Skip to content

TEL : 081-841-5075, 02-258-4050

Facebook Instagram YouTube
Privato Clinic – Innovation Of Beauty  |  Bangkok
  • หน้าหลัก
  • เกี่ยวกับพรีวาโต
  • บริการทั้งหมดExpand
    • ชะลอวัย
    • ยกกระชับผิวExpand
      • XERF
      • Potenza
      • Sofwave
      • Ulthera
      • Thermage-FLX
    • รักษาสิว
    • เลเซอร์
    • โปรแกรมฉีด
    • บำรุงผิว
  • บทความExpand
    • สิว
    • ยกกระชับ
    • ดูแลผิว
    • ทำเลเซอร์
  • ผลิตภัณฑ์ดูแลผิว
  • โปรโมชั่น
  • ผลลัพธ์การรักษา
  • วิดีโอรีวิวจากเคสจริง
  • สาขาของเรา
  • ไทยExpand
    • ไทย
    • English
    • 中文 (中国)
  • ปรึกษาแพทย์
Privato Clinic – Innovation Of Beauty  |  Bangkok
Consult a Doctor
Acne

สิวที่หู: สาเหตุ วิธีรักษา และเรื่องที่ต้องรู้เกี่ยวกับสิวในหู

Byadmin สิงหาคม 2, 2025กันยายน 28, 2025
By นายแพทย์เลอพงษ์ กรุดเงิน Updated on กันยายน 28, 2025
✦ Medically reviewed by  นายแพทย์พนิต อุนรัตน์

Table of Contents

Toggle
  • สิวที่หูมีกี่ประเภท? รู้จักสิวในตำแหน่งต่างๆ รอบใบหู
    • สิวในรูหูและสิวอักเสบ
    • สิวที่ติ่งหูและสิวหลังหู
    • ตุ่มหรือก้อนคล้ายสิวที่หูคืออะไร
  • 5 สาเหตุหลักที่ทำให้เกิดสิวที่หูซึ่งคุณอาจไม่เคยรู้
    • การสะสมของแบคทีเรียและสิ่งสกปรกจากหูฟัง
    • การเปลี่ยนแปลงของฮอร์โมนในร่างกาย
    • การระคายเคืองจากผลิตภัณฑ์สำหรับเส้นผม
    • ความเครียดและการพักผ่อนไม่เพียงพอ
    • การอุดตันของรูขุมขนจากเซลล์ผิวที่ตายแล้ว
  • สิวที่หูอันตรายหรือไม่? สัญญาณเตือนที่ควรไปพบแพทย์
    • สัญญาณเตือนที่ต้องระวัง:
    • การดูแลที่บ้าน:
    • เวลาการหาย:
    • อาการแบบไหนที่บ่งชี้ว่าสิวที่หูมีการติดเชื้อรุนแรง
  • วิธีรักษาสิวที่หูอย่างถูกวิธีและปลอดภัย ทำได้อย่างไร?
    • ขั้นตอนการรักษาที่ปลอดภัย:
    • 1. การดูแลพื้นฐาน
    • 2. ยาทาเฉพาะที่
    • 3. สิ่งที่ห้ามทำ
    • 4. เมื่อไหร่ควรพบแพทย์
    • การดูแลความสะอาดเพื่อป้องกันการเกิดสิวที่หูซ้ำ
    • การใช้ยาทาเฉพาะที่สำหรับสิวอักเสบในหู
    • ควรบีบสิวที่หูหรือไม่? เข้าใจความเสี่ยงและผลกระทบ
  • เราจะป้องกันการเกิดสิวที่หูในระยะยาวได้อย่างไร?
    • กลยุทธ์ป้องกันระยะยาว:
    • 1. การดูแลความสะอาดประจำวัน
    • 2. การเลือกผลิตภัณฑ์
    • 3. การปรับพฤติกรรม
    • 4. การดูแลสุขภาพ
    • 5. การติดตามและปรับปรุง
    • การปรับเปลี่ยนพฤติกรรมการใช้ชีวิตประจำวัน
    • การเลือกใช้ผลิตภัณฑ์ดูแลผิวและเส้นผมที่เหมาะสม
  • คำถามที่พบบ่อยเกี่ยวกับสิวที่หู (FAQ)
    • สิวที่หูใช้เวลากี่วันถึงจะหาย?
    • เป็นสิวที่หูไม่มีหัว ควรทำอย่างไร?
    • การเจาะหูทำให้เกิดสิวที่หูได้หรือไม่?

สิวที่หูมีกี่ประเภท? รู้จักสิวในตำแหน่งต่างๆ รอบใบหู

สิวที่หู สาเหตุ การรักษา และวิธีป้องกัน

สิวในรูหูและสิวอักเสบ

สิวในรูหูเกิดจากการอักเสบของรูขุมขนและต่อมน้ำมันในช่องหูที่ถูกแบคทีเรียติดเชื้อ โดยสิวอักเสบนี้อาจทำให้เกิดอาการปวดหูและในบางกรณีอาจส่งผลต่อการได้ยิน

สิวที่เกิดขึ้นในรูหูมักเป็นรูปแบบของฟูรันเคิล (furuncles) ซึ่งเป็นตุ่มอักเสบที่เจ็บปวดและบวม เนื่องมาจากผิวหนังในช่องหูภายนอกมีรูขุมขนและต่อมน้ำมัน (cerumen glands) เมื่อมีการสะสมของน้ำมันเกินปกติและแบคทีเรียเข้าไปติดอยู่ จึงทำให้เกิดการอักเสบที่ลึกลงไป

อาการสำคัญของสิวอักเสบในหู ได้แก่:

  • อาการปวดหูที่รุนแรง
  • บวมแดงบริเวณรอบๆ สิว
  • อาจมีการได้ยินที่แย่ลงชั่วคราว
  • อาจมีหนองไหลออกมา

การรักษาที่ปลอดภัยควรหลีกเลี่ยงการบีบสิว เนื่องจากอาจทำให้การติดเชื้อแพร่กระจายไปยังส่วนอื่นของหู แนะนำให้ใช้ผ้าอุ่นประคบเบาๆ และหากอาการรุนแรงควรปรึกษาแพทย์เพื่อรับการรักษาที่เหมาะสม

สิวที่ติ่งหูและสิวหลังหู

สิวที่ติ่งหูและหลังหูเกิดจากการอุดตันของรูขุมขนและการสะสมของน้ำมันและเซลล์ผิวหนังที่ตาย โดยมักปรากฏเป็นตุ่มเล็กๆ สีแดง หัวขาว หรือหัวดำบนผิวหนัง

สิวที่ติ่งหู มีลักษณะคล้ายกับสิวที่ใบหน้า เนื่องจากติ่งหูมีต่อมน้ำมันที่สามารถผลิตน้ำมันมากเกินไป การสะสมของน้ำมันและเซลล์ผิวหนังที่ตายอาจทำให้เกิดสิวเฉพาะบริเวณ ในกรณีรุนแรงอาจเกิดเป็นหนอง (nodules) หรือถุงน้ำลึกภายในเนื้อเยื่อหู

สิวหลังหู มักเกิดจากการที่บริเวณนี้ถูกละเลยในการทำความสะอาดประจำวัน น้ำมัน เหงื่อ และสารตกค้างจากแชมพูหรือผลิตภัณฑ์บำรุงผมสามารถสะสมอยู่ในรอยพับหลังหูและอุดตันรูขุมขน

