผิวหนังเสียหาย เกิดการอักเสบ ติดเชื้อ หรือทิ้งรอยแผลเป็นได้

ผลิตภัณฑ์และส่วนผสมที่แนะนำมีอะไรบ้าง?

ผลิตภัณฑ์ที่แนะนำสำหรับสิวหินมักมีส่วนผสมของเรตินอยด์และกรดผลัดเซลล์ผิว (chemical exfoliants) เช่น กรดซาลิไซลิกและกรดไกลโคลิก ผลิตภัณฑ์เหล่านี้ช่วยเร่งการผลัดเซลล์ผิวเพื่อให้สิวหินหลุดออกไปเอง

  • เรตินอยด์ (Retinoids): เช่น อะแดพาลีน (adapalene) ช่วยเร่งการผลัดเซลล์ผิวและลดการเกาะตัวของเคราติน ทำให้สิวหินค่อยๆ ถูกผลักออกมา ควรใช้ตอนกลางคืนและทาครีมกันแดดในตอนกลางวัน เนื่องจากเรตินอยด์ทำให้ผิวไวต่อแสง
  • กรดผลัดเซลล์ผิว (Chemical Exfoliants): เช่น กรดซาลิไซลิก (salicylic acid) 2% หรือกรดไกลโคลิก (glycolic acid) 5-10% ช่วยผลัดเซลล์ผิวชั้นนอกอย่างอ่อนโยน ทำให้สิวหินหลุดออกได้ง่ายขึ้น ควรใช้ด้วยความระมัดระวังบริเวณรอบดวงตาและต้องทาครีมกันแดดทุกวัน

ในทางกลับกัน ยารักษาสิวทั่วไปอย่างเบนโซอิลเพอร์ออกไซด์ (benzoyl peroxide) มักไม่ได้ผลกับสิวหิน เนื่องจากสิวหินไม่ได้เกิดจากการอุดตันของรูขุมขนหรือแบคทีเรียเหมือนสิวทั่วไป

ข้อควรระวังในการพยายามกดหรือเจาะสิวข้าวสารเองคืออะไร?

ข้อควรระวังหลักในการพยายามกดหรือเจาะสิวข้าวสารเองคือความเสี่ยงที่จะทำให้ผิวหนังเสียหาย เกิดการติดเชื้อ และทิ้งรอยแผลเป็นไว้ เนื่องจากสิวข้าวสารเป็นซีสต์ที่ถูกปิดอยู่ใต้ผิวหนังชั้นนอก ไม่ใช่สิวอุดตันที่สามารถกดออกได้เหมือนสิวทั่วไป

การพยายามบีบหรือเจาะด้วยตนเองมักจะไม่สามารถนำหัวสิวออกมาได้ แต่จะทำให้ผิวหนังโดยรอบเกิดรอยแดง อักเสบ หรือติดเชื้อจากการใช้อุปกรณ์ที่ไม่สะอาด นอกจากนี้ การกำจัดที่ไม่สมบูรณ์อาจกระตุ้นให้เกิดสิวข้าวสารขึ้นใหม่ในบริเวณเดิมได้อีกด้วย

การรักษาสิวข้าวสารโดยผู้เชี่ยวชาญ

การรักษาสิวข้าวสารโดยผู้เชี่ยวชาญมีหลายวิธี เช่น การใช้เข็มสะกิดออก, การใช้เลเซอร์, การจี้ด้วยความเย็น, การผลัดเซลล์ผิวด้วยสารเคมี และการจี้ด้วยไฟฟ้า ซึ่งแต่ละวิธีมีข้อดีและความเสี่ยงแตกต่างกันไป

วิธีการรักษาสิวข้าวสารโดยผู้เชี่ยวชาญ ได้แก่:

