Skip to content

TEL : 081-841-5075, 02-258-4050

Facebook Instagram YouTube
Privato Clinic – Innovation Of Beauty  |  Bangkok
  • หน้าหลัก
  • เกี่ยวกับพรีวาโต
  • บริการทั้งหมดExpand
    • ชะลอวัย
    • ยกกระชับผิวExpand
      • XERF
      • Potenza
      • Sofwave
      • Ulthera
      • Thermage-FLX
    • รักษาสิว
    • เลเซอร์
    • โปรแกรมฉีด
    • บำรุงผิว
  • บทความExpand
    • สิว
    • ยกกระชับ
    • ดูแลผิว
    • ทำเลเซอร์
  • ผลิตภัณฑ์ดูแลผิว
  • โปรโมชั่น
  • ผลลัพธ์การรักษา
  • วิดีโอรีวิวจากเคสจริง
  • สาขาของเรา
  • ไทยExpand
    • ไทย
    • English
    • 中文 (中国)
  • ปรึกษาแพทย์
Privato Clinic – Innovation Of Beauty  |  Bangkok
Consult a Doctor
Acne

หลุมสิวรักษาเองได้ไหม: 10 วิธีธรรมชาติที่ทำได้ที่บ้านที่ได้ผล

Byadmin กันยายน 17, 2025กันยายน 17, 2025
By นายแพทย์เลอพงษ์ กรุดเงิน Updated on กันยายน 17, 2025
✦ Medically reviewed by  แพทย์หญิงนัชชนก หุ่นวิจิตร

หลุมสิวรักษาเองได้หรือไม่

Table of Contents

Toggle
  • หลุมสิวคืออะไรและสามารถหายเองได้หรือไม่
  • ทำความเข้าใจสาเหตุและประเภทของหลุมสิว
    • หลุมสิว 3 ประเภทหลักที่ส่งผลต่อการรักษา
  • 10 วิธีดูแลผิวเพื่อลดเลือนหลุมสิวด้วยวิธีธรรมชาติ
    • 1. ใช้ส่วนผสมธรรมชาติที่มีฤทธิ์ผลัดเซลล์ผิวอย่างอ่อนโยน
    • 2. พอกหน้าด้วยสมุนไพรเพื่อปลอบประโลมและฟื้นฟูผิว
    • 3. นวดหน้าเพื่อกระตุ้นการไหลเวียนโลหิตใต้ผิวหนัง
    • 4. ปกป้องผิวจากแสงแดดทุกวันเพื่อป้องกันรอยคล้ำ
    • 5. รับประทานอาหารที่อุดมด้วยวิตามินซีและสารต้านอนุมูลอิสระ
    • 6. เพิ่มการบริโภคคอลลาเจนและโปรตีนในมื้ออาหาร
    • 7. ใช้ผลิตภัณฑ์เสริมเกราะป้องกันผิวให้แข็งแรง
    • 8. หลีกเลี่ยงการบีบแกะสิวเพื่อไม่ให้เกิดหลุมใหม่
    • 9. ดื่มน้ำให้เพียงพอเพื่อรักษาความชุ่มชื้นของผิว
    • 10. พักผ่อนให้เพียงพอเพื่อส่งเสริมกระบวนการซ่อมแซมผิว
    • ข้อจำกัดและประสิทธิผลของการรักษาหลุมสิวด้วยตัวเอง
  • เมื่อไหร่ที่วิธีธรรมชาติไม่เพียงพอ: สัญญาณที่ควรปรึกษาแพทย์
    • ลักษณะหลุมสิวที่ตอบสนองต่อการรักษาเองได้น้อย
    • การประเมินความรุนแรงและความลึกของหลุมสิว
  • ความเสี่ยงและความเข้าใจผิดเกี่ยวกับการรักษาหลุมสิวเอง
    • ผลข้างเคียงจากการใช้ส่วนผสมที่ไม่เหมาะสมกับสภาพผิว
    • ทำไมครีมและเซรั่มทั่วไปจึงอาจไม่เห็นผลกับหลุมสิวลึก
  • ทางเลือกการรักษาหลุมสิวทางการแพทย์เพื่อผลลัพธ์ที่ชัดเจน
    • การรักษาด้วยเลเซอร์และเทคโนโลยีพลังงานเพื่อสร้างผิวใหม่
    • การฉีดสารเติมเต็มและตัวยากระตุ้นคอลลาเจน
    • การผลัดเซลล์ผิวและการกรอผิวโดยผู้เชี่ยวชาญ
  • คำถามที่พบบ่อยเกี่ยวกับการรักษาหลุมสิว
    • หลุมสิวสามารถหายเองจนเรียบเนียนได้ไหม
    • ครีมทาหลุมสิวช่วยให้ตื้นขึ้นจริงหรือ
    • ใช้อะไรทาเพื่อลดเลือนหลุมสิวที่บ้านได้บ้าง
    • การรักษาหลุมสิวด้วยตัวเองใช้เวลานานเท่าไหร่
    • เมื่อไหร่ที่ควรไปพบแพทย์เพื่อรักษาหลุมสิว
    • การรักษาหลุมสิวโดยแพทย์มีวิธีใดบ้าง
  • References:

หลุมสิวคืออะไรและสามารถหายเองได้หรือไม่

หลุมสิวคือรอยแผลเป็นที่เกิดจากการที่ผิวหนังซ่อมแซมตัวเองอย่างผิดปกติหลังการอักเสบของสิว และโดยทั่วไปแล้วจะไม่สามารถหายเองได้สนิท การอักเสบที่รุนแรงทำให้ผิวสร้างคอลลาเจนผิดปกติหรือไม่เพียงพอ ส่งผลให้เกิดเนื้อเยื่อแผลเป็นที่เป็นรอยบุ๋มลงไป ซึ่งโดยทั่วไปแล้วจะไม่สามารถหายกลับมาเรียบเนียนเหมือนเดิมได้เอง

