Skip to content

TEL : 081-841-5075, 02-258-4050

Facebook Instagram YouTube
Privato Clinic – Innovation Of Beauty  |  Bangkok
  • หน้าหลัก
  • เกี่ยวกับพรีวาโต
  • บริการทั้งหมดExpand
    • ชะลอวัย
    • ยกกระชับผิวExpand
      • XERF
      • Potenza
      • Sofwave
      • Ulthera
      • Thermage-FLX
    • รักษาสิว
    • เลเซอร์
    • โปรแกรมฉีด
    • บำรุงผิว
  • บทความExpand
    • สิว
    • ยกกระชับ
    • ดูแลผิว
    • ทำเลเซอร์
  • ผลิตภัณฑ์ดูแลผิว
  • โปรโมชั่น
  • ผลลัพธ์การรักษา
  • วิดีโอรีวิวจากเคสจริง
  • สาขาของเรา
  • ไทยExpand
    • ไทย
    • English
    • 中文 (中国)
  • ปรึกษาแพทย์
Privato Clinic – Innovation Of Beauty  |  Bangkok
Consult a Doctor
Acne

เป็นสิวที่หน้าอก รักษายังไง คู่มือเช็คสาเหตุและการดูแลอย่างได้ผล

Byadmin กันยายน 17, 2025
By นายแพทย์เลอพงษ์ กรุดเงิน Updated on กันยายน 17, 2025
✦ Medically reviewed by  แพทย์หญิงนัชชนก หุ่นวิจิตร

เป็นสิวที่หน้าอกรักษายังไง

Table of Contents

Toggle
  • สิวที่หน้าอกเกิดจากอะไร: 5 สาเหตุหลักที่พบบ่อย
    • การอุดตันของรูขุมขนจากเหงื่อและเซลล์ผิว
    • การเปลี่ยนแปลงของฮอร์โมนในร่างกาย
    • การเสียดสีจากเสื้อผ้าและไลฟ์สไตล์
    • การใช้ผลิตภัณฑ์ที่ไม่เหมาะสมกับผิว
    • สิวเชื้อรา (Pityrosporum Folliculitis)
  • วิธีดูแลและรักษาสิวที่หน้าอกด้วยตัวเองเบื้องต้น
    • เลือกใช้ผลิตภัณฑ์ทำความสะอาดที่อ่อนโยน
    • ใช้ยาทารักษาสิวเฉพาะจุดที่มีตัวยาสำคัญ
    • ปรับพฤติกรรมการสวมใส่เสื้อผ้าและสุขอนามัย
    • หลีกเลี่ยงการสครับผิวรุนแรงและการบีบสิว
  • เมื่อไหร่ที่ควรพบแพทย์และแนวทางการรักษาทางการแพทย์
    • สัญญาณเตือน: สิวอักเสบรุนแรงและไม่ตอบสนองต่อการดูแล
    • การใช้ยารับประทานเพื่อควบคุมสิว
    • ทรีตเมนต์ทางการแพทย์: การผลัดเซลล์ผิวและเลเซอร์
    • การกดสิวโดยผู้เชี่ยวชาญ: ข้อดีและข้อควรระวัง
  • ก่อนตัดสินใจรักษา: ปัจจัยสำคัญที่ต้องพิจารณา
    • การประเมินประเภทและความรุนแรงของสิว
    • การเลือกคลินิกและผู้เชี่ยวชาญที่น่าเชื่อถือ
    • การตั้งความคาดหวังต่อผลลัพธ์และระยะเวลา
  • ข้อผิดพลาดที่ควรเลี่ยงในการรักษาสิวที่หน้าอก
    • การใช้ผลิตภัณฑ์หลายชนิดพร้อมกันโดยไม่จำเป็น
    • การหยุดการรักษาเร็วเกินไปเมื่อเห็นผลดีขึ้น
    • การละเลยความสำคัญของความสะอาดและไลฟ์สไตล์
  • คำถามที่พบบ่อยเกี่ยวกับการรักษาสิวที่หน้าอก
    • ทำไมสิวถึงขึ้นที่หน้าอก
    • สิวที่หน้าอกใช้เวลากี่วันถึงจะหาย
    • สิวที่หน้าอกและหลังเกิดจากสาเหตุเดียวกันหรือไม่
    • การใส่เสื้อผ้ารัดๆ ทำให้เป็นสิวที่หน้าอกจริงไหม
    • ควรบีบหรือกดสิวที่หน้าอกด้วยตัวเองหรือไม่
    • สิวที่หน้าอกแบบไหนที่ควรไปพบแพทย์
  • References:

สิวที่หน้าอกเกิดจากอะไร: 5 สาเหตุหลักที่พบบ่อย

การอุดตันของรูขุมขนจากเหงื่อและเซลล์ผิว

การไม่ทำความสะอาดผิวทันทีหลังจากเหงื่อออกมาก เป็นสาเหตุที่ทำให้เคราติน (เซลล์ผิวที่ตายแล้ว) แบคทีเรีย และซีบัม (ไขมัน) สะสมจนอุดตันรูขุมขน การอุดตันนี้สร้างสภาวะที่เหมาะสมให้แบคทีเรีย Cutibacterium acnes เจริญเติบโต ซึ่งนำไปสู่การอักเสบและเกิดเป็นสิวในที่สุด

การเปลี่ยนแปลงของฮอร์โมนในร่างกาย

การเปลี่ยนแปลงของฮอร์โมนเป็นสาเหตุสำคัญของการเกิดสิวที่หน้าอก เนื่องจากการเปลี่ยนแปลงของฮอร์โมนจะไปกระตุ้นต่อมไขมันให้ผลิตน้ำมันออกมามากขึ้น เมื่อน้ำมันส่วนเกินรวมกับเซลล์ผิวที่ตายแล้วจะทำให้รูขุมขนอุดตันและเกิดการอักเสบเป็นสิวในที่สุด

