Skip to content

TEL : 081-841-5075, 02-258-4050

Facebook Instagram YouTube
Privato Clinic – Innovation Of Beauty  |  Bangkok
  • หน้าหลัก
  • เกี่ยวกับพรีวาโต
  • บริการทั้งหมดExpand
    • ชะลอวัย
    • ยกกระชับผิวExpand
      • XERF
      • Potenza
      • Sofwave
      • Ulthera
      • Thermage-FLX
    • รักษาสิว
    • เลเซอร์
    • โปรแกรมฉีด
    • บำรุงผิว
  • บทความExpand
    • สิว
    • ยกกระชับ
    • ดูแลผิว
    • ทำเลเซอร์
  • ผลิตภัณฑ์ดูแลผิว
  • โปรโมชั่น
  • ผลลัพธ์การรักษา
  • วิดีโอรีวิวจากเคสจริง
  • สาขาของเรา
  • ไทยExpand
    • ไทย
    • English
    • 中文 (中国)
  • ปรึกษาแพทย์
Privato Clinic – Innovation Of Beauty  |  Bangkok
Consult a Doctor
Acne

สิวอุดตัน: สาเหตุ การรักษา และวิธีป้องกันที่ถูกต้อง

Byadmin มิถุนายน 18, 2025กรกฎาคม 14, 2025
By นายแพทย์เลอพงษ์ กรุดเงิน Updated on กรกฎาคม 14, 2025
✦ Medically reviewed by  แพทย์หญิงนัชชนก หุ่นวิจิตร

สิวอุดตันคือสิวชนิดไม่อักเสบที่เกิดจากการอุดตันของรูขุมขน ซึ่งการทำความเข้าใจถึงสาเหตุ วิธีการรักษา และแนวทางการป้องกันที่ถูกต้องจะช่วยให้คุณสามารถจัดการปัญหานี้ได้อย่างมีประสิทธิภาพ

สิวอุดตัน

Table of Contents

Toggle
  • สิวอุดตันคืออะไร และมีลักษณะเป็นอย่างไร?
    • สิวอุดตันหัวเปิด (สิวหัวดำ) แตกต่างจากสิวอุดตันหัวปิด (สิวหัวขาว) อย่างไร?
    • สิวอุดตันใต้ผิวหนังและสิวไขมันคือประเภทเดียวกันหรือไม่?
    • ตำแหน่งของสิวอุดตันสามารถบ่งบอกสาเหตุได้หรือไม่?
  • 5 สาเหตุหลักที่ต้องรู้เพื่อรักษาสิวอุดตัน
    • 1. การอุดตันของรูขุมขนจากเซลล์ผิวและไขมัน (Sebum)
    • 2. ปัจจัยจากฮอร์โมนและพันธุกรรม
    • 3. การใช้สกินแคร์และเครื่องสำอางที่ก่อให้เกิดการอุดตัน (Comedogenic)
    • 4. พฤติกรรมการใช้ชีวิตและปัจจัยภายนอก
    • 5. การระคายเคืองและการเสียดสีบนผิวหนัง
  • สิวอุดตันสามารถกลายเป็นสิวอักเสบได้หรือไม่?
    • สัญญาณเตือนว่าสิวอุดตันกำลังจะอักเสบมีอะไรบ้าง?
    • วิธีป้องกันไม่ให้สิวอุดตันลุกลามเป็นสิวอักเสบ
  • วิธีรักษาสิวอุดตันให้ได้ผลดีที่สุดมีอะไรบ้าง?
    • การรักษาสิวอุดตันด้วยตัวเองที่บ้าน
    • การรักษาสิวอุดตันโดยพบแพทย์ผิวหนัง
  • ควรเลือกใช้ผลิตภัณฑ์ใดเพื่อรักษาสิวอุดตัน?
    • ส่วนผสมสำคัญในยาทาและสกินแคร์ที่ช่วยลดสิวอุดตัน
    • แนะนำผลิตภัณฑ์ล้างหน้าและมอยเจอร์ไรเซอร์สำหรับผิวเป็นสิวอุดตัน
  • ควรกดสิวอุดตันเพื่อรักษาหรือไม่ และทำอย่างไรให้ปลอดภัย?
    • ข้อดีและข้อเสียของการกดสิวอุดตัน
    • ขั้นตอนการกดสิวอุดตันที่ถูกวิธีและปลอดภัย
  • จะป้องกันการเกิดสิวอุดตันซ้ำได้อย่างไร?
    • การปรับเปลี่ยนพฤติกรรมการใช้ชีวิตเพื่อลดสิวอุดตัน
    • อาหารที่ควรเลี่ยงและอาหารที่ช่วยลดการเกิดสิว
  • คำถามที่พบบ่อยเกี่ยวกับสิวอุดตัน
    • สิวอุดตันหายเองได้ไหม?
    • รักษาสิวอุดตันใช้เวลานานเท่าไหร่จึงจะเห็นผล?
  • Author

สิวอุดตันคืออะไร และมีลักษณะเป็นอย่างไร?

สิวอุดตันคือการอุดตันของรูขุมขนจากเซลล์ผิวหนังที่ตายแล้วและไขมันที่สะสมในรูขุมขน โดยแบ่งเป็น 2 ประเภทหลัก:

  • หัวสิวดำ (Blackheads/Open comedones) – รูขุมขนอุดตันที่เปิดอยู่ที่ผิวหน้า มีลักษณะเป็นจุดดำเล็กๆ เนื่องจากไขมันและเคราตินที่อุดตันถูกออกซิไดซ์เมื่อสัมผัสอากาศ
  • หัวสิวขาว (Whiteheads/Closed comedones) – รูขุมขนอุดตันที่ปิดอยู่ใต้ผิวหนัง มองเห็นเป็นตุ่มเล็กๆ สีเนื้อหรือสีขาว ไม่มีรูเปิดที่ผิวหน้า

สิวอุดตันทำให้ผิวหน้าขรุขระเป็นตุ่มๆ แต่ไม่มีการอักเสบแดงหรือเป็นหนอง ต่างจาก sebaceous filaments ที่เป็นเส้นไขมันปกติในรูขุมขนและไม่ใช่สิว

สิวอุดตันหัวเปิด (สิวหัวดำ) แตกต่างจากสิวอุดตันหัวปิด (สิวหัวขาว) อย่างไร?

ความแตกต่างหลักคือสิวหัวดำมีรูเปิดที่ผิวหนังทำให้สิ่งอุดตันถูกออกซิไดซ์เป็นสีดำ ขณะที่สิวหัวขาวมีชั้นผิวหนังปิดทับอยู่

ลักษณะ สิวหัวดำ (Blackheads) สิวหัวขาว (Whiteheads)
การเปิดของรูขุมขน เปิดที่ผิวหน้า ปิดอยู่ใต้ผิวหนัง
สีที่มองเห็น สีดำหรือน้ำตาลเข้ม สีเนื้อหรือสีขาว
สาเหตุของสี ไขมันและเคราตินถูกออกซิไดซ์เมื่อสัมผัสอากาศ ไม่สัมผัสอากาศจึงไม่เปลี่ยนสี
ลักษณะที่จับต้องได้ เป็นจุดดำเล็กๆ บนผิว เป็นตุ่มนูนเล็กๆ ใต้ผิว
ตำแหน่งการอุดตัน อุดตันที่ปากรูขุมขน อุดตันลึกกว่าใต้ผิวหนัง

สิวอุดตันใต้ผิวหนังและสิวไขมันคือประเภทเดียวกันหรือไม่?

ไม่ใช่ประเภทเดียวกัน สิวอุดตันใต้ผิวหนัง (closed comedones/whiteheads) เป็นการอุดตันที่ผิดปกติและถือเป็นสิว ในขณะที่สิวไขมัน (sebaceous filaments) เป็นโครงสร้างปกติของผิวหนัง

ความแตกต่างสำคัญ:

  • สิวอุดตันใต้ผิวหนัง – มีการอุดตันจากเซลล์ผิวที่ตายแล้วและไขมัน ทำให้เกิดตุ่มนูนเล็กๆ สีเนื้อหรือสีขาว เป็นภาวะผิดปกติที่ต้องรักษา
  • สิวไขมัน – เป็นเส้นไขมันปกติที่อยู่ในรูขุมขน ทำหน้าที่ลำเลียงไขมันขึ้นสู่ผิวหนัง มักเห็นเป็นจุดเล็กๆ สีเทาหรือเหลืองอ่อนบริเวณจมูก ไม่มีการอุดตันจริง และเป็นส่วนหนึ่งของผิวปกติที่ทุกคนมี

ตำแหน่งของสิวอุดตันสามารถบ่งบอกสาเหตุได้หรือไม่?