แม้ว่าหลุมสิวส่วนใหญ่จะคงอยู่ถาวร แต่รอยแผลเป็นที่ตื้นหรือเล็กมากอาจดีขึ้นเล็กน้อยเมื่อเวลาผ่านไป อย่างไรก็ตาม การเปลี่ยนแปลงนี้ถือเป็นข้อยกเว้น โดยทั่วไปแล้วหลุมสิวที่เห็นได้ชัดจะไม่หายไปอย่างสมบูรณ์หากไม่ได้รับการรักษา หากรอยบุ๋มยังคงอยู่เกิน 2-3 เดือน ก็มีแนวโน้มว่าจะคงอยู่ถาวร เว้นแต่จะได้รับการรักษาทางการแพทย์

ทำความเข้าใจสาเหตุและประเภทของหลุมสิว

หลุมสิว 3 ประเภทหลักที่ส่งผลต่อการรักษา

หลุมสิวชนิดแอ่ง (Atrophic scars) 3 ประเภทหลักที่ส่งผลต่อการเลือกวิธีรักษา ได้แก่ หลุมสิวแบบจิก (Icepick), หลุมสิวแบบกล่อง (Boxcar) และหลุมสิวแบบคลื่น (Rolling) เนื่องจากแต่ละประเภทมีลักษณะความลึกและโครงสร้างที่แตกต่างกัน

  • หลุมสิวแบบจิก (Icepick scars): เป็นหลุมแคบและลึกรูปตัว V ซึ่งมักตอบสนองได้ดีต่อการรักษาที่ลงไปในชั้นผิวลึกเฉพาะจุด เช่น การแต้มกรดความเข้มข้นสูง (TCA CROSS) หรือการผ่าตัดเล็กเพื่อเย็บปิด (Punch excision)
  • หลุมสิวแบบกล่อง (Boxcar scars): เป็นหลุมแอ่งกว้าง มีขอบเขตชัดเจนเหมือนกล่อง หลุมแบบตื้นจะตอบสนองต่อการผลัดผิวด้วยเลเซอร์ได้ดี ส่วนหลุมลึกอาจต้องใช้การผ่าตัดยกหลุมสิว (Punch elevation)
  • หลุมสิวแบบคลื่น (Rolling scars): เป็นแอ่งกว้างขอบมนไม่ชัดเจน เกิดจากพังผืดดึงรั้งใต้ผิวหนัง ทำให้ผิวดูเป็นคลื่น และตอบสนองได้ดีที่สุดต่อการตัดพังผืด (Subcision) เพื่อคลายการดึงรั้ง

10 วิธีดูแลผิวเพื่อลดเลือนหลุมสิวด้วยวิธีธรรมชาติ

1. ใช้ส่วนผสมธรรมชาติที่มีฤทธิ์ผลัดเซลล์ผิวอย่างอ่อนโยน

เอกสารไม่ได้แนะนำส่วนผสมจากธรรมชาติที่ใช้ผลัดเซลล์ผิวโดยตรง แต่ได้กล่าวถึงน้ำผึ้งและว่านหางจระเข้ว่ามีคุณสมบัติช่วยปลอบประโลมและให้ความชุ่มชื้นแก่ผิว ซึ่งอาจช่วยให้รอยแผลเป็นดูดีขึ้นเล็กน้อย

ในทางกลับกัน เอกสารได้เตือนว่าการเยียวยาแบบ DIY บางอย่าง เช่น น้ำมะนาว หรือสครับเบกกิ้งโซดา อาจรุนแรงเกินไปและทำให้ผิวระคายเคืองหรือแย่ลงได้

2. พอกหน้าด้วยสมุนไพรเพื่อปลอบประโลมและฟื้นฟูผิว

สมุนไพรบางชนิด เช่น น้ำผึ้งและว่านหางจระเข้ อาจช่วยปลอบประโลมผิวและปรับปรุงลักษณะของรอยแผลเป็นได้เล็กน้อย เนื่องจากมีคุณสมบัติต้านการอักเสบและให้ความชุ่มชื้นแก่เนื้อเยื่อ

อย่างไรก็ตาม หลักฐานทางวิทยาศาสตร์ที่สนับสนุนการใช้สมุนไพรเหล่านี้ยังไม่แข็งแรงนัก และผลลัพธ์ที่ได้มักจะไม่ชัดเจนและต้องใช้เวลา นอกจากนี้ สมุนไพรบางชนิด เช่น น้ำมะนาวหรือเบกกิ้งโซดา อาจรุนแรงเกินไปและทำให้ผิวระคายเคืองหรือแย่ลงได้ โดยทั่วไปแล้ว การเยียวยาด้วยวิธีธรรมชาติอาจช่วยให้ผิวที่เป็นแผลเป็นนุ่มขึ้นและลดรอยแดงได้ แต่มีผลเพียงเล็กน้อยต่อหลุมสิวลึก

3. นวดหน้าเพื่อกระตุ้นการไหลเวียนโลหิตใต้ผิวหนัง

ไม่มีข้อมูลในงานวิจัยที่ระบุว่าการนวดหน้าสามารถรักษารอยแผลเป็นจากสิวได้ แม้การนวดเบาๆ อาจช่วยให้ผิวรู้สึกผ่อนคลาย แต่การรักษารอยแผลเป็นหลุมสิวซึ่งเป็นปัญหาเชิงโครงสร้างผิวจำเป็นต้องใช้วิธีการที่สามารถกระตุ้นการสร้างคอลลาเจนในชั้นผิวลึกได้ ซึ่งการนวดหน้าเพียงอย่างเดียวไม่สามารถทำได้ นอกจากนี้ การนวดที่รุนแรงเกินไปอาจสร้างความเสียหายและทำให้รอยแผลเป็นแย่ลงได้ คล้ายกับการใช้อุปกรณ์เดอร์มาโรลเลอร์ที่บ้านอย่างไม่ถูกวิธี