การเปลี่ยนแปลงของฮอร์โมนที่มักทำให้เกิดสิว ได้แก่

  • ช่วงวัยรุ่น (วัยแรกรุ่น)
  • รอบเดือน
  • การตั้งครรภ์
  • วัยหมดประจำเดือน
  • ภาวะถุงน้ำรังไข่หลายใบ (PCOS)

การเสียดสีจากเสื้อผ้าและไลฟ์สไตล์

การเสียดสีจากเสื้อผ้าที่รัดแน่นหรือสายกระเป๋า และการสวมใส่เสื้อผ้าที่ไม่สะอาดเป็นปัจจัยสำคัญที่ทำให้เกิดสิวที่หน้าอก การเสียดสีและการสวมเสื้อผ้าที่อับชื้นจะทำให้รูขุมขนอุดตันและเกิดการอักเสบ อีกทั้งยังสร้างสภาพแวดล้อมที่เหมาะกับการเจริญเติบโตของแบคทีเรียที่ก่อให้เกิดสิว

เพื่อป้องกันปัญหานี้ ควรปฏิบัติดังนี้:

  • เลือกเสื้อผ้า: สวมเสื้อผ้าหลวมๆ ที่ระบายอากาศได้ดี เช่น ผ้าคอตตอน และหลีกเลี่ยงผ้าใยสังเคราะห์ที่รัดแน่น เช่น สแปนเด็กซ์
  • สุขอนามัย: อาบน้ำทันทีหลังเหงื่อออก และซักเสื้อผ้าออกกำลังกายทุกครั้งหลังใช้ ไม่ควรใส่ซ้ำ
  • ลดการเสียดสี: หลีกเลี่ยงแรงกดทับหรือการเสียดสีซ้ำๆ จากสายกระเป๋าเป้หรือสปอร์ตบราในบริเวณที่เป็นสิวง่าย

การใช้ผลิตภัณฑ์ที่ไม่เหมาะสมกับผิว

การใช้ผลิตภัณฑ์ที่ไม่เหมาะสม เช่น ครีมเนื้อหนักหรือผลิตภัณฑ์ที่ก่อให้เกิดการอุดตัน อาจทำให้รูขุมขนอุดตันและสิวเห่อขึ้นได้ การใช้ผลิตภัณฑ์ดูแลผิวที่ไม่ถูกต้องเป็นหนึ่งในข้อผิดพลาดที่พบบ่อยซึ่งทำให้สิวที่หน้าอกแย่ลง

ผลิตภัณฑ์ที่ควรหลีกเลี่ยงและข้อแนะนำมีดังนี้:

  • ผลิตภัณฑ์ที่ก่อให้เกิดการอุดตัน: ควรหลีกเลี่ยงครีมหรือโลชั่นที่มีเนื้อหนักและมีส่วนผสมของน้ำมัน เช่น โกโก้บัตเตอร์ (cocoa butter) น้ำมันมะพร้าว หรือปิโตรเลียม (petroleum) เนื่องจากสามารถเข้าไปอุดตันรูขุมขนได้
  • ผลิตภัณฑ์ที่ก่อให้เกิดการระคายเคือง: สครับขัดผิวที่หยาบเกินไป หรือสเปรย์รักษาสิวที่มีส่วนผสมของแอลกอฮอล์ อาจทำลายเกราะป้องกันผิว ทำให้ผิวแห้งและระคายเคือง ซึ่งจะกระตุ้นให้เกิดสิวมากขึ้น
  • ผลิตภัณฑ์ซักผ้า: ผงซักฟอกหรือน้ำยาปรับผ้านุ่มที่มีน้ำหอมรุนแรงอาจทิ้งสารตกค้างบนเสื้อผ้าและก่อให้เกิดการระคายเคืองที่ผิวหนังได้

เพื่อป้องกันปัญหานี้ ควรเลือกใช้ผลิตภัณฑ์ที่ระบุว่า “non-comedogenic” (ไม่ก่อให้เกิดการอุดตัน) และ “oil-free” (ปราศจากน้ำมัน) ซึ่งมักเป็นสูตรสำหรับผิวหน้าหรือผิวที่เป็นสิวง่าย

สิวเชื้อรา (Pityrosporum Folliculitis)

สิวเชื้อรา หรือ Pityrosporum Folliculitis คือ ภาวะรูขุมขนอักเสบจากเชื้อยีสต์ ซึ่งมักแสดงอาการเป็นตุ่มแดงหรือตุ่มหนองเล็กๆ ขนาดใกล้เคียงกัน มีอาการคันมาก และไม่มีสิวอุดตัน (สิวหัวดำหรือสิวหัวขาว) ร่วมด้วย

ภาวะนี้มักถูกเข้าใจผิดว่าเป็นสิวทั่วไป (acne vulgaris) แต่สิวทั่วไปมักมีลักษณะของสิวหลายรูปแบบปนกันและมักไม่มีอาการคัน การวินิจฉัยที่ถูกต้องเป็นสิ่งสำคัญ เนื่องจากสิวเชื้อราจะตอบสนองต่อการรักษาด้วยยาต้านเชื้อราเท่านั้น ไม่ใช่ยารักษาสิวทั่วไป