วิธีป้องกันและรักษา:

  • ทำความสะอาดบริเวณหูด้านนอกและหลังหูอย่างสม่ำเสมอ
  • เช็ดให้แห้งหลังอาบน้ำ
  • หลีกเลี่ยงการใช้ผลิตภัณฑ์ที่อุดตันรูขุมขน
  • ไม่บีบสิว เพื่อป้องกันการติดเชื้อ

สิวในบริเวณนี้มักจะดีขึ้นเองได้ภายใน 3-7 วัน หากดูแลด้วยการทำความสะอาดที่เหมาะสม

ตุ่มหรือก้อนคล้ายสิวที่หูคืออะไร

ตุ่มหรือก้อนคล้ายสิวที่หูไม่ใช่สิวทุกกรณี แต่มี 4 ประเภทหลัก คือ ถุงน้ำใต้ผิวหนัง, เคลอยด์, ฟูรันเคิล และการติดเชื้อของรูขุมขน ซึ่งแต่ละประเภทต้องการการรักษาที่แตกต่างกัน

ประเภทของตุ่มคล้ายสิวที่หู:

1. ถุงน้ำใต้ผิวหนัง (Epidermoid Cysts)

  • เป็นก้อนที่มีของเหลวข้างในใต้ผิวหนัง
  • ขยายตัวช้าๆ และไม่เป็นอันตราย
  • มักถูกเข้าใจผิดว่าเป็นสิว

2. เคลอยด์ (Keloids)

  • เป็นตุ่มแข็งที่เกิดจากแผลเป็นที่เติบโตเกิน
  • มักเกิดที่ตำแหน่งที่เจาะหูหรือได้รับบาดเจ็บ
  • มีสีแดงหรือสีเข้ม และรู้สึกแข็ง

3. ฟูรันเคิล (Furuncles) หรือสิว “ตาบอด”

  • เป็นการติดเชื้อลึกของรูขุมขน
  • ปรากฏเป็นตุ่มแดงที่เจ็บปวดไม่มีหัวขาวปรากฏ
  • ต้องการการรักษาโดยไม่บีบคั้น

4. การติดเชื้อรูขุมขน (Folliculitis)

  • เป็นกลุ่มตุ่มเล็กๆ สีแดงหรือมีหนอง
  • มีลักษณะคล้ายสิวแต่เกิดจากการติดเชื้อ

หากมีตุ่มที่ไม่ธรรมดา ขยายใหญ่ขึ้นเรื่อยๆ หรือมีอาการแปลกใหม่ ควรปรึกษาแพทย์เพื่อตรวจวินิจฉัยและแยกแยะจากสาเหตุร้ายแรงอื่นๆ เช่น เนื้องอกผิวหนัง

5 สาเหตุหลักที่ทำให้เกิดสิวที่หูซึ่งคุณอาจไม่เคยรู้

การสะสมของแบคทีเรียและสิ่งสกปรกจากหูฟัง

การใช้หูฟังที่สกปรกหรือการแบ่งปันหูฟังกับผู้อื่นเป็นสาเหตุสำคัญที่ทำให้เกิดสิวที่หู เนื่องจากแบคทีเรียและสิ่งสกปรกจากอุปกรณ์เหล่านี้จะถูกถ่ายทอดไปยังผิวหนังของหู

แหล่งที่มาของแบคทีเรีย:

1. อุปกรณ์ที่สัมผัสหู

  • หูฟัง (earbuds/headphones) ที่ไม่สะอาด
  • โทรศัพท์มือถือที่กดติดหูบ่อยๆ
  • แว่นตาที่สัมผัสหู

2. การใช้ที่ไม่ถูกต้อง

  • การแบ่งปันหูฟังกับผู้อื่น
  • การใส่หูฟังเป็นเวลานานๆ
  • การดันหูขี้เข้าไปในรูขุมขนด้วยไม้พันสำลี

กลไกการเกิดสิว:

เมื่อแบคทีเรียและสิ่งสกปรกเข้าไปในรูขุมขนของหู จะเกิดการอุดตันและการอักเสบ หูขี้ที่ถูกดันเข้าไปสามารถกักเก็บแบคทีเรียและปิดกั้นรูขุมขน ทำให้เกิดตุ่มคล้ายสิวในหู

การป้องกัน:

  • ทำความสะอาดอุปกรณ์: เช็ดหูฟังและโทรศัพท์ด้วยแอลกอฮอล์หรือผ้าเปียกแอนติแบคทีเรียอย่างสม่ำเสมอ
  • ไม่แบ่งปัน: หลีกเลี่ยงการใช้หูฟังร่วมกับผู้อื่น
  • หยุดพัก: ไม่ใส่หูฟังเป็นเวลานานเกินไป
  • ทำความสะอาดหู: ล้างหูด้านนอกเป็นประจำและเช็ดให้แห้ง

การรักษาความสะอาดของอุปกรณ์ที่สัมผัสหูจะช่วยลดปริมาณแบคทีเรียได้อย่างมีประสิทธิภาพ

การเปลี่ยนแปลงของฮอร์โมนในร่างกาย

การเปลี่ยนแปลงของฮอร์โมนในร่างกายเป็นสาเหตุสำคัญที่ทำให้เกิดสิวที่หู โดยเฉพาะฮอร์โมนแอนโดรเจนที่กระตุ้นการผลิตน้ำมันเกินปกติจากต่อมไขมัน

ช่วงเวลาที่เกิดการเปลี่ยนแปลงฮอร์โมน:

1. วัยแรกรุ่น (Puberty)

  • ฮอร์โมนแอนโดรเจนเพิ่มขึ้นอย่างมาก
  • กระตุ้นต่อมไขมันให้ผลิตน้ำมัน (sebum) มากขึ้น

2. รอบเดือนของผู้หญิง

  • ระดับฮอร์โมนเปลี่ยนแปลงตลอดเดือน
  • มักมีสิวเพิ่มขึ้นก่อนมีประจำเดือน

3. ช่วงตั้งครรภ์

  • ฮอร์โมนเปลี่ยนแปลงอย่างรวดเร็ว
  • อาจทำให้สิวเพิ่มขึ้นหรือลดลง

กลไกการเกิดสิว:

การเพิ่มขึ้นของฮอร์โมนแอนโดรเจนทำให้ต่อมไขมันในบริเวณหู (รวมถึงติ่งหู ช่องหู และหลังหู) ผลิตน้ำมันมากเกินไป น้ำมันส่วนเกินนี้จะผสมกับเซลล์ผิวหนังที่ตายและไปอุดตันรูขุมขน

เมื่อรูขุมขนถูกอุดตัน น้ำมันที่ติดอยู่จะกลายเป็นสภาพแวดล้อมที่เหมาะสำหรับแบคทีเรีย (เช่น Cutibacterium acnes) เพิ่มจำนวน ส่งผลให้เกิดการอักเสบและตุ่มสิวที่บวมแดง

การรับมือ:

  • ทำความสะอาดอย่างอ่อนโยน: ล้างบริเวณหูอย่างสม่ำเสมอ
  • หลีกเลี่ยงการบีบสิว: เพื่อป้องกันการอักเสบเพิ่มขึ้น
  • ปรึกษาแพทย์: หากสิวรุนแรงหรือมีผลต่อคุณภาพชีวิต

