Skip to content

TEL : 081-841-5075, 02-258-4050

Facebook Instagram YouTube
Privato Clinic – Innovation Of Beauty  |  Bangkok
  • หน้าหลัก
  • เกี่ยวกับพรีวาโต
  • บริการทั้งหมดExpand
    • ชะลอวัย
    • ยกกระชับผิวExpand
      • XERF
      • Potenza
      • Sofwave
      • Ulthera
      • Thermage-FLX
    • รักษาสิว
    • เลเซอร์
    • โปรแกรมฉีด
    • บำรุงผิว
  • บทความExpand
    • สิว
    • ยกกระชับ
    • ดูแลผิว
    • ทำเลเซอร์
  • ผลิตภัณฑ์ดูแลผิว
  • โปรโมชั่น
  • ผลลัพธ์การรักษา
  • วิดีโอรีวิวจากเคสจริง
  • สาขาของเรา
  • ไทยExpand
    • ไทย
    • English
    • 中文 (中国)
  • ปรึกษาแพทย์
Privato Clinic – Innovation Of Beauty  |  Bangkok
Consult a Doctor
Acne

สิวหัวช้าง: สาเหตุ การรักษา และวิธีป้องกันที่ถูกต้อง

Byadmin มิถุนายน 18, 2025สิงหาคม 2, 2025
By นายแพทย์เลอพงษ์ กรุดเงิน Updated on สิงหาคม 2, 2025
✦ Medically reviewed by  แพทย์หญิงนัชชนก หุ่นวิจิตร

สิวหัวช้างคือสิวอักเสบชนิดรุนแรงที่เกิดเป็นก้อนแข็งขนาดใหญ่ใต้ผิวหนังชั้นลึก ซึ่งบทความนี้จะอธิบายสาเหตุจากการอุดตันของรูขุมขนร่วมกับการติดเชื้อแบคทีเรีย วิธีการรักษาด้วยยา isotretinoin และการรักษาทางเลือก รวมถึงวิธีป้องกันที่ถูกต้องเพื่อหลีกเลี่ยงการเกิดแผลเป็นถาวร

สิวหัวช้าง

Table of Contents

Toggle
  • สิวหัวช้างคืออะไร และมีลักษณะอาการเป็นอย่างไร?
  • 5 สาเหตุหลักที่ทำให้เกิดสิวหัวช้างที่คุณอาจไม่เคยรู้
  • รวมวิธีรักษาสิวหัวช้างให้หายขาดและปลอดภัย
    • การรักษาสิวหัวช้างด้วยตนเองที่บ้าน
    • การรักษาสิวหัวช้างโดยแพทย์ผู้เชี่ยวชาญ
  • สิวหัวช้างไม่มีหัว แตกต่างจากปกติอย่างไร และรักษายากกว่าหรือไม่?
  • บีบหรือกดสิวหัวช้างเองได้ไหม และมีความเสี่ยงอะไรบ้าง?
    • ผลเสียระยะยาวจากการบีบสิวหัวช้างด้วยตนเอง
    • ขั้นตอนการกดสิวหัวช้างที่ถูกวิธีโดยผู้เชี่ยวชาญต้องทำอย่างไร?
  • ยาทาและสกินแคร์ที่ช่วยรักษาสิวหัวช้างมีอะไรบ้าง?
  • สิวหัวช้างขึ้นตามตำแหน่งต่างๆ (จมูก คาง หลัง) รักษายังไง?
  • วิธีป้องกันการเกิดสิวหัวช้างซ้ำในระยะยาวต้องทำอย่างไร?
  • Author

สิวหัวช้างคืออะไร และมีลักษณะอาการเป็นอย่างไร?