วิธีดูแลและรักษาสิวที่หน้าอกด้วยตัวเองเบื้องต้น

คุณสามารถดูแลและรักษาสิวที่หน้าอกเบื้องต้นได้ด้วยการใช้ผลิตภัณฑ์ทำความสะอาดเฉพาะที่ การเลือกใช้ผลิตภัณฑ์ที่เหมาะสม และการดูแลสุขอนามัยส่วนบุคคล

วิธีดูแลสิวที่หน้าอกด้วยตัวเอง มีดังนี้:

  • ทำความสะอาดอย่างถูกวิธี: อาบน้ำทันทีหลังมีเหงื่อออกมาก และใช้ผลิตภัณฑ์ทำความสะอาดผิวกายที่มีส่วนผสมของกรดซาลิไซลิก (Salicylic Acid) หรือเบนโซอิลเพอร์ออกไซด์ (Benzoyl Peroxide) ควรทำความสะอาดอย่างอ่อนโยนด้วยมือแทนการใช้ใยบวบหรือแปรงขัดผิว
  • เลือกผลิตภัณฑ์ที่เหมาะสม: ใช้ผลิตภัณฑ์บำรุงผิวและครีมกันแดดที่ระบุว่า “non-comedogenic” (ไม่ก่อให้เกิดการอุดตัน) หรือ “oil-free” (ปราศจากน้ำมัน) หลีกเลี่ยงครีมที่มีเนื้อหนัก เช่น โกโก้บัตเตอร์ หรือปิโตรเลียมเจลลี่
  • ดูแลเสื้อผ้าและสุขอนามัย: สวมใส่เสื้อผ้าที่สะอาด หลวม และระบายอากาศได้ดี เช่น ผ้าฝ้าย ซักเสื้อผ้าออกกำลังกาย ผ้าเช็ดตัว และผ้าปูที่นอนเป็นประจำ
  • หลีกเลี่ยงการบีบหรือแกะสิว: การบีบหรือแกะสิวอาจทำให้แบคทีเรียแพร่กระจายลึกลงไปในผิวหนัง ทำให้อาการอักเสบรุนแรงขึ้น และเพิ่มความเสี่ยงต่อการเกิดรอยแผลเป็นและรอยดำ

เลือกใช้ผลิตภัณฑ์ทำความสะอาดที่อ่อนโยน

การขัดถูผิวบริเวณหน้าอกอย่างรุนแรงอาจทำให้ผิวระคายเคืองและทำให้อาการสิวแย่ลงได้ ดังนั้นจึงควรทำความสะอาดด้วยมือหรือผ้าที่นุ่มมาก ๆ แทนการใช้ใยบวบหรือแปรงขัดผิว แม้ว่าแพทย์ผิวหนังมักแนะนำให้ใช้ผลิตภัณฑ์ทำความสะอาดร่างกายที่มีส่วนผสมของกรดซาลิไซลิกหรือเบนโซอิลเพอร์ออกไซด์ แต่ก็ควรใช้อย่างอ่อนโยนเพื่อหลีกเลี่ยงการเสียดสีที่รุนแรง

ใช้ยาทารักษาสิวเฉพาะจุดที่มีตัวยาสำคัญ

ยาทารักษาสิวเฉพาะจุดที่หาซื้อได้ทั่วไปมักมีส่วนผสมของ กรดซาลิไซลิก (Salicylic Acid), เบนโซอิลเพอร์ออกไซด์ (Benzoyl Peroxide) หรือ อะแดพาลีน (Adapalene) ซึ่งแต่ละตัวมีคุณสมบัติในการรักษาสิวที่แตกต่างกัน

  • กรดซาลิไซลิก (Salicylic Acid): ช่วยผลัดเซลล์ผิวและทำความสะอาดรูขุมขน เหมาะสำหรับรักษาสิวอุดตัน
  • เบนโซอิลเพอร์ออกไซด์ (Benzoyl Peroxide): ช่วยลดเชื้อแบคทีเรียที่ก่อให้เกิดสิว
  • อะแดพาลีน (Adapalene): เป็นอนุพันธ์วิตามินเอ (Retinoid) ที่ช่วยเร่งการผลัดเซลล์ผิวและป้องกันการเกิดสิวใหม่

ปรับพฤติกรรมการสวมใส่เสื้อผ้าและสุขอนามัย

ควรสวมใส่เสื้อผ้าที่สะอาดและระบายอากาศได้ดี รวมถึงรักษาสุขอนามัยส่วนบุคคล โดยเฉพาะหลังมีเหงื่อออกมาก

การปรับเปลี่ยนพฤติกรรมเหล่านี้สามารถช่วยลดการเกิดสิวที่หน้าอกได้:

  • เลือกเนื้อผ้า: สวมใส่เสื้อผ้าที่ทำจากผ้าฝ้ายหรือผ้าที่ระบายความชื้นได้ดี หลีกเลี่ยงผ้าที่รัดแน่น เช่น สแปนเด็กซ์หรือโพลีเอสเตอร์ ซึ่งจะกักเก็บความร้อนและความชื้น ทำให้แบคทีเรียเจริญเติบโตได้ดี
  • ลดการเสียดสี: พยายามลดแรงกดทับและการเสียดสีบริเวณที่เป็นสิวง่ายจากสายกระเป๋าเป้หรือสายเสื้อชั้นในสำหรับเล่นกีฬา
  • สุขอนามัยหลังออกกำลังกาย: อาบน้ำทันทีหลังจากเหงื่อออกมากเพื่อชำระล้างเหงื่อและแบคทีเรีย
  • การซักเสื้อผ้า: ซักเสื้อผ้าที่ใช้ในการออกกำลังกายทุกครั้งหลังใช้งาน และไม่สวมเสื้อที่ชุ่มเหงื่อซ้ำ
  • ความสะอาดของเครื่องนอน: ซักผ้าปูที่นอนและผ้าเช็ดตัวเป็นประจำอย่างน้อยสัปดาห์ละครั้ง เพื่อกำจัดน้ำมัน เซลล์ผิวที่ตายแล้ว และเชื้อโรคที่อาจสะสมอยู่