ทฤษฎี “face mapping” ที่เชื่อมตำแหน่งสิวกับอวัยวะภายในไม่มีหลักฐานทางวิทยาศาสตร์รองรับ แต่ตำแหน่งสิวอุดตันสามารถบ่งบอกสาเหตุจากปัจจัยภายนอกได้

สาเหตุตามตำแหน่งที่พบบ่อย:

  • แนวผมบนหน้าผาก – มักเกิดจากผลิตภัณฑ์จัดแต่งทรงผมหรือครีมนวดผมที่มีน้ำมันมาก (pomade acne)
  • แก้มและขากรรไกร – เกิดจากการเสียดสีหรือกดทับ เช่น การใช้โทรศัพท์ ใส่หน้ากากอนามัย หรือสายรัดหมวกกันน็อค (acne mechanica)
  • บริเวณที่สัมผัสมือบ่อย – มักเกิดจากการสัมผัสใบหน้าด้วยมือที่ไม่สะอาด

การแพทย์สมัยใหม่พบว่าตำแหน่งสิวอุดตันเกี่ยวข้องกับปัจจัยภายนอกและการดูแลผิวมากกว่าสุขภาพอวัยวะภายใน

สิวอุดตันบริเวณแก้มและกรอบหน้า

สิวอุดตันบริเวณแก้มและกรอบหน้ามักเกิดจากการเสียดสีหรือกดทับ (acne mechanica) ซึ่งเป็นภาวะที่รูขุมขนอุดตันจากแรงกดหรือการเสียดสีซ้ำๆ

สาเหตุที่พบบ่อย:

  • การใช้โทรศัพท์มือถือแนบกับแก้มเป็นเวลานาน
  • การใส่หน้ากากอนามัยต่อเนื่อง (maskne)
  • สายรัดหมวกกันน็อคหรืออุปกรณ์กีฬาที่สัมผัสใบหน้า
  • การเอามือแตะหรือพิงใบหน้าบ่อยๆ

วิธีป้องกัน:

  • เลือกใช้ผ้าที่ระบายอากาศได้ดีสำหรับหน้ากากหรืออุปกรณ์
  • ทำความสะอาดผิวหน้าทันทีหลังถอดหน้ากากหรืออุปกรณ์
  • หลีกเลี่ยงการสัมผัสใบหน้าโดยไม่จำเป็น
  • ทำความสะอาดโทรศัพท์มือถือเป็นประจำ

สิวอุดตันบริเวณจมูกและคาง

สิวอุดตันบริเวณจมูกและคางมักเกิดจากการผลิตไขมันส่วนเกินและการอุดตันของรูขุมขนในบริเวณที่มีต่อมไขมันหนาแน่น

บริเวณจมูก:

  • มักพบสิวหัวดำมากกว่าบริเวณอื่น เนื่องจากมีต่อมไขมันจำนวนมาก
  • อาจสับสนกับ sebaceous filaments (เส้นไขมันปกติ) ที่มีลักษณะเป็นจุดเล็กๆ สีเทาหรือเหลืองอ่อน ซึ่งไม่ใช่สิวจริง
  • การใช้แผ่นดูดสิว (pore strips) ช่วยได้ชั่วคราวแต่ไม่ป้องกันการเกิดใหม่

บริเวณคาง:

  • มักเชื่อว่าเกี่ยวข้องกับฮอร์โมน แต่การศึกษาพบว่าไม่สามารถใช้ตำแหน่งนี้เพียงอย่างเดียวในการวินิจฉัยปัญหาฮอร์โมน
  • อาจเกิดจากการเสียดสีจากมือหรืออุปกรณ์ต่างๆ เช่น สายรัดหมวกกันน็อค
  • ในผู้ใหญ่บางรายอาจเกี่ยวข้องกับการเปลี่ยนแปลงฮอร์โมนร่วมด้วย แต่ต้องพิจารณาปัจจัยอื่นประกอบ

สิวอุดตันบริเวณหน้าผาก

สิวอุดตันบริเวณหน้าผากโดยเฉพาะแนวผมมักเกิดจากผลิตภัณฑ์จัดแต่งทรงผมที่มีน้ำมัน (pomade acne)

สาเหตุหลัก:

  • ผลิตภัณฑ์บำรุงผม – ครีมนวดผม เจลแต่งผม หรือน้ำมันใส่ผมที่ไหลลงมาสัมผัสหน้าผาก
  • ผมมัน – ผมที่มีความมันมากเมื่อสัมผัสหน้าผากจะถ่ายเทน้ำมันไปยังผิวหนัง
  • หมวกหรือผ้าคาดหัว – การสวมหมวกแน่นหรือผ้าคาดหัวที่ดักเหงื่อและความมัน
  • การไม่ทำความสะอาดหน้าผากหลังใช้ผลิตภัณฑ์ – ปล่อยให้สารตกค้างอยู่บนผิว

วิธีป้องกัน:

  • เลือกใช้ผลิตภัณฑ์บำรุงผมที่ไม่มีน้ำมันหรือระบุว่า “non-comedogenic”
  • หลีกเลี่ยงให้ผลิตภัณฑ์สัมผัสแนวหน้าผาก
  • สระผมบ่อยๆ หากมีผมมัน
  • ทำความสะอาดหน้าผากทันทีหลังถอดหมวกหรืออุปกรณ์ที่สวมศีรษะ

5 สาเหตุหลักที่ต้องรู้เพื่อรักษาสิวอุดตัน

1. การอุดตันของรูขุมขนจากเซลล์ผิวและไขมัน (Sebum)

การอุดตันของรูขุมขนจากเซลล์ผิวและไขมันเกิดจากภาวะ hyperkeratinization (การสะสมของเซลล์ผิวที่ตายแล้ว) ผสมกับไขมันส่วนเกิน (sebum) ทำให้เกิดการอุดตันในรูขุมขน

กระบวนการเกิดสิวอุดตัน:

  1. เซลล์ผิวหนังผลัดเปลี่ยนผิดปกติ – เซลล์ผิวที่ตายแล้วไม่หลุดออกไปตามปกติ แต่กลับเกาะติดกันแน่นในรูขุมขน
  2. เซลล์ที่เหนียวผสมกับไขมัน – เซลล์ที่ติดอยู่ผสมกับไขมันจากต่อมไขมัน สร้างเป็นก้อนอุดตันในรูขุมขน
  3. เริ่มจาก microcomedone – การอุดตันเริ่มต้นจากระดับจุลภาคที่มองไม่เห็น แล้วค่อยๆ ขยายใหญ่ขึ้นจนมองเห็นได้
  4. ไขมันส่วนเกินเป็นตัวเร่ง – การผลิตไขมันมากเกิน (seborrhea) ทำให้มีวัตถุดิบมากขึ้นสำหรับการอุดตัน

ผลที่เกิดขึ้น:

  • หากรูขุมขนเปิด → เกิดเป็นสิวหัวดำ (ไขมันถูกออกซิไดซ์)
  • หากรูขุมขนปิด → เกิดเป็นสิวหัวขาว (อยู่ใต้ผิวหนัง)

2. ปัจจัยจากฮอร์โมนและพันธุกรรม

ฮอร์โมนแอนโดรเจนที่เพิ่มขึ้นช่วงวัยรุ่นกระตุ้นการผลิตไขมันส่วนเกิน และพันธุกรรมจากครอบครัวเพิ่มความเสี่ยงเป็นสิวได้ถึง 3 เท่า

ปัจจัยจากฮอร์โมน:

  • ฮอร์โมนแอนโดรเจน – กระตุ้นต่อมไขมันให้ผลิตไขมันมากขึ้น ทำให้มีวัตถุดิบมากขึ้นสำหรับการอุดตัน
  • วัยรุ่น – ช่วงที่ฮอร์โมนมีการเปลี่ยนแปลงสูงสุด จึงพบสิวอุดตันบ่อยที่สุด
  • การเปลี่ยนแปลงฮอร์โมน – ในช่วงมีประจำเดือน ตั้งครรภ์ หรือหยุดประจำเดือนก็อาจกระตุ้นสิวได้

ปัจจัยจากพันธุกรรม:

  • ประวัติครอบครัว – หากพ่อแม่หรือพี่น้องเป็นสิว ความเสี่ยงจะเพิ่มขึ้น 3 เท่า
  • ลักษณะผิวที่ถ่ายทอดทางพันธุกรรม – เช่น ขนาดรูขุมขน การผลิตไขมัน และการผลัดเปลี่ยนเซลล์ผิว
  • ความไวต่อฮอร์โมน – บางคนอาจมีรูขุมขนที่ไวต่อฮอร์โมนมากกว่าปกติ

3. การใช้สกินแคร์และเครื่องสำอางที่ก่อให้เกิดการอุดตัน (Comedogenic)

การใช้เครื่องสำอางหรือครีมที่มีน้ำมันมากหรือมีส่วนผสมที่อุดตันรูขุมขน (occlusive) สามารถกระตุ้นให้เกิดสิวอุดตันได้

ผลิตภัณฑ์ที่มักก่อให้เกิดการอุดตัน:

  • เครื่องสำอางหนัก – รองพื้นที่มีน้ำมันมากหรือเนื้อหนา
  • ครีมกันแดดเนื้อหนา – โดยเฉพาะแบบกันน้ำที่ยากต่อการล้างออก
  • ผลิตภัณฑ์บำรุงผม – โฟมแต่งผม ครีมนวดผม หรือน้ำมันใส่ผมที่ไหลมาสัมผัสหน้าผาก
  • ครีมบำรุงที่มีน้ำมันมาก – โดยเฉพาะสำหรับผู้ที่มีผิวมันอยู่แล้ว

วิธีป้องกัน:

  • เลือกผลิตภัณฑ์ที่ระบุว่า “non-comedogenic” – หมายถึงไม่อุดตันรูขุมขน
  • ตรวจสอบส่วนผสม – หลีกเลี่ยงส่วนผสมที่มีน้ำมันหนักหรือซิลิโคนบางชนิด
  • ทดสอบผลิตภัณฑ์ – ลองใช้ผลิตภัณฑ์ใหม่ทีละชิ้นเพื่อดูว่าทำให้เกิดสิวหรือไม่
  • ล้างเครื่องสำอางให้สะอาด – ใช้วิธี double cleansing สำหรับผู้ที่แต่งหน้าหนักหรือใช้กันแดด

4. พฤติกรรมการใช้ชีวิตและปัจจัยภายนอก

การสูบบุหรี่ มลพิษทางอากาศ การใช้ผลิตภัณฑ์ที่อุดตันรูขุมขน และการเสียดสีจากหน้ากากหรืออุปกรณ์ต่างๆ เป็นปัจจัยภายนอกหลักที่กระตุ้นให้เกิดสิวอุดตัน

ปัจจัยจากพฤติกรรมและสิ่งแวดล้อม:

  • การสูบบุหรี่ – ผู้สูบบุหรี่มีแนวโน้มเป็นสิวหัวดำมากกว่า เนื่องจากควันบุหรี่มีสารพิษและความเครียดจากออกซิเดชัน
  • มลพิษทางอากาศ – ฝุ่น PM2.5 และมลพิษจากการจราจรเพิ่มการผลิตไขมันและการอุดตันรูขุมขน
  • การเสียดสีและแรงกด – หน้ากากอนามัย หมวกกันน็อค สายรัดคาง ทำให้เกิด acne mechanica
  • ผลิตภัณฑ์แต่งผม – โฟม เจล น้ำมันใส่ผมที่ไหลมาสัมผัสหน้าผากและขมับ (pomade acne)

พฤติกรรมที่ควรปรับเปลี่ยน:

  • สุขอนามัยส่วนบุคคล – ล้างหน้า 2 ครั้งต่อวัน ล้างเครื่องสำอางให้สะอาด ไม่นอนแต่งหน้า
  • การจัดการหลังออกกำลังกาย – อาบน้ำและล้างหน้าทันทีหลังเหงื่อออก
  • การดูแลสิ่งที่สัมผัสผิว – ล้างปลอกหมอน ผ้าเช็ดหน้า โทรศัพท์มือถือให้สะอาดสม่ำเสมอ
  • การจัดการความเครียดและการนอน – ความเครียดสูงและการนอนไม่พอทำให้ฮอร์โมนไม่สมดุลและผิวฟื้นตัวช้า

5. การระคายเคืองและการเสียดสีบนผิวหนัง

การเสียดสีหรือแรงกดต่อเนื่องบนผิวหนังทำให้เกิดภาวะ acne mechanica ซึ่งกระตุ้นการอุดตันของรูขุมขนและเกิดสิวอุดตันในบริเวณที่สัมผัส

สาเหตุจากการเสียดสี:

  • หน้ากากอนามัย – การสวมใส่นานๆ ทำให้เกิดความชื้นและการเสียดสี เกิด “maskne”
  • อุปกรณ์กีฬา – หมวกกันน็อค สายรัดคาง แผ่นรองไหล่ กดทับและเสียดสีผิว
  • โทรศัพท์มือถือ – การพูดโทรศัพท์นานๆ ทำให้เกิดสิวบริเวณแก้ม
  • เสื้อผ้ารัดรูป – เสื้อผ้าที่แน่นเกินไปขัดขวางการระบายอากาศของผิว

กลไกการเกิด:

  • การอุดตันจากแรงกด – แรงกดทำให้รูขุมขนตีบแคบและเซลล์ผิวหลุดลอกอุดตัน
  • สภาพแวดล้อมที่อับชื้น – ความชื้นใต้หน้ากากหรืออุปกรณ์ทำให้เซลล์ผิวบวมและอุดตันง่ายขึ้น
  • การขัดถูซ้ำๆ – ทำให้ผิวหนาตัวและเกิด hyperkeratinization มากขึ้น

วิธีป้องกัน:

  • เลือกวัสดุระบายอากาศ – ใช้หน้ากากผ้าฝ้ายแทนวัสดุสังเคราะห์
  • ทำความสะอาดอุปกรณ์ – ล้างหน้ากากผ้าและอุปกรณ์กีฬาสม่ำเสมอ
  • พักผิวเป็นระยะ – ถอดหน้ากากหรืออุปกรณ์ออกให้ผิวได้หายใจ
  • ใช้ผลิตภัณฑ์ป้องกัน – ทาครีมบำรุงบางๆ หรือ barrier balm บริเวณที่เสียดสี

สิวอุดตันสามารถกลายเป็นสิวอักเสบได้หรือไม่?

ได้ สิวอุดตันสามารถกลายเป็นสิวอักเสบเมื่อแบคทีเรีย Cutibacterium acnes เจริญเติบโตในรูขุมขนที่อุดตันและกระตุ้นให้เกิดการอักเสบ

กระบวนการเปลี่ยนจากสิวอุดตันเป็นสิวอักเสบ:

  • แบคทีเรียเพิ่มจำนวน – C. acnes ที่อยู่ในรูขุมขนอุดตันย่อยไขมันและปล่อยสารที่กระตุ้นการอักเสบ
  • ระบบภูมิคุ้มกันตอบสนอง – ร่างกายส่งเม็ดเลือดขาวมาต่อสู้ ทำให้เกิดหนองและบวมแดง
  • สัญญาณเตือน – บริเวณรอบสิวอุดตันเริ่มมีสีชมพู เกิดตุ่มแดงเล็กๆ และอาจเจ็บเล็กน้อย

วิธีป้องกันไม่ให้สิวอุดตันกลายเป็นสิวอักเสบ:

  • ใช้ retinoids – adapalene หรือ tretinoin ช่วยเปิดรูขุมขนและลดการอักเสบได้อย่างมีประสิทธิภาพ
  • ใช้ benzoyl peroxide – ฆ่าแบคทีเรีย C. acnes และมีฤทธิ์ต้านการอักเสบ
  • หลีกเลี่ยงการบีบแคะ – การบีบด้วยมือทำให้แบคทีเรียและสิ่งสกปรกถูกดันลึกลงไป เพิ่มการอักเสบและอาจเกิดรอยแผลเป็น
  • รักษาความสะอาดผิว – ล้างหน้าวันละ 2 ครั้งและหลีกเลี่ยงผลิตภัณฑ์ที่อุดตันรูขุมขน

สัญญาณเตือนว่าสิวอุดตันกำลังจะอักเสบมีอะไรบ้าง?

สัญญาณเตือนหลักคือบริเวณรอบสิวอุดตันเริ่มเปลี่ยนเป็นสีชมพูหรือแดง มีตุ่มนูนขึ้น และรู้สึกเจ็บเมื่อสัมผัส

สัญญาณที่บ่งบอกว่าสิวอุดตันกำลังอักเสบ:

  • สีผิวเปลี่ยน – จากสิวหัวดำหรือหัวขาวธรรมดาเริ่มมีรอยแดงหรือชมพูรอบๆ
  • ตุ่มนูนขึ้น – สิวที่เคยแบนราบเริ่มบวมนูนเป็นตุ่มเล็กๆ
  • อาการเจ็บ – รู้สึกเจ็บแปลบๆ หรือเจ็บเมื่อแตะต้อง แสดงว่าระบบภูมิคุ้มกันกำลังตอบสนอง
  • ขนาดใหญ่ขึ้น – สิวเริ่มขยายตัวจากการบวมและการสะสมของเซลล์เม็ดเลือดขาว

สิ่งที่เกิดขึ้นภายใน:

  • แบคทีเรีย C. acnes ในรูขุมขนอุดตันเพิ่มจำนวนและปล่อยสารกระตุ้นการอักเสบ
  • ร่างกายส่งเม็ดเลือดขาวมาต่อสู้ทำให้เกิดหนองและการบวมแดง
  • หากไม่รักษาจะพัฒนาเป็นสิวหัวหนองหรือสิวอักเสบเต็มรูปแบบ

วิธีป้องกันไม่ให้สิวอุดตันลุกลามเป็นสิวอักเสบ

ใช้ยาทา retinoids ร่วมกับ benzoyl peroxide เป็นประจำ หลีกเลี่ยงการบีบแคะ และรักษาความสะอาดผิวอย่างสม่ำเสมอ

วิธีการรักษาเพื่อป้องกันการอักเสบ:

  1. ใช้ retinoids (adapalene หรือ tretinoin) ทาทุกคืน – ช่วยเปิดรูขุมขนและลดการเกิดสิวใหม่ได้อย่างมีประสิทธิภาพสูง
  2. ใช้ benzoyl peroxide 2.5-5% ในตอนเช้า – ฆ่าแบคทีเรีย C. acnes และมีฤทธิ์ต้านการอักเสบ ป้องกันสิวอุดตันกลายเป็นสิวหนอง
  3. ใช้ salicylic acid cleanser หรือ toner – ช่วยทำความสะอาดรูขุมขนและลดการอุดตัน

พฤติกรรมที่ควรปฏิบัติ:

  • ห้ามบีบหรือแคะสิวเด็ดขาด – การบีบทำให้แบคทีเรียและสิ่งสกปรกถูกดันลึกลงไป เพิ่มการอักเสบและเสี่ยงต่อการติดเชื้อหรือเกิดรอยแผลเป็น
  • ล้างหน้าวันละ 2 ครั้ง – ใช้ผลิตภัณฑ์อ่อนโยน ไม่ขัดถูแรงเกินไป
  • หลีกเลี่ยงผลิตภัณฑ์ที่อุดตันรูขุมขน – เลือกใช้ที่ระบุว่า “non-comedogenic”
  • ใช้มอยส์เจอไรเซอร์บางเบา – ช่วยรักษาสมดุลผิวและลดการผลิตไขมันส่วนเกิน

การรักษาแบบผสมผสาน (combination therapy) ให้ผลดีที่สุด โดยใช้ retinoid ตอนกลางคืนและ benzoyl peroxide ตอนเช้า จะลดจำนวนสิวได้ 60-70% ภายใน 12 สัปดาห์

วิธีรักษาสิวอุดตันให้ได้ผลดีที่สุดมีอะไรบ้าง?