วัยรุ่นและผู้ที่มีการเปลี่ยนแปลงฮอร์โมนมักพบสิวบริเวณหูคล้ายกับสิวหน้า เนื่องจากกลไกการเกิดที่เหมือนกัน

การระคายเคืองจากผลิตภัณฑ์สำหรับเส้นผม

ผลิตภัณฑ์ดูแลเส้นผมเป็นสาเหตุสำคัญของสิวที่หู เนื่องจากสารที่อุดตันรูขุมขน (comedogenic) ในเจล สเปรย์ น้ำมัน หรือครีมผมสามารถเหลือตกค้างที่ผิวหนังรอบหูและทำให้เกิดสิว

สาเหตุจากผลิตภัณฑ์ผม:

ผลิตภัณฑ์ที่ก่อปัญหา:

  • แชมพู คอนดิชั่นเนอร์ ที่ล้างออกไม่หมด
  • โฟมล้างหน้าที่เหลือบริเวณหู
  • ครีมแต่งผม เจลผม สเปรย์ผม
  • น้ำมันบำรุงผม หรือซีรั่มผม

กลไกการเกิดสิว:
เมื่อผลิตภัณฑ์เหล่านี้ไปติดบริเวณหูและไม่ถูกล้างออก จะเกิดการสะสมบนผิวหนังและเข้าไปอุดตันรูขุมขน เฉพาะอย่างยิ่งบริเวณรอยพับหลังหูที่มักถูกมองข้ามในการทำความสะอาด

การป้องกัน:

  • เลือกใช้ผลิตภัณฑ์ที่มีฉลาก “non-comedogenic” หรือ “oil-free”
  • ล้างแชมพูและคอนดิชั่นเนอร์ให้หมดบริเวณหลังหูและแนวขากรรไกร
  • ใส่ผลิตภัณฑ์จัดแต่งผมอย่างประหยัด และเช็ดออกหากไปติดหู
  • สังเกตการเกิดสิวหลังใช้ผลิตภัณฑ์ใหม่ หากมีควรเปลี่ยนเป็นสูตรอ่อนโยนกว่า

การรักษาความสะอาดบริเวณหูให้ปราศจากสารตกค้างจากผลิตภัณฑ์ผมจะช่วยลดการเกิดสิวได้อย่างมีประสิทธิภาพ

ความเครียดและการพักผ่อนไม่เพียงพอ

ความเครียดระดับสูงและการนอนหลับไม่เพียงพอเป็นปัจจัยสำคัญที่ทำให้สิวที่หูกำเริบ เนื่องจากกระตุ้นการหลั่งฮอร์โมนคอร์ติซอลที่เพิ่มการอักเสบของผิวหนังและการผลิตน้ำมัน

กลไกของความเครียดต่อสิว:

ผลกระทบของความเครียด:

  • กระตุ้นการหลั่งฮอร์โมนคอร์ติซอล (cortisol)
  • เพิ่มการอักเสบของผิวหนัง
  • กระตุ้นต่อมไขมันให้ผลิตน้ำมันมากขึ้น
  • ทำให้รูขุมขนอุดตันง่ายขึ้น

ผลกระทบของการนอนไม่เพียงพอ:

  • รบกวนสมดุลของฮอร์โมน
  • ลดความสามารถในการซ่อมแซมผิวหนัง
  • เพิ่มการอักเสบ
  • ทำให้ระบบภูมิคุ้มกันทำงานแย่ลง

วิธีจัดการ:

การลดความเครียด:

  • ออกกำลังกายสม่ำเสมอ
  • ทำสมาธิหรือผ่อนคลาย
  • หาเวลาพักผ่อนอย่างเพียงพอ

การนอนหลับที่เพียงพอ:

  • นอน 7-9 ชั่วโมงต่อคืน
  • สร้างสิ่งแวดล้อมที่เอื้อต่อการนอน
  • หลีกเลี่ยงคาเฟอีนก่อนนอน

ความเครียดเรื้อรังและการนอนหลับไม่เพียงพออาจทำให้สิวรุนแรงขึ้น ดังนั้นการจัดการความเครียดและการนอนหลับที่เพียงพอจึงช่วยป้องกันสิวที่หูที่เกิดจากความเครียดได้

การอุดตันของรูขุมขนจากเซลล์ผิวที่ตายแล้ว

การอุดตันของรูขุมขนเป็นกลไกพื้นฐานของการเกิดสิวทุกประเภท โดยเซลล์ผิวหนังที่ตาย น้ำมันธรรมชาติ (sebum) และแม้กระทั่งหูขี้สามารถรวมตัวกันอุดตันรูขุมขนหรือรูขุมขนในผิวหนังของหู

กระบวนการอุดตันรูขุมขน:

ขั้นตอนการเกิด:

  1. การสะสม: เซลล์ผิวหนังที่ตายและน้ำมันธรรมชาติสะสมตัว
  2. การอุดตัน: สารเหล่านี้ไปปิดกั้นรูขุมขนหรือรูขุมขน
  3. การติดเชื้อ: น้ำมันที่ติดอยู่สร้างสภาพแวดล้อมที่เหมาะสำหรับแบคทีเรีย
  4. การอักเสบ: แบคทีเรีย (เช่น Cutibacterium acnes) เพิ่มจำนวนและเกิดการอักเสบ

ผลลัพธ์:
เมื่อรูขุมขนถูกอุดตัน น้ำมันที่ถูกกักเก็บจะกลายเป็นสภาพแวดล้อมที่เหมาะสำหรับแบคทีเรียเจริญเติบโต ส่งผลให้เกิดการอักเสบและปรากฏเป็นตุ่มสิวที่บวมและแดง

สาเหตุเสริม:

ในบริเวณหู การอุดตันสามารถเกิดขึ้นได้หาก:

  • ไม่ทำความสะอาดบริเวณหูอย่างสม่ำเสมอ
  • มีการหลั่งเซลล์ผิวหนังมากเกินปกติ
  • ใช้ผลิตภัณฑ์ที่อุดตันรูขุมขน

การทำความสะอาดอย่างอ่อนโยนและสม่ำเสมอจึงเป็นสิ่งสำคัญในการขจัดสิ่งสะสมที่อาจนำไปสู่การอุดตันรูขุมขน

สิวที่หูอันตรายหรือไม่? สัญญาณเตือนที่ควรไปพบแพทย์

สิวที่หูโดยทั่วไปไม่อันตราย แต่หากมีสัญญาณการติดเชื้อรุนแรงต้องรีบไปพบแพทย์ เนื่องจากอาจแพร่กระจายและกลายเป็นภาวะที่ร้ายแรงได้

สัญญาณเตือนที่ต้องระวัง:

อาการที่ต้องไปหาแพทย์ทันที:

  • ปวดมาก บวมแดงรุนแรง
  • มีหนองไหล จากตุ่มสิว
  • ผิวหนังแดงแผ่ขยาย รอบๆ หู
  • รู้สึกร้อน บริเวณรอบหู
  • ไข้และหนาวสั่น แสดงว่าติดเชื้อแพร่กระจาย

อาการรุนแรงเพิ่มเติม:

  • ต่อมน้ำเหลืองบริเวณใต้ขากรรไกรหรือคอบวม
  • การได้ยินลดลงอย่างมาก
  • เวียนศีรษะหรือหูอื้อ
  • อาการปวดหูรุนแรงที่ไม่ดีขึ้น

การดูแลที่บ้าน:

สิวเล็กๆ ที่ไม่รุนแรง:

  • จะหายเองภายใน 3-7 วัน
  • ประคบด้วยผ้าอุ่น
  • ทำความสะอาดอย่างอ่อนโยน
  • หลีกเลี่ยงการบีบ

เวลาการหาย:

สิวหูทั่วไปจะหายเองได้ภายใน 3-7 วัน หากไม่ถูกรบกวน การบีบสิวอาจทำให้อาการนานขึ้นหลายสัปดาห์ เนื่องจากเกิดการอักเสบเพิ่มเติมหรือติดเชื้อ

ข้อสำคัญ: อย่าเพิกเฉยต่ออาการปวดหูรุนแรงหรืออาการทั่วตัว เพียงเพราะคิดว่าเป็น “แค่สิว” การรักษาเร็วจะป้องกันภาวะแทรกซ้อน

อาการแบบไหนที่บ่งชี้ว่าสิวที่หูมีการติดเชื้อรุนแรง

อาการบ่งชี้การติดเชื้อรุนแรงคือตุ่มที่เจ็บปวดมาก แดงบวม มีหนองไหล หรือมีผิวหนังแดงแผ่กระจาย ร่วมกับไข้และหนาวสั่นที่แสดงว่าการติดเชื้ออาจแพร่กระจายเกินกว่าแค่สิวธรรมดา

สัญญาณเตือนการติดเชื้อรุนแรง:

อาการเฉพาะที่ (บริเวณหู):

  • ปวดมากผิดปกติ เจ็บแสบรุนแรง
  • บวมแดงอย่างมาก รอบๆ ตุ่มสิว
  • หนองไหลออก จากตุ่มสิว
  • ผิวหนังแดงแผ่กระจาย รอบๆ หู
  • รู้สึกร้อน บริเวณที่อักเสบ

อาการทั่วตัว:

  • ไข้และหนาวสั่น เป็นสัญญาณที่การติดเชื้อแพร่กระจาย
  • ต่อมน้ำเหลืองบวม ใต้ขากรรไกรหรือคอ
  • อาการเบื่ออาหาร หรือรู้สึกไม่สบาย

ภาวะแทรกซ้อนที่อันตราย:

การติดเชื้อที่อาจเกิดขึ้น:

  • เซลลูไลติส – การติดเชื้อแพร่กระจายในเนื้อเยื่อ
  • ฟูรุงเคิล (Boil) – ติดเชื้อลึกในรูขุมขน
  • การติดเชื้อในหู ที่อาจส่งผลต่อการได้ยิน

การรับมือที่ถูกต้อง:

เมื่อพบสัญญาณเตือน:

  • ไปพบแพทย์ทันที อย่าชักช้า
  • อย่าบีบหรือแหย่ตุ่มสิว
  • อาจต้องได้รับยาปฏิชีวนะ
  • แพทย์อาจต้องเจาะระบายหนอง

สิ่งสำคัญ: อย่าเพิกเฉยต่ออาการปวดหูรุนแรงหรืออาการทั่วตัว เพียงเพราะคิดว่าเป็น “แค่สิว” การรักษาที่รวดเร็วจะป้องกันการแพร่กระจายของเชื้อและภาวะแทรกซ้อนที่ร้ายแรง

อาการปวดมาก บวม แดง หรือมีหนอง

อาการปวดมาก บวม แดง หรือมีหนองเป็นสัญญาณของการติดเชื้อรุนแรง เช่น เซลลูไลติส หรือฟูรุงเคิล (boil/abscess) ที่ต้องรีบรักษาทางการแพทย์ทันที

สัญญาณอันตรายที่ต้องระวัง:

อาการเฉพาะที่:

  • ปวดมากผิดปกติ เจ็บแสบรุนแรง
  • บวมแดงอย่างมาก
  • มีหนองไหลออกจากสิว
  • ผิวหนังแดงแผ่กระจายรอบๆ หู
  • รู้สึกร้อนบริเวณอักเสบ

อาการทั่วตัวที่อันตราย:

  • ไข้และหนาวสั่น
  • ต่อมน้ำเหลืองบวมใต้ขากรรไกรหรือคอ
  • อาการเหนื่อยล้าผิดปกติ
ความเสี่ยงและภาวะแทรกซ้อน:

เมื่อมีอาการเหล่านี้ แสดงว่าการติดเชื้ออาจแพร่กระจายเกินกว่าแค่สิวธรรมดา อาจกลายเป็น:

  • เซลลูไลติส – การติดเชื้อในเนื้อเยื่อใต้ผิวหนัง
  • ฟูรุงเคิล – ติดเชื้อลึกในรูขุมขน
  • การติดเชื้อแพร่กระจายสู่ระบบโลหิต
การรับมือที่ถูกต้อง:
  • รีบพบแพทย์ทันทีเมื่อมีอาการเหล่านี้
  • อย่าพยายามบีบหรือแหย่สิว
  • อาจต้องได้รับยาปฏิชีวนะ
  • แพทย์อาจต้องเจาะระบายหนอง

สิ่งสำคัญ: อย่าเพิกเฉยต่ออาการเหล่านี้โดยคิดว่าเป็นเพียง “สิวธรรมดา” การรักษาเร็วจะป้องกันการแพร่กระจายและภาวะแทรกซ้อนร้ายแรง

วิธีรักษาสิวที่หูอย่างถูกวิธีและปลอดภัย ทำได้อย่างไร?

รักษาสิวที่หูด้วยความสะอาดอ่อนโยน ประคบอุ่น และใช้ยาทาเฉพาะที่ โดยหลีกเลี่ยงการบีบสิวและปรึกษาแพทย์หากอาการรุนแรง

ขั้นตอนการรักษาที่ปลอดภัย:

1. การดูแลพื้นฐาน

  • ล้างบริเวณหู: ใช้สบู่อ่อนโยนกับน้ำอุ่น ล้างหูด้านนอกเบาๆ
  • ประคบอุ่น: ใช้ผ้าอุ่น (ไม่ร้อนจัด) ประคบสิว 2-3 นาที
  • เช็ดให้แห้ง: เช็ดหูให้แห้งหลังล้าง ไม่แหย่ด้วยไม้พันสำลี

2. ยาทาเฉพาะที่

  • Benzoyl Peroxide (2.5%-5%): ฆ่าแบคทีเรียและทำให้สิวแห้ง
  • Salicylic Acid: ขัดเซลล์ผิวที่ตายและลดการอักเสบ
  • ยา Retinoid: ปรับการหลุดล่วงของเซลล์ผิว (เฉพาะหูด้านนอก)

3. สิ่งที่ห้ามทำ

  • ห้ามบีบสิว: อาจทำให้การติดเชื้อแพร่กระจาย
  • ไม่ใช้เครื่องมือแหลมคม: เสี่ยงทำลายแก้วหูหรือผิวหนัง
  • หลีกเลี่ยงสารเคมีรุนแรง: อาจทำให้ผิวหนังระคายเคือง