สิวหัวช้าง (Nodulocystic acne) คือสิวอักเสบชนิดรุนแรง ที่มีลักษณะเป็นก้อนนูนแข็ง (nodules) และถุงซีสต์ (cysts) อักเสบลึกอยู่ใต้ชั้นผิวหนัง

สิวชนิดนี้มักมีขนาดใหญ่กว่า 5 มิลลิเมตร มีอาการเจ็บปวดเมื่อสัมผัส และมักพบบริเวณใบหน้า แนวกราม หน้าอก และหลัง ลักษณะเป็นตุ่มบวมแดงหรือสีเดียวกับผิวหนังซึ่งอาจคงอยู่นานหลายสัปดาห์ ก้อนนูนจะเป็นไตแข็งไม่มีหนอง ในขณะที่ซีสต์จะนิ่มกว่าและมีของเหลวอยู่ภายใน สิวหัวช้างมักหายช้าและทิ้งรอยแผลเป็นถาวรไว้

5 สาเหตุหลักที่ทำให้เกิดสิวหัวช้างที่คุณอาจไม่เคยรู้

สิวหัวช้างเกิดจาก การอักเสบรุนแรงใต้ผิวหนังซึ่งถูกกระตุ้นจากหลายปัจจัยร่วมกัน ไม่ได้เกิดจากการไม่รักษาความสะอาดหรือการกินของมันเพียงอย่างเดียว

ปัจจัยหลัก 5 ประการที่กระตุ้นให้เกิดสิวหัวช้าง ได้แก่:

  • ฮอร์โมน ระดับฮอร์โมนแอนโดรเจนที่สูงเป็นสาเหตุสำคัญ โดยเฉพาะในวัยรุ่นชาย
  • การอุดตันของรูขุมขน การอุดตันที่เกิดขึ้นลึกใต้ชั้นผิวหนังเป็นจุดเริ่มต้นของการเกิดตุ่มสิวอักเสบขนาดใหญ่ที่ไม่มีหัว
  • แบคทีเรีย การเจริญเติบโตของเชื้อแบคทีเรีย *C. acnes* ที่มากเกินไปในรูขุมขนที่อุดตัน จะกระตุ้นให้เกิดการอักเสบอย่างรุนแรง
  • อาหาร แม้ยังเป็นที่ถกเถียง แต่มีงานวิจัยบางชิ้นชี้ว่าอาหารที่มีค่าดัชนีน้ำตาลสูงและผลิตภัณฑ์นม อาจทำให้อาการสิวรุนแรงขึ้นได้
  • ความเครียด ความเครียดเรื้อรังสามารถรบกวนสมดุลของฮอร์โมนและกระตุ้นการอักเสบในร่างกายให้รุนแรงขึ้น

รวมวิธีรักษาสิวหัวช้างให้หายขาดและปลอดภัย

การรักษาสิวหัวช้างด้วยตนเองที่บ้าน

โดยทั่วไป ไม่แนะนำให้รักษาสิวหัวช้างด้วยตนเองที่บ้านเพียงอย่างเดียว เนื่องจากเป็นสิวอักเสบรุนแรงที่ต้องได้รับการดูแลจากแพทย์เพื่อป้องกันการเกิดแผลเป็นถาวร อย่างไรก็ตาม การดูแลตนเองที่บ้านสามารถช่วยเสริมการรักษาของแพทย์และป้องกันไม่ให้อาการแย่ลงได้

ข้อควรปฏิบัติที่บ้านเพื่อดูแลสิวหัวช้างมีดังนี้:

  • ห้ามบีบหรือเจาะสิว: การพยายามบีบหรือเจาะสิวหัวช้างด้วยตนเองอาจผลักให้การติดเชื้อลึกลงไป ทำให้การอักเสบแย่ลง และเพิ่มความเสี่ยงต่อการเกิดแผลเป็นอย่างมาก
  • ประคบอุ่น: สำหรับสิวอักเสบที่ไม่มีหัว (Blind Pimple) การใช้ผ้าชุบน้ำอุ่นประคบสามารถช่วยลดอาการปวดและกระตุ้นให้สิวระบายหนองออกมาได้
  • ทำความสะอาดอย่างอ่อนโยน: ใช้ผลิตภัณฑ์ทำความสะอาดที่อ่อนโยนและหลีกเลี่ยงการขัดถูผิวแรงๆ เพราะอาจทำให้อาการอักเสบกำเริบได้
  • เลือกใช้ผลิตภัณฑ์ที่เหมาะสม: ควรใช้ผลิตภัณฑ์บำรุงผิวและเครื่องสำอางที่ระบุว่า “oil-free” (ไม่มีน้ำมัน) หรือ “non-acnegenic” (ไม่ก่อให้เกิดสิว)
  • ดูแลความสะอาด: ควรอาบน้ำทันทีหลังออกกำลังกายหรือมีเหงื่อออกมาก และหมั่นซักปลอกหมอนกับผ้าเช็ดตัวเพื่อลดการสะสมของแบคทีเรีย