วิธีที่ได้ผลดีที่สุดคือการใช้ topical retinoids เป็นยาหลัก ร่วมกับ benzoyl peroxide และ salicylic acid ตามด้วยการรักษาที่คลินิกหากจำเป็น

การรักษาที่บ้าน:

  1. Topical retinoids (ยาแนวแรก) – adapalene 0.1% หรือ tretinoin ทาทุกคืน ลดสิวอุดตันได้ 60-70% ใน 12 สัปดาห์
  2. Salicylic acid 0.5-2% – ใช้เป็นผลิตภัณฑ์ล้างหน้าหรือ toner ช่วยละลายสิ่งอุดตันในรูขุมขน
  3. Benzoyl peroxide 2.5-5% – ป้องกันการอักเสบและฆ่าแบคทีเรีย ใช้ตอนเช้าได้ดี
  4. การรักษาแบบผสม – ใช้ retinoid ตอนกลางคืน + BP ตอนเช้า ให้ผลดีกว่าใช้ตัวเดียว

การรักษาที่คลินิก:

  • Chemical peels – salicylic acid 30% หรือ glycolic acid 50-70% ทุก 2-4 สัปดาห์
  • การสกัดสิว (extraction) – โดยแพทย์ผิวหนังสำหรับสิวที่ดื้อยา ให้ผลทันทีแต่ชั่วคราว
  • Microdermabrasion – ขัดผิวเพื่อเปิดรูขุมขนที่อุดตัน
  • Azelaic acid 15-20% – ยาสั่งจ่ายที่ช่วยลดสิวและรอยดำ

ข้อสำคัญ:

  • ต้องใช้เวลา 8-12 สัปดาห์จึงเห็นผลชัดเจน
  • หากไม่ดีขึ้นใน 3 เดือน ควรพบแพทย์ผิวหนัง
  • สิวรุนแรงหรือแพร่กระจายมากอาจต้องใช้ isotretinoin รับประทาน

การรักษาสิวอุดตันด้วยตัวเองที่บ้าน

รักษาสิวอุดตันที่บ้านได้ด้วยผลิตภัณฑ์ OTC ที่มี adapalene 0.1%, salicylic acid 0.5-2%, benzoyl peroxide 2.5% และการทำความสะอาดผิวอย่างถูกวิธี

ขั้นตอนการรักษา:

  1. ทำความสะอาดผิว – ล้างหน้า 2 ครั้ง/วันด้วยผลิตภัณฑ์อ่อนโยน หากแต่งหน้าให้ใช้ double cleansing
  2. ใช้ salicylic acid – เป็นผลิตภัณฑ์ล้างหน้าหรือ toner ช่วยละลายสิ่งอุดตันได้ใน 4-6 สัปดาห์
  3. ทา adapalene 0.1% – (Differin) ทุกคืน เป็น retinoid ที่ซื้อได้โดยไม่ต้องใช้ใบสั่งยา ลดสิวได้มากใน 8 สัปดาห์
  4. ใช้ benzoyl peroxide 2.5% – ทาตอนเช้าหรือจุดที่มักเป็นสิว ป้องกันการอักเสบ
  5. ทามอยส์เจอไรเซอร์ – เลือกแบบ non-comedogenic ทาทั้งเช้าเย็นเพื่อรักษาสมดุลผิว

ผลิตภัณฑ์เสริม:

  • Glycolic acid 5-10% – ใช้เป็น toner 2-3 ครั้ง/สัปดาห์ ช่วยผลัดเซลล์ผิว
  • Pore strips – ใช้เป็นครั้งคราวสำหรับหัวดำที่จมูก แต่ไม่แก้ปัญหาถาวร
  • Retinol cream – ทางเลือกที่อ่อนกว่า adapalene สำหรับผิวแพ้ง่าย

ข้อควรระวัง:

  • อย่าบีบหรือแคะสิว เสี่ยงติดเชื้อและเป็นรอยแผลเป็น
  • ต้องใช้อย่างสม่ำเสมอ 8-12 สัปดาห์จึงเห็นผลชัดเจน
  • เริ่มจากความเข้มข้นต่ำก่อนเพื่อให้ผิวปรับตัว
  • ใช้กันแดด SPF 30+ ทุกวันเพราะยารักษาสิวทำให้ผิวไวแสง

การรักษาสิวอุดตันโดยพบแพทย์ผิวหนัง

แพทย์ผิวหนังรักษาสิวอุดตันด้วยยา retinoids ที่แรงกว่า chemical peels การสกัดสิว และเทคโนโลยีต่างๆ ที่ให้ผลเร็วและมีประสิทธิภาพสูง

ยาทาตามใบสั่งแพทย์:

  • Tretinoin 0.025-0.1% – retinoid ที่แรงกว่า adapalene ลดสิวได้ 60-70% ใน 12 สัปดาห์
  • Tazarotene 0.05-0.1% – retinoid ที่แรงที่สุด สำหรับสิวดื้อยา แต่ระคายเคืองมาก
  • Trifarotene 0.005% – retinoid ใหม่ รักษาได้ทั้งใบหน้าและลำตัว
  • Azelaic acid 15-20% – ลดสิวและรอยดำ เหมาะสำหรับผิวแพ้ง่าย

หัตถการที่คลินิก:

  • Chemical peels – salicylic acid 30% หรือ glycolic acid 50-70% ทำทุก 2-4 สัปดาห์ ลดสิวเร็วกว่ายาทา
  • การสกัดสิว (comedone extraction) – แพทย์ใช้เครื่องมือปลอดเชื้อ เห็นผลทันทีแต่ต้องทำซ้ำ
  • Microdermabrasion – ขัดผิวด้วยเครื่อง เปิดรูขุมขนที่อุดตัน
  • Laser therapy – 1450 nm diode laser ลดต่อมไขมัน แต่ราคาแพงและไม่ใช่การรักษาหลัก

ยารับประทาน (กรณีรุนแรง):

  • Isotretinoin (Roaccutane) – ลดการผลิตไขมันอย่างมาก รักษาสิวรุนแรงได้ แต่มีผลข้างเคียงมาก
  • ยาฮอร์โมน – ยาคุมกำเนิดหรือ spironolactone สำหรับผู้หญิงที่มีสิวจากฮอร์โมน

ข้อดีของการพบแพทย์:

  • ได้ยาที่แรงและเฉพาะเจาะจงกว่า
  • มีหัตถการที่ให้ผลเร็ว
  • ติดตามผลและปรับการรักษาได้เหมาะสม
  • ป้องกันการเกิดรอยแผลเป็นจากการรักษาที่ผิดวิธี

ควรเลือกใช้ผลิตภัณฑ์ใดเพื่อรักษาสิวอุดตัน?

เลือกผลิตภัณฑ์ที่มี adapalene 0.1%, salicylic acid 0.5-2%, benzoyl peroxide 2.5% และมอยส์เจอไรเซอร์ที่ระบุว่า non-comedogenic

ผลิตภัณฑ์หลักที่ควรใช้:

  1. Adapalene 0.1% gel (Differin) – retinoid OTC ที่มีประสิทธิภาพสูงสุด ลดสิวอุดตันได้มากใน 8 สัปดาห์
  2. Salicylic acid cleanser 0.5-2% – ล้างหน้าที่ช่วยละลายสิ่งอุดตันในรูขุมขน ใช้ได้ทุกวัน
  3. Benzoyl peroxide 2.5% – ป้องกันการอักเสบและฆ่าแบคทีเรีย เริ่มจากความเข้มข้นต่ำเพื่อลดการระคายเคือง
  4. Glycolic acid toner 5-10% – ผลัดเซลล์ผิวอ่อนโยน ใช้ 2-3 ครั้ง/สัปดาห์

ผลิตภัณฑ์เสริม:

  • Retinol serum – สำหรับผิวแพ้ง่ายที่ทนไม่ได้กับ adapalene
  • Niacinamide serum – ลดความมันและการอักเสบเล็กน้อย
  • Oil-free moisturizer – มีส่วนผสมของ ceramides หรือ hyaluronic acid
  • Non-comedogenic sunscreen SPF 30+ – ป้องกันรอยดำและผิวไวแสงจากยารักษาสิว

วิธีเลือกผลิตภัณฑ์:

  • ดูคำว่า “non-comedogenic” บนฉลาก
  • หลีกเลี่ยงผลิตภัณฑ์ที่มีน้ำมันหนักหรือซิลิโคนบางชนิด
  • เริ่มจากความเข้มข้นต่ำและค่อยๆ เพิ่ม
  • ทดสอบผลิตภัณฑ์ทีละชิ้นเพื่อดูว่าผิวตอบสนองอย่างไร

ส่วนผสมสำคัญในยาทาและสกินแคร์ที่ช่วยลดสิวอุดตัน

ส่วนผสมสำคัญคือ retinoids (adapalene, tretinoin), salicylic acid, benzoyl peroxide, glycolic acid, azelaic acid และ niacinamide

ส่วนผสมหลักและการทำงาน:

  1. Retinoids (อนุพันธ์วิตามิน A)
  2. Adapalene 0.1% – OTC, ลดสิว 60-70% ใน 12 สัปดาห์
  3. Tretinoin 0.025-0.1% – ต้องใบสั่งยา, แรงกว่า adapalene
  4. Retinol – อ่อนกว่าแต่ระคายเคืองน้อย
  5. ปรับการผลัดเซลล์ผิว ป้องกันการอุดตันรูขุมขน
  6. Salicylic Acid 0.5-2% (BHA)
  7. ละลายในไขมัน แทรกซึมเข้ารูขุมขนได้ดี
  8. ละลาย “กาว” ที่ยึดเซลล์ผิวตาย
  9. มีฤทธิ์ต้านการอักเสบอ่อนๆ
  10. เห็นผลใน 4-6 สัปดาห์
  11. Benzoyl Peroxide 2.5-5%
  12. ฆ่าแบคทีเรีย C. acnes
  13. ป้องกันสิวอุดตันกลายเป็นสิวอักเสบ
  14. ใช้ความเข้มข้นต่ำก็ได้ผลเท่ากับสูง แต่ระคายน้อยกว่า
  15. Glycolic Acid 5-10% (AHA)
  16. ผลัดเซลล์ผิวชั้นบน
  17. ป้องกันการอุดตันจากเซลล์ผิวตาย
  18. เหมาะใช้ 2-3 ครั้ง/สัปดาห์
  19. Azelaic Acid 15-20%
  20. ลดการอุดตันและการอักเสบ
  21. ช่วยลดรอยดำหลังสิว
  22. เหมาะสำหรับผิวแพ้ง่าย
  23. Niacinamide (วิตามิน B3)
  24. ลดการผลิตไขมันส่วนเกิน
  25. ลดการอักเสบเล็กน้อย
  26. ซ่อมแซม skin barrier

กรดซาลิไซลิก (Salicylic Acid)

กรดซาลิไซลิก (Salicylic Acid) เป็นเบต้าไฮดรอกซีแอซิด (BHA) ที่ละลายในไขมัน ช่วยละลายสิ่งอุดตันในรูขุมขนและผลัดเซลล์ผิวตาย

คุณสมบัติและการทำงาน:

  • ละลายในไขมัน ทำให้แทรกซึมเข้าไปในรูขุมขนที่มีไขมันได้ดี
  • ละลาย “กาว” ที่ยึดเซลล์ผิวตาย (desmosomes) ป้องกันการอุดตัน
  • มีฤทธิ์ต้านการอักเสบอ่อนๆ คล้ายแอสไพริน ลดการบวมแดง
  • ลดการสร้างคอมีโดนใหม่ โดยปรับการผลัดเซลล์ให้เป็นปกติ

ความเข้มข้นและประสิทธิภาพ:

  • OTC 0.5-2% – ใช้ได้ทุกวัน เห็นผลใน 4-6 สัปดาห์
  • Professional peel 20-30% – ทำโดยแพทย์ เห็นผลเร็วกว่า
  • ความเข้มข้น 0.5% ลดสิวอุดตันได้ 11% มากกว่ายาหลอก
  • ความเข้มข้น 2% ให้ผลใกล้เคียงกัน แต่อาจระคายเคืองมากขึ้น

วิธีใช้และข้อควรระวัง:

  • เริ่มจากความเข้มข้นต่ำ (0.5-1%) เพื่อให้ผิวปรับตัว
  • ใช้เป็น cleanser (เวลาสัมผัสสั้น) หรือ leave-on toner/gel
  • เริ่มใช้วันละครั้ง อาจเพิ่มเป็น 2 ครั้งหากผิวทนได้
  • ผลข้างเคียง: ผิวแห้ง ลอกเล็กน้อย หากใช้มากเกินไปอาจแสบ

หลักฐานทางการแพทย์:

  • American Academy of Dermatology แนะนำใช้รักษาสิว (2023)
  • งานวิจัยยืนยันประสิทธิภาพในการละลายสิ่งอุดตันและลดสิวอุดตัน
  • เหมาะสำหรับผู้ที่แพ้ retinoids หรือ benzoyl peroxide
  • ใช้ต่อเนื่องได้ในระยะยาวอย่างปลอดภัย

เรตินอยด์ (Retinoids) และอนุพันธ์วิตามินเอ

เรตินอยด์ (Retinoids) เป็นอนุพันธ์วิตามินเอที่มีประสิทธิภาพสูงสุดในการรักษาสิวอุดตัน โดยปรับการผลัดเซลล์ผิวให้เป็นปกติและป้องกันการอุดตันรูขุมขน

กลไกการทำงาน:

  • ปรับการผลัดเซลล์ผิว ให้เป็นปกติ ป้องกันการสร้างไมโครคอมีโดน
  • ขับสิ่งอุดตันออกจากรูขุมขน (purging effect ในช่วงแรก)
  • ลดการอักเสบ และยับยั้งการสร้างคอมีโดนใหม่
  • เหมาะสำหรับการรักษาและป้องกันระยะยาว

ชนิดและประสิทธิภาพ:

  1. Adapalene 0.1% – OTC, ระคายเคืองน้อย, ลดสิว 60-70% ใน 12 สัปดาห์
  2. Tretinoin 0.025-0.1% – ต้องใบสั่งยา, ประสิทธิภาพใกล้เคียง adapalene
  3. Tazarotene 0.05-0.1% – แรงที่สุด แต่ระคายเคืองมาก
  4. Trifarotene 0.005% – รุ่นใหม่ เฉพาะ RAR-γ ใช้ได้ทั้งหน้าและลำตัว
  5. Retinol – อ่อนที่สุด เหมาะผิวแพ้ง่าย ผลน้อยกว่า

ผลการรักษาและระยะเวลา:

  • สัปดาห์ที่ 1-4: อาจมี purging (สิวขึ้นมากขึ้นชั่วคราว)
  • สัปดาห์ที่ 4-8: เริ่มเห็นการปรับปรุงเล็กน้อย
  • สัปดาห์ที่ 8-12: ลดสิวอุดตันได้มากอย่างเห็นได้ชัด
  • ใช้ต่อเนื่อง: ป้องกันการเกิดสิวใหม่ได้ดี

วิธีใช้และข้อควรระวัง:

  • เริ่มใช้วันเว้นวัน ค่อยๆ เพิ่มความถี่
  • ใช้ปริมาณเท่าเมล็ดถั่วเขียว ทาทั่วหน้า
  • อาจแห้ง ลอก แดง ในช่วงแรก – ใช้มอยส์เจอไรเซอร์ช่วย
  • ห้ามใช้ในหญิงตั้งครรภ์ (risk of birth defects)
  • ต้องใช้ครีมกันแดดเสมอ เพราะทำให้ผิวไวแสง

เบนโซอิลเพอร์ออกไซด์ (Benzoyl Peroxide)

เบนโซอิลเพอร์ออกไซด์ (Benzoyl Peroxide) เป็นสารฆ่าเชื้อแบคทีเรีย C. acnes ที่ช่วยป้องกันสิวอุดตันกลายเป็นสิวอักเสบ แต่ไม่ได้ช่วยละลายสิ่งอุดตันโดยตรง

กลไกการทำงาน:

  • ฆ่าแบคทีเรีย C. acnes ด้วยการปล่อยออกซิเจน
  • ป้องกันสิวอุดตันอักเสบ โดยทำให้รูขุมขนปลอดเชื้อ
  • ลดการอักเสบเล็กน้อย และช่วยให้ผิวแห้ง
  • ไม่เกิดดื้อยา ใช้ระยะยาวได้อย่างปลอดภัย

ความเข้มข้นและประสิทธิภาพ:

  • 2.5% – แนะนำให้เริ่มต้น ได้ผลเท่ากับความเข้มข้นสูงแต่ระคายน้อยกว่า
  • 5% – ความเข้มข้นมาตรฐาน
  • 10% – ไม่ได้ผลดีกว่าแต่ระคายเคืองมากขึ้น
  • เห็นผลลดสิวอักเสบใน 2 สัปดาห์ แต่ผลต่อสิวอุดตันอย่างเดียวค่อนข้างน้อย

การใช้สำหรับสิวอุดตัน:

  • ใช้เป็น cleanser (5% BP wash) ล้างบริเวณที่มีสิวหัวดำมาก
  • ทาบางๆ บนบริเวณ T-zone เพื่อป้องกันการอักเสบ
  • ใช้ร่วมกับ retinoid ได้ผลดีที่สุด (retinoid ละลายสิ่งอุดตัน, BP ฆ่าเชื้อ)
  • ผลิตภัณฑ์ผสม เช่น Epiduo (adapalene 0.1% + BP 2.5%)