4. เมื่อไหร่ควรพบแพทย์

  • สิวปวดมากหรือมีหนอง
  • ไม่ดีขึ้นภายใน 1 สัปดาห์
  • มีไข้หรือต่อมน้ำเหลืองบวม
  • มีผิวหนังแดงแผ่กระจาย

หลักสำคัญ: ความอดทนและการดูแลสม่ำเสมอเป็นกุญแจสำคัญ สิวเล็กๆ จะหายเองภายใน 3-7 วัน หากปล่อยไว้โดยไม่รบกวน

การดูแลความสะอาดเพื่อป้องกันการเกิดสิวที่หูซ้ำ

การทำความสะอาดหูและบริเวณรอบๆ อย่างสม่ำเสมอเป็นวิธีพื้นฐานที่สำคัญที่สุดในการป้องกันสิวที่หูกลับมาเกิดใหม่ โดยต้องล้างหูด้านนอกและหลังหูทุกวันหรืออย่างน้อยสัปดาห์ละ 2-3 ครั้ง

หลักการดูแลความสะอาด:

1. การล้างหูประจำวัน

  • ล้างหูด้านนอก: ใช้ผลิตภัณฑ์ทำความสะอาดอ่อนโยน
  • ล้างหลังหู: เป็นบริเวณที่มักถูกละเลย มีการสะสมของน้ำมันและเหงื่อ
  • เช็ดให้แห้ง: หลังอาบน้ำต้องเช็ดหูให้แห้งสนิท

2. ทำความสะอาดอุปกรณ์

  • หูฟัง/โทรศัพท์: เช็ดด้วยแอลกอฮอล์หรือผ้าแอนติแบคทีเรีย
  • แว่นตา: ทำความสะอาดส่วนที่สัมผัสหู
  • ปลอกหมอน: เปลี่ยนบ่อยๆ เพราะน้ำมันและแบคทีเรียจากที่นอนสามารถติดไปที่หู

3. หลีกเลี่ยงการปนเปื้อน

  • ไม่แหย่หูด้วยนิ้ว: หลีกเลี่ยงการใส่นิ้วหรือไม้พันสำลีในหู
  • ไม่แบ่งปันหูฟัง: หลีกเลี่ยงการใช้หูฟังร่วมกับผู้อื่น
  • หลีกเลี่ยงการสัมผัสบ่อย: ไม่สัมผัสหูโดยไม่จำเป็น

4. การล้างผลิตภัณฑ์ออกให้หมด

  • แชมพู/คอนดิชั่นเนอร์: ล้างให้หมดจากบริเวณหลังหูและแนวขากรรไกร
  • ผลิตภัณฑ์จัดแต่งผม: เช็ดออกหากไปติดบริเวณหู
  • โฟมล้างหน้า: ระวังให้ล้างออกหมดจากบริเวณรอบหู

5. การสังเกตและปรับเปลี่ยน

  • สังเกตรูปแบบการเกิดสิว
  • ปรับเปลี่ยนผลิตภัณฑ์หากเกิดสิวหลังใช้
  • เลือกใช้ผลิตภัณฑ์ที่ไม่อุดตันรูขุมขน (non-comedogenic)

การดูแลความสะอาดอย่างสม่ำเสมอและถูกวิธีจะช่วยขจัดน้ำมันส่วนเกิน หูขี้ และสิ่งสกปรกที่เป็นสาเหตุของการอุดตันรูขุมขน

การใช้ยาทาเฉพาะที่สำหรับสิวอักเสบในหู

ยาทาเฉพาะที่ที่ซื้อได้ทั่วไปสามารถใช้รักษาสิวหูด้านนอกได้อย่างระมัดระวัง โดยหลีกเลี่ยงการใช้ลึกเข้าไปในช่องหู และควรทดสอบก่อนใช้เพื่อป้องกันการระคายเคือง

ยาทาที่แนะนำ:

1. Benzoyl Peroxide (2.5%-5%)

  • ประสิทธิภาพ: ฆ่าแบคทีเรียและทำให้สิวแห้ง
  • วิธีใช้: ทาเบาๆ บนสิวด้านนอกของหู
  • ข้อระวัง: เริ่มจากความเข้มข้นต่ำเพื่อหลีกเลี่ยงการระคายเคือง

2. Salicylic Acid (ครีมหรือแผ่นเช็ด)

  • ประสิทธิภาพ: ขัดเซลล์ผิวที่ตายและลดการอุดตันรูขุมขน
  • ข้อดี: ลดการอักเสบและช่วยให้รูขุมขนโล่งขึ้น
  • การใช้: ทาเฉพาะบริเวณสิว ไม่ใช้กับผิวหนังปกติ

3. Topical Retinoids (Adapalene หรือ Tretinoin)

  • ประสิทธิภาพ: ปรับการหลุดล่วงของเซลล์ผิวหนัง ป้องกันการอุดตันรูขุมขน
  • ข้อจำกัด: ใช้เฉพาะบริเวณหูด้านนอก อาจรุนแรงเกินไปสำหรับผิวหนังในหู
  • คำแนะนำ: เริ่มใช้เป็นครั้งคราวแล้วค่อยเพิ่มความถี่

ข้อควรระวัง:

การใช้อย่างปลอดภัย

  • ทดสอบก่อนใช้: ทาปริมาณเล็กน้อยบนผิวหนังส่วนอื่นก่อน
  • หลีกเลี่ยงช่องหูลึก: ใช้เฉพาะบริเวณหูด้านนอกที่เข้าถึงได้ง่าย
  • ไม่ใช้พร้อมกัน: หลีกเลี่ยงการใช้ยาหลายชนิดพร้อมกัน

สัญญาณการระคายเคือง

  • ผิวหนังแดง บวม หรือลอก
  • รู้สึกแสบหรือร้อนผิดปกติ
  • หากมีอาการเหล่านี้ ให้หยุดใช้ทันที

การใช้ที่ถูกต้อง:

  1. ทำความสะอาด: ล้างมือและบริเวณที่จะทายาให้สะอาด
  2. ทาเบาๆ: ใช้ปริมาณเล็กน้อย ทาเฉพาะตุ่มสิว
  3. หลีกเลี่ยงบริเวณอ่อนไหว: ไม่ทาเข้าไปในช่องหูหรือใกล้แก้วหู
  4. สังเกตผล: ติดตามอาการภายใน 1-2 สัปดาห์

ข้อสำคัญ: หากสิวไม่ดีขึ้นภายใน 2 สัปดาห์ หรือมีอาการแย่ลง ควรหยุดใช้และปรึกษาแพทย์

ควรบีบสิวที่หูหรือไม่? เข้าใจความเสี่ยงและผลกระทบ

ไม่ควรบีบสิวที่หูโดยเด็ดขาด เนื่องจากอาจทำให้แบคทีเรียและหนองถูกดันลึกเข้าไปในผิวหนังหรือเข้าไปในหู ทำให้การติดเชื้อรุนแรงขึ้น

ความเสี่ยงจากการบีบสิว:

1. การติดเชื้อแพร่กระจาย

  • ดันแบคทีเรียลึกลง: การบีบทำให้เชื้อโรคเข้าไปในชั้นผิวหนังลึกกว่า
  • สิวอักเสบมากขึ้น: สิวธรรมดากลายเป็นฟูรุงเคิล (boil) หรือฝี
  • การติดเชื้อใหม่: อาจเกิดเซลลูไลติส หรือหูอักเสบได้