การรักษาสิวหัวช้างโดยแพทย์ผู้เชี่ยวชาญ

การรักษาสิวหัวช้างโดยแพทย์ผู้เชี่ยวชาญ ประกอบด้วยการใช้ยาชนิดรับประทาน เช่น ไอโซเตรติโนอิน (Isotretinoin) และยาปฏิชีวนะ ควบคู่ไปกับการรักษาเฉพาะที่ เช่น การฉีดสเตียรอยด์เข้าที่สิวโดยตรง

แพทย์จะเลือกวิธีการรักษาที่เหมาะสมกับความรุนแรงของสิว โดยมีแนวทางหลักดังนี้

  • ไอโซเตรติโนอินชนิดรับประทาน (Oral Isotretinoin): เป็นยาที่มีประสิทธิภาพสูงสุดในการรักษาสิวหัวช้างที่รุนแรง ช่วยลดขนาดของต่อมไขมันและลดการอักเสบได้อย่างมีนัยสำคัญ แต่ต้องใช้ภายใต้การดูแลของแพทย์อย่างใกล้ชิด
  • การฉีดคอร์ติโคสเตียรอยด์ (Intralesional Corticosteroid Injections): เป็นการฉีดยาเข้าไปในตุ่มสิวที่อักเสบโดยตรงเพื่อลดการอักเสบและป้องกันการเกิดแผลเป็นอย่างรวดเร็ว
  • ยาปฏิชีวนะชนิดรับประทาน (Oral Antibiotics): ใช้เพื่อลดการอักเสบและจำนวนเชื้อแบคทีเรีย มักใช้ในระยะสั้น (ประมาณ 3-4 เดือน) และควรใช้ร่วมกับยาทาเบนโซอิลเพอร์ออกไซด์ (Benzoyl Peroxide) เพื่อป้องกันการดื้อยา
  • การบำบัดด้วยฮอร์โมน (Hormonal Therapy): สำหรับผู้หญิง แพทย์อาจพิจารณาให้ใช้ยาคุมกำเนิดหรือยาสไปโรโนแลคโตน (Spironolactone) เพื่อช่วยควบคุมสิวที่เกิดจากความไม่สมดุลของฮอร์โมน
  • ยาทาเฉพาะที่ (Topical Treatments): เช่น กลุ่มยาเรตินอยด์ (Retinoids) และเบนโซอิลเพอร์ออกไซด์ มักใช้เป็นการรักษาร่วมกับยารับประทาน หรือใช้เพื่อควบคุมอาการในระยะยาว
  • การกดหรือเจาะสิวโดยผู้เชี่ยวชาญ (Professional Drainage): แพทย์ผิวหนังสามารถกดหรือระบายของเหลวออกจากสิวได้อย่างปลอดภัย เพื่อเร่งให้สิวยุบและลดความเสี่ยงของการเกิดแผลเป็น

การฉีดสิวหัวช้างเพื่อลดการอักเสบ

การฉีดสเตียรอยด์เข้าใต้ผิวหนังโดยตรง (Intralesional corticosteroid injection) เป็นวิธีที่รวดเร็วและมีประสิทธิภาพในการลดการอักเสบของสิวหัวช้างและป้องกันการเกิดแผลเป็น

การฉีดสเตียรอยด์จะช่วยลดขนาดและอาการเจ็บของสิวอักเสบเม็ดใหญ่ได้อย่างรวดเร็ว จึงมักใช้เป็นวิธีแก้ไขเฉพาะจุด เช่น ก่อนวันสำคัญ อย่างไรก็ตาม การฉีดควรทำโดยแพทย์ผู้เชี่ยวชาญและใช้ในปริมาณที่เหมาะสม เพื่อหลีกเลี่ยงผลข้างเคียงที่อาจเกิดขึ้น เช่น ผิวหนังบางลง ผิวบุ๋มชั่วคราว หรือสีผิวจางลงบริเวณที่ฉีด