4. ปกป้องผิวจากแสงแดดทุกวันเพื่อป้องกันรอยคล้ำ

การปกป้องผิวจากแสงแดดทุกวันเป็นสิ่งสำคัญอย่างยิ่งในการดูแลรอยแผลเป็น เพราะช่วยป้องกันไม่ให้รอยคล้ำขึ้นและมองเห็นได้ชัดเจนกว่าเดิม

การป้องกันแสงแดดมีความสำคัญเนื่องจากเหตุผลดังนี้:

  • ป้องกันการทำลายคอลลาเจน แสงแดดทำลายคอลลาเจนซึ่งเป็นอุปสรรคต่อการซ่อมแซมตัวเองของผิว
  • ช่วยให้สีผิวสม่ำเสมอ การทาครีมกันแดดช่วยลดความแตกต่างของสีผิวระหว่างรอยแผลเป็นกับผิวปกติ ทำให้รอยดูเด่นชัดน้อยลง
  • ป้องกันไม่ให้รอยแย่ลง การอาบแดดไม่ได้ช่วยให้รอยแผลเป็นกลืนไปกับผิว แต่กลับทำให้รอยแผลเป็นบางชนิดเด่นชัดขึ้นได้เนื่องจากสีผิวที่ไม่สม่ำเสมอ

5. รับประทานอาหารที่อุดมด้วยวิตามินซีและสารต้านอนุมูลอิสระ

การรับประทานอาหารที่มีวิตามินซีและสารต้านอนุมูลอิสระ มีส่วนช่วยในกระบวนการสร้างคอลลาเจนและซ่อมแซมผิว ซึ่งอาจส่งผลดีต่อการจางลงของรอยแผลเป็นจากสิว อย่างไรก็ตาม ผู้เชี่ยวชาญชี้ว่ายังไม่มีหลักฐานทางวิทยาศาสตร์ที่ชัดเจนว่าการรับประทานวิตามินเพียงอย่างเดียวสามารถรักษารอยแผลเป็นที่เกิดขึ้นแล้วให้หายได้ การรับประทานสารอาหารเหล่านี้จึงควรถือเป็นมาตรการเสริมเพื่อสุขภาพผิวโดยรวมมากกว่าเป็นวิธีรักษาหลัก

6. เพิ่มการบริโภคคอลลาเจนและโปรตีนในมื้ออาหาร

การแก้ไขภาวะขาดสารอาหารสามารถช่วยเพิ่มประสิทธิภาพให้ร่างกายในการซ่อมแซมเนื้อเยื่อได้ แต่การรับประทานอาหารเสริมเพียงอย่างเดียวไม่สามารถรักษารอยแผลเป็นให้หายขาดได้

มีหลักฐานบางส่วนชี้ว่าสารอาหารบางชนิดมีบทบาทในการช่วยให้รอยแผลเป็นจากสิวจางลง เช่น วิตามินซีซึ่งเป็นปัจจัยร่วมในการสร้างคอลลาเจน หรือสังกะสีที่ช่วยลดการอักเสบ อย่างไรก็ตาม ผู้เชี่ยวชาญระบุว่ายังไม่มีงานวิจัยคุณภาพสูงเพียงพอที่จะยืนยันว่าวิตามินหรืออาหารเสริมสามารถลบรอยแผลเป็นที่มีอยู่แล้วได้อย่างมีนัยสำคัญ จึงควรมองว่าเป็นการดูแลเสริมเพื่อสุขภาพผิวโดยรวมมากกว่าการรักษาหลัก

7. ใช้ผลิตภัณฑ์เสริมเกราะป้องกันผิวให้แข็งแรง

การเสริมสร้างเกราะป้องกันผิวให้แข็งแรงเป็นสิ่งสำคัญในการจัดการรอยแผลเป็นจากสิว โดยเน้นที่การปกป้องผิวและสนับสนุนกระบวนการซ่อมแซมตามธรรมชาติของผิว

แม้บทความจะไม่ได้ใช้คำว่า “เกราะป้องกันผิว” โดยตรง แต่ได้แนะนำแนวทางที่สอดคล้องกัน ดังนี้

  • การป้องกันแสงแดด: การทาครีมกันแดดเป็นสิ่งสำคัญอย่างยิ่งเพื่อป้องกันการสลายของคอลลาเจนและป้องกันไม่ให้รอยแผลเป็นคล้ำขึ้น
  • การหลีกเลี่ยงสารที่ก่อให้เกิดการระคายเคือง: บทความเตือนไม่ให้ใช้ผลิตภัณฑ์ที่รุนแรง เช่น สครับเบกกิ้งโซดา หรือน้ำมะนาว ซึ่งอาจทำลายผิวและทำให้รอยแผลเป็นแย่ลง
  • การใช้ส่วนผสมที่ช่วยสนับสนุนผิว: การใช้ผลิตภัณฑ์ที่มีส่วนผสมช่วยให้ความชุ่มชื้น เช่น ว่านหางจระเข้ หรือส่วนผสมที่ช่วยกระตุ้นการสร้างคอลลาเจน เช่น เรตินอยด์ จะช่วยส่งเสริมสุขภาพผิวโดยรวม
  • การบำรุงจากภายใน: การได้รับสารอาหารที่เพียงพอ เช่น วิตามินซีและสังกะสี สามารถช่วยเพิ่มประสิทธิภาพในการซ่อมแซมเนื้อเยื่อของร่างกายได้

8. หลีกเลี่ยงการบีบแกะสิวเพื่อไม่ให้เกิดหลุมใหม่

ใช่ คุณควรหลีกเลี่ยงการบีบหรือแกะสิว เนื่องจากการกระทำดังกล่าวจะสร้างความเสียหายและเพิ่มการอักเสบให้แก่ผิว ซึ่งเป็นการรบกวนกระบวนการซ่อมแซมตามธรรมชาติและอาจนำไปสู่การเกิดรอยแผลเป็นใหม่ๆ หรือทำให้รอยเดิมแย่ลงได้