2. ผลกระทบต่อการหาย

  • หายช้าลง: สิวที่ถูกบีบอาจใช้เวลาหลายสัปดาห์ในการหาย
  • แผลเป็น: เสี่ยงเกิดรอยแผลเป็นถาวร
  • อาการปวดเพิ่ม: การอักเสบที่เพิ่มขึ้นทำให้ปวดมากกว่าเดิม

3. อันตรายต่อหู

  • ความเสียหายต่อแก้วหู: การใช้เครื่องมือแหลมคมอาจทำลายแก้วหู
  • ผิวหนังหูบอบบาง: หูมีผิวหนังที่บอบบางกว่าบริเวณอื่น

การเปรียบเทียบระยะเวลาการหาย:

สิวที่ปล่อยให้หายเอง:

  • หายภายใน 3-7 วัน
  • ไม่มีแผลเป็น
  • อาการปวดน้อย

สิวที่ถูกบีบ:

  • อาจใช้เวลาหลายสัปดาห์
  • เสี่ยงเกิดแผลเป็น
  • อาการอักเสบเพิ่มขึ้น

ทางเลือกที่ปลอดภัย:

การรักษาที่ถูกต้อง

  • ประคบอุ่น: ใช้ผ้าอุ่นประคบ 2-3 นาที
  • ยาทาเฉพาะที่: ใช้ benzoyl peroxide หรือ salicylic acid
  • ปล่อยให้ระบายเอง: หากสิวระบายออกมาเอง ให้ทำความสะอาดเบาๆ

เมื่อไหร่ควรพบแพทย์

  • สิวปวดมากหรือไม่ดีขึ้น
  • ต้องการการระบายอย่างปลอดภัย
  • มีการติดเชื้อรุนแรง

ข้อสำคัญ: การอดทนและปล่อยให้สิวหายเองเป็นวิธีที่เร็วที่สุดและปลอดภัยที่สุด การรักษาด้วยความสะอาดและยาทาเฉพาะที่จะให้ผลดีกว่าการบีบสิว

เราจะป้องกันการเกิดสิวที่หูในระยะยาวได้อย่างไร?

การป้องกันสิวที่หูในระยะยาวต้องอาศัยการดูแลความสะอาดอย่างสม่ำเสมอ การเลือกใช้ผลิตภัณฑ์ที่เหมาะสม และการปรับเปลี่ยนพฤติกรรมการใช้ชีวิตประจำวัน เพื่อลดปัจจัยเสี่ยงที่ทำให้เกิดการอุดตันรูขุมขนและการติดเชื้อ

กลยุทธ์ป้องกันระยะยาว:

1. การดูแลความสะอาดประจำวัน

  • ล้างหูอย่างสม่ำเสมอ: ทำความสะอาดหูด้านนอกและหลังหูทุกวัน
  • เช็ดให้แห้ง: หลังอาบน้ำต้องเช็ดหูให้แห้งสนิท
  • ทำความสะอาดอุปกรณ์: เช็ดหูฟัง โทรศัพท์ และแว่นตาด้วยแอลกอฮอล์

2. การเลือกผลิตภัณฑ์

  • ใช้ผลิตภัณฑ์ non-comedogenic: เลือกแชมพู ครีมผม ที่ไม่อุดตันรูขุมขน
  • ล้างผลิตภัณฑ์ออกให้หมด: ล้างแชมพูและคอนดิชั่นเนอร์ออกหมดจากบริเวณหลังหู
  • เปลี่ยนปลอกหมอน: เปลี่ยนบ่อยๆ เพื่อลดการสะสมของแบคทีเรีย

3. การปรับพฤติกรรม

  • หลีกเลี่ยงการสัมผัส: ไม่แหย่หูด้วยนิ้วหรือไม้พันสำลี
  • จำกัดการใช้หูฟัง: ไม่ใส่หูฟังเป็นเวลานานเกินไป
  • หลีกเลี่ยงการแบ่งปัน: ไม่ใช้หูฟังร่วมกับผู้อื่น

4. การดูแลสุขภาพ

  • อาหารที่เหมาะสม: หลีกเลี่ยงอาหารหวานและแป้งมาก เลือกกินโอเมก้า-3
  • จัดการความเครียด: ออกกำลังกาย ทำสมาธิ พักผ่อนให้เพียงพอ
  • นอนหลับเพียงพอ: 7-9 ชั่วโมงต่อคืน

5. การติดตามและปรับปรุง

  • สังเกตรูปแบบ: จดจำว่าสิวเกิดหลังใช้ผลิตภัณฑ์อะไร
  • ปรับเปลี่ยนทันที: เมื่อพบสาเหตุให้เปลี่ยนผลิตภัณฑ์หรือพฤติกรรม

การป้องกันสิวเป็นกระบวนการต่อเนื่อง การดูแลที่สม่ำเสมอและการเลือกสรรพฤติกรรมที่เป็นมิตรต่อหูจะช่วยลดความถี่ของการเกิดสิวที่หูอย่างมีนัยสำคัญ

การปรับเปลี่ยนพฤติกรรมการใช้ชีวิตประจำวัน

การปรับเปลี่ยนพฤติกรรมการใช้ชีวิตประจำวันเพื่อป้องกันสิวที่หูต้องมุ่งเน้นไปที่การดูแลความสะอาด การจัดการความเครียด และการพักผ่อนให้เพียงพอ เพื่อลดปัจจัยเสี่ยงที่ก่อให้เกิดการติดเชื้อและการอุดตันรูขุมขน

พฤติกรรมสำคัญที่ควรปรับเปลี่ยน:

1. การดูแลอุปกรณ์ประจำวัน

  • ทำความสะอาดหูฟัง: เช็ดด้วยแอลกอฮอล์ก่อนใช้ทุกครั้ง
  • ทำความสะอาดโทรศัพท์: เช็ดหน้าจอและบริเวณที่สัมผัสหูสม่ำเสมอ
  • เปลี่ยนปลอกหมอน: เปลี่ยนบ่อยๆ เพื่อลดการสะสมของแบคทีเรีย
  • ทำความสะอาดแว่นตา: เช็ดบริเวณที่สัมผัสหูด้วยผ้าสะอาด

2. การหลีกเลี่ยงการสัมผัส

  • ไม่แหย่หู: หลีกเลี่ยงการใช้นิ้วหรือไม้พันสำลีขี้หู
  • ไม่แบ่งปันอุปกรณ์: ไม่ใช้หูฟังร่วมกับผู้อื่น
  • หลีกเลี่ยงการกดทับ: ไม่ควรใส่หูฟังเป็นเวลานานเกินไป

3. การจัดการความเครียด

  • ออกกำลังกาย: ช่วยลดฮอร์โมนความเครียดที่ทำให้เกิดสิว
  • ทำสมาธิ: ลดความเครียดและการอักเสบของผิวหนัง
  • หาเวลาพักผ่อน: จัดกิจกรรมผ่อนคลายเพื่อลดความตึงเครียด