ข้อควรระวัง:

  • ทำให้ผิวแห้ง แดง ลอก โดยเฉพาะช่วงแรก
  • ฟอกสีผ้า (ผ้าปูที่นอน ผ้าเช็ดตัว เสื้อผ้า)
  • อาจเกิดอาการแพ้ (contact dermatitis) ในบางคน
  • ใช้มอยส์เจอไรเซอร์ควบคู่เพื่อลดการระคายเคือง

แนะนำผลิตภัณฑ์ล้างหน้าและมอยเจอร์ไรเซอร์สำหรับผิวเป็นสิวอุดตัน

แนะนำใช้ผลิตภัณฑ์ล้างหน้าที่มี salicylic acid 0.5-2% และมอยส์เจอไรเซอร์ที่ระบุว่า non-comedogenic พร้อมส่วนผสม niacinamide หรือ ceramides

ผลิตภัณฑ์ล้างหน้า:

  1. Salicylic acid cleanser 0.5-2% – ละลายสิ่งอุดตันในรูขุมขน ใช้ได้ทุกวัน
  2. Gentle foaming cleanser – สำหรับผิวแพ้ง่าย ไม่มีสารลดแรงตึงผิวรุนแรง
  3. Benzoyl peroxide wash 5% – ใช้สลับสำหรับบริเวณที่มีสิวหัวดำมาก
  4. Oil cleanser + water-based cleanser – double cleansing สำหรับผู้ใช้เครื่องสำอางหนัก

คุณสมบัติผลิตภัณฑ์ล้างหน้าที่ดี:

  • ล้าง 2 ครั้ง/วัน (เช้า-เย็น) ไม่เกิน 3 ครั้ง
  • ใช้น้ำอุ่น ไม่ร้อนจัด
  • หลีกเลี่ยงสครับหยาบหรือแปรงขัดผิว
  • เลือกสูตรที่มี pH 5.5-6.5

มอยส์เจอไรเซอร์:

  1. Oil-free gel moisturizer – เนื้อเบา ซึมเร็ว เหมาะผิวมัน
  2. Niacinamide moisturizer – ลดการผลิตไขมัน ลดการอักเสบ
  3. Ceramide moisturizer – ซ่อมแซม skin barrier
  4. Hyaluronic acid serum + light moisturizer – ให้ความชุ่มชื้นโดยไม่อุดตัน

คุณสมบัติมอยส์เจอไรเซอร์ที่เหมาะสม:

  • ต้องระบุ “non-comedogenic” บนฉลาก
  • เนื้อเจล หรือโลชั่นเบา ไม่เหนียวหนืด
  • ไม่มีน้ำมันหนักหรือซิลิโคนที่อุดตัน
  • มี SPF 30+ สำหรับใช้กลางวัน

การใช้ร่วมกับยารักษาสิว:

  • ใช้มอยส์เจอไรเซอร์ทุกครั้ง หลังทายารักษาสิว
  • ช่วยลดอาการแห้ง ลอก ระคายเคือง
  • ทำให้ใช้ยารักษาสิวได้ต่อเนื่อง ไม่ต้องหยุดเพราะผิวแห้ง
  • เพิ่มประสิทธิภาพการรักษาโดยรวม

ควรกดสิวอุดตันเพื่อรักษาหรือไม่ และทำอย่างไรให้ปลอดภัย?

ไม่ควรกดสิวอุดตันเอง เพราะอาจทำให้ติดเชื้อ อักเสบมากขึ้น หรือเกิดแผลเป็น ควรให้แพทย์หรือผู้เชี่ยวชาญทำให้

ความเสี่ยงจากการกดสิวเอง:

  • ดันสิ่งอุดตันและแบคทีเรียลึกลงไป ทำให้สิวอักเสบหนักขึ้น
  • ทำลายเนื้อเยื่อรอบข้าง เกิดแผลเป็นหลุมหรือรอยดำ
  • เชื้อโรคจากมือ/เครื่องมือไม่สะอาด ทำให้ติดเชื้อ
  • สิวกลับมาอุดตันใหม่ภายใน 2-3 สัปดาห์ เพราะไม่ได้แก้ปัญหาที่ต้นเหตุ

หากต้องการกดจริงๆ ให้ทำอย่างปลอดภัย:

  1. กดเฉพาะสิวหัวดำที่พร้อม (มีหัวดำชัดเจน ไม่อักเสบ)
  2. เตรียมผิว: ล้างหน้าสะอาด ประคบร้อน 5 นาที
  3. ใช้เครื่องมือสะอาด: comedone extractor หรือนิ้วห่อทิชชู่
  4. เทคนิค: กดลงก่อน แล้วค่อยๆ บีบเข้าหากัน ไม่ใช้แรงมาก
  5. พยายามไม่เกิน 2-3 ครั้ง หากไม่ออกให้หยุด
  6. ดูแลหลังกด: ทายาฆ่าเชื้อ ใช้มอยส์เจอไรเซอร์ หลีกเลี่ยงแสงแดด

ข้อห้าม:

  • ห้ามกดสิวอักเสบ หนอง หรือสิวใต้ผิว
  • ห้ามใช้เล็บบีบ เสี่ยงแผลเป็นสูง
  • ห้ามกดบ่อยเกินเดือนละครั้ง ในบริเวณเดิม

ทางเลือกที่ดีกว่า:

  • ใช้ยาละลายสิ่งอุดตัน เช่น retinoids, salicylic acid
  • ให้แพทย์ทำ extraction ปลอดภัยและได้ผลดีกว่า
  • รักษาต่อเนื่อง เพื่อป้องกันสิวใหม่

ผู้เชี่ยวชาญเตือน: “if in doubt, don’t pop – treat and wait” หากไม่มั่นใจ อย่ากด ให้รักษาด้วยยาและรอผลดีกว่า

ข้อดีและข้อเสียของการกดสิวอุดตัน

การกดสิวอุดตันมีข้อดีคือเห็นผลทันที แต่ข้อเสียมีมากกว่า เช่น เสี่ยงติดเชื้อ เกิดแผลเป็น และสิวกลับมาใหม่

ข้อดี:

  • เห็นผลทันที – สิวหัวดำหายไปในทันที
  • ช่วยให้ยาซึมดีขึ้น หลังจากเอาสิ่งอุดตันออกแล้ว
  • ใช้ก่อนงานสำคัญ เพื่อให้ผิวดูเรียบเนียนชั่วคราว
  • ถ้าทำโดยผู้เชี่ยวชาญ จะปลอดภัยและได้ผลดี

ข้อเสีย:

  • ผลชั่วคราว – สิวกลับมาอุดตันใหม่ใน 2-3 สัปดาห์
  • ไม่ป้องกันสิวใหม่ – ไม่ได้แก้ปัญหาที่ต้นเหตุ
  • เสี่ยงติดเชื้อ จากมือหรือเครื่องมือไม่สะอาด
  • เกิดแผลเป็นหลุม หากกดแรงเกินไปหรือใช้เล็บบีบ
  • สิวอักเสบหนักขึ้น เพราะดันแบคทีเรียลึกลงไป
  • ค่าใช้จ่ายสูง หากทำกับแพทย์บ่อยๆ ($100-300/ครั้ง)
  • เกิดหลอดเลือดฝอยแตก หากกดบ่อยเกินไป
  • เจ็บและแดง หลังกด อาจต้องพักฟื้น 1-2 วัน

เปรียบเทียบ:

  • กดโดยผู้เชี่ยวชาญ: ปลอดภัยกว่า แต่แพงและเป็นวิธีเสริม
  • กดเอง: เสี่ยงสูง ผลเสียมากกว่าผลดี
  • ใช้ยารักษา: ได้ผลถาวรกว่า ป้องกันสิวใหม่ แต่ต้องใช้เวลา 8-12 สัปดาห์

สรุป: แพทย์ผิวหนังแนะนำว่า “ควรให้ผู้เชี่ยวชาญทำการ extraction และใช้ร่วมกับการรักษาด้วยยาเพื่อป้องกันสิวใหม่” ไม่ควรพึ่งการกดอย่างเดียว

ขั้นตอนการกดสิวอุดตันที่ถูกวิธีและปลอดภัย

ขั้นตอนที่ปลอดภัยคือ ประเมินสิว เตรียมผิว ใช้เครื่องมือสะอาด กดเบาๆ ด้วยเทคนิคที่ถูกต้อง ดูแลหลังกด และจำกัดความถี่