การใช้ยารับประทานเพื่อรักษาสิวหัวช้าง

ยารับประทานที่ใช้รักษาสิวหัวช้างมี 3 กลุ่มหลัก ได้แก่ ไอโซเตรติโนอิน (Isotretinoin) ยาปฏิชีวนะ และยาฮอร์โมน ซึ่งแต่ละชนิดมีข้อบ่งชี้และวิธีการใช้ที่แตกต่างกัน

  • ไอโซเตรติโนอิน (Isotretinoin): เป็นยาที่มีประสิทธิภาพสูงสุดในการรักษาสิวหัวช้างที่รุนแรง ช่วยลดตุ่มสิวและซีสต์ได้อย่างมาก และลดความเสี่ยงของการเกิดแผลเป็นถาวร แต่ต้องใช้ภายใต้การดูแลของแพทย์อย่างใกล้ชิด เนื่องจากมีผลข้างเคียงและเป็นอันตรายต่อทารกในครรภ์
  • ยาปฏิชีวนะชนิดรับประทาน (Oral Antibiotics): เช่น Doxycycline และ Minocycline ใช้เพื่อลดการอักเสบ โดยทั่วไปจะใช้ในระยะเวลาสั้นๆ (ประมาณ 3-4 เดือน) เพื่อป้องกันการดื้อยา และมักใช้ร่วมกับการรักษาอื่นเพื่อไม่ให้สิวกลับมาเป็นซ้ำหลังหยุดยา
  • ยาฮอร์โมน (Hormonal Therapies): เช่น Spironolactone และยาคุมกำเนิด เป็นทางเลือกสำหรับผู้หญิงเพื่อควบคุมสิวที่เกิดจากฮอร์โมน ช่วยลดตุ่มสิวอักเสบลึกได้อย่างมีนัยสำคัญ แต่ไม่สามารถใช้ในผู้ชายได้

การใช้เลเซอร์รักษาสิวหัวช้างและรอยแผลเป็น

การใช้เลเซอร์และแสงบำบัดถือเป็นทางเลือกรองหรือการรักษาเสริมสำหรับสิวหัวช้าง (Nodulocystic acne) และมักไม่เพียงพอหากใช้เป็นวิธีรักษาหลักเพียงอย่างเดียว

โดยทั่วไป แพทย์ผิวหนังอาจใช้เลเซอร์เพื่อเสริมการรักษาแบบดั้งเดิมหรือเพื่อจัดการกับตุ่มสิวที่ยังหลงเหลืออยู่ แต่สำหรับสิวหัวช้างที่กระจายเป็นวงกว้าง การรักษาด้วยเลเซอร์เพียงอย่างเดียวมักไม่ได้ผลดีนัก เนื่องจากข้อมูลเกี่ยวกับประสิทธิภาพในการรักษาสิวรุนแรงยังคงมีจำกัดและไม่แน่ชัด

สิวหัวช้างไม่มีหัว แตกต่างจากปกติอย่างไร และรักษายากกว่าหรือไม่?

สิวหัวช้างไม่มีหัวคือสิวอักเสบชนิดตุ่มนูนลึกใต้ผิวหนังที่ไม่มีหัวสิวให้เห็นบนพื้นผิว ซึ่งแตกต่างจากสิวทั่วไปและรักษายากกว่า เนื่องจากไม่สามารถระบายหนองออกได้เองและมักจะคงอยู่นาน

สิวชนิดนี้เกิดจากการอุดตันลึกในรูขุมขน ทำให้เกิดเป็นตุ่มแดงแข็งใต้ผิวหนังที่ไม่มีจุดหนอง และมักมีอาการเจ็บปวด การรักษาทำได้ยากกว่าเพราะไม่สามารถกดหรือบีบออกได้ การใช้ยาทาภายนอกอาจได้ผลจำกัด และบ่อยครั้งจำเป็นต้องได้รับการฉีดสเตียรอยด์โดยแพทย์ผิวหนังเพื่อลดการอักเสบอย่างรวดเร็ว

บีบหรือกดสิวหัวช้างเองได้ไหม และมีความเสี่ยงอะไรบ้าง?