หลีกเลี่ยงการสครับผิวรุนแรงและการบีบสิว

ควรหลีกเลี่ยงการสครับผิวอย่างรุนแรงและการบีบสิว เนื่องจากพฤติกรรมเหล่านี้สามารถทำให้อาการสิวแย่ลงและเพิ่มความเสี่ยงในการเกิดแผลเป็น

  • การสครับผิวรุนแรง: การขัดถูผิวแรงๆ ด้วยใยบวบหรือแปรงจะทำให้ผิวระคายเคืองและอาจทำให้สิวอักเสบมากขึ้น ควรทำความสะอาดผิวด้วยมือหรือผ้านุ่มๆ แทน หากต้องการผลัดเซลล์ผิว ควรเลือกใช้ผลิตภัณฑ์ที่อ่อนโยน เช่น สบู่ล้างหน้าที่มีกรดซาลิไซลิก และจำกัดการใช้เพียงสัปดาห์ละครั้ง
  • การบีบสิว: การบีบหรือแกะสิวอาจผลักเชื้อแบคทีเรียและสิ่งสกปรกลงไปในผิวลึกขึ้น ทำให้เกิดการอักเสบที่รุนแรงขึ้น กลายเป็นซีสต์ หรือฝี และเพิ่มความเสี่ยงสูงที่จะทิ้งรอยแผลเป็นถาวรหรือรอยดำไว้ หากมีสิวที่อักเสบมาก ควรให้ผู้เชี่ยวชาญทำการรักษาเพื่อความปลอดภัย

เมื่อไหร่ที่ควรพบแพทย์และแนวทางการรักษาทางการแพทย์

สัญญาณเตือน: สิวอักเสบรุนแรงและไม่ตอบสนองต่อการดูแล

คุณควรไปพบแพทย์หากสิวที่หน้าอกมีอาการเจ็บปวด อักเสบลึก หรือไม่ตอบสนองต่อการรักษาด้วยตัวเองหลังจากผ่านไป 6-8 สัปดาห์

สัญญาณเตือนอื่นๆ ที่บ่งชี้ว่าควรไปพบแพทย์ ได้แก่:

  • สัญญาณการติดเชื้อ: สิวมีความรู้สึกเจ็บเมื่อสัมผัส รู้สึกอุ่น มีรอยแดงและบวมรอบๆ หรือมีไข้ร่วมด้วย
  • การเกิดรอยแผลเป็น: สิวเริ่มทิ้งรอยแผลเป็นแบบหลุมหรือรอยนูน (คีลอยด์) หรือรอยดำหลังการอักเสบ
  • สิวมีลักษณะผิดปกติ: การเกิดสิวที่หน้าอกร่วมกับอาการอื่นๆ เช่น ขนดกผิดปกติในผู้หญิง อาจบ่งชี้ถึงภาวะอื่นที่ซ่อนอยู่

การใช้ยารับประทานเพื่อควบคุมสิว

ยารับประทานที่ใช้รักษาสิว ได้แก่ ยาปฏิชีวนะ ยาฮอร์โมน และไอโซเตรติโนอิน (Isotretinoin) ซึ่งแพทย์จะพิจารณาเลือกใช้ตามความรุนแรงและสาเหตุของสิว

  • ยาปฏิชีวนะ (Oral Antibiotics): เช่น Doxycycline หรือ Minocycline มักใช้สำหรับสิวระดับปานกลางถึงรุนแรงเพื่อลดการอักเสบ โดยทั่วไปจะให้รับประทานเป็นเวลา 8-12 สัปดาห์ และมักใช้ร่วมกับยาทาเพื่อป้องกันการดื้อยา
  • ยาฮอร์โมน (Hormonal Therapies): เหมาะสำหรับผู้หญิงที่มีสิวจากฮอร์โมน ได้แก่ ยาคุมกำเนิดชนิดฮอร์โมนรวม และยา Spironolactone ซึ่งช่วยควบคุมฮอร์โมนที่กระตุ้นการผลิตน้ำมันของต่อมไขมัน
  • ไอโซเตรติโนอิน (Oral Isotretinoin): เป็นอนุพันธ์ของวิตามินเอที่ใช้สำหรับรักษาสิวระดับรุนแรง ดื้อต่อการรักษา หรือชนิดที่ทำให้เกิดแผลเป็นรุนแรง ยานี้สามารถลดการผลิตไขมันได้อย่างมีนัยสำคัญและอาจทำให้สิวหายขาดได้ แต่จำเป็นต้องอยู่ภายใต้การดูแลของแพทย์อย่างใกล้ชิดเนื่องจากมีผลข้างเคียงที่ต้องเฝ้าระวัง

ทรีตเมนต์ทางการแพทย์: การผลัดเซลล์ผิวและเลเซอร์

การผลัดเซลล์ผิวด้วยสารเคมีและเลเซอร์เป็นทรีตเมนต์ทางการแพทย์ที่สามารถช่วยปรับปรุงสิวที่หน้าอก รอยแดง และรอยแผลเป็นได้ โดยต้องทำโดยผู้เชี่ยวชาญ

ทรีตเมนต์เหล่านี้ประกอบด้วย:

  • การผลัดเซลล์ผิวด้วยสารเคมี (Chemical Peels): แพทย์ผิวหนังจะใช้สารเคมี เช่น กรดซาลิไซลิกหรือกรดไกลโคลิกในความเข้มข้นสูงทาลงบนผิวหนังบริเวณหน้าอกเพื่อผลัดเซลล์ผิว ทำความสะอาดรูขุมขน และลดรอยสิว การทำเป็นชุดๆ (เช่น ทุก 2-4 สัปดาห์) จะช่วยให้สิวและรอยดำดีขึ้นอย่างเห็นได้ชัด
  • การบำบัดด้วยแสงและเลเซอร์ (Light and Laser Therapies):
  • การบำบัดด้วยแสง (Photodynamic Therapy – PDT, แสงสีฟ้า, IPL): ช่วยลดเชื้อแบคทีเรีย C. acnes และลดการผลิตน้ำมัน เหมาะสำหรับสิวระดับปานกลาง แต่ต้องทำหลายครั้ง
  • เลเซอร์พัลส์ดาย (Pulsed-Dye Laser – PDL/VBeam): ช่วยลดรอยแดงจากสิวที่กำลังจะหายหรือรอยแผลเป็นในระยะเริ่มต้น
  • เลเซอร์ผลัดผิว (Resurfacing Lasers) และไมโครนีดลิง (Microneedling): ใช้สำหรับรักษารอยแผลเป็นหลังจากที่สิวอักเสบหายดีแล้ว เพื่อกระตุ้นการสร้างคอลลาเจนและปรับปรุงผิวให้เรียบเนียนขึ้น

เนื่องจากผิวหนังบริเวณหน้าอกมีความเสี่ยงที่จะเกิดรอยดำหรือแผลเป็นคีลอยด์ได้ง่ายหากรักษาอย่างไม่เหมาะสม การทำทรีตเมนต์เหล่านี้จึงจำเป็นต้องอยู่ภายใต้การดูแลของแพทย์ผู้มีประสบการณ์

การกดสิวโดยผู้เชี่ยวชาญ: ข้อดีและข้อควรระวัง

การกดสิวโดยผู้เชี่ยวชาญเป็นวิธีที่ปลอดภัยในการกำจัดสิวที่อุดตันลึกหรือน่ารำคาญ เนื่องจากทำในสภาพแวดล้อมที่ปลอดเชื้อเพื่อป้องกันความเสียหายต่อผิวหนังและลดความเสี่ยงของการเกิดแผลเป็น

ข้อดีของการกดสิวโดยผู้เชี่ยวชาญ ได้แก่:

  • ความปลอดภัย: แพทย์ผิวหนังใช้เครื่องมือและเทคนิคที่ปลอดเชื้อในการเจาะและระบายหนองออก ซึ่งช่วยลดความเสี่ยงของการติดเชื้อซ้ำซ้อนและการอักเสบที่อาจลุกลาม
  • การลดการอักเสบอย่างรวดเร็ว: สำหรับสิวอักเสบขนาดใหญ่หรือสิวซีสต์ แพทย์อาจฉีดสเตียรอยด์เข้าไปในตุ่มสิวโดยตรง ซึ่งช่วยให้สิวยุบลงอย่างรวดเร็วภายใน 1-2 วัน พร้อมทั้งบรรเทาอาการเจ็บปวด
  • การป้องกันแผลเป็น: การจัดการสิวอย่างถูกวิธีโดยผู้เชี่ยวชาญช่วยลดความเสียหายต่อเนื้อเยื่อผิวหนัง ซึ่งเป็นสาเหตุหลักของการเกิดรอยแผลเป็นและรอยดำหลังสิวหาย

ข้อควรระวังที่สำคัญคือ ควรเลือกรับบริการจากแพทย์ผิวหนังหรือผู้เชี่ยวชาญที่มีใบอนุญาตในคลินิกหรือสถานพยาบาลที่น่าเชื่อถือเท่านั้น เพื่อหลีกเลี่ยงความเสี่ยงจากการใช้เทคนิคที่ไม่เหมาะสมซึ่งอาจนำไปสู่การบาดเจ็บหรือการเกิดแผลเป็นได้

ก่อนตัดสินใจรักษา: ปัจจัยสำคัญที่ต้องพิจารณา

การประเมินประเภทและความรุนแรงของสิว

การประเมินประเภทและความรุนแรงของสิวที่หน้าอก ทำได้โดยการตรวจสอบชนิดของสิวและประเมินความรุนแรงตามจำนวนและพื้นที่ที่เป็น. แพทย์จะพิจารณาจากลักษณะของสิวที่หลากหลาย เช่น สิวอุดตัน (สิวหัวดำ สิวหัวขาว) และสิวอักเสบ (ตุ่มแดง ตุ่มหนอง) ซึ่งแตกต่างจากโรคอื่น ๆ เช่น รูขุมขนอักเสบ ที่มักมีลักษณะตุ่มเหมือนกันทั้งหมด

โดยทั่วไป การประเมินความรุนแรงจะแบ่งออกเป็นระดับต่าง ๆ ดังนี้:

  • สิวเล็กน้อย (Mild): มีสิวอุดตันและสิวอักเสบเล็กน้อย กระจายตัวน้อยกว่าครึ่งหนึ่งของพื้นที่หน้าอก
  • สิวปานกลาง (Moderate): มีสิวอักเสบและสิวหนองจำนวนมาก กระจายตัวมากกว่าครึ่งหนึ่งของพื้นที่หน้าอก
  • สิวรุนแรง (Severe): มีสิวขึ้นเป็นบริเวณกว้าง และมีสิวชนิดก้อนลึก (nodules) สิวซีสต์ (cysts) หรือเกิดแผลเป็น