  1. ประเมินก่อนกด:
  2. กดได้เฉพาะสิวหัวดำที่เห็นหัวชัดเจน
  3. ห้ามกดสิวอักเสบ หนอง หรือสิวใต้ผิว
  4. ห้ามกดถ้าไม่มั่นใจ
  5. เตรียมผิว:
  6. ล้างหน้าด้วยผลิตภัณฑ์อ่อนโยน
  7. ใช้ salicylic acid pad เช็ดเบาๆ เพื่อนิ่มหัวสิว
  8. ประคบร้อน 5 นาที (อ่างน้ำร้อนหรือผ้าชุบน้ำอุ่น)
  9. เตรียมเครื่องมือ:
  10. ล้างมือสะอาดด้วยสบู่
  11. ใช้ comedone extractor ที่ฆ่าเชื้อแล้ว หรือ
  12. ห่อนิ้วด้วยทิชชู่สะอาด (ห้ามใช้เล็บ)
  13. เทคนิคการกด:
  14. วางนิ้วรอบสิว ห่างพอสมควร
  15. กดลงก่อน เพื่อเปิดรูขุมขน
  16. ค่อยๆ บีบเข้าหากันแบบ rolling motion
  17. ใช้แรงเบาๆ สม่ำเสมอ
  18. พยายามไม่เกิน 2-3 ครั้ง ถ้าไม่ออกให้หยุด
  19. สิวขาว: อาจใช้เข็มฆ่าเชื้อจิ้มเบาๆ ที่หัวก่อน
  20. ดูแลหลังกด:
  21. ซับเลือด/ของเหลวด้วยสำลีสะอาด
  22. ทา toner antiseptic หรือยาปฏิชีวนะ
  23. ใช้มอยส์เจอไรเซอร์ปลอบประโลมผิว
  24. งดใช้ acids/retinoids บนจุดนั้น 1-2 วัน
  25. ทากันแดดป้องกันรอยดำ
  26. จำกัดความถี่:
  27. กดไม่เกิน เดือนละครั้ง ในบริเวณเดิม
  28. ให้ผิวพักฟื้น
  29. ใช้ยารักษาเป็นหลักเพื่อป้องกันสิวใหม่

คำเตือน: “If in doubt, don’t pop – treat and wait” แพทย์แนะนำให้ผู้เชี่ยวชาญทำให้จะปลอดภัยกว่า

จะป้องกันการเกิดสิวอุดตันซ้ำได้อย่างไร?

ป้องกันสิวอุดตันซ้ำได้โดยใช้ retinoids ต่อเนื่อง รักษาความสะอาดผิว ใช้ผลิตภัณฑ์ non-comedogenic ปรับพฤติกรรมชีวิต และควบคุมอาหาร

การรักษาต่อเนื่อง:

  • ใช้ retinoid (adapalene/tretinoin) ทุกคืน แม้สิวหายแล้ว เพื่อป้องกันการอุดตันใหม่
  • Salicylic acid cleanser ใช้ทุกวันเพื่อละลายสิ่งอุดตันอย่างต่อเนื่อง
  • Benzoyl peroxide 2.5% ทาบริเวณที่เสี่ยง ป้องกันการอักเสบ
  • ใช้ยาต่อเนื่องเป็น maintenance therapy อย่างน้อย 6-12 เดือน

การดูแลผิวประจำวัน:

  • ล้างหน้า 2 ครั้ง/วัน ด้วยผลิตภัณฑ์อ่อนโยน
  • ใช้ double cleansing หากแต่งหน้าหนัก
  • เลือกผลิตภัณฑ์ที่ระบุ “non-comedogenic” ทุกชนิด
  • ใช้มอยส์เจอไรเซอร์และกันแดดที่ไม่อุดตัน

ปรับพฤติกรรม:

  • หลีกเลี่ยงการสัมผัสใบหน้า และไม่บีบสิว
  • ทำความสะอาดโทรศัพท์ หมอน ผ้าเช็ดหน้าสม่ำเสมอ
  • สระผมบ่อยๆ หากผมมัน หลีกเลี่ยงผลิตภัณฑ์จัดแต่งทรงผมหนัก
  • ลดการสูบบุหรี่และหลีกเลี่ยงมลพิษ
  • จัดการความเครียดและนอนหลับเพียงพอ

ปรับอาหาร:

  • ลดอาหาร high glycemic index (น้ำตาล ขนมหวาน ขนมปังขาว)
  • ลดนมวัว โดยเฉพาะนมพร่องมันเนย ลอง 2-3 เดือน
  • เพิ่มผัก ผลไม้ ธัญพืช อาหารที่มี omega-3
  • ดื่มน้ำเปล่าแทนเครื่องดื่มหวาน

ติดตามและปรับแผน:

  • หากยังมีสิวใหม่หลัง 3 เดือน ควรปรึกษาแพทย์
  • อาจต้องปรับความแรงของยาหรือเพิ่มการรักษาอื่น
  • การรักษาต้องต่อเนื่อง เพราะผิวมันจะผลิตไขมันต่อไป

การปรับเปลี่ยนพฤติกรรมการใช้ชีวิตเพื่อลดสิวอุดตัน

ปรับพฤติกรรมชีวิตเพื่อลดสิวอุดตันได้โดยการรักษาความสะอาด หลีกเลี่ยงแรงกดทับ เลิกบุหรี่ จัดการความเครียด และออกกำลังกายอย่างถูกวิธี

ความสะอาดและสุขอนามัย:

  • ไม่แตะหน้าและไม่บีบสิว เพื่อป้องกันการติดเชื้อและอักเสบ
  • ทำความสะอาดสิ่งของที่สัมผัสหน้า: โทรศัพท์มือถือ หมอน ปลอกหมอน
  • เปลี่ยนผ้าเช็ดหน้าบ่อยๆ ใช้ผ้าสะอาดทุกครั้ง
  • ไม่นอนโดยไม่ล้างเครื่องสำอาง ต้องล้างหน้าให้สะอาดทุกคืน

การดูแลเส้นผม:

  • สระผมสม่ำเสมอ หากผมมันมาก
  • หลีกเลี่ยงผลิตภัณฑ์จัดแต่งทรงผมหนัก (pomade, wax)
  • ป้องกันไม่ให้ผมมาสัมผัสใบหน้าขณะนอน
  • ระวังคอนดิชั่นเนอร์หรือน้ำมันไม่ให้ไหลมาที่หน้าผาก

ลดแรงกดทับและการเสียดสี:

  • เลือกหน้ากากอนามัยผ้าฝ้าย ที่ระบายอากาศได้ดี
  • ซักหน้ากากบ่อยๆ พักให้ผิวหายใจเป็นระยะ
  • หลีกเลี่ยงหมวก คาดผม สายรัดคางที่รัดแน่น
  • ทำความสะอาดผิวทันทีหลังถอดอุปกรณ์ที่อุดตัน

สิ่งแวดล้อมและมลพิษ:

  • เลิกสูบบุหรี่ – ผู้สูบบุหรี่มีสิวหัวดำมากกว่า
  • หลีกเลี่ยงสถานที่มีมลพิษสูง (PM2.5, NO₂)
  • ล้างหน้าทันทีหลังกลับจากข้างนอก

จัดการความเครียดและการนอน:

  • นอนหลับให้เพียงพอ ผิวซ่อมแซมตัวเองตอนกลางคืน
  • จัดการความเครียดด้วยการทำสมาธิ โยคะ
  • มีตารางนอนสม่ำเสมอ

ออกกำลังกายอย่างถูกวิธี:

  • อาบน้ำและล้างหน้าทันทีหลังออกกำลังกาย
  • ใช้เสื้อผ้าที่ระบายเหงื่อได้ดี (moisture-wicking)
  • ไม่ปล่อยให้เหงื่อแห้งบนผิว โดยเฉพาะบริเวณหลังและหน้าอก

การเปลี่ยนแปลงเล็กๆ เหล่านี้ช่วยสร้างสภาพแวดล้อมที่ไม่เอื้อต่อการอุดตันของรูขุมขน เมื่อทำควบคู่กับการรักษาจะได้ผลดียิ่งขึ้น

อาหารที่ควรเลี่ยงและอาหารที่ช่วยลดการเกิดสิว

ควรเลี่ยงอาหาร high glycemic index และนมวัว แต่ควรกินอาหาร low-GI ผัก ผลไม้ omega-3 และสังกะสี

อาหารที่ควรเลี่ยง:

  1. อาหาร High Glycemic Index
  2. น้ำอัดลม เครื่องดื่มหวาน ชานมไข่มุก
  3. ขนมปังขาว ซีเรียลน้ำตาลสูง ขนมหวาน
  4. ลูกอม ขนมกรุบกรอบ ของทอด
  5. งานวิจัย: 87% ของผู้ป่วยมีสิวลดลงเมื่อกิน low-GI diet
  6. นมวัวและผลิตภัณฑ์นม
  7. นมพร่องมันเนย เพิ่มความเสี่ยงสิว 44%
  8. นมวัวทุกชนิด โดยเฉพาะดื่มมากกว่า 2 แก้ว/วัน
  9. Whey protein สำหรับคนออกกำลังกาย
  10. ชีสและโยเกิร์ตไม่ค่อยมีผลเท่านม
  11. อื่นๆ
  12. ไขมันอิ่มตัวและไขมันทรานส์สูง
  13. ช็อกโกแลตที่มีน้ำตาลและนมสูง
  14. อาหารแปรรูปและฟาสต์ฟู้ด

อาหารที่ช่วยลดสิว:

  1. อาหาร Low Glycemic Index
  2. ผักใบเขียว ผักทุกชนิด
  3. ผลไม้ทั้งผล (มีไฟเบอร์ช่วยชะลอน้ำตาล)
  4. ธัญพืชไม่ขัดสี: ข้าวโอ๊ต ควินัว
  5. ถั่วและเมล็ดธัญพืช
  6. อาหารต้านการอักเสบ
  7. ปลาที่มี omega-3: แซลมอน ปลาทู ซาร์ดีน
  8. เมล็ดแฟลกซ์ เมล็ดเชีย
  9. น้ำมันมะกอก
  10. Mediterranean diet ลดความชุกของสิว
  11. อาหารที่มีสังกะสีและวิตามิน
  12. หอยนางรม ถั่ว เมล็ดฟักทอง (zinc)
  13. ผักผลไม้สีสด (วิตามิน A, C, E)
  14. นมพืช: อัลมอนด์ โอ๊ต ถั่วเหลือง (แทนนมวัว)

คำแนะนำ:

  • ลองงดนมวัว 2-3 เดือน ดูผลต่อผิว
  • เปลี่ยนมาดื่มน้ำเปล่าแทนเครื่องดื่มหวาน
  • จดบันทึกอาหารกับสภาพสิวเพื่อหาตัวกระตุ้นส่วนตัว
  • เห็นผลใน 2-3 เดือนหลังปรับอาหาร

คำถามที่พบบ่อยเกี่ยวกับสิวอุดตัน

สิวอุดตันหายเองได้ไหม?