9. ดื่มน้ำให้เพียงพอเพื่อรักษาความชุ่มชื้นของผิว

ข้อมูลที่ให้มาไม่ได้ระบุว่าการดื่มน้ำมีผลโดยตรงต่อการรักษารอยแผลเป็นจากสิว งานวิจัยเน้นย้ำถึงการรักษาด้วยวิธีอื่น เช่น การใช้ยาทาเฉพาะที่ (retinoids), การป้องกันแสงแดด, และการทำหัตถการโดยแพทย์ผู้เชี่ยวชาญ แม้ในส่วนของการดูแลตัวเองจะมีการกล่าวถึงสารอาหารอย่างวิตามินซีและสังกะสี แต่ก็ไม่ได้กล่าวถึงการดื่มน้ำเพื่อช่วยลดรอยแผลเป็น

10. พักผ่อนให้เพียงพอเพื่อส่งเสริมกระบวนการซ่อมแซมผิว

จากข้อมูลที่ให้มา ไม่ได้กล่าวถึงบทบาทของการพักผ่อนให้เพียงพอต่อกระบวนการซ่อมแซมผิวที่เป็นรอยแผลเป็นจากสิว โดยเนื้อหาได้มุ่งเน้นไปที่การดูแลตัวเองที่บ้านด้วยวิธีอื่น เช่น การใช้เรตินอยด์ การป้องกันแสงแดด และการได้รับสารอาหารที่เหมาะสม

ข้อจำกัดและประสิทธิผลของการรักษาหลุมสิวด้วยตัวเอง

ประสิทธิผลของการรักษาหลุมสิวด้วยตัวเอง มีจำกัดอยู่แค่การช่วยให้รอยแผลเป็นดูจางลงและสังเกตเห็นได้น้อยลง แต่ไม่สามารถเติมเต็มหลุมสิวลึกให้ตื้นขึ้นได้ การดูแลด้วยตัวเองจะเน้นไปที่การปรับปรุงคุณภาพผิวโดยรวม เช่น การปรับสีผิวให้สม่ำเสมอและผิวสัมผัสให้เรียบเนียนขึ้น ซึ่งจะช่วยพรางตาให้รอยแผลเป็นดูดีขึ้น

วิธีดูแลตัวเองที่ได้ผลและข้อจำกัดมีดังนี้:

  • ผลิตภัณฑ์กลุ่มเรตินอยด์: ช่วยกระตุ้นการสร้างคอลลาเจนและผลัดเซลล์ผิวอย่างช้าๆ อาจเห็นการเปลี่ยนแปลงเล็กน้อยหลังใช้ต่อเนื่อง 4–6 เดือน
  • การป้องกันแสงแดด: การทาครีมกันแดดทุกวันเป็นสิ่งสำคัญอย่างยิ่งเพื่อป้องกันไม่ให้รอยแผลเป็นมีสีเข้มขึ้น ซึ่งจะทำให้รอยดูชัดเจนน้อยลง
  • ข้อจำกัดหลัก: การรักษาด้วยตัวเองให้ผลลัพธ์ที่ช้าและเล็กน้อย ไม่สามารถแก้ไขโครงสร้างของหลุมสิวลึกได้ นอกจากนี้ การใช้อุปกรณ์บางอย่างด้วยตัวเอง เช่น เดอร์มาโรลเลอร์ (derma roller) อาจมีความเสี่ยงทำให้เกิดแผลเป็นใหม่หรือการติดเชื้อได้หากใช้ไม่ถูกวิธี

เมื่อไหร่ที่วิธีธรรมชาติไม่เพียงพอ: สัญญาณที่ควรปรึกษาแพทย์

ลักษณะหลุมสิวที่ตอบสนองต่อการรักษาเองได้น้อย

หลุมสิวลึก เช่น หลุมสิวแบบจิก (icepick) และหลุมสิวแบบกล่อง (boxcar) ที่ลึก เป็นลักษณะของหลุมสิวที่ตอบสนองต่อการดูแลรักษาเองที่บ้านได้น้อยที่สุด

เนื่องจากการดูแลรักษาเองที่บ้าน เช่น การใช้ผลิตภัณฑ์บำรุงผิวหรือเรตินอยด์ ไม่สามารถสร้างเนื้อเยื่อใหม่เพื่อเติมเต็มหลุมสิวที่มีการเปลี่ยนแปลงโครงสร้างในชั้นผิวหนังลึกได้ นอกจากนี้ หลุมสิวแบบแอ่ง (rolling scars) ซึ่งมีพังผืดดึงรั้งอยู่ใต้ผิวหนังก็ไม่สามารถรักษาให้ดีขึ้นได้ด้วยการทาผลิตภัณฑ์เพียงอย่างเดียว การดูแลเองที่บ้านมักจะได้ผลดีกับรอยสิวตื้นๆ หรือช่วยปรับสภาพผิวโดยรวมให้เรียบเนียนและสีสม่ำเสมอขึ้น แต่ไม่สามารถแก้ปัญหาหลุมสิวลึกได้

การประเมินความรุนแรงและความลึกของหลุมสิว

การประเมินความรุนแรงและความลึกของหลุมสิวทำโดยแพทย์ผิวหนังผู้เชี่ยวชาญ ซึ่งจะตรวจพิจารณาจากชนิดและความลึกของรอยแผลเป็น เพื่อวางแผนการรักษาที่เหมาะสม

แพทย์จะจำแนกประเภทของหลุมสิว (Atrophic scars) ตามรูปร่างและความลึกออกเป็น 3 ชนิดหลัก ได้แก่