  • การใช้เข็มสะกิดออก (Extraction): แพทย์จะใช้เข็มหรือใบมีดขนาดเล็กที่ผ่านการฆ่าเชื้อแล้วสะกิดเปิดผิวหนังบริเวณสิวข้าวสาร จากนั้นใช้เครื่องมือกดเอาเม็ดเคราตินที่แข็งตัวอยู่ข้างใต้ออก วิธีนี้เห็นผลทันทีและแทบไม่ทิ้งรอยแผลเป็น เหมาะสำหรับบริเวณที่บอบบางอย่างรอบดวงตา
  • การใช้เลเซอร์ (Laser Ablation): เป็นการใช้เลเซอร์ยิงไปที่สิวข้าวสารเพื่อทำลายซีสต์โดยตรง หลังทำจะมีสะเก็ดเล็กๆ เกิดขึ้นและจะหลุดออกไปเองภายใน 4-7 วัน เป็นวิธีที่มีความเสี่ยงเกิดแผลเป็นต่ำ แต่มีค่าใช้จ่ายสูงกว่าวิธีอื่น
  • การจี้ด้วยความเย็น (Cryotherapy): แพทย์จะใช้ไนโตรเจนเหลวจี้ที่สิวข้าวสารเพื่อแช่แข็งและทำลายซีสต์ หลังจากนั้นสิวจะพองหรือตกสะเก็ดแล้วหลุดออกไปใน 1-2 สัปดาห์ แต่วิธีนี้มักไม่นิยมใช้กับบริเวณที่บอบบางอย่างรอบดวงตา เพราะอาจทิ้งรอยด่างขาวได้
  • การผลัดเซลล์ผิวด้วยสารเคมี (Chemical Peels): เป็นการใช้สารเคมีที่มีความเข้มข้นสูงทาลงบนผิวเพื่อเร่งการผลัดเซลล์ผิวชั้นบนออกไป ทำให้สิวข้าวสารหลุดออกไปพร้อมกัน สามารถรักษาสิวจำนวนมากได้ในครั้งเดียว แต่อาจต้องทำหลายครั้งจึงจะเห็นผล
  • การจี้ด้วยไฟฟ้าและการขูดออก (Electrodessication and Curettage): เป็นการใช้ความร้อนจากไฟฟ้าจี้ทำลายซีสต์ จากนั้นอาจมีการขูดเอาซากซีสต์ออก วิธีนี้มีประสิทธิภาพสำหรับสิวข้าวสารที่รักษายาก หลังทำจะมีสะเก็ดและจะหายในประมาณหนึ่งสัปดาห์

การใช้เลเซอร์กำจัดสิวข้าวสารมีขั้นตอนอย่างไร?

การใช้เลเซอร์กำจัดสิวข้าวสารคือการใช้พลังงานเลเซอร์เพื่อทำให้ผิวหนังชั้นบนที่คลุมสิวข้าวสารอยู่ระเหยออกไป ซึ่งเป็นวิธีที่ไม่มีเลือดออกและสามารถกำจัดสิวข้าวสารได้อย่างแม่นยำ

หลังการรักษา บริเวณที่ทำเลเซอร์จะเกิดเป็นสะเก็ดเล็กๆ ซึ่งจะหลุดออกไปเองภายในเวลาประมาณ 4–7 วัน เผยให้เห็นผิวที่เรียบเนียน ทั้งนี้ หากทำเลเซอร์บริเวณใกล้ดวงตา จำเป็นต้องใช้อุปกรณ์ป้องกันดวงตาเสมอ

การสะกิดเปิดหัวสิวโดยแพทย์ปลอดภัยหรือไม่?

โดยทั่วไปแล้วปลอดภัย เมื่อทำโดยแพทย์หรือผู้เชี่ยวชาญ

การสะกิดเปิดหัวสิวอุดตัน (Milia) โดยแพทย์เป็นการใช้เครื่องมือที่ผ่านการฆ่าเชื้อทำรอยเปิดเล็กๆ บนผิวหนังเพื่อนำก้อนเคราตินออกมา ซึ่งเป็นวิธีที่ได้ผลทันที หากทำอย่างถูกวิธี ความเสี่ยงที่จะเกิดรอยแผลเป็นนั้นน้อยมาก และแผลเล็กๆ จะหายได้เองภายใน 2-3 วัน อย่างไรก็ตาม ยังคงมีความเสี่ยงเล็กน้อยที่จะเกิดรอยแผลเป็นหรือรอยดำ โดยเฉพาะในผู้ที่มีแนวโน้มเป็นคีลอยด์ได้ง่าย

วิธีจัดการสิวข้าวสารใต้ตาและบนเปลือกตาอย่างปลอดภัย

วิธีที่ปลอดภัยที่สุดในการจัดการสิวข้าวสารใต้ตาและบนเปลือกตาคือการให้ผู้เชี่ยวชาญ เช่น แพทย์ผิวหนังหรือจักษุแพทย์ ทำการกำจัดออก เนื่องจากผิวหนังบริเวณนี้มีความบางและบอบบาง การพยายามบีบหรือเจาะออกเองมีความเสี่ยงสูงที่จะทำให้เกิดการบาดเจ็บต่อดวงตา การติดเชื้อ หรือรอยแผลเป็นได้