ไม่ควรบีบหรือกดสิวหัวช้างด้วยตนเอง เนื่องจากการกระทำดังกล่าวจะผลักให้การติดเชื้อลึกลงไปในผิวหนัง ทำให้อาการอักเสบรุนแรงขึ้น และเพิ่มความเสี่ยงต่อการเกิดภาวะแทรกซ้อนที่รุนแรง

การบีบสิวหัวช้างมีความเสี่ยงดังนี้:

  • การเกิดแผลเป็นถาวร: เพิ่มความเสี่ยงอย่างมากในการเกิดแผลเป็นทั้งแบบหลุมสิว (atrophic) และแผลเป็นนูน (hypertrophic)
  • รอยดำหลังการอักเสบ (PIH): ทำให้เกิดรอยดำที่อาจคงอยู่นานหลายเดือน โดยเฉพาะในผู้ที่มีสีผิวเข้ม
  • การติดเชื้อซ้ำซ้อน: อาจทำให้เกิดการติดเชื้อแบคทีเรียแทรกซ้อนหรือกลายเป็นฝีหนองได้
  • ทำให้อาการแย่ลง: การบีบหรือเค้นจะยิ่งกระตุ้นการอักเสบ ทำให้สิวเจ็บและบวมมากขึ้น และหายช้าลง

ผลเสียระยะยาวจากการบีบสิวหัวช้างด้วยตนเอง

ผลเสียระยะยาวที่สำคัญที่สุดจากการบีบสิวหัวช้างด้วยตนเองคือ การเกิดแผลเป็นถาวร ซึ่งอาจมีลักษณะเป็นหลุมหรือนูนขึ้นมาได้

นอกจากนี้ การบีบสิวหัวช้างยังอาจนำไปสู่ผลเสียอื่นๆ ได้แก่:

  • การอักเสบที่รุนแรงขึ้น: การบีบอาจผลักให้เชื้อโรคและการอักเสบลึกลงไปในผิวหนัง
  • รอยดำหลังการอักเสบ (PIH): ทิ้งรอยดำหรือรอยแดงที่อาจคงอยู่นานหลายเดือน
  • การติดเชื้อทุติยภูมิ: อาจทำให้เกิดการติดเชื้อแบคทีเรียซ้ำซ้อนหรือกลายเป็นฝีได้

ขั้นตอนการกดสิวหัวช้างที่ถูกวิธีโดยผู้เชี่ยวชาญต้องทำอย่างไร?

การระบายหนอง (Incision and drainage) คือขั้นตอนที่แพทย์ผิวหนังใช้สำหรับซีสต์หรือฝีขนาดใหญ่ที่เจ็บปวด ซึ่งเป็นส่วนหนึ่งของสิวหัวช้าง โดยแพทย์จะใช้เทคนิคและสุขอนามัยที่เหมาะสมเพื่อระบายของเหลวออกจากสิว การทำเช่นนี้จะช่วยเร่งให้สิวยุบตัวเร็วขึ้น และลดความเสี่ยงของการเกิดแผลเป็นหรือการติดเชื้อ หลังจากทำหัตถการ แพทย์อาจสั่งยาปฏิชีวนะหรือยาต้านการอักเสบให้เพิ่มเติม

ยาทาและสกินแคร์ที่ช่วยรักษาสิวหัวช้างมีอะไรบ้าง?