สิวอุดตันอาจหายเองได้บ้างแต่ส่วนใหญ่ต้องการการรักษาเพื่อหายเร็วขึ้นและป้องกันการเกิดใหม่

สิวอุดตันหายเองได้ในบางกรณี:

  • วัยรุ่นบางคนอาจมีสิวน้อยลงเมื่ออายุมากขึ้น (ประมาณ 20-25 ปี)
  • การเปลี่ยนแปลงฮอร์โมนหลังวัยรุ่นทำให้ผลิตน้ำมันน้อยลง
  • แต่หลายคนยังมีสิวอุดตันต่อเนื่องถึงวัยผู้ใหญ่

ทำไมไม่ควรปล่อยให้หายเอง:

  • ใช้เวลานานมาก – อาจต้องรอหลายปีกว่าจะดีขึ้น
  • เสี่ยงอักเสบ – สิวอุดตันที่ไม่รักษาอาจกลายเป็นสิวอักเสบ
  • รูขุมขนอุดตันต่อเนื่อง – หากยังมีปัจจัยกระตุ้น (ผิวมัน, เซลล์ผิวตาย)
  • อาจทิ้งรอยดำ – โดยเฉพาะถ้าชอบบีบหรือแกะ

ข้อเท็จจริงจากการศึกษา:

  • ผิวที่มีแนวโน้มเป็นสิวจะผลิตน้ำมันต่อเนื่อง ทำให้เกิดสิวอุดตันใหม่ตลอด
  • การรักษาด้วยยา (เช่น retinoids, salicylic acid) ช่วยลดสิวได้ 50-70% ใน 8-12 สัปดาห์
  • การรักษาเร็วช่วยป้องกันรอยแผลเป็นและรอยดำ

คำแนะนำ:

  • รักษาตั้งแต่เนิ่นๆ แม้จะเป็นสิวอุดตันเล็กน้อย
  • ใช้ผลิตภัณฑ์ที่มี salicylic acid หรือ retinoid
  • ดูแลผิวอย่างสม่ำเสมอเพื่อควบคุมและป้องกัน
  • ปรึกษาแพทย์หากไม่ดีขึ้นใน 2-3 เดือน

สรุป: แม้สิวอุดตันอาจหายเองได้ในระยะยาว แต่การรักษาจะช่วยให้หายเร็วขึ้นและป้องกันปัญหาอื่นๆ ตามมา

รักษาสิวอุดตันใช้เวลานานเท่าไหร่จึงจะเห็นผล?

การรักษาสิวอุดตันจะเห็นผลชัดเจนใน 8-12 สัปดาห์ของการใช้ยาอย่างต่อเนื่อง

ระยะเวลาที่เห็นผลตามประเภทการรักษา:

1. Topical Retinoids (tretinoin/adapalene)

  • เห็นผลเล็กน้อย: 4 สัปดาห์
  • เห็นผลชัดเจน: 8-12 สัปดาห์
  • สัปดาห์แรกๆ อาจแย่ลงเล็กน้อย (purging phase)
  • ลดสิวอุดตันได้ 60-70% เมื่อใช้ครบ 12 สัปดาห์

2. Salicylic Acid

  • เห็นผลเบื้องต้น: 4-6 สัปดาห์
  • หัวดำเริ่มจางลงและมีสิวใหม่น้อยลง
  • หากทำ chemical peel จะเห็นผลเร็วขึ้น (1-2 ครั้ง)

3. Benzoyl Peroxide

  • ลดการอักเสบ: 2 สัปดาห์
  • ลดสิวอุดตัน: 4 สัปดาห์
  • ผลหลักคือป้องกันสิวอุดตันกลายเป็นสิวอักเสบ

4. การรักษาแบบผสมผสาน

  • ใช้ retinoid กลางคืน + BP เช้า
  • ลดสิว 50% ใน 8 สัปดาห์
  • ลดสิว 60-70% ใน 12 สัปดาห์

5. การรักษาที่คลินิก

  • Chemical peel: เห็นผลใน 1-2 ครั้ง (ห่างกัน 2-4 สัปดาห์)
  • สกัดสิว: เห็นผลทันที แต่เป็นการแก้ปัญหาชั่วคราว

สิ่งสำคัญ:

  • อย่าเปลี่ยนการรักษาเร็วเกินไป – ต้องให้เวลาอย่างน้อย 8 สัปดาห์
  • ถ่ายรูปติดตามผลทุก 2-4 สัปดาห์เพื่อเห็นความก้าวหน้า
  • หากไม่ดีขึ้นเลยใน 3 เดือน ควรปรับการรักษา
  • ใช้ยาต่อเนื่องทุกวันถึงจะเห็นผล

ความอดทนและการใช้ยาสม่ำเสมอเป็นกุญแจสำคัญในการรักษาสิวอุดตัน

References*

  • American Academy of Dermatology – aad.org

  • BioMed Central – biomedcentral.com

  • Cleveland Clinic – clevelandclinic.org

  • Healthline – healthline.com

  • International Journal of Clinical and Experimental Dermatology – ijced.org

  • Journal of Drugs in Dermatology (JDD) – jddonline.com

  • MDPI (Multidisciplinary Digital Publishing Institute) – mdpi.com

  • Medical News Today – medicalnewstoday.com

  • National Institutes of Health – nih.gov

 

Author

  • แพทย์หญิงนัชชนก หุ่นวิจิตร
    แพทย์หญิงนัชชนก หุ่นวิจิตร

    View all posts

แนะแนวเรื่อง

Previous Previous
สิวตุ่มแดง: สาเหตุ การรักษา และวิธีป้องกันที่ถูกต้อง
NextContinue
สิวซีสต์: สาเหตุ การรักษา และวิธีป้องกันที่ถูกต้อง

Product Type

  • Acne Care - รักษาสิว22 สินค้า
  • Brightening - ผิวกระจ่างใส22 สินค้า
  • Dark Spot Reduction - ลดจุดด่างดำ22 สินค้า
  • Red or Dark Spots - รอยสิว11 สินค้า
  • Skin Cleansing - ทำความสะอาดผิว33 สินค้า
  • Skin Hydration - ความชุ่มชื่นผิว22 สินค้า
  • Skin Mask - มาร์สผิว22 สินค้า
  • Sun Protection - กันแดด22 สินค้า
  • Travel Size - ขนาดพกพา66 สินค้า

สาขาพรีวาโต คลินิก

    สาขาอโศก ตั้งอยู่ที่ ชั้น 2 อาคารมิดทาวน์
    Phone: 02-258-4050 , 081-841-5075
    สาขาสีลม ตั้งอยู่ที่ ชั้น 1 อาคารซี.พี.ทาวเวอร์
    Phone: 02-780-2011 , 098-272-5244
    สาขาราชพฤกษ์ ตั้งอยู่ที่ ชั้น 2 ศูนย์การค้า เดอะคริสตัล เอสบี (ด้านบนร้านสตาร์บัคส์)
    Phone: 02-102-2778 , 098-272-5244

ติดต่อเรา

    Facebook: Privato Clinic
    Messenger: Privato Clinic
    Instagram: privatoclinic
    Email: privatoclinic@gmail.com
    Line: @privatoclinic

Copyright© 2022-2024. All Rights Reserved

Scroll to top
  • หน้าหลัก
  • เกี่ยวกับพรีวาโต
  • บริการทั้งหมด
    • ชะลอวัย
    • ยกกระชับผิว
      • XERF
      • Potenza
      • Sofwave
      • Ulthera
      • Thermage-FLX
    • รักษาสิว
    • เลเซอร์
    • โปรแกรมฉีด
    • บำรุงผิว
  • บทความ
    • สิว
    • ยกกระชับ
    • ดูแลผิว
    • ทำเลเซอร์
  • ผลิตภัณฑ์ดูแลผิว
  • โปรโมชั่น
  • ผลลัพธ์การรักษา
  • วิดีโอรีวิวจากเคสจริง
  • สาขาของเรา
  • ไทย
    • ไทย
    • English
    • 中文 (中国)
  • ปรึกษาแพทย์
Facebook Instagram YouTube