ในกรณีที่ไม่แน่ใจ แพทย์อาจทำการตรวจเพิ่มเติม เช่น การขูดผิวหนังไปส่องกล้องจุลทรรศน์ หรือการเพาะเชื้อ เพื่อแยกสิวออกจากภาวะอื่น ๆ

การเลือกคลินิกและผู้เชี่ยวชาญที่น่าเชื่อถือ

ควรเลือกแพทย์ผิวหนังที่มีใบอนุญาตในคลินิกผิวหนังหรือแผนกผิวหนังของโรงพยาบาลที่มีชื่อเสียง ซึ่งให้ความสำคัญกับความปลอดภัยและใช้แนวทางการรักษาตามหลักฐานทางวิทยาศาสตร์

ข้อควรพิจารณาในการเลือกผู้ให้บริการที่น่าเชื่อถือมีดังนี้:

  • ตรวจสอบใบอนุญาต: ตรวจสอบให้แน่ใจว่าผู้ให้บริการเป็นแพทย์ผิวหนังที่มีใบอนุญาต
  • ศึกษาข้อมูล: อ่านรีวิวและสอบถามเกี่ยวกับประสบการณ์ของแพทย์ในการรักษาสิวที่ลำตัว
  • พิจารณาทางเลือก: ผู้ให้บริการที่ดีจะประเมินอาการอย่างละเอียดและให้ข้อมูลเกี่ยวกับข้อดี ข้อเสีย และค่าใช้จ่ายของทางเลือกการรักษาต่างๆ ไม่ใช่ผลักดันการรักษาที่มีราคาแพงเพียงอย่างเดียว
  • ระวังผู้ให้บริการที่ไม่ใช่แพทย์: หลีกเลี่ยงการรักษาสิวในสปาหรือกับผู้ที่ไม่มีใบอนุญาตทางการแพทย์ เนื่องจากอาจนำไปสู่การบาดเจ็บหรือรอยแผลเป็นได้
  • การสื่อสาร: การปรึกษาควรเป็นการสื่อสารสองทาง ซึ่งแพทย์จะตอบคำถามของคุณอย่างครบถ้วนและชัดเจน

การตั้งความคาดหวังต่อผลลัพธ์และระยะเวลา

โดยทั่วไปจะเห็นการเปลี่ยนแปลงที่ดีขึ้นอย่างมีนัยสำคัญภายใน 8-12 สัปดาห์หลังจากการรักษาอย่างสม่ำเสมอ

การดีขึ้นมักเป็นไปอย่างค่อยเป็นค่อยไป โดยในช่วง 4-6 สัปดาห์แรกอาจสังเกตเห็นสิวใหม่ขึ้นน้อยลง จากนั้นสิวเดิมจะเริ่มยุบลง และจะเห็นผลชัดเจนขึ้นในช่วง 12-16 สัปดาห์ หากดูแลรักษาอย่างต่อเนื่องเป็นเวลาประมาณ 2-3 เดือนแล้วอาการไม่ดีขึ้นหรือแย่ลง ควรปรึกษาแพทย์เพื่อปรับเปลี่ยนแนวทางการรักษา

ข้อผิดพลาดที่ควรเลี่ยงในการรักษาสิวที่หน้าอก

การใช้ผลิตภัณฑ์หลายชนิดพร้อมกันโดยไม่จำเป็น

การใช้ผลิตภัณฑ์รักษาสิวหลายชนิดพร้อมกันอาจทำให้ผิวระคายเคือง แห้งกร้าน และทำลายเกราะป้องกันผิว ซึ่งจะทำให้สิวแย่ลงได้ การใช้ผลิตภัณฑ์มากเกินไปหรือการขัดผิวบ่อยเกินไปจะทำให้เกราะป้องกันผิวอ่อนแอลง ส่งผลให้แบคทีเรียเข้าสู่ผิวได้ง่ายขึ้นและอาจนำไปสู่การระคายเคืองหรือสิวเห่อที่รุนแรงกว่าเดิม แพทย์ผิวหนังแนะนำให้เริ่มใช้ผลิตภัณฑ์ทีละชนิดและปฏิบัติตามขั้นตอนการดูแลผิวที่เรียบง่ายแต่สม่ำเสมอ

การหยุดการรักษาเร็วเกินไปเมื่อเห็นผลดีขึ้น

การหยุดการรักษาเร็วเกินไปเมื่อเห็นว่าสิวดีขึ้นแล้ว อาจทำให้สิวกลับมาเป็นซ้ำได้ เนื่องจากการใช้ยาที่ไม่สม่ำเสมอจะทำให้รูขุมขนกลับมาอุดตันได้อีกครั้ง

แพทย์ผิวหนังแนะนำให้ใช้ยาอย่างต่อเนื่องและครบคอร์สตามที่กำหนด แม้ว่าอาการจะดีขึ้นแล้วก็ตาม การหยุดยาบางชนิดกะทันหัน เช่น ยาปฏิชีวนะหรือไอโซเตรติโนอิน (Isotretinoin) โดยไม่มีคำแนะนำจากแพทย์ อาจทำให้เกิดภาวะ “สิวเห่อกลับ” (rebound acne) ได้ หลังจากควบคุมสิวได้แล้ว แพทย์อาจแนะนำให้เข้าสู่ระยะประคับประคอง (maintenance phase) เพื่อป้องกันไม่ให้สิวกลับมาเป็นซ้ำอย่างรุนแรง