4. การพักผ่อนและการนอนหลับ

  • นอนหลับเพียงพอ: 7-9 ชั่วโมงต่อคืน
  • หลีกเลี่ยงการใช้หูฟังขณะนอน: ป้องกันการสะสมของเหงื่อและน้ำมัน
  • จัดสภาพแวดล้อมการนอน: รักษาความสะอาดและอากาศถ่ายเท

5. การปรับอุปนิสัยการดูแลตนเอง

  • ตรวจสอบผลิตภัณฑ์: เลือกใช้ผลิตภัณฑ์ที่ไม่อุดตันรูขุมขน
  • สังเกตรูปแบบการเกิดสิว: จดจำสาเหตุที่ทำให้เกิดสิวเพื่อหลีกเลี่ยง
  • ปรับเปลี่ยนทันที: เมื่อพบปัญหาให้แก้ไขพฤติกรรมทันที

การปรับเปลี่ยนพฤติกรรมเหล่านี้ต้องทำอย่างต่อเนื่องและสม่ำเสมอ จึงจะมีประสิทธิภาพในการป้องกันการเกิดสิวที่หูในระยะยาว

การเลือกใช้ผลิตภัณฑ์ดูแลผิวและเส้นผมที่เหมาะสม

การเลือกใช้ผลิตภัณฑ์ดูแลผิวและเส้นผมที่เหมาะสมต้องเลือกผลิตภัณฑ์ที่มีคำว่า “non-comedogenic” หรือ “oil-free” เพื่อลดโอกาสการอุดตันรูขุมขนบริเวณหูและบริเวณโดยรอบ

หลักเกณฑ์การเลือกผลิตภัณฑ์:

1. ผลิตภัณฑ์ดูแลเส้นผม

  • แชมพู: เลือกที่ปราศจากซัลเฟตและไม่อุดตันรูขุมขน
  • ครีมนวดผม: หลีกเลี่ยงผลิตภัณฑ์ที่มีน้ำมันมาก
  • สเปรย์หรือเจลจัดแต่งทรงผม: ใช้น้อยๆ และไม่ให้โดนบริเวณหู
  • ผลิตภัณฑ์สำหรับผมแห้ง: เลือกที่ไม่หนักเกินไปและล้างออกง่าย

2. ผลิตภัณฑ์ดูแลผิวหน้า

  • ครีมกันแดด: เลือกที่เหมาะสำหรับผิวแพ้ง่าย
  • ครีมบำรุงผิว: หลีกเลี่ยงที่มีส่วนผสมที่อุดตันรูขุมขน
  • ผลิตภัณฑ์ทำความสะอาดผิว: เลือกที่อ่อนโยนและไม่ระคายเคือง

3. การใช้งานอย่างถูกต้อง

  • ล้างให้สะอาด: ล้างแชมพูและครีมนวดผมออกจากบริเวณหลังหูให้หมด
  • ทำความสะอาดส่วนเกิน: เช็ดผลิตภัณฑ์ที่เหลือค้างบนผิวหูออก
  • หลีกเลี่ยงการใช้มากเกินไป: ใช้ในปริมาณพอดีเพื่อไม่ให้สะสม

4. การทดสอบผลิตภัณฑ์ใหม่

  • ทดสอบก่อนใช้: ลองใช้บริเวณผิวเล็กๆ ก่อนใช้เต็มบริเวณ
  • สังเกตอาการแพ้: หยุดใช้ทันทีหากเกิดการระคายเคือง
  • เปลี่ยนผลิตภัณฑ์: หากพบว่าทำให้เกิดสิวให้เปลี่ยนทันที

5. ส่วนผสมที่ควรหลีกเลี่ยง

  • น้ำมันหนัก: หลีกเลี่ยงผลิตภัณฑ์ที่มีน้ำมันแร่หรือน้ำมันมาก
  • แอลกอฮอล์เข้มข้น: อาจทำให้ผิวแห้งและระคายเคือง
  • น้ำหอมที่แรง: อาจก่อให้เกิดการอักเสบ

การเลือกผลิตภัณฑ์ที่เหมาะสมและการใช้งานอย่างถูกต้องจะช่วยลดความเสี่ยงของการเกิดสิวที่หูอย่างมีนัยสำคัญ

คำถามที่พบบ่อยเกี่ยวกับสิวที่หู (FAQ)

สิวที่หูใช้เวลากี่วันถึงจะหาย?

สิวที่หูส่วนใหญ่จะหายเองภายใน 3-7 วัน หากปล่อยให้หายตาธรรมชาติและไม่ไปแหย่ ขณะที่สิวลึกหรือสิวซีสต์อาจใช้เวลานานถึงหลายสัปดาห์

ระยะเวลาการหายของสิวแต่ละประเภท:

1. สิวเล็กๆ ที่ผิวหนัง

  • สิวหัวขาว/หัวดำ: 3-5 วัน
  • สิวอักเสบเล็กน้อย: 5-7 วัน
  • สิวที่มีหนองเล็กน้อย: 1 สัปดาห์

2. สิวใหญ่และลึก

  • สิวก้อนใต้ผิว: 1-2 สัปดาห์
  • สิวซีสต์: 2-6 สัปดาห์
  • สิวที่ติดเชื้อรุนแรง: อาจต้องการการรักษาจากแพทย์

3. ปัจจัยที่ส่งผลต่อการหาย:

การดูแลที่ถูกต้อง (เร่งการหาย):

  • ประคบร้อนเบาๆ วันละ 2-3 ครั้ง
  • ทำความสะอาดอย่างอ่อนโยน
  • ใช้ยาสำหรับสิวตามคำแนะนำ
  • หลีกเลี่ยงการแหย่หรือบีบ

การดูแลที่ผิด (ชะลอการหาย):

  • การบีบหรือแหย่สิว อาจทำให้ใช้เวลาหายนานเป็นสัปดาห์
  • การใช้ผลิตภัณฑ์ที่รุนแรงเกินไป
  • การไม่ดูแลความสะอาด

4. เมื่อควรพบแพทย์:

  • สิวที่เจ็บปวดมากและไม่ดีขึ้นใน 1 สัปดาห์
  • มีไข้หรือต่อมน้ำเหลืองโต
  • การแพร่กระจายของอาการอักเสบ
  • มีหนองมากหรือกลิ่นเหม็น

5. การป้องกันการกลับเป็นซ้ำ:

  • ดูแลความสะอาดอย่างสม่ำเสมอ
  • เปลี่ยนปลอกหมอนบ่อยๆ
  • ทำความสะอาดหูฟังและโทรศัพท์

โดยทั่วไปแล้ว ความอดทนเป็นสิ่งสำคัญ เพราะการบีบสิวมักจะทำให้การหายช้าลงและอาจเกิดแผลเป็น

เป็นสิวที่หูไม่มีหัว ควรทำอย่างไร?