  • หลุมสิวแบบจิก (Icepick scars): เป็นหลุมแคบ (<2 มม.) และลึกเป็นรูปตัว V
  • หลุมสิวแบบกล่อง (Boxcar scars): เป็นรอยบุ๋มทรงกลมหรือวงรี มีขอบชัดเจน กว้าง 1.5–4 มม.
  • หลุมสิวแบบคลื่น (Rolling scars): เป็นรอยบุ๋มกว้าง (>4–5 มม.) มีขอบลาดเอียง ทำให้ผิวดูเป็นคลื่น

ความเสี่ยงและความเข้าใจผิดเกี่ยวกับการรักษาหลุมสิวเอง

ผลข้างเคียงจากการใช้ส่วนผสมที่ไม่เหมาะสมกับสภาพผิว

การใช้ส่วนผสมที่ไม่เหมาะสมกับสภาพผิว อาจทำให้เกิดการระคายเคือง แผลไหม้ ทำให้รอยแผลเป็นแย่ลง หรือเกิดการเปลี่ยนสีผิวใหม่ได้

การรักษาสิวด้วยตนเองบางวิธี เช่น การใช้น้ำมะนาวหรือเบกกิ้งโซดา อาจรุนแรงเกินไปจนทำร้ายผิว นอกจากนี้ การใช้อุปกรณ์ที่ไม่ถูกต้อง เช่น เดอร์มาโรลเลอร์ที่บ้าน อาจทำให้เกิดการบาดเจ็บเพิ่มเติม เกิดรอยแผลเป็นใหม่ หรือเสี่ยงต่อการติดเชื้อและอักเสบได้ หากผลิตภัณฑ์ใดทำให้เกิดอาการแสบ ลอก หรืออักเสบ ควรหยุดใช้ทันที

ทำไมครีมและเซรั่มทั่วไปจึงอาจไม่เห็นผลกับหลุมสิวลึก

ครีมและเซรั่มทั่วไปอาจไม่เห็นผลกับหลุมสิวลึก เนื่องจากไม่สามารถซึมลงไปแก้ไขการเปลี่ยนแปลงเชิงโครงสร้างในชั้นผิวหนังแท้ได้ หลุมสิวที่เป็นรอยบุ๋มเกิดจากการที่คอลลาเจนในชั้นผิวหนังแท้ถูกทำลายหรือสร้างขึ้นอย่างผิดปกติ ซึ่งเป็นชั้นที่ผลิตภัณฑ์ทาภายนอกส่วนใหญ่ไม่สามารถเข้าถึงเพื่อซ่อมแซมหรือสร้างเนื้อเยื่อใหม่ได้

ผลิตภัณฑ์เหล่านี้ทำได้เพียงช่วยปรับสภาพผิวชั้นนอกให้เรียบเนียนขึ้นและลดเลือนรอยดำรอยแดง ทำให้หลุมสิวดูจางลงบ้าง แต่ไม่สามารถ “เติมเต็ม” หลุมให้ตื้นขึ้นได้อย่างมีนัยสำคัญ

ทางเลือกการรักษาหลุมสิวทางการแพทย์เพื่อผลลัพธ์ที่ชัดเจน

การรักษาด้วยเลเซอร์และเทคโนโลยีพลังงานเพื่อสร้างผิวใหม่

การรักษาด้วยเลเซอร์และเทคโนโลยีพลังงานช่วยปรับสภาพผิวและลดรอยแผลเป็นจากสิวโดยการส่งพลังงานความร้อนลงไปกระตุ้นการสร้างคอลลาเจนใหม่ในชั้นผิวหนังแท้ ซึ่งจะทำให้ผิวเรียบเนียนขึ้น การรักษาเหล่านี้มีหลายประเภทและต้องใช้หลายครั้งเพื่อให้ได้ผลลัพธ์ที่ดีที่สุด

ประเภทของเลเซอร์และเทคโนโลยีพลังงานที่ใช้รักษารอยแผลเป็นมีดังนี้:

  • เลเซอร์ชนิดที่ทำให้เกิดแผล (Ablative Lasers): เช่น เลเซอร์ CO₂ ซึ่งจะลอกผิวชั้นบนออก ทำให้ได้ผลลัพธ์ที่ดีแต่ก็มีระยะเวลาพักฟื้นนาน (ประมาณ 1–2 สัปดาห์) และมีความเสี่ยงที่จะเกิดรอยดำหรือรอยแดง โดยเฉพาะในผู้ที่มีสีผิวเข้ม
  • เลเซอร์ชนิดที่ไม่ทำให้เกิดแผล (Non-Ablative Lasers): เช่น เลเซอร์ Erbium-glass (1550 nm) ซึ่งจะส่งความร้อนลงไปใต้ผิวโดยไม่ทำลายผิวชั้นบน ทำให้ปลอดภัยกว่าสำหรับทุกสีผิวและใช้เวลาพักฟื้นน้อย แต่ผลลัพธ์ที่ได้จะน้อยกว่าและเหมาะกับแผลเป็นที่ไม่รุนแรง
  • พิโคเซคอนด์เลเซอร์ (Picosecond Lasers): เป็นเทคโนโลยีใหม่ที่สามารถปรับปรุงผิวสัมผัสได้ดีเทียบเท่ากับเลเซอร์ CO₂ แต่มีความเสี่ยงต่ำกว่าในการเกิดรอยดำในผู้ที่มีผิวคล้ำ
  • คลื่นวิทยุ (Radiofrequency – RF) และ RF Microneedling: เป็นการใช้ความร้อนร่วมกับการใช้เข็มขนาดเล็กเพื่อกระตุ้นการสร้างคอลลาเจน ทำให้เกิดความเสียหายน้อยกว่าบนผิวชั้นบน จึงเป็นทางเลือกที่ดีสำหรับผู้ที่ไม่สามารถทำเลเซอร์ได้