การละเลยความสำคัญของความสะอาดและไลฟ์สไตล์

การละเลยสุขอนามัยและไลฟ์สไตล์บางอย่าง เป็นข้อผิดพลาดทั่วไปที่ทำให้การรักษาสิวที่หน้าอกไม่ได้ผลดีเท่าที่ควรและอาจทำให้อาการแย่ลงได้

ข้อผิดพลาดที่พบบ่อย ได้แก่:

  • ไม่ทำความสะอาดร่างกายทันทีหลังเหงื่อออก การปล่อยให้เหงื่อหมักหมมจะทำให้สิ่งสกปรกและแบคทีเรียสะสมจนอุดตันรูขุมขน
  • สวมเสื้อผ้าที่รัดแน่นหรือสกปรกซ้ำ เสื้อผ้าที่รัดแน่นหรือเสื้อที่ใส่ซ้ำหลังออกกำลังกายจะสร้างความอับชื้นและเป็นแหล่งเพาะเชื้อแบคทีเรีย
  • ละเลยการทาครีมกันแดด แสงแดดสามารถทำให้รอยสิวคล้ำขึ้นและกระตุ้นการอักเสบได้ นอกจากนี้ ยารักษาสิวหลายชนิดยังทำให้ผิวไวต่อแสงมากขึ้น
  • ใช้ผลิตภัณฑ์ที่ไม่เหมาะสม การใช้ผลิตภัณฑ์บำรุงผิวที่เนื้อหนักและอุดตันง่าย เช่น โลชั่นที่มีส่วนผสมของโกโก้บัตเตอร์ หรือการใช้สครับที่หยาบเกินไป ล้วนทำให้อาการสิวแย่ลงได้
  • ใช้ของใช้ส่วนตัวร่วมกับผู้อื่น การใช้ผ้าเช็ดตัวหรืออุปกรณ์กีฬาที่สัมผัสผิวหนังร่วมกัน อาจทำให้เกิดการแพร่กระจายของเชื้อแบคทีเรียหรือเชื้อราที่ก่อให้เกิดการอักเสบของรูขุมขนได้

คำถามที่พบบ่อยเกี่ยวกับการรักษาสิวที่หน้าอก

ทำไมสิวถึงขึ้นที่หน้าอก

สิวขึ้นที่หน้าอกเนื่องจากเป็นบริเวณที่มีต่อมไขมันหนาแน่น เช่นเดียวกับใบหน้าและแผ่นหลัง

เมื่อต่อมไขมันผลิตน้ำมัน (ซีบัม) ออกมามากเกินไปร่วมกับเซลล์ผิวที่ตายแล้ว จะทำให้เกิดการอุดตันในรูขุมขน การอุดตันนี้เป็นแหล่งที่เอื้อต่อการเจริญเติบโตของเชื้อแบคทีเรีย *Cutibacterium acnes* ซึ่งนำไปสู่การอักเสบและเกิดเป็นสิวในที่สุด ปัจจัยอื่นๆ ที่กระตุ้นให้เกิดสิวที่หน้าอก ได้แก่ การเปลี่ยนแปลงของฮอร์โมน พันธุกรรม และพฤติกรรมการใช้ชีวิต เช่น การมีเหงื่อออกมาก หรือการสวมใส่เสื้อผ้าที่รัดแน่นเกินไป

สิวที่หน้าอกใช้เวลากี่วันถึงจะหาย

โดยทั่วไปแล้ว สิวที่หน้าอกจะเริ่มดีขึ้นอย่างเห็นได้ชัดใน 8 ถึง 12 สัปดาห์ หากได้รับการรักษาอย่างสม่ำเสมอ

ระยะเวลาในการรักษาอาจแตกต่างกันไปขึ้นอยู่กับความรุนแรง โดยสิวที่ไม่รุนแรงอาจหายได้ภายใน 1-2 เดือน ในขณะที่กรณีที่รักษายากอาจใช้เวลาหลายเดือนจึงจะดีขึ้น หากไม่เห็นการเปลี่ยนแปลงหลังจากดูแลอย่างต่อเนื่องเป็นเวลา 2-3 เดือน ควรปรึกษาแพทย์เพื่อปรับเปลี่ยนการรักษา

สิวที่หน้าอกและหลังเกิดจากสาเหตุเดียวกันหรือไม่

ใช่ สิวที่หน้าอกและหลังโดยพื้นฐานแล้วเป็นภาวะเดียวกัน ซึ่งเกิดจากกระบวนการเดียวกัน

สิวที่หน้าอกและหลัง (bacne) มักเกิดขึ้นพร้อมกัน เนื่องจากทั้งสองบริเวณเป็นส่วนที่มีต่อมไขมันหนาแน่นเหมือนกับใบหน้า เมื่อต่อมไขมันผลิตน้ำมันออกมามากเกินไปร่วมกับเซลล์ผิวที่ตายแล้ว จะทำให้รูขุมขนอุดตันและเกิดการอักเสบตามมา ด้วยเหตุนี้ วิธีการรักษาจึงมีความคล้ายคลึงกันอย่างมาก

การใส่เสื้อผ้ารัดๆ ทำให้เป็นสิวที่หน้าอกจริงไหม

จริง การใส่เสื้อผ้าที่รัดแน่นเกินไปสามารถทำให้เกิดสิวที่หน้าอกได้

เสื้อผ้าที่รัดแน่น เช่น เสื้อออกกำลังกายหรือชุดชั้นในที่ทำจากผ้าใยสังเคราะห์ (spandex) จะสร้างสภาพแวดล้อมที่อับชื้นและอบอุ่น ซึ่งเป็นแหล่งเพาะพันธุ์ของแบคทีเรียที่ก่อให้เกิดสิว นอกจากนี้ การเสียดสีจากเสื้อผ้าที่รัดแน่นยังสามารถทำให้รูขุมขนอุดตันและเกิดการอักเสบได้ง่ายขึ้น