สิวที่หูไม่มีหัวควรดูแลด้วยการประคบร้อนและหลีกเลี่ยงการบีบ เนื่องจากเป็นสิวลึกที่ไม่มีจุดออกบนผิวหนัง การบีบจะทำให้อักเสบมากขึ้น

วิธีการดูแลสิวไม่มีหัว:

1. การประคบร้อน

  • ใช้ผ้าอุ่น: ประคบวันละ 2-3 ครั้ง ครั้งละ 5-10 นาที
  • อุณหภูมิพอดี: ไม่ร้อนเกินไปจนเกิดการบาดเจ็บ
  • วัตถุประสงค์: ช่วยให้สิวขึ้นหัวหรือลดลงเอง

2. การทำความสะอาด

  • ล้างอย่างอ่อนโยน: ใช้สบู่อ่อนโยนและน้ำอุ่น
  • เช็ดให้แห้ง: หลังล้างให้เช็ดแห้งด้วยผ้าสะอาด
  • หลีกเลี่ยงการถู: ไม่ถูแรงหรือใช้ผ้าขัดกร้าน

3. การใช้ยาสำหรับสิว (หากอยู่บริเวณหูนอก)

  • Benzoyl peroxide: ความเข้มข้น 2.5-5%
  • Salicylic acid: ช่วยลดการอักเสบ
  • ทดสอบก่อนใช้: ลองใช้บริเวณเล็กๆ ก่อน

4. สิ่งที่ต้องหลีกเลี่ยง

  • ไม่บีบหรือแหย่: จะทำให้อักเสบมากขึ้นและหายช้า
  • ไม่ใช้เครื่องมือแหลม: อันตรายต่อหูและอาจทำให้ติดเชื้อ
  • ไม่ใช้ยาแรงๆ: หลีกเลี่ยงสารเคมีรุนแรงที่บริเวณหู

5. ระยะเวลาการหาย

  • สิวไม่มีหัวทั่วไป: 1-2 สัปดาห์
  • หากมีการประคบร้อน: อาจหายเร็วขึ้น
  • หากบีบหรือแหย่: อาจใช้เวลาหลายสัปดาห์

6. เมื่อควรพบแพทย์

  • เจ็บปวดมาก: และไม่ดีขึ้นภายใน 1 สัปดาห์
  • สิวขนาดใหญ่มาก: โดยเฉพาะในช่องหู
  • มีไข้หรือต่อมโต: อาจเป็นสัญญาณการติดเชื้อ
  • สิวไม่หายใน 2 สัปดาห์: แพทย์อาจให้การรักษาเฉพาะ

การดูแลอย่างอดทนและถูกวิธีจะช่วยให้สิวไม่มีหัวหายได้เองโดยไม่เกิดแผลเป็นหรือการติดเชื้อ

การเจาะหูทำให้เกิดสิวที่หูได้หรือไม่?

ใช่ การเจาะหูสามารถทำให้เกิดสิวที่หูได้ หากไม่ดูแลความสะอาดของรูเจาะและต่างหูอย่างเหมาะสม ซึ่งอาจนำไปสู่การติดเชื้อที่คล้ายกับสิว

สาเหตุที่การเจาะหูทำให้เกิดสิวได้:

1. การติดเชื้อจากการเจาะใหม่

  • แบคทีเรียเข้าสู่รูเจาะ: หากไม่ดูแลความสะอาด
  • การอักเสบ: ทำให้เกิดตุ่มแดงที่มีหนองคล้ายสิว
  • การติดเชื้อท้องถิ่น: folliculitis บริเวณรูเจาะ

2. การสะสมของแบคทีเรีย

  • ต่างหูสกปรก: การไม่ทำความสะอาดต่างหูสม่ำเสมอ
  • ความชื้นที่สะสม: บริเวณรูเจาะที่อับชื้น
  • เศษผิวหนังและน้ำมัน: อุดตันรูขุมขนรอบๆ รูเจาะ

3. ปัจจัยเสี่ยง

  • ต่างหูที่รัดเกินไป: ขัดขวางการไหลเวียนของเลือด
  • วัสดุของต่างหูที่แพ้: ทำให้เกิดการระคายเคือง
  • การสัมผัสบ่อยๆ: ด้วยมือสกปรก

4. อาการที่พบ:

  • ตุ่มแดงมีหนอง: บริเวณรูเจาะหรือใกล้เคียง
  • เจ็บปวดและบวม: รอบๆ บริเวณที่เจาะ
  • มีหนองไหลออก: จากรูเจาะหรือตุ่มใกล้เคียง

5. การป้องกัน:

  • ดูแลรูเจาะใหม่: ล้างด้วยน้ำเกลือหรือน้ำยาฆ่าเชื้อ
  • ทำความสะอาดต่างหู: เช็ดด้วยแอลกอฮอล์สม่ำเสมอ
  • เลือกต่างหูที่เหมาะสม: ไม่แพ้และไม่รัดเกินไป
  • หลีกเลี่ยงการแตะต้อง: ด้วยมือสกปรก

6. ความแตกต่างจาก Keloid:

  • Keloid: แผลเป็นโปร่งแข็งที่ไม่ใช่สิว
  • สีและลักษณะ: Keloid มักเป็นสีชมพูหรือม่วง
  • การเจริญเติบโต: Keloid จะโตขึ้นเรื่อยๆ

7. การรักษา:

  • หยุดใส่ต่างหูชั่วคราว: หากมีการอักเสบ
  • ใช้ยาทาปฏิชีวนะ: ตามคำแนะนำของแพทย์
  • พบแพทย์: หากอาการรุนแรงหรือไม่ดีขึ้น

การดูแลความสะอาดของรูเจาะและต่างหูอย่างสม่ำเสมอจะช่วยป้องกันการเกิดสิวและการติดเชื้อได้อย่างมีประสิทธิภาพ

แนะแนวเรื่อง

Previous Previous
สิวจาก PM 2.5: วิธีป้องกัน ดูแล และรักษา
NextContinue
สิวจากความเครียด: สาเหตุ กลไก และวิธีจัดการ

สาขาพรีวาโต คลินิก

    สาขาอโศก ตั้งอยู่ที่ ชั้น 2 อาคารมิดทาวน์
    Phone: 02-258-4050 , 081-841-5075
    สาขาสีลม ตั้งอยู่ที่ ชั้น 1 อาคารซี.พี.ทาวเวอร์
    Phone: 02-780-2011 , 098-272-5244
    สาขาราชพฤกษ์ ตั้งอยู่ที่ ชั้น 2 ศูนย์การค้า เดอะคริสตัล เอสบี (ด้านบนร้านสตาร์บัคส์)
    Phone: 02-102-2778 , 098-272-5244

ติดต่อเรา

    Facebook: Privato Clinic
    Messenger: Privato Clinic
    Instagram: privatoclinic
    Email: privatoclinic@gmail.com
    Line: @privatoclinic

Copyright© 2022-2024. All Rights Reserved

Scroll to top
  • หน้าหลัก
  • เกี่ยวกับพรีวาโต
  • บริการทั้งหมด
    • ชะลอวัย
    • ยกกระชับผิว
      • XERF
      • Potenza
      • Sofwave
      • Ulthera
      • Thermage-FLX
    • รักษาสิว
    • เลเซอร์
    • โปรแกรมฉีด
    • บำรุงผิว
  • บทความ
    • สิว
    • ยกกระชับ
    • ดูแลผิว
    • ทำเลเซอร์
  • ผลิตภัณฑ์ดูแลผิว
  • โปรโมชั่น
  • ผลลัพธ์การรักษา
  • วิดีโอรีวิวจากเคสจริง
  • สาขาของเรา
  • ไทย
    • ไทย
    • English
    • 中文 (中国)
  • ปรึกษาแพทย์
Facebook Instagram YouTube