โดยทั่วไป การรักษาด้วยเลเซอร์และพลังงานต้องทำหลายครั้ง (เช่น 2–4 ครั้ง ห่างกันเดือนละครั้ง) และจำเป็นต้องปกป้องผิวจากแสงแดดอย่างเคร่งครัดทั้งก่อนและหลังการรักษาเพื่อป้องกันปัญหาเม็ดสีผิดปกติ

การฉีดสารเติมเต็มและตัวยากระตุ้นคอลลาเจน

การฉีดสารเติมเต็ม (Filler) และตัวยากระตุ้นคอลลาเจน (Collagen Stimulator) เป็นวิธีการรักษาที่ใช้เพื่อยกและเติมเต็มหลุมสิว โดยเฉพาะหลุมสิวชนิดแอ่งกระทะ (Rolling scars) เพื่อให้ผิวเรียบเนียนขึ้น

การรักษานี้มักทำร่วมกับการตัดพังผืดใต้ผิวหนัง (Subcision) โดยหลังจากที่แพทย์ตัดพังผืดซึ่งดึงรั้งผิวหนังให้เป็นหลุมแล้ว จะมีการฉีดสารเติมเต็มเข้าไปเพื่อช่วยยกผิวบริเวณนั้นขึ้นและกระตุ้นการสร้างคอลลาเจนใหม่ไปพร้อมกัน สารที่นิยมใช้ ได้แก่

  • กรดไฮยาลูรอนิก (Hyaluronic Acid – HA): ช่วยเติมเต็มหลุมสิวได้ทันทีและกระตุ้นคอลลาเจน ผลลัพธ์คงอยู่ประมาณ 6–12 เดือน
  • สารกระตุ้นคอลลาเจน (Collagen Stimulators): เช่น Calcium Hydroxyapatite หรือ Poly-L-lactic acid ซึ่งจะให้ผลลัพธ์ที่ยาวนานกว่า โดยจะค่อยๆ กระตุ้นให้ร่างกายสร้างคอลลาเจนขึ้นมาเติมเต็มหลุมสิวเอง

การรักษาร่วมกันระหว่างการตัดพังผืดและการฉีดสารเติมเต็มสามารถลดความรุนแรงของหลุมสิวชนิดแอ่งกระทะได้ถึง 68–75% และยังสามารถใช้เป็นวิธีเก็บรายละเอียดสำหรับหลุมสิวที่ยังคงเหลืออยู่หลังการรักษาด้วยวิธีอื่นได้อีกด้วย

การผลัดเซลล์ผิวและการกรอผิวโดยผู้เชี่ยวชาญ

การผลัดเซลล์ผิวด้วยสารเคมี (Chemical Peels) และการกรอผิว (Dermabrasion) เป็นวิธีการรักษาโดยผู้เชี่ยวชาญที่ช่วยปรับปรุงลักษณะของรอยแผลเป็นจากสิวให้เรียบเนียนขึ้น โดยกระตุ้นให้ผิวหนังผลัดเซลล์และสร้างคอลลาเจนขึ้นมาใหม่

  • การผลัดเซลล์ผิวด้วยสารเคมี: วิธีนี้ใช้สารละลายกรด เช่น กรดไตรคลอโรอะซิติก (TCA) เพื่อลอกผิวชั้นนอกออก ทำให้ผิวที่สร้างขึ้นมาใหม่ดูเรียบเนียนขึ้นและรอยแผลเป็นดูคมชัดน้อยลง การทำเป็นชุด (เช่น 3-5 ครั้ง ทุก 2-4 สัปดาห์) สามารถช่วยให้รอยแผลเป็นดีขึ้นได้ประมาณ 30-50% นอกจากนี้ยังมีเทคนิคพิเศษที่เรียกว่า TCA CROSS ซึ่งใช้ TCA ความเข้มข้นสูงแต้มลงในหลุมสิวชนิด Icepick โดยตรงเพื่อกระตุ้นการสร้างคอลลาเจนเฉพาะจุด
  • การกรอผิว (Dermabrasion): เป็นการใช้เครื่องมือขัดผิวชั้นบนออกเพื่อลดขอบของรอยแผลเป็นที่นูนขึ้นและทำให้รอยแผลเป็นตื้นๆ เรียบเนียนขึ้น ปัจจุบันได้รับความนิยมน้อยลงเนื่องจากมีเลเซอร์เป็นทางเลือก และต้องใช้ความเชี่ยวชาญสูงรวมถึงมีระยะเวลาพักฟื้นนาน
  • การกรอผิวด้วยเกล็ดอัญมณี (Microdermabrasion): เป็นการขัดผิวที่อ่อนโยนกว่ามาก แต่จะผลัดเซลล์ผิวได้เพียงชั้นผิวเผินเท่านั้น จึงมีผลเพียงเล็กน้อยต่อรอยแผลเป็นที่เป็นหลุมลึก

คำถามที่พบบ่อยเกี่ยวกับการรักษาหลุมสิว

หลุมสิวสามารถหายเองจนเรียบเนียนได้ไหม

โดยทั่วไปแล้ว หลุมสิวที่ยุบตัวลงไปมักจะไม่หายไปเองจนเรียบเนียนสนิท เนื่องจากเป็นแผลเป็นถาวรที่โครงสร้างผิวหนังชั้นในเกิดความเสียหาย

หลุมสิวที่ตื้นหรือมีขนาดเล็กมากอาจดูดีขึ้นเล็กน้อยเมื่อเวลาผ่านไป แต่หลุมสิวที่เห็นได้ชัดส่วนใหญ่จะไม่สามารถสร้างเนื้อเยื่อกลับมาเติมเต็มได้เองหากไม่ได้รับการรักษาทางการแพทย์ ซึ่งแตกต่างจากรอยดำหรือรอยแดงที่สามารถจางหายไปได้เอง