ควรบีบหรือกดสิวที่หน้าอกด้วยตัวเองหรือไม่

ไม่ควรบีบหรือกดสิวที่หน้าอกด้วยตัวเอง เนื่องจากมีความเสี่ยงสูงที่จะทำให้เกิดผลเสียมากกว่าผลดี

การบีบสิวอาจดันแบคทีเรียและสิ่งสกปรกลงไปในผิวหนังลึกขึ้น ทำให้การอักเสบแย่ลง และเปลี่ยนสิวเม็ดเล็กให้กลายเป็นสิวอักเสบขนาดใหญ่และเจ็บปวดกว่าเดิม นอกจากนี้ยังเพิ่มความเสี่ยงของการติดเชื้อและทำให้เกิดรอยแผลเป็นถาวรหรือรอยดำที่ใช้เวลานานในการจางหายไปได้ง่าย

สิวที่หน้าอกแบบไหนที่ควรไปพบแพทย์

คุณควรไปพบแพทย์เมื่อสิวที่หน้าอกมีความรุนแรง เจ็บปวด ไม่ตอบสนองต่อการรักษาด้วยตนเอง หรือเริ่มทำให้เกิดรอยแผลเป็น นอกจากนี้ ควรปรึกษาแพทย์หากสิวมีลักษณะดังต่อไปนี้

  • สิวอักเสบรุนแรง: สิวมีอาการเจ็บปวดมาก อักเสบลึก บวมแดง รู้สึกอุ่นเมื่อสัมผัส หรือมีสัญญาณของการติดเชื้อ เช่น มีไข้
  • การรักษาด้วยตนเองไม่ได้ผล: เมื่อใช้ผลิตภัณฑ์รักษาสิวที่หาซื้อได้เองอย่างสม่ำเสมอเป็นเวลา 2-3 เดือนแล้วอาการไม่ดีขึ้นหรือแย่ลง
  • เกิดรอยแผลเป็น: สิวทิ้งรอยแผลเป็นถาวร เช่น รอยหลุม รอยนูน หรือรอยดำที่ชัดเจนหลังสิวหาย
  • มีอาการผิดปกติร่วมด้วย: กรณีที่สิวขึ้นผิดปกติ เช่น ในผู้หญิงที่มีสิวขึ้นเรื้อรังร่วมกับมีขนดกผิดปกติ หรือสิวที่เริ่มขึ้นในวัยก่อนเข้าสู่วัยรุ่น ซึ่งอาจบ่งชี้ถึงภาวะอื่นที่ซ่อนอยู่

References:

  1. Demaree, E. The facts about chest acne. Mayo Clinic Health System. mayoclinichealthsystem.org
  2. Cleveland Clinic. Fungal acne (Malassezia folliculitis). Cleveland Clinic – Health Library. clevelandclinic.org
  3. Schweiger Dermatology Group. Chest Acne: Common Causes and the Best Ways to Clear It Up. schweigerderm.com
  4. Fletcher, J. Chest acne: Causes and how to get rid of it. Medical News Today. medicalnewstoday.com
  5. Boynton, E. 8 Ways to Treat Body Acne, According to a Dermatologist. UW Medicine – Right as Rain. uwmedicine.org
  6. American Academy of Dermatology. (n.d.). How to select a dermatologist. aad.org
  7. Medscape. Acne vulgaris – Treatment & management. Medscape (WebMD). medscape.com

แนะแนวเรื่อง

Previous Previous
สิวอักเสบขึ้นไม่หยุด เกิดจากอะไร แก้ที่ต้นเหตุยังไงให้ได้ผลทันใจ
NextContinue
ยาแต้มสิวเหมาะกับสิวแบบไหน วิธีเลือกใช้ให้ตรงจุด

สาขาพรีวาโต คลินิก

    สาขาอโศก ตั้งอยู่ที่ ชั้น 2 อาคารมิดทาวน์
    Phone: 02-258-4050 , 081-841-5075
    สาขาสีลม ตั้งอยู่ที่ ชั้น 1 อาคารซี.พี.ทาวเวอร์
    Phone: 02-780-2011 , 098-272-5244
    สาขาราชพฤกษ์ ตั้งอยู่ที่ ชั้น 2 ศูนย์การค้า เดอะคริสตัล เอสบี (ด้านบนร้านสตาร์บัคส์)
    Phone: 02-102-2778 , 098-272-5244

ติดต่อเรา

    Facebook: Privato Clinic
    Messenger: Privato Clinic
    Instagram: privatoclinic
    Email: privatoclinic@gmail.com
    Line: @privatoclinic

Copyright© 2022-2024. All Rights Reserved

Scroll to top
  • หน้าหลัก
  • เกี่ยวกับพรีวาโต
  • บริการทั้งหมด
    • ชะลอวัย
    • ยกกระชับผิว
      • XERF
      • Potenza
      • Sofwave
      • Ulthera
      • Thermage-FLX
    • รักษาสิว
    • เลเซอร์
    • โปรแกรมฉีด
    • บำรุงผิว
  • บทความ
    • สิว
    • ยกกระชับ
    • ดูแลผิว
    • ทำเลเซอร์
  • ผลิตภัณฑ์ดูแลผิว
  • โปรโมชั่น
  • ผลลัพธ์การรักษา
  • วิดีโอรีวิวจากเคสจริง
  • สาขาของเรา
  • ไทย
    • ไทย
    • English
    • 中文 (中国)
  • ปรึกษาแพทย์
Facebook Instagram YouTube