แพทย์มักใช้วิธีที่แม่นยำและมีความเสี่ยงต่ำ เช่น การใช้เครื่องมือที่ผ่านการฆ่าเชื้อสะกิดผิวหนังเล็กน้อยแล้วเขี่ยตุ่มสิวข้าวสารออก ซึ่งเป็นวิธีที่ได้ผลทันทีและปลอดภัยสำหรับบริเวณที่บอบบางนี้ สำหรับการดูแลที่บ้าน ควรหลีกเลี่ยงการใช้ผลิตภัณฑ์ที่รุนแรง และเลือกใช้เฉพาะผลิตภัณฑ์ที่ระบุว่าปลอดภัยสำหรับผิวรอบดวงตาเท่านั้น

เราจะป้องกันการเกิดสิวข้าวสารซ้ำได้อย่างไร?

การป้องกันสิวข้าวสารสามารถทำได้โดยการดูแลผิวอย่างสม่ำเสมอ ซึ่งรวมถึงการผลัดเซลล์ผิวอย่างอ่อนโยน การใช้ครีมกันแดดทุกวัน และการเลือกใช้ผลิตภัณฑ์ที่ไม่ก่อให้เกิดการอุดตัน

คุณสามารถลดโอกาสการเกิดสิวข้าวสารซ้ำได้ด้วยวิธีต่อไปนี้:

  • การผลัดเซลล์ผิวอย่างอ่อนโยน: ใช้ผลิตภัณฑ์ผลัดเซลล์ผิวที่มีส่วนผสมของกรดซาลิไซลิก (Salicylic Acid) หรือกรดไกลโคลิก (Glycolic Acid) 2-3 ครั้งต่อสัปดาห์ เพื่อช่วยส่งเสริมการผลัดเซลล์ผิวและป้องกันการสะสมของเคราติน
  • การป้องกันแสงแดด: ทาครีมกันแดดที่มีค่า SPF 30 ขึ้นไปทุกวัน เนื่องจากความเสียหายจากแสงแดดสามารถทำให้ผิวหนาขึ้นและเกิดสิวข้าวสารได้
  • การให้ความชุ่มชื้นที่เหมาะสม: เลือกใช้มอยส์เจอไรเซอร์และผลิตภัณฑ์บำรุงผิวที่บางเบา ไม่ก่อให้เกิดการอุดตัน (non-comedogenic) และปราศจากน้ำมัน (oil-free) ควรหลีกเลี่ยงครีมเนื้อหนักที่อาจอุดตันผิว
  • การทำความสะอาดอย่างอ่อนโยน: ล้างหน้าด้วยผลิตภัณฑ์ทำความสะอาดที่อ่อนโยนวันละสองครั้ง เพื่อขจัดสิ่งสกปรกและน้ำมันส่วนเกินโดยไม่ทำให้ผิวระคายเคือง
  • หลีกเลี่ยงการใช้สเตียรอยด์ชนิดทาเป็นเวลานาน: การใช้ยาทากลุ่มสเตียรอยด์ต่อเนื่องเป็นเวลานานเป็นสาเหตุหนึ่งของการเกิดสิวข้าวสารทุติยภูมิ (secondary milia)

เมื่อไหร่ควรพบแพทย์เพื่อรักษาสิวข้าวสาร?

โดยทั่วไป ควรไปพบแพทย์เมื่อมีสิวข้าวสารจำนวนมากเกิดขึ้นอย่างรวดเร็ว, เกิดขึ้นบริเวณที่ผิวหนังเคยได้รับบาดเจ็บ, หรือเมื่อไม่แน่ใจว่าตุ่มนั้นคือสิวข้าวสารจริงหรือไม่ การไปพบแพทย์จะช่วยให้วินิจฉัยได้อย่างแม่นยำและตัดโรคผิวหนังอื่นๆ ที่อาจมีลักษณะคล้ายกันออกไป

สถานการณ์ที่ควรปรึกษาแพทย์ ได้แก่:

  • มีสิวข้าวสารจำนวนมากเกิดขึ้นพร้อมกัน: โดยเฉพาะในผู้ใหญ่ การที่สิวข้าวสารจำนวนมากปรากฏขึ้นอย่างรวดเร็วอาจเป็นสัญญาณของภาวะอื่นที่ซ่อนอยู่
  • สิวข้าวสารเกิดขึ้นหลังผิวหนังบาดเจ็บ: เช่น เกิดขึ้นหลังแผลไฟไหม้ แผลพุพอง หรือผื่นผิวหนังอักเสบ เพื่อให้แน่ใจว่าการฟื้นฟูของผิวหนังเป็นไปอย่างปกติ
  • ไม่แน่ใจในการวินิจฉัย: หากตุ่มนั้นมีลักษณะที่น่าสงสัย เช่น ขนาดใหญ่ขึ้นเรื่อยๆ หรือมีลักษณะไม่เหมือนสิวข้าวสารทั่วไป ควรให้แพทย์ตรวจเพื่อแยกออกจากภาวะอื่น เช่น หูดแบน (flat warts) หรือเนื้องอกของต่อมเหงื่อ (syringomas)
  • ต้องการกำจัดออกเพื่อความสวยงาม: โดยเฉพาะบริเวณที่บอบบาง เช่น รอบดวงตา ควรให้แพทย์เป็นผู้กำจัดออกเพื่อความปลอดภัยและลดความเสี่ยงในการเกิดแผลเป็น

References

  • AOK Health Insurance (Germany) – aok.de

  • But More Importantly – but-more-importantly.com

  • Cleveland Clinic – clevelandclinic.org

  • Cosmopolitan – cosmopolitan.com

  • DermNet New Zealand – dermnetnz.org

  • GQ Magazine Germany – gq-magazin.de

Author

  • นายแพทย์พนิต อุนรัตน์
    นายแพทย์พนิต อุนรัตน์

    View all posts

แนะแนวเรื่อง

Previous Previous
สิวหนอง: สาเหตุ การรักษา และวิธีป้องกันที่ถูกต้อง
NextContinue
สิวจาก PCOS: สาเหตุ อาการ แนวทางการรักษาและควบคุม

Product Type

  • Acne Care - รักษาสิว22 สินค้า
  • Brightening - ผิวกระจ่างใส22 สินค้า
  • Dark Spot Reduction - ลดจุดด่างดำ22 สินค้า
  • Red or Dark Spots - รอยสิว11 สินค้า
  • Skin Cleansing - ทำความสะอาดผิว33 สินค้า
  • Skin Hydration - ความชุ่มชื่นผิว22 สินค้า
  • Skin Mask - มาร์สผิว22 สินค้า
  • Sun Protection - กันแดด22 สินค้า
  • Travel Size - ขนาดพกพา66 สินค้า

สาขาพรีวาโต คลินิก

    สาขาอโศก ตั้งอยู่ที่ ชั้น 2 อาคารมิดทาวน์
    Phone: 02-258-4050 , 081-841-5075
    สาขาสีลม ตั้งอยู่ที่ ชั้น 1 อาคารซี.พี.ทาวเวอร์
    Phone: 02-780-2011 , 098-272-5244
    สาขาราชพฤกษ์ ตั้งอยู่ที่ ชั้น 2 ศูนย์การค้า เดอะคริสตัล เอสบี (ด้านบนร้านสตาร์บัคส์)
    Phone: 02-102-2778 , 098-272-5244

ติดต่อเรา

    Facebook: Privato Clinic
    Messenger: Privato Clinic
    Instagram: privatoclinic
    Email: privatoclinic@gmail.com
    Line: @privatoclinic

Copyright© 2022-2024. All Rights Reserved

Scroll to top
  • หน้าหลัก
  • เกี่ยวกับพรีวาโต
  • บริการทั้งหมด
    • ชะลอวัย
    • ยกกระชับผิว
      • XERF
      • Potenza
      • Sofwave
      • Ulthera
      • Thermage-FLX
    • รักษาสิว
    • เลเซอร์
    • โปรแกรมฉีด
    • บำรุงผิว
  • บทความ
    • สิว
    • ยกกระชับ
    • ดูแลผิว
    • ทำเลเซอร์
  • ผลิตภัณฑ์ดูแลผิว
  • โปรโมชั่น
  • ผลลัพธ์การรักษา
  • วิดีโอรีวิวจากเคสจริง
  • สาขาของเรา
  • ไทย
    • ไทย
    • English
    • 中文 (中国)
  • ปรึกษาแพทย์
Facebook Instagram YouTube