ยาทาและสกินแคร์ที่แนะนำสำหรับสิวหัวช้างมักใช้ เพื่อเสริมการรักษาหลักและป้องกันการเกิดสิวใหม่ แต่มีประสิทธิภาพจำกัดในการรักษาสิวที่เป็นก้อนลึกโดยตรง โดยมักใช้ควบคู่ไปกับการรักษาด้วยยารับประทาน

ยาและผลิตภัณฑ์ที่แนะนำ ได้แก่:

  • เบนโซอิลเพอร์ออกไซด์ (Benzoyl Peroxide – BPO): ช่วยฆ่าเชื้อแบคทีเรีย C. acnes ลดการอักเสบ และป้องกันการดื้อยาปฏิชีวนะ
  • ยาทากลุ่มเรตินอยด์ (Topical Retinoids): เช่น Tretinoin หรือ Adapalene ช่วยผลัดเซลล์ผิว ลดการอุดตัน และมีคุณสมบัติต้านการอักเสบ
  • ยาทาตามใบสั่งแพทย์อื่นๆ: เช่น ยาปฏิชีวนะชนิดทา (ต้องใช้ร่วมกับ BPO เพื่อป้องกันการดื้อยา), Dapsone gel หรือ Clascoterone cream
  • ผลิตภัณฑ์ดูแลผิว: ควรใช้ผลิตภัณฑ์ทำความสะอาดที่อ่อนโยน (อาจมีส่วนผสมของกรดซาลิไซลิก), ครีมกรดอะซีลาอิก (Azelaic acid), และเลือกใช้เครื่องสำอางที่ไม่มีส่วนผสมของน้ำมัน (oil-free) หรือไม่ก่อให้เกิดสิว (non-acnegenic)

สิวหัวช้างขึ้นตามตำแหน่งต่างๆ (จมูก คาง หลัง) รักษายังไง?

การรักษาสิวหัวช้างจะแตกต่างกันไปตามตำแหน่งที่เกิด โดยสิวที่หลังมักต้องใช้ยารับประทาน สิวที่คางในผู้หญิงมักตอบสนองต่อการรักษาด้วยฮอร์โมน และสิวที่จมูกจำเป็นต้องได้รับการดูแลจากแพทย์เป็นพิเศษ

  • หลังและหน้าอก: ผิวหนังบริเวณนี้จะหนาและเกิดแผลเป็นได้ง่าย การรักษาจึงมักต้องใช้ยารับประทาน เช่น ไอโซเตรติโนอิน (Isotretinoin) หรือยาปฏิชีวนะ เนื่องจากทายาได้ลำบาก และควรหลีกเลี่ยงการเสียดสีจากเสื้อผ้าหรือกระเป๋า
  • คางและแนวกราม: ในผู้หญิง สิวบริเวณนี้มักเกี่ยวข้องกับฮอร์โมน การรักษาด้วยยาคุมกำเนิดหรือยาต้านฮอร์โมน (Spironolactone) จึงมักได้ผลดี
  • จมูก: บริเวณจมูกถือเป็น “สามเหลี่ยมอันตราย” (Danger Triangle) บนใบหน้า ซึ่งการติดเชื้อสามารถแพร่กระจายได้ง่าย ดังนั้นสิวอักเสบลึกบริเวณนี้จึงควรให้แพทย์ดูแลและห้ามบีบหรือแกะโดยเด็ดขาด

วิธีป้องกันการเกิดสิวหัวช้างซ้ำในระยะยาวต้องทำอย่างไร?

การป้องกันสิวหัวช้างกลับมาเป็นซ้ำในระยะยาว ทำได้โดยการใช้ยาตามที่แพทย์สั่งอย่างต่อเนื่อง ควบคู่ไปกับการดูแลผิวและปรับเปลี่ยนพฤติกรรมการใช้ชีวิต กลยุทธ์เหล่านี้ช่วยรักษาสภาพผิวให้ดีและควบคุมการเกิดสิวได้อย่างมีประสิทธิภาพ

แนวทางการป้องกันที่สำคัญ ได้แก่:

  • การใช้ยาเพื่อควบคุมอาการ: แพทย์มักแนะนำให้ใช้ยาทากลุ่มเรตินอยด์ (Topical Retinoids) อย่างต่อเนื่องเพื่อป้องกันการเกิดสิวใหม่ สำหรับผู้หญิงอาจใช้ยาคุมกำเนิดหรือยา Spironolactone เพื่อควบคุมสิวที่เกิดจากฮอร์โมน
  • การดูแลผิวอย่างสม่ำเสมอ: ใช้ผลิตภัณฑ์ทำความสะอาดที่อ่อนโยน รวมถึงมอยส์เจอไรเซอร์และครีมกันแดดที่ไม่มีส่วนผสมที่ก่อให้เกิดการอุดตัน (Non-comedogenic)
  • การปรับเปลี่ยนวิถีชีวิต: รับประทานอาหารที่มีประโยชน์ เช่น ผักและอาหารที่มีค่าดัชนีน้ำตาลต่ำ การจัดการความเครียด การนอนหลับให้เพียงพอ และการออกกำลังกายสามารถช่วยลดการอักเสบของผิวได้
  • การพบแพทย์เพื่อติดตามผล: การนัดพบแพทย์ผิวหนังอย่างสม่ำเสมอแม้ว่าสิวจะหายแล้ว จะช่วยให้สามารถตรวจพบสัญญาณการกลับมาของสิวได้ตั้งแต่เนิ่นๆ และปรับการรักษาได้ทันท่วงที

References*

  • Drug Commission of the German Medical Association (AKDAE) – akdae.de
  • Cleveland Clinic – clevelandclinic.org
  • Dermatology Advisor – dermatologyadvisor.com
  • DermNet New Zealand – dermnetnz.org
  • Healthline – healthline.com
  • National Institutes of Health – nih.gov
  • Verywell Health – verywellhealth.com

Author

  • แพทย์หญิงนัชชนก หุ่นวิจิตร
    แพทย์หญิงนัชชนก หุ่นวิจิตร

    View all posts

แนะแนวเรื่อง

Previous Previous
สิวฮอร์โมน: สาเหตุ การรักษา และวิธีป้องกันที่ถูกต้อง
NextContinue
รอยดำจากสิว: สาเหตุ วิธีดูแล และการรักษาที่ได้ผล

Product Type

  • Acne Care - รักษาสิว22 สินค้า
  • Brightening - ผิวกระจ่างใส22 สินค้า
  • Dark Spot Reduction - ลดจุดด่างดำ22 สินค้า
  • Red or Dark Spots - รอยสิว11 สินค้า
  • Skin Cleansing - ทำความสะอาดผิว33 สินค้า
  • Skin Hydration - ความชุ่มชื่นผิว22 สินค้า
  • Skin Mask - มาร์สผิว22 สินค้า
  • Sun Protection - กันแดด22 สินค้า
  • Travel Size - ขนาดพกพา66 สินค้า

สาขาพรีวาโต คลินิก

    สาขาอโศก ตั้งอยู่ที่ ชั้น 2 อาคารมิดทาวน์
    Phone: 02-258-4050 , 081-841-5075
    สาขาสีลม ตั้งอยู่ที่ ชั้น 1 อาคารซี.พี.ทาวเวอร์
    Phone: 02-780-2011 , 098-272-5244
    สาขาราชพฤกษ์ ตั้งอยู่ที่ ชั้น 2 ศูนย์การค้า เดอะคริสตัล เอสบี (ด้านบนร้านสตาร์บัคส์)
    Phone: 02-102-2778 , 098-272-5244

ติดต่อเรา

    Facebook: Privato Clinic
    Messenger: Privato Clinic
    Instagram: privatoclinic
    Email: privatoclinic@gmail.com
    Line: @privatoclinic

Copyright© 2022-2024. All Rights Reserved

Scroll to top
  • หน้าหลัก
  • เกี่ยวกับพรีวาโต
  • บริการทั้งหมด
    • ชะลอวัย
    • ยกกระชับผิว
      • XERF
      • Potenza
      • Sofwave
      • Ulthera
      • Thermage-FLX
    • รักษาสิว
    • เลเซอร์
    • โปรแกรมฉีด
    • บำรุงผิว
  • บทความ
    • สิว
    • ยกกระชับ
    • ดูแลผิว
    • ทำเลเซอร์
  • ผลิตภัณฑ์ดูแลผิว
  • โปรโมชั่น
  • ผลลัพธ์การรักษา
  • วิดีโอรีวิวจากเคสจริง
  • สาขาของเรา
  • ไทย
    • ไทย
    • English
    • 中文 (中国)
  • ปรึกษาแพทย์
Facebook Instagram YouTube