ครีมทาหลุมสิวช่วยให้ตื้นขึ้นจริงหรือ

ไม่จริง ครีมทาผิวไม่สามารถเติมหลุมสิวลึกให้ตื้นขึ้นได้อย่างมีนัยสำคัญ เนื่องจากหลุมสิวเกิดจากการเปลี่ยนแปลงโครงสร้างในชั้นผิวหนังที่ลึกเกินกว่าที่ครีมจะซ่อมแซมได้

ผลิตภัณฑ์ประเภทครีมหรือเซรั่มส่วนใหญ่ทำได้เพียงช่วยปรับสภาพผิวโดยรวมให้เรียบเนียนขึ้นและลดรอยแดงรอยดำ ทำให้หลุมสิวดูเด่นชัดน้อยลง แต่ไม่สามารถเติมเต็มหลุมสิวได้ อย่างไรก็ตาม ยาทากลุ่มเรตินอยด์ที่สั่งโดยแพทย์อาจช่วยให้หลุมสิวดูดีขึ้นเล็กน้อยเมื่อใช้ต่อเนื่องเป็นเวลาหลายเดือน แต่มักใช้เป็นการดูแลเสริมร่วมกับการรักษาโดยผู้เชี่ยวชาญ

ใช้อะไรทาเพื่อลดเลือนหลุมสิวที่บ้านได้บ้าง

สำหรับวิธีดูแลหลุมสิวที่บ้าน สิ่งที่ได้ผลดีที่สุดคือ การใช้ผลิตภัณฑ์กลุ่มเรตินอยด์ (retinoids) และครีมกันแดด (sunscreen) อย่างสม่ำเสมอ

ผลิตภัณฑ์กลุ่มเรตินอยด์ เช่น อะแดพาลีน (adapalene) หรือเรตินอล (retinol) จะช่วยกระตุ้นการสร้างคอลลาเจนและเร่งการผลัดเซลล์ผิว ซึ่งอาจใช้เวลา 4-6 เดือนจึงจะเริ่มเห็นการเปลี่ยนแปลงของผิวที่เรียบเนียนขึ้น ในขณะที่ครีมกันแดดเป็นสิ่งจำเป็นที่ต้องใช้ทุกวันเพื่อป้องกันไม่ให้รอยแผลเป็นคล้ำลงและเด่นชัดขึ้น

นอกจากนี้ การใช้กรดผลัดเซลล์ผิวอย่างอ่อนโยน (AHA/BHA) ก็สามารถช่วยปรับสภาพผิวให้เรียบเนียนและลดเลือนรอยดำรอยแดงได้ อย่างไรก็ตาม วิธีการเหล่านี้ให้ผลลัพธ์เพียงเล็กน้อยและไม่สามารถเติมเต็มหลุมสิวลึกๆ ได้ แต่จะช่วยปรับปรุงคุณภาพผิวโดยรวมทำให้รอยแผลเป็นดูจางลง

การรักษาหลุมสิวด้วยตัวเองใช้เวลานานเท่าไหร่

การรักษาหลุมสิวด้วยตัวเอง ต้องใช้เวลาอย่างน้อย 3-6 เดือนจึงจะเริ่มเห็นการเปลี่ยนแปลง

โดยทั่วไปแล้ว การดูแลรักษาหลุมสิวด้วยตัวเองต้องอาศัยความสม่ำเสมอและใช้เวลานานกว่าจะเห็นผลลัพธ์

  • ผลิตภัณฑ์กลุ่มเรตินอยด์: อาจเริ่มเห็นว่าผิวเรียบเนียนขึ้นอย่างสังเกตได้หลังจากใช้งานต่อเนื่องประมาณ 4-6 เดือน
  • กรดผลัดเซลล์ผิว (AHA/BHA): อาจช่วยให้ผิวดูสม่ำเสมอขึ้นเล็กน้อยหลังจากใช้งานเป็นประจำ 8-12 สัปดาห์

อย่างไรก็ตาม วิธีการเหล่านี้ให้ผลลัพธ์เพียงเล็กน้อยและไม่สามารถเติมเต็มหลุมสิวที่ลึกได้ หากดูแลตัวเองเป็นเวลา 6-12 เดือนแล้วยังไม่เห็นผลที่น่าพอใจ ควรพิจารณาปรึกษาแพทย์ผู้เชี่ยวชาญ

เมื่อไหร่ที่ควรไปพบแพทย์เพื่อรักษาหลุมสิว

ควรไปพบแพทย์เมื่อการดูแลผิวด้วยตนเองเป็นเวลาหลายเดือนแล้วยังไม่เห็นผล หรือเมื่อหลุมสิวมีความรุนแรงและส่งผลกระทบต่อความมั่นใจในการใช้ชีวิต โดยผู้เชี่ยวชาญแนะนำให้ปรึกษาแพทย์ผิวหนังในสถานการณ์ต่อไปนี้

  • การดูแลตนเองไม่ได้ผล: หากคุณดูแลผิวอย่างสม่ำเสมอเป็นเวลา 6-12 เดือนแล้ว แต่หลุมสิวยังคงมองเห็นได้ชัดเจนและไม่ดีขึ้น
  • หลุมสิวมีความรุนแรง: หากคุณมีหลุมสิวที่ลึกหรือเป็นจำนวนมาก เช่น หลุมแบบจิก (icepick) หรือหลุมบ่อ (boxcar) การรักษาโดยผู้เชี่ยวชาญตั้งแต่เนิ่นๆ จะให้ผลลัพธ์ที่ดีกว่า
  • ส่งผลกระทบต่อจิตใจ: หากหลุมสิวทำให้คุณขาดความมั่นใจ หลีกเลี่ยงการถ่ายรูป หรือรู้สึกไม่ดีกับผิวของตัวเอง ถือเป็นเหตุผลที่เพียงพอในการขอคำปรึกษาจากแพทย์

การรักษาหลุมสิวโดยแพทย์มีวิธีใดบ้าง

การรักษาหลุมสิวโดยแพทย์มีหลายวิธี ซึ่งมักเป็นการผสมผสานเทคนิคต่างๆ เข้าด้วยกันเพื่อให้เหมาะกับชนิดของหลุมสิว โดยวิธีที่นิยมใช้ ได้แก่ การใช้เลเซอร์, การลอกผิวด้วยสารเคมี, การทำไมโครนีดลิ่ง, การตัดพังผืดใต้ผิวหนัง และการฉีดฟิลเลอร์

วิธีการรักษาโดยแพทย์ที่สำคัญมีดังนี้:

  • เลเซอร์และเครื่องมือที่ใช้พลังงาน (Lasers and Energy Devices): ใช้วิธีการส่งพลังงานความร้อนลงไปใต้ผิวเพื่อกระตุ้นการสร้างคอลลาเจนใหม่ ทำให้หลุมสิวตื้นขึ้น มีทั้งแบบที่ทำให้เกิดแผล (ablative) และไม่เกิดแผล (non-ablative) รวมถึงคลื่นวิทยุ (RF) และ RF Microneedling
  • การลอกผิวด้วยสารเคมี (Chemical Peels): ใช้กรดความเข้มข้นสูง เช่น TCA (Trichloroacetic acid) เพื่อผลัดเซลล์ผิวชั้นบนและกระตุ้นการสร้างคอลลาเจน เทคนิคพิเศษอย่าง TCA CROSS ใช้แต้มกรดความเข้มข้นสูงเฉพาะจุดเพื่อรักษาหลุมสิวชนิดจิก (icepick scars)
  • ไมโครนีดลิ่ง (Microneedling): เป็นการใช้เข็มขนาดเล็กจำนวนมากสร้างแผลขนาดเล็กบนผิวหนังเพื่อกระตุ้นกระบวนการซ่อมแซมและสร้างคอลลาเจนของร่างกาย มักทำร่วมกับการใช้เกล็ดเลือดเข้มข้น (PRP) เพื่อเพิ่มประสิทธิภาพ
  • การตัดพังผืดใต้ผิวหนังและการฉีดฟิลเลอร์ (Subcision and Fillers): การตัดพังผืด (Subcision) เป็นการใช้เข็มสอดเข้าไปใต้ผิวหนังเพื่อตัดเส้นใยที่ดึงรั้งหลุมสิวให้ยกตัวขึ้น มักทำร่วมกับการฉีดสารเติมเต็ม (Filler) เพื่อช่วยยกผิวและกระตุ้นคอลลาเจน เหมาะสำหรับหลุมสิวชนิดแอ่งกว้าง (rolling scars)
  • การผ่าตัดเล็ก (Punch Techniques): เช่น การตัดหลุมสิวออกแล้วเย็บปิด (Punch Excision) เหมาะสำหรับหลุมสิวชนิดกล่อง (boxcar scars) ที่มีขอบชัดเจน

References:

  1. American Academy of Dermatology. (n.d.). Acne Scars: Diagnosis and Treatment. AAD. aad.org
  2. Mayo Clinic. (n.d.). Acne Scars: Treatment Options. Mayo Clinic. mayoclinic.org
  3. National Health Service. (n.d.). Treating Acne Scars. NHS UK. nhs.uk
  4. National Institutes of Health. (n.d.). Research on Acne Scar Treatment. NIH. nih.gov
  5. Healthline. (n.d.). How to Get Rid of Acne Scars: Home Remedies and Medical Treatments. healthline.com
  6. Medical News Today. (n.d.). How to Remove Acne Scars at Home. medicalnewstoday.com
  7. Verywell Health. (n.d.). Acne Scar Treatment: What Really Works. verywellhealth.com

แนะแนวเรื่อง

Previous Previous
หน้ามันแก้ยังไง วิธีจัดการความมัน ปรับพฤติกรรมเช้า‑เย็น
NextContinue
สิวอักเสบหัวหนอง ต้องบีบไหม คำตอบชัด พร้อมวิธีดูแลที่ถูกต้อง

สาขาพรีวาโต คลินิก

    สาขาอโศก ตั้งอยู่ที่ ชั้น 2 อาคารมิดทาวน์
    Phone: 02-258-4050 , 081-841-5075
    สาขาสีลม ตั้งอยู่ที่ ชั้น 1 อาคารซี.พี.ทาวเวอร์
    Phone: 02-780-2011 , 098-272-5244
    สาขาราชพฤกษ์ ตั้งอยู่ที่ ชั้น 2 ศูนย์การค้า เดอะคริสตัล เอสบี (ด้านบนร้านสตาร์บัคส์)
    Phone: 02-102-2778 , 098-272-5244

ติดต่อเรา

    Facebook: Privato Clinic
    Messenger: Privato Clinic
    Instagram: privatoclinic
    Email: privatoclinic@gmail.com
    Line: @privatoclinic

Copyright© 2022-2024. All Rights Reserved

Scroll to top
  • หน้าหลัก
  • เกี่ยวกับพรีวาโต
  • บริการทั้งหมด
    • ชะลอวัย
    • ยกกระชับผิว
      • XERF
      • Potenza
      • Sofwave
      • Ulthera
      • Thermage-FLX
    • รักษาสิว
    • เลเซอร์
    • โปรแกรมฉีด
    • บำรุงผิว
  • บทความ
    • สิว
    • ยกกระชับ
    • ดูแลผิว
    • ทำเลเซอร์
  • ผลิตภัณฑ์ดูแลผิว
  • โปรโมชั่น
  • ผลลัพธ์การรักษา
  • วิดีโอรีวิวจากเคสจริง
  • สาขาของเรา
  • ไทย
    • ไทย
    • English
    • 中文 (中国)
  • ปรึกษาแพทย์
Facebook Instagram YouTube